ผู้เฒ่า Optina ให้คำแนะนำอะไร? Elena Yeletskaya - คำสอนของผู้เฒ่า Optina

โคมไฟศรัทธาออร์โธดอกซ์
สงฆ์และเสาหลักอันมั่นคง
ดินแดนแห่งการปลอบโยนของรัสเซีย
ผู้เฒ่าผู้เคารพนับถือของ Optinstia
ได้รับความรักของพระคริสต์และจิตวิญญาณ
ที่คิดว่าตัวเองเพื่อลูก...

• หากคุณแสดงความเมตตาต่อใครก็ตาม คุณจะได้รับความเมตตาจากสิ่งนั้น

:

• พวกฟาริสีอธิษฐานและอดอาหารมากกว่าพวกเรา แต่หากปราศจากความถ่อมใจ งานของเขาก็ไร้ค่า ดังนั้นจงอิจฉาความถ่อมตัวของคนเก็บภาษีเป็นที่สุด ซึ่งมักเกิดจากการเชื่อฟังและเพียงพอสำหรับคุณ
• ยิ่งไปกว่านั้น บรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ตั้งข้อสังเกตว่าเมื่อบุคคลเตรียมรับความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์หรือคาดว่าจะเฉลิมฉลองวันหยุด ปีศาจพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อรบกวนบุคคลนั้นและทำให้วิญญาณของเขาสับสน เพื่อว่าวันนั้นจะได้ใช้เวลาไป ไม่ใช่ด้วยความชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ด้วยความเศร้าโศกของปีศาจ เหตุผลที่เขาโจมตีเรานั้นแตกต่างกัน แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดคือการประณามเพื่อนบ้านของเรา ซึ่งทำบาป และนอกเหนือจากการผิดประเวณีและการล่อลวงอื่น ๆ ไม่เพียงทำให้ร่างกายเป็นมลทินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงจิตวิญญาณของเราด้วย
• ความสงบของจิตใจได้มาจากการอุทิศตนอย่างเต็มที่ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า หากปราศจากสิ่งนี้ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเรา และถ้าสามีของคุณไม่ดีจริงๆ ก็ลองถามตัวเองต่อพระเจ้าว่า “ฉันเป็นคนบาปและคู่ควรกับสามีที่ดีและใจดีหรือเปล่า?” และมโนธรรมของคุณจะบอกว่าคุณไม่มีค่าอะไรดีเลยอย่างแน่นอน แล้วด้วยใจถ่อม ยอมต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า คุณจะรักพระองค์จากใจ และพบสิ่งดีๆ มากมายที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน .

:

• ตัณหาอย่างหนึ่งดูหมิ่นอีกสิ่งหนึ่ง: ที่ใดมีความรักตนเอง ที่นั่นมีความรักต่อเงิน และในทางกลับกันก็เกิดขึ้น และเรารู้ว่าบางครั้งความชั่วร้ายทั้งหมดก็ทิ้งคน ๆ หนึ่งไป แต่สิ่งหนึ่งยังคงอยู่กับเขา - ความภาคภูมิใจซึ่งเป็นเนื้อหาที่จะแทนที่สิ่งอื่น ๆ
• แต่เราไม่ควรกล้ากล่าวหาคนที่ดูหมิ่นเรา แม้ว่าการดูถูกอาจดูผิด แต่ถือว่าเขาเป็นเครื่องมือแห่งพระสิริของพระเจ้าที่ส่งมาเพื่อแสดงให้เราเห็นสมัยการประทานของเรา
• และไม่มีใครทำให้เราขุ่นเคืองหรือรำคาญเราได้ เว้นแต่พระเจ้าจะทรงยอมให้สิ่งนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์ของเรา หรือการลงโทษ หรือสำหรับการทดสอบและการแก้ไข

• หากคุณทำให้จิตใจของคุณสงบลงต่อผู้ที่โกรธคุณ พระเจ้าจะทรงบอกให้หัวใจของเขาคืนดีกับคุณ
• งานทุกอย่างต้องเริ่มต้นด้วยการร้องออกพระนามของพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ

:

• หากคุณต้องการมีความรัก จงทำสิ่งที่รัก แม้ว่าในตอนแรกจะไม่มีความรักก็ตาม
• เราต้องมีชีวิตอยู่บนโลกในลักษณะที่วงล้อหมุน มีเพียงจุดเดียวเท่านั้นที่แตะพื้น และที่เหลือก็พยายามขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง และพอเรานอนราบกับพื้นก็ลุกขึ้นไม่ได้
• การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายนั้นดีที่สุด อย่าหักหัวของคุณ สวดมนต์ต่อพระเจ้า. พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมทุกสิ่ง เพียงแค่มีชีวิตที่ง่ายขึ้น อย่าทรมานตัวเองโดยคิดว่าจะทำอย่างไรและอย่างไร ปล่อยให้เป็นไปตามที่เกิดขึ้น: ชีวิตนี้ง่ายขึ้น
• ไม้กางเขนที่ถามนั้นยากที่จะทนได้ แต่เป็นการดีกว่าที่จะยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
• ใครก็ตามที่มีจิตใจไม่ดีไม่ควรสิ้นหวังเพราะด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าบุคคลสามารถแก้ไขหัวใจของเขาได้ คุณเพียงแค่ต้องตรวจสอบตัวเองอย่างรอบคอบและไม่พลาดโอกาสที่จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนบ้านของคุณ มักจะเปิดใจให้กับผู้เฒ่าและให้ทานตามอำนาจของคุณ แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้โดยฉับพลัน แต่พระเจ้าทรงอดทน เขาจะสิ้นสุดชีวิตของบุคคลนั้นก็ต่อเมื่อเขาเห็นว่าเขาพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็นนิรันดร์หรือเมื่อเขาไม่เห็นความหวังในการแก้ไขของเขา
• ก่อนการพิพากษาของพระเจ้า อุปนิสัยไม่สำคัญ แต่เป็นทิศทางของเจตจำนง รู้ว่าตัวละครมีความสำคัญเฉพาะในการตัดสินของมนุษย์เท่านั้น ดังนั้นจึงได้รับการยกย่องหรือตำหนิ แต่ในการพิพากษาของพระเจ้า ลักษณะนิสัยซึ่งเป็นคุณสมบัติตามธรรมชาตินั้นไม่ได้รับการอนุมัติหรือประณาม พระเจ้าทรงมองที่ความตั้งใจที่ดีและการบังคับที่จะทำความดีและให้ความสำคัญกับการต่อต้านตัณหาแม้ว่าบางครั้งบุคคลจะถูกเอาชนะด้วยความอ่อนแอก็ตาม และอนึ่ง มีเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ตัดสินความประมาทเลินเล่อในเรื่องนี้ โดยรู้ถึงจิตใจและมโนธรรมที่เป็นความลับของบุคคล และพลังธรรมชาติแห่งความดีของเขา และสถานการณ์รอบตัวเขา

:

• หากคุณเห็นข้อผิดพลาดในเพื่อนบ้านที่คุณต้องการแก้ไข ถ้ามันรบกวนความสงบของจิตใจและทำให้คุณหงุดหงิด แสดงว่าคุณทำบาปด้วย ดังนั้น คุณจะไม่แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยข้อผิดพลาด - จะแก้ไขด้วยความสุภาพอ่อนโยน
• และมีประโยชน์สำหรับเราเมื่อเราถูกผลักไส ต้นไม้ที่ถูกลมพัดแรงขึ้นก็ทำให้รากแข็งแรงขึ้น แต่ต้นไม้ที่อยู่ในความเงียบก็ล้มลงทันที
• สถานการณ์ต่างๆ ดำเนินไปอย่างไร เราควรดำเนินชีวิตอย่างไร เพราะสถานการณ์รอบตัวเราไม่ได้จัดไว้โดยบังเอิญ ดังที่นักปราชญ์สมัยใหม่หลายคนคิด แต่ทุกสิ่งทำเพื่อเราโดยความรอบคอบของพระเจ้า คอยดูแลอยู่ตลอดเวลา เพื่อความรอดฝ่ายวิญญาณของเรา
• เราเองก็เพิ่มความเศร้าเมื่อเราเริ่มบ่น
• มีสิ่งที่จำเป็นและจำเป็น แต่อย่าสะสมสิ่งที่ไม่จำเป็น แล้วถ้าไม่มีแล้วรู้สึกเสียใจ แล้วจะมีประโยชน์อะไร? - อยู่ตรงกลางดีกว่า
• สิ่งที่ใช้ได้ผลมากที่สุดในบุคคลนั้นขัดแย้งกัน บางครั้งคนๆ หนึ่งจะทำอะไรยากๆ ได้ตามใจชอบ แต่ถ้าคุณบอกเขาให้ทำอะไรง่าย ๆ เขาจะหงุดหงิดทันที และเราต้องเชื่อฟัง
• ไม่ควรแสวงหาเกียรติฉันใด ผู้อยู่ในสังคมก็ไม่ควรสละเกียรติเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นฉันนั้น เกียรติที่ได้รับก็มาจากพระเจ้าเช่นกัน
• สำหรับทุกคน การกระทำของเพื่อนบ้านนั้นดูยิ่งใหญ่ ซึ่งทำให้เขาได้เจออะไรบางอย่าง

:

• ให้เราถ่อมตัวลง แล้วพระเจ้าจะทรงปกปิดเรา และเราจะเป็นคนบริสุทธิ์ จนกว่าเราจะถ่อมตัวและเอาใจพระเจ้า แม้ว่าเราจะทุบหน้าผากของเราลงบนพื้นด้วยธนู ความหลงใหลของเราจะไม่ลดลง
• อดทนกับทุกสิ่ง - คุณจะสงบสุขและนำสันติสุขมาสู่ผู้อื่น! และถ้าคุณเริ่มนับมัน คุณจะสูญเสียโลก และด้วยมัน ความรอด
• ฉันกำลังบอกความลับแก่คุณ ฉันกำลังบอกวิธีที่ดีที่สุดในการพบความอ่อนน้อมถ่อมตน นี่คือสิ่งที่เป็นอยู่: อดทนต่อความเจ็บปวดใด ๆ ที่ทิ่มแทงหัวใจที่ภาคภูมิใจ
• หากไม่มีฤดูหนาวก็จะไม่มีฤดูใบไม้ผลิ หากไม่มีฤดูใบไม้ผลิก็จะไม่มีฤดูร้อน ในชีวิตฝ่ายวิญญาณก็เป็นเช่นนั้น การปลอบใจเล็กน้อย แล้วก็ความโศกเศร้าเล็กน้อย - และเส้นทางแห่งความรอดก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อย
• ให้เรายอมรับทุกสิ่งจากพระหัตถ์ของพระเจ้า ถ้ามันทำให้เราสบายใจเราจะขอบคุณ และถ้ามันไม่ปลอบใจเราให้เราขอบคุณ
• เรียนรู้ที่จะสุภาพและเงียบ แล้วทุกคนจะเป็นที่รักของคุณ และความรู้สึกที่เปิดกว้างก็เหมือนกับการเปิดประตู ทั้งสุนัขและแมวก็วิ่งไปที่นั่น... และพวกมันก็อึ
• เราจำเป็นต้องรักทุกคน แต่เราไม่กล้าเรียกร้องให้เขารักเรา

:

• สัญญาณที่ชัดเจนของความตายของจิตวิญญาณคือการหลีกเลี่ยงการไปโบสถ์ คนที่เย็นชาต่อพระเจ้าก่อนอื่นจะเริ่มหลีกเลี่ยงการไปโบสถ์ ก่อนอื่นให้พยายามมานมัสการในภายหลัง จากนั้นจึงหยุดไปเยี่ยมชมพระวิหารของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง
• พระเจ้าทรงวางจิตวิญญาณแต่ละดวงไว้ในตำแหน่งดังกล่าว ล้อมรอบด้วยสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อความเจริญรุ่งเรืองมากที่สุด
• ชีวิตทั้งชีวิตของเราคือความลึกลับอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ทุกสถานการณ์ของชีวิตไม่ว่าจะดูไม่สำคัญเพียงใดก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เราจะเข้าใจความหมายของชีวิตจริงในศตวรรษหน้าอย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องปฏิบัติต่อมันอย่างระมัดระวังเพียงใด แต่เราพลิกชีวิตของเราเหมือนหนังสือทีละแผ่นโดยไม่รู้ว่ามีอะไรเขียนอยู่ที่นั่น ไม่มีอุบัติเหตุในชีวิต ทุกอย่างเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของผู้สร้าง
• เราต้องจำไว้ว่าพระเจ้าทรงรักทุกคนและห่วงใยทุกคน แต่ถ้าพูดโดยมนุษย์แล้วการให้ขอทานหนึ่งล้านคนนั้นเป็นอันตรายเพื่อไม่ให้ทำลายเขาและ 100 รูเบิลสามารถทำให้เขาลุกขึ้นยืนได้ง่ายกว่า พระเจ้าผู้ทรงรอบรู้ยิ่งทรงรู้ดียิ่งขึ้นว่าใครได้รับผลดี
• สิ่งที่ยากที่สุดคือการอธิษฐาน คุณธรรมทุกอย่างจากการฝึกฝนจะกลายเป็นนิสัย และในการอธิษฐานคุณต้องบังคับไปจนตาย ผู้เฒ่าของเราต่อต้านมัน และโดยเฉพาะศัตรูก็ลุกขึ้นต่อสู้กับผู้ที่อธิษฐาน
• ข้าพเจ้าได้ยินคำบ่นว่าขณะนี้เรากำลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก เสรีภาพที่สมบูรณ์ได้มอบให้แก่คำสอนนอกรีตและไร้พระเจ้าทั้งหมดแล้ว พระศาสนจักรกำลังถูกศัตรูโจมตีจากทุกทิศทุกทาง และมันเริ่มน่ากลัวขึ้น คลื่นโคลนเหล่านี้ ความไม่เชื่อและนอกรีตจะเอาชนะมันได้ ฉันตอบเสมอ:“ ไม่ต้องกังวล! อย่ากลัวคริสตจักร! เธอจะไม่พินาศ: ประตูนรกจะไม่ชนะเธอจนกว่าจะถึงการพิพากษาครั้งสุดท้าย อย่ากลัวเธอแต่คุณต้องกลัวตัวเองด้วยและก็จริงที่เวลาของเรานั้นยากมาก จากสิ่งที่? ใช่แล้ว เพราะบัดนี้เป็นเรื่องง่ายเป็นพิเศษที่จะละทิ้งพระคริสต์ และจากนั้นก็จะถึงความพินาศ”

:

• พวกเขาบอกว่าวัดน่าเบื่อ น่าเบื่อเพราะไม่เข้าใจการบริการ! บริการต้องเรียนรู้! น่าเบื่อเพราะพวกเขาไม่สนใจเขา ดังนั้นเขาจึงดูเหมือนไม่ใช่หนึ่งในพวกเรา แต่เป็นคนแปลกหน้า อย่างน้อยพวกเขาก็นำดอกไม้หรือพืชพรรณมาประดับถ้าพวกเขามีส่วนร่วมในการตกแต่งวัดก็ไม่น่าเบื่อ
• ดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายตามมโนธรรมของคุณ จำไว้เสมอว่าพระเจ้าทรงมองเห็น และอย่าใส่ใจกับส่วนที่เหลือ!

• สิ่งสำคัญคือต้องระวังการตัดสินจากคนที่คุณรัก เมื่อใดก็ตามที่การกล่าวโทษเกิดขึ้นในใจ ให้ใส่ใจทันที: “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์เห็นบาปของข้าพระองค์ และอย่าทรงประณามน้องชายของข้าพระองค์เลย”
• คุณไม่สามารถเรียกร้องจากแมลงวันให้มันทำงานเหมือนผึ้งได้ - แต่ละคนจะต้องได้รับตามมาตรฐานของเขา ไม่สามารถเหมือนกันสำหรับทุกคนได้

:

• ไม่เคยมี ไม่เคย และจะไม่มีวันเป็นสถานที่ที่ไร้กังวลบนโลกนี้ สถานที่ที่น่าเศร้าจะอยู่ในใจได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในนั้นเท่านั้น
• คุณไม่ควรแสวงหาความจริงของมนุษย์ แสวงหาความจริงของพระเจ้าเท่านั้น
• โปรดจำไว้เสมอว่ากฎแห่งชีวิตฝ่ายวิญญาณ: หากคุณรู้สึกอับอายกับข้อบกพร่องของบุคคลอื่นและประณามเขา ในภายหลังคุณจะต้องประสบชะตากรรมเดียวกันและคุณจะต้องทนทุกข์จากข้อบกพร่องเดียวกัน
• ทำทุกงาน ไม่ว่าคุณจะดูไม่สำคัญแค่ไหนก็ตาม อย่างระมัดระวังราวกับอยู่ต่อหน้าพระเจ้า จำไว้ว่าพระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง

บิดาผู้เคารพนับถือของเรา ผู้อาวุโสของ Optina อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเรา!

1.4. ทิศสู่แสงแห่งพระพักตร์พระเจ้า" บทที่ 2 คำสอนเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตน 2.1. เส้นทางสู่พระเจ้า" 2.2. คิดว่าตัวเองแย่ที่สุดในบรรดาทุกคน" 2.3. สามระดับของความอ่อนน้อมถ่อมตน" 2.4. ความอ่อนน้อมถ่อมตนในชีวิตทางโลก" 2.5. ทางสายกลางและทางเล็ก" บทที่ 3 การสอนเรื่องการอธิษฐาน 3.1. ความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นพื้นฐานของการอธิษฐาน" 3.2. จะต้องได้รับของประทานแห่งการอธิษฐานจิต” 3.3. ระดับของการสวดมนต์” 3.4. การอธิษฐานเป็นบททดสอบ" บทที่ 4 หลักคำสอนเรื่องการกลับใจ 4.1. สัญญาณของการกลับใจที่แท้จริง" 4.2. อุบายของศัตรูและสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกำหนดแก่คนทำบาป” 4.3. หากคุณไม่ปรับปรุงก็ขออนุญาตและให้อภัย” 4.4. การรับรู้ถึงการพิพากษาของพระเจ้าต่อเราว่าชอบธรรม" บทที่ 5 หลักคำสอนแห่งความรอด 5.1. ความสำนึกในบาปของตน" 5.2. ทางสายกลาง" 5.3. แรงงานและความยากลำบาก" 5.4. ความระมัดระวังและความเอาใจใส่ต่อความรอด” บทที่ 6 หลักคำสอนแห่งความคิด 6.1. เมื่อความบาปสิ้นสุดลง" 6.2. กฎแห่งการต่อสู้ทางความคิด" 6.4. ความรับผิดชอบของมนุษย์และความช่วยเหลือจากพระเจ้า" 6.5. คำแนะนำของผู้สูงอายุในกรณีต่างๆ” บทที่ 7 หลักคำสอนเรื่องกิเลสตัณหา 7.1. เหตุและต้นตอของตัณหา" 7.2. กำเนิดความภาคภูมิใจ" 7.3. การล่อลวงด้วยราคะ" 7.4. การยืนยันตนเอง" 7.5. ลักษณะของจิตสำนึกอันเป็นมายา" 7.6. ไม่พอใจที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ต้องการ” 7.7. ความต้านทานต่อการสัมผัสอย่างรุนแรง" 7.8. ความโศกเศร้าและการละทิ้งชีวิตอย่างสิ้นหวัง” บทที่ 8 หลักคำสอนเรื่องการล่อลวง 8.1. ยาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และขมขื่น" 8.2. ชี้แจงกรณีพิเศษ" 8.3. เหตุใดการล่อลวงจึงถูกครอบงำ? 8.4. สิ่งที่ถูกเปิดเผยโดยการล่อลวง" 8.5. ประพฤติตนอย่างไรให้ถูกล่อลวง" บทที่ 9 คำสอนเรื่องความรัก 9.1. ความรักของพระเจ้าต่อมนุษย์" 9.2. ความรักของมนุษย์ต่อพระเจ้า" 9.3. ตรีเอกานุภาพแห่งความรักของบุตรแห่งแสงสว่าง" 9.4. การรวมตัวของความรักและความอ่อนน้อมถ่อมตน" 9.5. ความผิดพลาดของเราบนเส้นทางแห่งความรัก" บทที่ 10 การสอนเกี่ยวกับชีวิต 10.1. ผลบุญ" 10.2. พระบัญญัติ” 10.3. ความมีสติและไม้กางเขน" 10.4. ความสงบจิตสงบใจ" 10.5. การแต่งงานและครอบครัว" 10.6. โรคและความตาย"วรรณกรรม

คำนำ

หนังสือที่นำเสนอประกอบด้วยคำสอนและคำแนะนำของผู้เฒ่า Optina ที่คัดสรรมาแล้ว มรดกของผู้อาวุโสนั้นมีมากมาย และการคัดเลือกก็รวมเฉพาะสิ่งที่พวกเขาพูดเท่านั้น หากเราให้คำนิยามแก่นแท้ของคำสอนของผู้อาวุโส ก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นแนวทางปฏิบัติในการดูดซึมและการประยุกต์ใช้พระวจนะของพระเจ้าในชีวิตคริสเตียน ด้วยเหตุนี้ คำสอนของผู้ใหญ่จึงประเมินค่าไม่ได้

เพื่อให้ผู้อ่านคุ้นเคยกับคำสอนนี้ จึงได้มีการระบุทิศทางความคิดในวัยชราทั้ง 10 ประการ ซึ่งแต่ละทิศทางจะทุ่มเทให้กับบทที่แยกจากกัน คำแนะนำของผู้ปกครองได้รับตามลำดับ ซึ่งทำให้สามารถตรวจสอบความเชื่อมโยงภายในอย่างลึกซึ้งของการสอนทุกส่วนของพวกเขาได้ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับคำแนะนำมีจุดมุ่งหมายเพื่อสะท้อนถึงความเชื่อมโยงนี้และแสดงให้เห็นถึงความเป็นระบบและความสมบูรณ์ของคำสอนของพี่ ผู้เขียนข้อคิดเห็นพยายามปฏิบัติตามความหมายของคำกล่าวของผู้ใหญ่อย่างเคร่งครัด ดังนั้นข้อคิดเห็นจึงมักกล่าวซ้ำคำสอนที่เกี่ยวข้อง ในขณะเดียวกัน พวกเขามุ่งความสนใจไปที่ความคิดของผู้เฒ่าที่ทำให้การเปลี่ยนจากคำพูดหนึ่งไปยังอีกคำพูดหนึ่ง

บทที่ 1 เปิดเผยแนวทางของผู้เฒ่าในการรู้และทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า จุดเริ่มต้นที่นี่คือการรับรู้ถึงข้อจำกัดบางประการของความคิดปกติของมนุษย์ เมื่อเข้าใจว่าข้อจำกัดนี้ประกอบด้วยอะไร บุคคลจึงสามารถก้าวไปสู่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งผู้เฒ่ากำหนดว่าเป็นเส้นทางสู่พระเจ้า ตามคำสอนของพวกเขา มีเพียงคนถ่อมตัวเท่านั้นที่จะได้รับนิมิตแห่งชีวิตที่แท้จริงและเป็นที่ชื่นชอบของพระเจ้า และสามารถรักษาทิศทางไปสู่แสงสว่างแห่งพระพักตร์ของพระเจ้าได้ตลอดชีวิตของเขา

บทที่ 2 สำรวจหลักคำสอนเรื่องความอ่อนน้อมถ่อมตนโดยละเอียดมากขึ้น ประเด็นสำคัญคือความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของบุคคลเพื่อความรอด ซึ่งพระเจ้าทรงมองหาในตัวเราเป็นอันดับแรก มันเป็นความอ่อนน้อมถ่อมตนที่สามารถต้านทานผลร้ายของความภาคภูมิใจได้ ความอ่อนน้อมถ่อมตนแสดงออกมาในความสามารถของบุคคลในการถือว่าตัวเองแย่กว่าคนอื่นๆ ในเวลาเดียวกัน มีความอ่อนน้อมถ่อมตนหลายระดับที่ผู้เฒ่าแนะนำให้ปฏิบัติตามเพื่อที่จะเชี่ยวชาญเส้นทางแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตน และมีความเฉพาะเจาะจงบางประการของความอ่อนน้อมถ่อมตนในชีวิตทางโลก (ตรงข้ามกับนักบวช) ซึ่งต้องนำมาพิจารณาด้วย

บทที่ 3 นำเสนอหลักคำสอนเรื่องการอธิษฐาน พื้นฐานของการอธิษฐานคือความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งต้องขอบคุณที่บุคคลสามารถเดินตามเส้นทางแห่งการอธิษฐานได้แม้จะอ่อนแอและผ่านขั้นตอนการอธิษฐานได้ ผู้เฒ่าจำแนกรายละเอียดระดับของการอธิษฐานโดยใช้การจำแนกสามประเภทที่เกี่ยวข้องกัน: โดยสถานที่แห่งจิตสำนึกและการสร้างการอธิษฐานโดยธรรมชาติของการอธิษฐานและผลลัพธ์โดยคุณภาพของการอธิษฐานในฐานะของขวัญจากพระเจ้า

บทที่ 4 อุทิศให้กับหลักคำสอนเรื่องการกลับใจ สถานที่สำคัญในนั้นถูกครอบครองโดยการระบุเครื่องหมายของการกลับใจที่แท้จริงและสอนวิธีกลับใจอย่างเหมาะสม ผู้เฒ่าให้ความรู้เกี่ยวกับกลอุบายของศัตรูที่พยายามทำให้การกลับใจไม่เป็นความจริง และในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระเจ้าจะทรงกำหนดไว้กับคนที่ทำบาป คำถามว่าจะทำอย่างไรหากการแก้ไขล้มเหลวและวิธีบรรลุเอกภาพกับพระเจ้าจะไม่ถูกทิ้งไว้โดยไม่มีใครดูแล

บทที่ 5 มีคำสอนเกี่ยวกับความรอด จำเป็นต้องตระหนักถึงความบาปของตัวเองเพื่อให้ถ่อมตัวและไม่หยิ่งผยอง ผู้เฒ่ายังพูดถึงความสำคัญของความพอประมาณ (หลีกเลี่ยงความสุดขั้ว) ตลอดจนแรงงานและการกีดกัน เพื่อที่จะได้รับความรอด คุณต้องระมัดระวังและเอาใจใส่ต่อความรอด

บทที่ 6 อธิบายหลักคำสอนแห่งความคิด หากขั้นแรกของความคิด (การบวก) ไม่ใช่บาปของบุคคล ดังนั้นระยะที่ตามมา (การรวมกันและการบวก) ก็ก่อให้เกิดบาปแล้ว การข้ามคำบุพบทไปยังขั้นตอนต่อไปสร้างอันตรายที่เพิ่มมากขึ้นของความพ่ายแพ้ด้วยความหลงใหล (การถูกจองจำด้วยความคิดที่เป็นบาป การผลักดันให้ผ่านการกระทำ - คำพูดและการกระทำ) ด้วยทักษะพิเศษ ผู้เฒ่าจะสอนกฎเกณฑ์ในการต่อสู้กับความคิด สอนความรอบคอบ และขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า

บทที่ 7 มีหลักคำสอนเรื่องกิเลสตัณหา สาเหตุและรากเหง้าของตัณหาคือความเย่อหยิ่ง ซึ่งผู้เฒ่ามักเรียกว่าไฮดราเจ็ดหัว ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการระบุแนวโน้มแห่งความภาคภูมิใจ 7 ประการ ซึ่งรวมกันเป็นชุดของความหลงใหลต่างๆ ที่ต่อสู้กับบุคคล มีความเข้าใจทั่วไปเจ็ดประการเกี่ยวกับสาเหตุของตัณหาและวิธีการต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้น

บทที่ 8 เปิดเผยหลักคำสอนเรื่องการทดลอง การล่อลวงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแก้ไขของเรา สิ่งเหล่านี้เจ็บปวดและเรามักมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์และไม่จำเป็นที่ต้องหลีกเลี่ยง ผู้อาวุโสชี้ให้เห็นว่าการล่อลวงโดยพื้นฐานแล้วเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้า ซึ่งโดยวิธีนี้พระเจ้าทรงทำให้จิตวิญญาณสมบูรณ์แบบและเหมาะสมยิ่งขึ้นสำหรับความรอด

บทที่ 9 สำรวจหลักคำสอนเรื่องความรัก พระเจ้าทรงรักผู้คนมากกว่าที่พวกเขาคิด ผู้เฒ่าปลอบใจ แต่ผู้คนต้องจำไว้ว่าความรักต่อพระเจ้าไม่ได้ประกอบด้วยความอ่อนโยนและไม่ใช่การขึ้นไปหาพระองค์ด้วยจิตใจ แต่ประการแรกคือการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ มีการสอนเกี่ยวกับความรักสามประการของบุตรแห่งแสงสว่าง หากปราศจากความอ่อนน้อมถ่อมตน มันก็จะพังทลายลง และดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีความสามัคคีระหว่างความรักและความอ่อนน้อมถ่อมตน พร้อมทั้งรู้ถึงความผิดพลาดของเราบนเส้นทางแห่งความรักซึ่งค่อนข้างจะธรรมดาโดยเฉพาะที่จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้

บทที่ 10 นำเสนอหลักคำสอนแห่งชีวิต ในที่นี้ผู้เฒ่าพูดถึงการเรียกคนมาทำความดีและให้คำจำกัดความว่าอะไรควรถือเป็นความดี พวกเขาพูดถึงพระบัญญัติที่เป็นพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ แต่ยังชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการมีสติและไม้กางเขนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งเติบโตจากดินแห่งใจของเรา การแบกไม้กางเขนด้วยความถ่อมใจนำสันติสุขมาสู่จิตวิญญาณ ผู้เฒ่ายังสอนทัศนคติที่ถูกต้องต่อการแต่งงานและครอบครัว ความเจ็บป่วยและความตาย

“...เนื่องจากมีพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ศรัทธาที่แท้จริงบนโลกจึงมีองค์เดียวฉันนั้น ศาสนาอื่นๆ ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าอย่างไร ก็ล้วนมีการผสมผสานแนวคิดของมนุษย์จอมปลอมเข้าด้วยกัน ศีลระลึกซึ่งประกอบกันอย่างเห็นได้ชัดบนโลกในคริสตจักรของพระคริสต์ ซึ่งคริสเตียนผู้เคร่งศาสนาได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มีลักษณะเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ที่มองไม่เห็น”

แอมโบรสผู้เคารพนับถือแห่ง Optina

“เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์ในชีวิตส่วนตัวเท่านั้นที่จะพบพระเจ้าได้ แต่ถ้าความประสงค์ของใครคนหนึ่ง “ปล่อยให้มันเป็นทางของฉัน” มีค่ามากกว่าคำสอนของพระคริสต์ ฉันก็จะนิ่งเงียบ... ทุกคนจะได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่าน”

พระนิคอนแห่ง Optina

การทรมานแบบนรก - ​​มาร - ถูกครอบงำ - ปีศาจ - ความคารวะ - ขอบคุณพระเจ้า - พระพร - รางวัลของพระเจ้า - การผิดประเวณี - ความมั่งคั่ง - เทววิทยา - การรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์ - สงคราม (สงครามฝ่ายวิญญาณกับวิญญาณที่มองไม่เห็น) - สงครามด้วยกิเลสตัณหา - ความรักฉันพี่น้อง - ชีวิตในอนาคต - ศรัทธา – ดูดวง –การสะกดจิต – ความโกรธ – พระบัญญัติของพระเจ้า – การประณาม

ความทรมานอันแสนสาหัส

“ถ้าความโศกเศร้า ความเจ็บป่วย และความโชคร้ายทั้งหมดจากทั่วโลกถูกรวบรวมเป็นหนึ่งเดียวและชั่งน้ำหนัก ความทรมานในนรกก็จะยากและรุนแรงยิ่งขึ้นอย่างไม่มีใครเทียบได้ เพราะซาตานเองก็กลัวนรกที่ลุกเป็นไฟ แต่สำหรับผู้อ่อนแอ ความทรมานที่นี่ทนไม่ไหวอย่างยิ่ง เพราะบางครั้งวิญญาณของเราก็แข็งแกร่ง แต่เนื้อหนังของเราอ่อนแออยู่เสมอ”

มาร

“วิญญาณของผู้ต่อต้านพระคริสต์ได้กระทำผ่านทางบรรพบุรุษของพวกเขาตั้งแต่สมัยของอัครสาวก ดังที่อัครสาวกเขียน: ความลับของความชั่วกำลังถูกเปิดเผยแล้ว ดังนั้นจงรักษาไว้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันพุธ(2 เธส. 2:7) คำอัครสาวก ถือมันไว้ตอนนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจที่เป็นและอำนาจของคริสตจักรซึ่งบรรพบุรุษของกลุ่มต่อต้านพระเจ้าต่อต้านพระคริสต์เพื่อที่จะยกเลิกและทำลายมันบนโลก เพราะกลุ่มต่อต้านพระเจ้าตามที่ผู้แปลพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์อธิบายไว้ จะต้องมาในช่วงเวลาแห่งความอนาธิปไตยบนโลก และในขณะที่เขายังคงนั่งอยู่ที่ก้นบึ้งของนรก เขาก็ประพฤติตามบรรพบุรุษของเขา ในตอนแรกเขากระทำผ่านคนนอกรีตต่างๆ ที่ทำให้คริสตจักรออร์โธดอกซ์โกรธเคือง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งผ่านทางชาวอาเรียนที่ชั่วร้าย ให้การศึกษาแก่ผู้คนและข้าราชบริพาร จากนั้นเขาก็ทำอย่างมีไหวพริบผ่าน Freemasons ที่ได้รับการศึกษา และในที่สุด บัดนี้ผ่านผู้ทำลายล้างที่มีการศึกษา เขาก็เริ่มทำอย่างหน้าด้านและหยาบคายมากขึ้น มากกว่าการแลกเปลี่ยน แต่โรคของเขาจะทำให้ศีรษะของเขาปั่นป่วนตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ ถือเป็นความบ้าคลั่งอย่างยิ่งมิใช่หรือที่ต้องทำงานสุดความสามารถ ไม่ยอมสละชีวิต เพื่อถูกแขวนคอบนตะแลงแกงบนโลก และในชีวิตหน้าจะต้องตกสู่ก้นบึ้งของนรกในทาร์ทารัสเพื่อรับการทรมานชั่วนิรันดร์ แต่ความภาคภูมิใจที่หมดหวังไม่ต้องการมองสิ่งใด แต่ต้องการแสดงความกล้าหาญที่บ้าบิ่นต่อทุกคน”

ครอบครอง

สาธุคุณเอ็ลเดอร์เลฟ Optinsky (1768-1841):“...เขียนเกี่ยวกับเด็กสาวป่วย เอเลน่า ที่ถูกวิญญาณเข้าสิง พ่อแม่บังคับให้เธอปฏิบัติต่อคุณย่า แล้วถ้าบังคับ พวกเขาจะไม่เพียงไม่มีเวลาเท่านั้น แต่ยังจะโกหก (จมลงในที่เลวร้ายที่สุด) และนำตัวเองไปสู่บาปร้ายแรง เพราะโรคเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ของจิตใจมนุษย์ แต่ตามพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อวิสุทธิชนที่พระเจ้าเลือกไว้ หากพวกเขาต้องการสุขภาพของเธอ ก็ให้พวกเขาพาเธอไปที่โวโรเนซ ไปหานักบุญของพระเจ้ามิโตรฟาน…”

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):“...คุณเขียนว่าด้วยความสงสารและความรักในจินตนาการที่คุณได้รับสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ของคุณเอง: เพื่อปฏิบัติต่อน้องสาวของคุณที่ป่วยด้วยอาการป่วยที่ไม่ใช่ทางร่างกาย ฉันบอกคุณเป็นการส่วนตัวแล้วและตอนนี้ฉันขอย้ำอีกครั้ง: อย่าทำเรื่องแบบนั้นอีกในอนาคต ถ้า ปิเมนมหาราชด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและการป้องกันตนเองจึงหลีกเลี่ยงเรื่องดังกล่าวโดยได้รับของประทานจากองค์พระผู้เป็นเจ้า - คุณเป็นใครที่กล้าทำสิ่งเหล่านี้โดยไม่ได้ร้องขอ ฉันขอย้ำอีกครั้ง: อย่ากล้าทำสิ่งเหล่านี้หากคุณไม่ต้องการถูกล่อลวงอย่างรุนแรงและนำพาตัวเองมาสู่ตัวเอง ประการแรก การทารุณกรรมทางกามารมณ์ที่ทนไม่ได้ ประการที่สอง การโจมตีและการประหัตประหารจากศัตรูทางจิต และประการที่สาม การประหัตประหารจากผู้คน เหตุใดจึงต้องนำการล่อลวงอันเลวร้ายเช่นนี้มาสู่ตนเอง พระภิกษุสิเมโอน ชาวเอฟชัยเตแนะนำให้หลีกเลี่ยงผู้ที่ถูกวิญญาณชั่วร้ายเข้าสิง เนื่องจากมีหลายครั้งที่ศัตรูสับสนกับผู้คนฝ่ายวิญญาณผ่านพวกเขา แม้จะมีความสงสารในจินตนาการและความรักในจินตนาการซึ่งความเย่อหยิ่งและความเย่อหยิ่งถูกซ่อนไว้อย่างละเอียดและคุณเองก็รู้ว่าผลไม้รสขมมาจากความหลงใหลเหล่านี้ ฟังพระวจนะที่ว่า: ผู้ใดมีจิตใจสูงส่งก็เป็นที่น่าสะอิดสะเอียนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า(เปรียบเทียบ: สุภาษิต 16:5)

ดูอัครสาวกเปาโลสิ่งที่เขาพูด พระองค์ไม่ได้บัญชามิใช่หรือว่าให้มอบผู้นั้นให้ซาตานทำลายเนื้อหนัง เพื่อวิญญาณของเขาจะรอดในวันแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา? นี่คือตัวอย่างของการทำบุญที่แท้จริง และคุณห่วงใยที่จะช่วยบุคคลหนึ่งจากความเหนื่อยล้าของเนื้อหนังเพื่อให้จิตใจสงบชั่วคราว บางทีอาจซ่อนอยู่เบื้องหลังผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณในจินตนาการ แต่เรื่องนี้อยู่นอกเหนือคุณ คุณไม่ใช่พระสงฆ์หรือนักบวชที่มีความสามารถทางวิญญาณที่จะช่วยเหลือคนเช่นนั้นได้โดยการสารภาพบาปแต่ในกรณีนี้ การรักษาที่สมบูรณ์แบบก็ไม่ได้ตามมาเสมอไป สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำพระทัยของพระเจ้าและด้วยการกวักมือของพระเจ้าเองผู้ทรงจัดเตรียมให้กับทุกคนและจัดเตรียมสิ่งที่มีประโยชน์และเป็นประโยชน์ต่อจิตวิญญาณและการช่วยให้รอด ผู้คนไม่เพียงแต่ไม่เข้มแข็งพอที่จะทำอะไรด้วยตัวเอง แต่พวกเขายังไม่เข้าใจว่าอะไรเป็นประโยชน์ต่อบุคคลเสมอไป แม้ว่าบางครั้งเราจะจินตนาการว่าตนเองกระตือรือร้นและสงสารเพื่อนบ้าน แต่บ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจผู้อื่นหรือตัวเราเอง แต่ถูกดึงดูดเข้าสู่สิ่งนี้ด้วยความหยิ่งยะโสและความเย่อหยิ่งอันละเอียดอ่อนเท่านั้น ให้ผู้ป่วยรายนี้ถูกบังคับให้สารภาพกับผู้สารภาพคนใหม่ของคุณถึงสิ่งที่เธอประกาศกับคุณ แล้วเราจะดูว่าจะต้องมาหาเราหรือไม่ หากคุณต้องการมีความเห็นอกเห็นใจอย่างแท้จริงต่อคนเหล่านี้ คุณสามารถแนะนำให้พวกเขาสารภาพบาปอย่างจริงใจต่อพระบิดาฝ่ายวิญญาณของพวกเขา และอย่าละอายใจที่จะปิดบังสิ่งใด ๆ เนื่องจากบุคคลนั้นถูกลงโทษไม่เพียง แต่สำหรับบาปเท่านั้น แต่ยังถูกลงโทษมากขึ้นสำหรับการมีส่วนร่วมที่ไม่คู่ควรกับ ความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ แต่เพราะความกระตือรือร้นของคุณ จึงไม่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับคุณที่จะฟังบาปเช่นนั้นเพื่อเห็นแก่การทดลองที่กล่าวมาข้างต้น”

“ในจดหมายฉบับสุดท้ายของคุณ คุณเขียนว่าคุณได้บังคับผู้หญิงคนหนึ่งที่ถูกผีเข้าสิงไปยังโบราณวัตถุซึ่งอยู่ในอนุภาคในโบสถ์ของคุณ และปีศาจนั้นผ่านปากของผู้หญิงคนนี้ ขู่ว่าจะนำความโศกเศร้าและความรำคาญมาสู่คุณในเรื่องนี้ แล้วหลังจากนั้นคุณก็สงสัยว่าทำไมแม่อธิการและพี่สาวถึงปฏิบัติกับคุณไม่ดี แน่นอนเนื่องจากการล่อลวงของศัตรู เพราะฉะนั้นจงโกรธศัตรูให้มากที่สุดเท่าที่จะพอใจ ไม่ใช่กับพี่สาวและแม่อาวาสที่ถูกศัตรูล่อลวง ลุยเลย ถ้าไม่อยากทนทุกข์ ก็อย่าไปช่วยคนที่ถูกผีเข้าสิง แต่พยายามอยู่ในวัดในฐานะผู้แสวงบุญ ใส่ใจตัวเอง เงียบๆ และไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆ ”

ปีศาจ

“คุณกำลังขอคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีกำจัดความคิด เสน่ห์ และการหลอกลวงของปีศาจที่บุกรุกเข้ามา แท้จริงแล้ว สงครามของปีศาจนั้นยิ่งใหญ่มาก เขามีธนูที่แข็งแกร่ง ธนูเพลิง ตาข่ายต่างๆ กลอุบายและอาวุธจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งเขาพยายามทุกวิถีทางที่เป็นไปได้เพื่อทำร้ายจิตวิญญาณมนุษย์ แต่คุณต้องการเข้าร่วมกองทัพของปีศาจอย่างสมบูรณ์และรวดเร็ว ราชาแห่งสวรรค์อย่ากลัวศัตรูที่ต่อต้านทุกสิ่งที่ดี ...แต่เมื่อเราเดินตามวิถีแห่งคุณธรรม พระเจ้าก็จะทรงติดตามเราด้วย ทรงสัญญาว่าจะยืนยันเราในการกระทำแห่งคุณธรรมตราบจนวาระสุดท้าย: และแท้จริงเราอยู่กับท่านเสมอแม้จวบจนสิ้นยุค...(มัทธิว 28:20) ดังนั้น โดยไม่ต้องกลัวการโจมตีของศัตรูเลย “จงสวมโล่แห่งศรัทธา ซึ่งคุณจะสามารถดับลูกธนูเพลิงของมารร้ายได้ทั้งหมด และสวมหมวกแห่งความรอดและดาบแห่งพระวิญญาณซึ่ง คือพระวจนะของพระเจ้า”

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):“ศัตรูฝ่ายวิญญาณไม่เคยให้การพักผ่อนแก่ใครเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาพบด้านที่อ่อนแอในตัวเรา และขัดขวางเราด้วยความปรารถนาที่ไม่สามารถบรรลุผลได้ ซึ่งด้วยความพากเพียรของเขา บางครั้งบุคคลนั้นก็อยู่เหนือความพึงพอใจแห่งสวรรค์

จงกล้าหาญและปล่อยให้หัวใจของคุณเข้มแข็ง(สดุดี 26, 14). ท่ามกลางการล่อลวงที่น่ารำคาญและบางครั้งก็น่ากลัวของศัตรู จงปลอบใจตัวเองด้วยถ้อยคำของอัครสาวก: พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ปล่อยให้คุณถูกล่อลวงเกินกว่าที่คุณจะทำได้ แต่ด้วยการล่อลวง พระองค์จะทรงสร้างความอุดมสมบูรณ์(1 โครินธ์ 10:13) และกล่าวคำนี้บ่อยๆ เพื่อเสริมกำลังตนเอง ดูถูกข้อเสนอแนะที่ไร้สาระแต่ชั่วร้ายของศัตรูที่คุกคามคุณด้วยการทำลายล้าง การคุกคามของเขาแสดงให้คุณเห็นว่าเขาไม่สามารถทำอะไรคุณได้ และได้รับการคุ้มครองจากความเมตตาของพระเจ้า ถ้าเขาทำอะไรได้เขาจะไม่ขู่ ทูตสวรรค์แห่งการกลับใจบอกนักบุญเฮอร์มาสว่าศัตรูคือมารไม่มีอำนาจโดยสิ้นเชิงและไม่สามารถทำอะไรกับบุคคลได้เว้นแต่เขาจะยินยอมทำบาปบางอย่างโดยสมัครใจก่อน ดังนั้นเมื่อศัตรูรบกวนคุณด้วยความคิดที่เย็นชาและน่ารังเกียจ จงวิ่งไปหาพระเจ้าและอธิษฐานตามคำสดุดี: พระเจ้า! บัดนี้บรรดาผู้ที่ขับไล่ข้าพเจ้าออกไปได้เลี่ยงข้าพเจ้าแล้ว(สดุดี 16, 11). ความสุขของฉัน! โปรดช่วยฉันให้พ้นจากผู้ที่เลี่ยงฉันด้วย(สดุดี 31, 7).

ความกลัว

“ทุกสิ่งต้องทำด้วยความเคารพ พระภิกษุต้องมีทั้งเสียงที่เงียบและก้าวที่สงบเสงี่ยม เราต้องไม่เพียงแต่ทำ แต่ยังพูดด้วยความยำเกรงพระเจ้า คิดให้รอบคอบทุกคำก่อนที่จะพูด “จำไว้ว่า” นักบุญธีโอฟานกล่าว “ว่าเมื่อคุณพูด คุณให้กำเนิดคำพูด และมันจะไม่มีวันตาย แต่จะมีชีวิตอยู่จนถึงการพิพากษาครั้งสุดท้าย มันจะยืนต่อหน้าคุณและจะอยู่เพื่อคุณหรือต่อต้านคุณ ด้วยคำพูดของคุณ คุณจะเป็นคนชอบธรรม และด้วยคำพูดของคุณ คุณจะถูกประณาม(มัทธิว 12:37)”

“หนังสือศักดิ์สิทธิ์และวัตถุศักดิ์สิทธิ์ต้องได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ ก่อนอื่นคุณต้องมีความยำเกรงพระเจ้า พระองค์ทรงสอนให้แสดงความเคารพ เขาสอนดีทุกอย่าง การปฏิบัติต่อศาลเจ้าอย่างไม่ระมัดระวังและไม่เคารพนั้นเป็นผลจากนิสัย และมันก็ไม่ควรเป็นเช่นนั้น”

“ทำทุกงาน ไม่ว่างานนั้นจะดูไม่สำคัญแค่ไหนก็ตาม อย่างระมัดระวังเหมือนต่อหน้าพระเจ้า จำไว้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเห็นทุกสิ่ง”

ขอบคุณพระเจ้า

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):“คุณต้องขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ทรงส่งทุกสิ่งมาให้คุณ นี่คือเหตุผลสามประการ - เพื่อทำให้เกิดความรู้สึก จิตสำนึก และความกตัญญู

...เราเศร้าและหลงลืม และจากความสิ้นหวังและการลืมเลือน เรามักจะหยุดขอบคุณพระเจ้าสำหรับประโยชน์อันใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา ชั่วคราวและเป็นนิรันดร์ การขอบพระคุณของผู้ที่ได้รับตามคำกล่าวของนักบุญอิสอัคชาวซีเรีย เป็นการให้กำลังใจผู้ให้ ผู้ทรงประทานพรสวรรค์มากกว่าครั้งแรก. ความกตัญญูกตเวทีในคริสเตียนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เมื่อรวมกับความรักแล้ว ความกตัญญูจะติดตามเขาไปในชีวิตหน้า...

ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า จงจัดการจัดการตัวเองในลักษณะที่สามารถรักษาความสำเร็จภายในได้ ซึ่งตามคำของอัครสาวกประกอบด้วยสี่ส่วน: จงอดทนกับทุกคน จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ อธิษฐานอย่างไม่หยุดยั้ง และขอบพระคุณในทุกสิ่ง นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้า(1 ธส. 5, 14, 16-18). เราต้องเริ่มต้นด้วยสิ่งหลัง นั่นคือ การขอบพระคุณสำหรับทุกสิ่ง จุดเริ่มต้นของความสุขคือการพอใจกับสถานการณ์ของตัวเอง”

นักบุญแอนโธนีแห่ง Optina (1795-1865):“...หัวใจและริมฝีปากที่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับทุกสิ่งดึงดูดความโปรดปรานจากพระองค์ แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมให้ผู้ที่บ่นพึมพำเว้นแต่พระองค์จะลงโทษพวกเขา และเมื่อสื่อสารกัน พยายามให้กำลังใจกัน และอย่าทำให้อีกฝ่ายเสียใจกับคำตัดสินบ้าๆ บอๆ ของคุณ…”

: “...เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าในทุกสิ่ง ผู้ทรงกำหนดให้เราทำงานแห่งความอดทนโดยชอบธรรม ซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับเรามากกว่าการปลอบใจซึ่งยกระดับจิตวิญญาณ”

“การที่คุณเข้าไปในอารามถือเป็นพรและขอบคุณพระเจ้าเสมอสำหรับสิ่งนี้ แน่นอนว่ามารจะไม่หยุดทำให้คุณสับสนว่าอยู่ในโลกนี้ดีกว่า แต่เราต้องฟังพระเจ้า ทูตสวรรค์ ไม่ใช่มาร».

คำถาม:“ถ้าพวกเขาขอบคุณฉันและแสดงความรัก ฉันก็รู้สึกผิด จิตวิญญาณของฉันก็หนักอึ้ง”

คำตอบ:“ มอบทุกสิ่งให้กับความช่วยเหลือจากพระเจ้า... พูดว่า: “พระเจ้าทรงช่วย ไม่ใช่ฉัน เราต้องขอบพระคุณพระองค์”

พร

รายได้ Anatoly Optinsky (Zertsalov) (1824-1894):“ฉันเห็นด้วยกับความรอบคอบของคุณที่จะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับผู้อื่นโดยไม่ได้รับพร หากคุณทำเช่นนี้ คุณจะช่วยตัวเองได้ง่ายขึ้นและช่วยตัวเอง”

นักบุญลีโอแห่ง Optina (1768-1841):“(คุณต้อง) จัดการ; บางครั้งความดีอาจดูเหมือนปรากฏ แต่ความชั่วที่ทำโดยไม่ได้รับพรสามารถนำไปสู่อันตรายและความสับสนทางจิตวิญญาณได้…”

รางวัลของพระเจ้า

นักบุญแอนโธนีแห่ง Optina (1795-1865):“ พระเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสติปัญญาอันล้ำลึกของพระองค์ซึ่งเราไม่รู้จักนั้นไม่ได้ตอบสนองคำขอของเราในทันทีและเลื่อนออกไปจนกว่าจะถึงเวลา แต่ไม่ทิ้งความดีใด ๆ ที่กระทำในพระนามของพระองค์โดยไม่มีรางวัล หากเขาไม่ให้รางวัลแก่บิดาและมารดาของเขา เขาก็จะให้รางวัลแก่ลูก ๆ และลูก ๆ ของเขาอย่างไม่เห็นแก่ตัว เพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นชอบธรรม และไม่มีความอธรรมในพระองค์”

สงครามอันสุรุ่ยสุร่าย

รายได้ Anatoly Optinsky (Zertsalov) (1824-1894):“...บางคนมีชีวิตเหมือนแมว สุนัข นกกระจอก และสัตว์อื่นๆ มีความมืดอยู่ในหัวและหัวใจ และเหมือนคนบ้า ไม่คิด ไม่รู้ และไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าอยู่ที่นั่น เป็นนิรันดร์ มีความตายทั้งทางกายและทางวิญญาณ! คนแบบนี้อยู่และตายเหมือนวัวควาย - และแย่กว่านั้นอีก”

ความมั่งคั่ง

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):«… มันไม่เกี่ยวกับความมั่งคั่ง แต่เกี่ยวกับตัวเราเอง ไม่ว่าคุณจะให้ใครมากแค่ไหน คุณก็จะไม่ทำให้เขาพอใจ».

“คุณคิดผิดที่คิดว่าปัจจัยทางวัตถุจะทำให้คุณอุ่นใจได้ ไม่ ความคิดนี้เป็นเท็จ มีคนใจร้ายในสายตาคุณ แต่พวกเขากังวลมากกว่าคุณ พยายามถ่อมตนให้ดีขึ้นแล้วคุณจะพบสันติสุขดังที่พระเจ้าพระองค์เองทรงสัญญาไว้ผ่านพระคำในข่าวประเสริฐ ถ้าผู้ใดส่งอะไรไปให้ท่านก็จงรับไว้เหมือนมาจากพระหัตถ์ของพระเจ้า และอย่าละอายใจกับความยากจน ความยากจนไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่เป็นหนทางหลักสู่ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความรอด พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ทรงยอมสละชีวิตอย่างยากจนบนแผ่นดินโลก จำสิ่งนี้ไว้และอย่าละอายใจ... ใจเย็น ๆ และขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า”

“เปล่าประโยชน์เลยที่เจ้าคิดว่าทรัพย์สมบัติหรือความอุดมสมบูรณ์หรืออย่างน้อยก็เพียงพอจะมีประโยชน์และทำให้สงบแก่เจ้า คนรวยมีความกังวลใจมากกว่าคนจนและขาดแคลน ความยากจนและความขาดแคลนนั้นเข้าใกล้ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความรอดมากขึ้น เว้นเสียแต่ว่าบุคคลนั้นจะใจไม่สู้ แต่ให้ศรัทธาและวางใจในความจัดเตรียมอันดีเลิศของพระเจ้า บัดนี้พระเจ้าทรงบำรุงเลี้ยงเราและสามารถทำเช่นนี้ได้ในอนาคต…”

«… ความพอใจและความอุดมสมบูรณ์ทำให้ผู้คนเสีย. อ้วนตามสุภาษิตทำให้สัตว์บ้าคลั่ง”

“คุณสามารถรอดได้ทั้งในด้านความมั่งคั่งและความยากจน ความยากจนจะไม่ช่วยคุณ คุณสามารถมีเงินเป็นล้านได้ แต่มีใจกับพระเจ้าและรับความรอด ตัวอย่างเช่น, ฟิลาเรตผู้ทรงเมตตามีทรัพย์สมบัติมหาศาล แต่ด้วยทรัพย์สมบัตินี้ พระองค์จึงทรงได้รับอาณาจักรสวรรค์เป็นของตนเอง ช่วยเหลือคนยากจนและด้อยโอกาส อับราฮัมก็ร่ำรวยมากเช่นกัน ความมั่งคั่งของเขาในเวลานั้นประกอบด้วยฝูงสัตว์มากมาย แต่สิ่งนี้ไม่ได้ขัดขวางเขาจากการรอด คุณสามารถติดเงินและตายด้วยความยากจนได้ ตัวอย่างเช่น ขอทานคนหนึ่งยืนอยู่บนระเบียง อดทนต่อความหนาวเย็นและความหิวโหย เพียงเพื่อจะประหยัดเงินได้เพียงเล็กน้อย เขาเก็บเงินได้สี่สิบถึงห้าสิบรูเบิลและเสียชีวิต และวิญญาณของเขาก็ตกนรกเพราะมันไม่ได้ผูกติดอยู่กับพระเจ้า แต่ติดอยู่กับรูเบิลเหล่านี้”

เทววิทยา

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):“พระเจ้าตรีเอกภาพเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและไม่อาจเข้าใจได้สำหรับสิ่งทรงสร้าง แม้แต่กับทูตสวรรค์ แม้แต่กับมนุษย์ก็เช่นกัน เรารู้บางส่วนจากการเปิดเผย ครั้งแรกผ่านศาสดาพยากรณ์ผู้พูดโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และจากนั้นผ่านพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้าผู้กลายเป็นมนุษย์ ดังที่ยอห์นนักศาสนศาสตร์ผู้เผยแพร่ศาสนาผู้ศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า ไม่เห็นพระเจ้าที่ไหนเลย พระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดอยู่ในอกของพระบิดา คำสารภาพนั้น(ยอห์น 1:18) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าองค์เดียวดำรงอยู่ในสามพระบุคคล เราก็เห็นความคล้ายคลึงเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งนี้ในแสงสามดวง อีกประการหนึ่งคือดวงอาทิตย์และแสงที่เกิดจากดวงอาทิตย์ และอีกประการหนึ่งคือรังสีที่เล็ดลอดออกมาจากดวงอาทิตย์ ทั้งหมดนี้เป็นเพียงสิ่งเดียวและแยกจากกันไม่ได้ และในเวลาเดียวกันก็มีสามเท่า

ความคล้ายคลึงประการที่สองมีให้เห็นในจิตวิญญาณของมนุษย์ อีกอย่างคือจิตใจในมนุษย์และอีกอย่างคือคำพูดภายในที่เกิดจากจิตใจซึ่งถ่ายทอดไปยังอีกคนหนึ่งและในเวลาเดียวกันก็ยังคงอยู่ในตัวเรา และอีกประการหนึ่งคือวิญญาณที่ทำให้มนุษย์เคลื่อนไหวและชี้นำความลับของเขา ตามที่กล่าวไว้: ไม่มีใครรู้ว่าอะไรอยู่ในตัวมนุษย์ เว้นแต่จิตวิญญาณของมนุษย์ที่อยู่ในตัวเขา เพราะไม่มีใครรู้พระวจนะของพระเจ้า เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้า(อ้างอิง: 1 คร. 2, 11) ทั้งหมดนี้ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์ที่มีเหตุมีผลและในเวลาเดียวกันก็มีสามเท่า

เกี่ยวกับพระเจ้าองค์เดียวและ Triune สิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะผู้คนสามารถสรุปได้เท่านั้น ทุกสิ่งที่มองเห็นนั้นมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น วัตถุทุกอย่างมาจากสิ่งที่ไม่มีตัวตน ทุกสิ่งที่มีจุดเริ่มต้นมาจากความไม่มีจุดเริ่มต้น ทุกสิ่งที่มีจุดสิ้นสุดมาจากอนันต์ ทุกสิ่งชั่วคราวมาจากนิรันดร์ ทุกสิ่งที่มีขีดจำกัดจากความไร้ขอบเขต ทุกสิ่งที่วัดได้นั้นมาจากสิ่งที่วัดไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้าใจได้นั้นมาจากสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้...

…คริสตจักรสากลที่แท้จริงแห่งเดียว ก่อตั้งโดยพระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ของเรา และได้รับการไถ่โดยพระโลหิตอันล้ำค่าที่สุดของพระองค์ ดังที่อัครสาวกกล่าวไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้: พระเจ้าองค์เดียว หนึ่งศรัทธา(อฟ.4, 5) นั่นคือเช่นเดียวกับที่มีพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ศรัทธาที่แท้จริงก็มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลกนี้ ศาสนาอื่นๆ ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าอย่างไร ก็ล้วนมีการผสมผสานแนวคิดของมนุษย์จอมปลอมเข้าด้วยกัน ศีลระลึกซึ่งประกอบกันอย่างเห็นได้ชัดบนโลกในคริสตจักรของพระคริสต์ ซึ่งคริสเตียนผู้เคร่งศาสนาได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า มีลักษณะเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์ที่มองไม่เห็น”

บริการอันศักดิ์สิทธิ์

นักบุญแอนโธนีแห่ง Optina (1795-1865):“...หากไม่มีคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ที่มองเห็นได้ ก็ไม่อาจมีความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ได้ หากปราศจากคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์นี้ บุคคลก็ไม่สามารถสืบทอดชีวิตนิรันดร์เป็นมรดกได้ หนังสือสวดมนต์ของคริสตจักรมีพลังและความสำคัญที่ทำให้คริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกัน พระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตาเกินกว่าแบบฝึกหัดทางจิตวิญญาณของเซลล์ทั้งหมด และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเหล่าบรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์จึงจินตนาการว่าพวกเขากำลังยืนอยู่บนสวรรค์ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า!”

นักบุญบารซานูฟีอุสแห่ง Optina (1845-1913):“อย่าลืมไปโบสถ์ และพยายามเป็นคนแรกที่มาถึงก่อนโบสถ์เริ่มเสมอ Matins เป็นหนึ่งในสถาบันสงฆ์ที่ยากที่สุด แต่ก็มีพลังอันยิ่งใหญ่ Matins ตามคำกล่าวของบรรพบุรุษโบราณ มีความสำคัญมากกว่าพิธีมิสซา ในพิธีมิสซา พระเยซูคริสต์ทรงเสียสละพระองค์เองเพื่อเรา และที่วัดมาตินส์ เราก็ถวายตนเองเพื่อพระองค์ การบังคับนี้ การต่อสู้กับเนื้อหนังนี้ เป็นสิ่งสำคัญ”

“การมาตินในอารามมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับเรา ชีวิตสงฆ์ทั้งหมดขึ้นอยู่กับมัน แต่ก็ทำให้เกิดความยากลำบากเช่นกัน และสำหรับพวกเราที่คุ้นเคยกับการตื่นสายในโลกนี้เป็นหนึ่งในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตสงฆ์ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องให้ความกรุณานี้ตั้งแต่แรก มีหลายกรณีที่หลายคนทิ้งสิ่งนี้ไว้และหายตัวไป เราต้องจัดการเรื่องนี้ทันทีตั้งแต่ต้น ดังนั้นสำหรับคำอธิษฐานของผู้เฒ่าก็ไม่ได้ให้อะไรฉันเลย…”

สาธุคุณแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891)

คำถาม:“มันยากสำหรับฉันที่จะลุกขึ้นมาเพื่อมาติน ฉันควรทำอย่างไรดี?

คำตอบ: “ความหนักใจเกิดจากการขาดความกระตือรือร้นและความเกรงกลัวพระเจ้า - หากไม่เดินจะละอายใจและเป็นบาป หากคุณไม่ไปร่วมพิธีที่โบสถ์เนื่องมาจากอาการป่วย คุณต้องบอกฉันเกี่ยวกับเรื่องนี้”

« การใช้เวลาอยู่ในความเกียจคร้านเป็นบาป. การพลาดการไปโบสถ์และกฎเกณฑ์ในการทำงานถือเป็นบาป มิฉะนั้น ดูเถิด พระเจ้าจะไม่ทรงลงโทษคุณในเรื่องนี้”

“คุณต้องไปโบสถ์แน่นอน ไม่อย่างนั้นคุณจะป่วย” พระเจ้าทรงลงโทษเราด้วยความเจ็บป่วยเพราะสิ่งนี้ และเมื่อคุณเดินคุณจะมีสุขภาพแข็งแรงและมีสติ”

“กฐิสมะบางครั้งจะยืนขึ้นและยืนขึ้นอย่างมีเกียรติอย่างแน่นอน”

“ขณะอ่านอัครสาวก คุณสามารถนั่งที่บ้านได้หากมีคนอื่นอ่านอยู่ และคุณสามารถนั่งในโบสถ์ได้เมื่อคุณไม่สามารถยืนได้”

“ให้ลูกประคำเพื่อไม่ให้ลืมสวดมนต์ ในระหว่างพิธี เราควรฟังสิ่งที่อ่านอยู่ และอ่าน (ลูกประคำพร้อมคำอธิษฐาน): “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงเมตตา” และเมื่อไม่มีใครได้ยิน (บทอ่าน) จากนั้น: “ข้าแต่องค์พระเยซูคริสต์ พระบุตรของ พระเจ้า ขอทรงเมตตาฉันคนบาปด้วย”

“นั่นคือสาเหตุว่าทำไมคุณถึงหลับในโบสถ์และไม่ได้ยินเสียงพิธี เพราะความคิดของคุณวนเวียนไปมา”

สงคราม (สงครามฝ่ายวิญญาณกับวิญญาณชั่วร้ายที่มองไม่เห็น)

« ชีวิตของเราคือสงครามฝ่ายวิญญาณกับวิญญาณแห่งความชั่วร้ายที่มองไม่เห็น. พวกเขาทำให้เราโกรธด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าของเราและ ส่งเสริมการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าเมื่อเราเจาะลึกดูให้ดีก็จะพบว่า สำหรับทุกตัณหามีทางรักษา - พระบัญญัติที่อยู่ตรงข้ามกับมันดังนั้นศัตรูของเราจึงพยายามป้องกันไม่ให้เราได้รับยาช่วยชีวิตนี้... ในจดหมายของคุณคุณกล่าวถึงช่วงเวลาแห่งการต่อสู้ที่ยากลำบากกับผู้เกลียดชังความรอดของเรา อย่างแน่นอน, มันเป็นเรื่องยากหากปราศจากความช่วยเหลือจากพระเจ้า และเมื่อเราพึ่งพาสติปัญญาและกำลังของเราเอง หรือหลงระเริงไปกับความประมาทเลินเล่อแต่แม้แต่น้ำตกทุกชนิดก็ยังได้รับความยกย่อง นักบุญยอห์น ไคลมาคัส เขียนว่า: “ ที่ใดมีการล่มสลาย ความภาคภูมิใจก็มาข้างหน้า" ดังนั้นเราจึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่ง ความอ่อนน้อมถ่อมตนเพราะว่าเราทะเลาะกันด้วย ภูมิใจปีศาจ และความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นชัยชนะที่ง่ายดายสำหรับพวกเขา... เราจะได้สมบัตินี้มาได้อย่างไร - ความอ่อนน้อมถ่อมตน? จำเป็นต้องเรียนรู้จากงานเขียนของบรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับคุณธรรมนี้และ จงดูหมิ่นตนเองในทุกเรื่อง และมองเพื่อนบ้านว่าดีกว่าตนเอง อย่าตำหนิพวกเขาหรือประณามพวกเขาด้วยสิ่งใดๆและยอมรับคำตำหนิจากพวกเขาเหมือนที่พระเจ้าส่งมาเพื่อรักษาความเจ็บป่วยทางจิตของเรา”

“เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตแบบไหนก็ตาม สงครามฝ่ายวิญญาณก็อยู่ต่อหน้าเราเสมอจากวิญญาณแห่งความชั่วร้าย คอยรบกวนกิเลสตัณหาของเรา และบีบบังคับเราให้ทำบาป ซึ่งเป็นวิธีทดสอบความประสงค์และความรักของเราต่อพระเจ้า – ใน การต่อสู้ของเรา และถ้าเราไม่มีการต่อสู้ดิ้นรนนี้ เราจะไม่เรียนรู้ศิลปะ และเราจะไม่ตระหนักถึงความอ่อนแอของเรา และเราจะไม่ได้รับความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่มันยิ่งใหญ่มากที่สามารถช่วยเราได้โดยไม่ต้องทำงาน ดังที่นักบุญไอแซคเขียนไว้ใน พระวจนะที่ 46”

“คริสเตียนที่ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้าจะต้องถูกทดสอบด้วยการล่อลวงต่างๆ: 1) เพราะศัตรูที่อิจฉาความรอดของเรา พยายามด้วยอุบายทุกประเภทเพื่อขัดขวางเราไม่ให้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า และ 2) เพราะคุณธรรมไม่สามารถ จงมั่นคงและแน่วแน่เมื่อจะไม่ถูกทดสอบด้วยอุปสรรคที่ขวางหน้าและจะไม่สั่นคลอน เหตุใดชีวิตเราจึงมีสงครามฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ?

“อย่าพึ่งพาความสงบสุขของคุณ เพราะจะต้องดิ้นรนในความรู้ถึงจุดอ่อนของคุณและการมองเห็นความปรารถนาของคุณ อย่างไรก็ตาม อย่ากลัวสิ่งนี้ พระเจ้าทรงส่งมาอย่างสุดความสามารถของเรา เท่าที่เราจะอดทนได้ เพื่อที่เราจะได้เรียนรู้การทำสงครามและเข้าสู่ความถ่อมใจ และสันติสุขที่แท้จริงเกิดจากความอ่อนน้อมถ่อมตนที่แท้จริง ซึ่งคุณยังห่างไกลจากสิ่งนั้น”

“ในสงครามแห่งความรู้สึก มีคนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บและเจ็บป่วย ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดในสงครามฝ่ายวิญญาณนี้ บาดแผลมากมายที่วิญญาณแห่งความชั่วร้ายยอมรับได้ และ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราพึ่งพาความเข้มแข็งและสติปัญญาของเรา เราจะถูกเอาชนะจนกว่าเราจะถ่อมตัวลง โดยตระหนักถึงความอ่อนแอของเรา».

“ในการสู้รบ จงต่อต้านด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ดังที่พระบิดาเขียนและแสดงแก่เรา และ ถ้าเกิดกินหญ้าก็จงลุกขึ้นมาใหม่; และรู้ว่า คุณจะถูกล่อลวงโดยพวกเขาเพราะความภาคภูมิใจของคุณวิ่งไปสู่การตำหนิตนเองและความอ่อนน้อมถ่อมตน และไม่ใช่จากห้องขังของคุณ พระ Dondezhe จะไม่ถูกลบล้างด้วยการล่อลวงและความเศร้าโศกต่างๆ เขาไม่สามารถรับรู้ถึงความอ่อนแอของเขาและถ่อมตัวลง”

«… เหตุผลหลักสำหรับการละเมิดอย่างรุนแรงต่อคุณคือความยากจนจากความอ่อนน้อมถ่อมตนของคุณและเมื่อมันยากจนลง ความเย่อหยิ่งก็เข้ามาแทนที่อย่างชัดเจน และที่ใดที่มีการล่มสลาย แม้กระทั่งจิตใจ ความเย่อหยิ่งก็นำหน้ามัน และอย่างที่คุณเห็น อย่าพยายามต่อต้านมันและอย่าโค่นล้มมัน ดังนั้น มันโค่นล้มคุณ หากต้องการกำจัดมันให้พิจารณาตัวเองเป็นคนสุดท้ายและเลวร้ายที่สุดราวกับว่าคุณกำลังเอาชนะตัณหาคุณเองจะได้เห็นผลของกิจกรรมนี้และในทางกลับกันคุณ คุณคิดว่าตัวเองดีกว่าคนอื่น แต่คุณตำหนิและประณามพวกเขา ใครให้พลังนี้แก่คุณ?ด้วยเหตุนี้ ศัตรูจึงกบฏต่อคุณอย่างรุนแรง และทำให้คุณสับสนกับความฝันที่ง่วงนอน (สุรุ่ยสุร่าย) จงถ่อมตัวลงแล้วคุณจะได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า».

“มันเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ต่อสู้ แต่มันขึ้นอยู่กับเราว่าจะชนะหรือเอาชนะ”เมื่อมีแรงกระตุ้นรุนแรง จะต้องงดอาหาร การมองเห็น การได้ยิน การพูด การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และในขณะเดียวกันก็มีจิตใจที่สำนึกผิดและถ่อมตัว หากไม่มีสิ่งหลังนี้ สิ่งแรกช่วยได้เพียงเล็กน้อย เมื่อคุณพ่ายแพ้ จงรู้ว่าคุณกำลังถูกลงโทษสำหรับความเย่อหยิ่งและการตัดสินผู้อื่น. จงถ่อมตัวลงแล้วพระเจ้าจะทรงช่วยท่าน!”

“พยายามมีความอ่อนน้อมถ่อมตนในทุกกรณี... และเมื่อคุณเห็นการละเมิดใดๆ เอาชนะคุณได้ จงรู้ว่าสิ่งนี้นำหน้าด้วยความภาคภูมิใจ และใช้การตำหนิตนเองจากใจจริงและคำพูด: ขอโทษ».

“น. บอกฉันที เมื่อเขาถ่อมตัวลงแล้วการทะเลาะวิวาทก็จะสงบลง นอนน้อยลง กินน้อยลง ระวังการพูดไร้สาระ การประณาม และไม่ชอบแต่งกายด้วยเสื้อผ้าดีๆ ระวังตาและหูของคุณ วิธีการทั้งหมดนี้มีการป้องกัน อย่าปล่อยให้ความคิดเข้ามาในใจ แต่เมื่อความคิดเริ่มเกิดขึ้น จงลุกขึ้นไปขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า”

ผู้อาวุโสลีโอแห่ง Optina (1768-1841):“...มันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำโดยไม่ดิ้นรนซึ่งบางครั้งเราก็ชนะและบางครั้งก็พ่ายแพ้ สิ่งใดไม่อยู่ในใจก็ปล่อยมันไปตามที่มันไปหากคุณต้องการที่จะรักษาหรือยืนหยัดด้วยตัวเอง คุณสามารถทำร้ายตัวเองและเพิ่มความเจ็บป่วยให้กับความเจ็บป่วยเท่านั้น”

สงครามด้วยความหลงใหล

มาคาริอุสแห่ง Optina (ค.ศ. 1788-1860): « งานแห่งความรอดไม่ใช่แค่การไปโบสถ์และนั่งที่สะดึงเท่านั้นแต่คุณต้องระวังหัวใจและทำลายกิเลสตัณหา: ความจองหอง การรักตนเอง ความไร้สาระ ความโกรธ ความเดือดดาล ความอาฆาตพยาบาท ความตะกละ ตัณหาของเนื้อหนังและอื่นๆ; นั่นคือสิ่งที่มันเป็น สงครามฝ่ายวิญญาณของเราคือการต่อต้านกิเลสตัณหาทำลายพวกเขาด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า

...มุ่งมั่นกับกิเลสตัณหา การต่อสู้ที่หอบหายใจ น่ากลัว และดุร้ายกับพวกเขาและศัตรูที่มองไม่เห็น ความอ่อนน้อมถ่อมตนเอาชนะพวกเขา

คุณเขียนว่าคุณตกลงกับความคิดที่ว่าคุณจะต้องทำสงครามกับความปรารถนาของตัวเองไปตลอดชีวิต ใช่ นี่เป็นสิ่งจำเป็น และบรรพบุรุษผู้ศักดิ์สิทธิ์ จนกว่าพวกเขาจะบรรลุความหายนะและสันติสุขอันสมบูรณ์ ทุกคนก็ต้องดิ้นรนนี้ โดยสิ่งนี้เราตระหนักถึงความอ่อนแอและการประทานที่ไม่ดีของเรา และต้องถ่อมตนโดยไม่สมัครใจ

ยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้าและเฝ้าดูความปรารถนาของคุณ ในตัวท่านและข้าพเจ้ามีมากมาย แต่เราไม่เห็น แต่จะทรงปรากฏแก่เราเป็นบางครั้งบางคราว ขอให้พวกมันถูกกลืนหายไปจากใจเราตลอดไปด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าและความขยันหมั่นเพียรและความช่วยเหลือของผู้แบกภาระของเรา”

รายได้ Anatoly Optinsky (Zertsalov) (1824-1894):"ให้กำลังใจ. แม้ว่าคุณกำลังดิ้นรนกับความสนใจ - แม้ว่าในขณะที่คุณเขียนถึงวัยที่ก้าวหน้าของคุณแล้วเนื่องจากคุณอายุมากกว่า 20 ปีแล้ว - แต่ก็ยังไม่เสียหัวใจ ความหลงใหลบางครั้งทะเลาะกันเมื่ออายุ 30 ปี 40 ปี 50 ปี 60 ปีและ 70 ปี

น่าเสียดายที่คุณอาศัยอยู่ในโลกนี้มาหลายปีแล้วและไม่ได้กำจัดความหลงใหลของคุณ! อย่างไรก็ตาม ถึงตอนนั้น: ตอนนี้คุณจะทำอย่างไรในวัย 25 ปีอันน่านับถือ? อะไรจะทำให้คุณถ่อมตัวได้? และตอนนี้ เมื่อเจาะลึกความหลงใหลกองขี้เหม็นนี้แล้ว คุณจะไม่เลิกคิ้วสูงเลย และคุณต้องฉลาดเป็นพิเศษเพื่อที่จะภูมิใจ

หากคุณต้องการกำจัดความคิดโดยสิ้นเชิง - นี่แย่กว่าความโง่เขลา!นักบุญไม่กล้าพูดแบบนี้! คุณเขียนความหลงใหลที่ต่อสู้กับคุณ แต่ฉันมีมากกว่านั้นสองเท่า สามครั้ง สิบเท่า และฉันก็อดทนกับทุกสิ่ง ฉันแนะนำให้คุณทำเช่นเดียวกัน!

…บังเอิญว่าพระเจ้าประทานความเมตตาแก่ผู้ถ่อมตนเป็นพิเศษตั้งแต่เนิ่นๆไม่เช่นนั้นเขาจะตายในการต่อสู้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาตายแล้ว และมีคนกล่าวว่า: คนเช่นนี้จะถูกนับไว้ในหมู่ผู้พลีชีพ คุณต้องการที่จะรู้ว่าความหลงใหลจะจากไปในปีใด? เคยกล่าวไว้เมื่อนานมาแล้วว่า: คุณไม่เข้าใจวันเวลาและปีที่พระเจ้ากำหนดไว้ในอำนาจของพระองค์(กิจการ 1:7)

อย่ากังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของคุณ ชื่อของพระเยซูทำให้ศัตรูของจิตวิญญาณของเรากังวลซึ่งตั้งรกรากอยู่ในใจของเรา - ดังนั้นเขาจึงยุ่งและคุณทำสิ่งที่ได้รับคำสั่งจากคุณ จำไว้ว่าพระเยซูที่คุณเรียกนั้นแข็งแกร่งกว่าศัตรู อย่าลืมหาหนังสือ “Seven Words” ของ Mark the Ascetic และอ่านอย่างต่อเนื่อง แค่นั่งบนตัวเธอ

...คุณกำลังทำสงครามกับกิเลสตัณหาของคุณหรือไม่? สู้ สู้ คุณจะเป็นนักรบที่ดีของพระคริสต์! อย่าโกรธเคืองและอย่าถูกพาไปโดยความอ่อนแอของเนื้อหนัง และในกรณีที่คืบคลาน รีบไปหาหมอ ร้องกับคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ แม่ของเรา: "พระเจ้า โปรดจับคู่ฉันกับขโมย หญิงโสเภณี และคนเก็บภาษี (แน่นอน คนกลับใจ) แล้วช่วยฉันด้วย"

คุณเสียใจมากที่ความปรารถนาของคุณครอบงำคุณ และคุณไม่สามารถต้านทานมันได้ เราควรไว้ทุกข์สิ่งนี้ แต่ก็ควรรู้สิ่งนี้ด้วย ตัณหาจะถูกกำจัดออกไปทีละน้อย และคุณต้องทำงานกับตัวเองเป็นเวลานานสำหรับตอนนี้ขอให้อดทนและคืนดีกัน

อย่าอายที่จะต่อสู้กับศัตรู ยิ่งใหญ่ โอ้ รางวัลของผู้ต่อสู้จะยิ่งใหญ่ขนาดไหนแสงสว่างอันเป็นนิรันดร์ เบิกบาน มีชีวิต เป็นแสงสว่างแห่งชีวิต เปี่ยมสุข พ้นทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ พระเจ้าตรัสกับคนที่รักของพระองค์: คุณจะมีความเศร้าโศกในโลกนี้ แต่ความโศกเศร้าของคุณจะกลายเป็นความสุข และจะไม่มีใครแย่งความสุขไปจากคุณ(พุธ: ยอห์น 16, 20, 22, 33) ซึ่งหมายความว่ามันจะเป็นนิรันดร์ ความทุกข์โศกก็จะสลายไปเหมือนควันเหมือนฝุ่น”

รักแบบพี่น้อง

นักบุญโมเสสแห่ง Optina (1782-1862): “ขอพระเจ้าประทานจิตใจและกำลังที่จะแบกภาระของกันและกัน และด้วยเหตุนี้จึงถือปฏิบัติตามกฎของพระคริสต์ ความรัก และสันติสุข ขอให้ความผิดพลาด ความผิด และบาปของพี่น้องเป็นของฉัน

...ต้องแบกรับความทุพพลภาพฝ่ายวิญญาณ (ของพี่ชาย) ด้วยความอิ่มเอิบใจไม่โศกเศร้า เพราะว่าถ้าใครป่วยทางร่างกาย เราไม่เพียงแต่ไม่เสียใจกับเขาเท่านั้น แต่ยังรับใช้เขาทุกวิถีทางด้วย เมื่อต้องรับมือกับความเจ็บป่วยทางจิต เราก็จะต้องปฏิบัติอย่างเดียวกันด้วย

ประสบการณ์แสดงให้ฉันเห็นกฎนี้: หากใครบางคนจำเป็นต้องถูกตำหนิหรือตำหนิ คุณต้องอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจเพื่อเขาก่อน บางครั้งคุณคิดว่าพี่ชายคนนั้นจะไม่ยอมรับคำติเตียน แต่ถ้าคุณอธิษฐานให้เขาก่อนแล้วคุณจะเห็นว่าเขาจะฟังคำพูดอย่างใจเย็นอย่างเหนือความคาดหมายและการแก้ไขจะเกิดขึ้น”

ชีวิตในอนาคต

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):“คุณเขียนว่าตอนนี้ทั้งจากสภาวะเจ็บปวดและจากอารมณ์จิตวิญญาณของคุณ คุณมักจะร้องไห้และที่สำคัญที่สุดคืออธิษฐานต่อพระเจ้าว่าในชีวิตอนาคตของคุณ คุณจะไม่ขาดสายตาของพระคริสต์ และถามว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่น่าภาคภูมิใจหรือ? เลขที่ มีเพียงคุณเท่านั้นที่ไม่เข้าใจแนวคิดนี้แบบนั้นเพราะว่า คนทั้งปวงที่ได้รับพระเมตตาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะได้เห็นพระคริสต์; และอาณาจักรแห่งสวรรค์ก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากความชื่นชมยินดีในพระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอดจากสายพระเนตรของพระองค์ ในทางตรงกันข้าม คนเหล่านั้นที่ถูกปัพพาชนียกรรมจากพระคริสต์จะถูกลิดรอนจากอาณาจักรแห่งสวรรค์และถูกส่งไปทรมาน

และนักบุญคริสซอสตอมก็กล่าวเช่นนั้น การพลัดพรากจากพระคริสต์นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าเกเฮนนาและเจ็บปวดยิ่งกว่าความทุกข์ทรมานใดๆ. พระ Theognostus ในบทสุดท้ายกล่าวว่า: “ถ้าใครไม่หวังว่าจะได้อยู่ในที่ซึ่งพระตรีเอกภาพอยู่ ก็ให้เขาพยายามอย่าขาดการมองเห็นพระคริสต์ผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์”และนักบุญไคลมาคัสในระดับที่ 29 ในบทที่ 14 เขียนไว้อย่างนั้น บรรดาผู้บรรลุความปรินิพพานก็จะอยู่ในที่ซึ่งตรีเอกานุภาพอยู่. โดยเฉลี่ยแล้วผู้ที่อยู่ในปัจจุบันจะมีที่อยู่ที่แตกต่างกัน และบรรดาผู้ที่ได้รับการอภัยบาปจะได้รับเกียรติให้อยู่ในรั้วสวรรค์ และอย่างหลังก็ไม่ควรถูกตัดขาดจากสายตาของพระคริสต์”

รายได้ Anatoly Optinsky (Zertsalov) (1824-1894):“คุณยอมรับว่าคุณมีความผิดในการบ่นและพยายามฆ่าตัวตาย - นี่ไม่ใช่เรื่องของคริสเตียน มันเป็นเรื่องที่แย่มาก ซึ่งหมายความว่าคุณไม่มีทางรู้เลยว่าจะมีอะไรรอเราอยู่ในชีวิตในอนาคต ความโศกเศร้าของคุณผ่านไปแล้ว แต่ทั้งความโศกเศร้าและความสุขที่นั่นจะไม่หายไป และทุกอย่างจะเริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำพุแห่งชีวิตและความสุข หรือความน่าสะพรึงกลัวและความทรมานของมนุษย์».

ศรัทธา

มาคาริอุสแห่ง Optina (ค.ศ. 1788-1860):« ศรัทธามีพลังที่จะทำให้คุณมีสันติสุขอับราฮัมยังโอ้อวดเรื่องศรัทธาของเขาด้วย: เนื่องจากมีคำสัญญามากมายเกี่ยวกับเชื้อสายของเขา พระเจ้าทรงบัญชาให้ถวายอิสอัคแด่พระองค์ - จิตใจของพ่อเป็นอย่างไรและมีลูกชายเพียงคนเดียว! แต่ศรัทธาเอาชนะความรักที่มีต่อลูกชายด้วยการยอมต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และทุกคนรู้ดีว่าจุดจบจะเป็นอย่างไร ขอพระเจ้าทรงยอมให้เราพบสันติสุขในศรัทธาและยอมต่อพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”

รายได้ Anatoly Optinsky (Zertsalov) (1824-1894):“ถ้าใครบอกคุณว่า:” ศรัทธาของคุณและของเรามาจากพระเจ้า" แล้วคุณล่ะลูก ตอบแบบนี้ "คด! หรือคุณถือว่าพระเจ้ามีสองความเชื่อ! คุณไม่ได้ยินสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวว่า: พระเจ้าองค์เดียว หนึ่งศรัทธา หนึ่งบัพติศมา(อฟ.4,5)”

การทำนาย

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):“ฉันไม่แนะนำให้คุณไปหาหมอดูล่วงหน้า เพื่อที่จะไม่ต้องถูกปลงอาบัติและการคว่ำบาตรเป็นเวลาหกปีจากการเข้าร่วมในความลึกลับอันศักดิ์สิทธิ์ ดังที่ระบุไว้ในกฎของผู้ถือหางเสือเรือ ในชีวิตของนักบุญไม่มีที่ไหนเลยที่จะเห็นว่าพวกเขาใช้โชคลาภกับสิ่งใด ๆ และคาดเดาการโจรกรรมและการลอบวางเพลิงต่างๆ จากชีวิตของพระนิกิตะเป็นที่ชัดเจนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นจากการล่อลวงของกองกำลังฝ่ายตรงข้ามด้วยการคำนวณที่เป็นอันตรายในตัวมันเอง”

“คุณไม่ควรมองหาคำตอบสำหรับความสับสนผ่านบันทึกและรูปภาพอื่นๆ คุณควรละทิ้งมันไป - นี่เป็นความเชื่อโชคลางและคล้ายกับการทำนาย ซึ่งคริสตจักรของเราห้ามและคว่ำบาตรเป็นเวลาเจ็ดปี”

การสะกดจิต

นักบุญบารซานูฟีอุสแห่ง Optina (1845-1913):“คุณพ่อยังพูดถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของการสะกดจิตด้วย อย่างแท้จริง นี่เป็นพลังที่แย่มาก โดยปกติแล้วพลังนี้ถูกใช้โดยพ่อมด พ่อมด และคนชั่วร้ายอื่นๆ เพื่อทำความชั่ว. เช่น สั่งคนให้ฆ่าตัวตาย แล้วเขาก็ฆ่า เกือบจะสิ่งเดียวที่บังคับต่อต้านมันได้ก็คือคำอธิษฐานของพระเยซู”

ความโกรธ

มาคาริอุสแห่ง Optina (ค.ศ. 1788-1860):“รู้และ. บ่อเกิดของความโกรธและโทสะ: มันคือความจองหอง; จงขจัดมันออกไปโดยตรงกันข้ามกับความถ่อมใจ ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้ทรงทอดพระเนตรผู้ถ่อมตน”

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):“ ไม่มีใครควรพิสูจน์ความหงุดหงิดของตนเองด้วยการเจ็บป่วยบางอย่าง สิ่งนี้มาจากความภาคภูมิใจ ก ความโกรธของสามีตามคำกล่าวของอัครสาวกยากอบผู้ศักดิ์สิทธิ์ว่า ไม่ได้สนองความชอบธรรมของพระเจ้า(ยากอบ 1:20) เพื่อไม่ให้หลงระเริงไปกับความฉุนเฉียวและโกรธเราไม่ควรเร่งรีบ

ความหงุดหงิดไม่สามารถทำให้เชื่องได้ด้วยการอดอาหาร, แต่ด้วยความถ่อมใจและการดูหมิ่นตนเองและจิตสำนึกว่าเราสมควรได้รับสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เช่นนี้

...สภาวะจิตใจหงุดหงิดประการแรกมาจากความเย่อหยิ่งซึ่งไม่ได้เป็นไปตามความปรารถนาและทัศนะของเรา และประการที่สอง และมาจากความไม่เชื่อ ราวกับว่าการทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าในสถานที่นี้จะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ แก่ท่าน ”

เคารพ Hilarion แห่ง Optina (1805-1873):“หากคุณรู้สึกว่าความโกรธครอบงำคุณ จงเงียบไว้และอย่าพูดอะไรจนกว่าจิตใจของคุณจะสงบลงด้วยการอธิษฐานและการตำหนิตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง”

รายได้ Anatoly Optinsky (Zertsalov) (1824-1894):“ คุณบ่นว่าตัณหากำลังต่อสู้กับคุณ: บ่นและโกรธ! เราจะทำอย่างไรกับคุณดี?..เราจะหนีจากตัวเองได้ที่ไหน? จงอดทน...แล้วพระเจ้าจะทรงช่วย แต่จงรู้ไว้ว่ากิเลสตัณหาเหล่านี้ ซึ่งก็คือการบ่นและโกรธนั้นเป็นปีศาจล้วนๆ นักบุญไอแซคชาวซีเรียกล่าวว่าเมื่อบุคคลทำบาป พระเจ้าทรงเมตตาผู้ที่กลับใจ แต่เขาจะไม่ให้อภัยผู้ที่บ่นพึมพำเว้นแต่เขาจะลงโทษเขา เพราะฉะนั้นจงถ่อมตัวลงด้วยสุดกำลังของเจ้า และถ้าคุณทำบาปเนื่องจากความอ่อนแอของมนุษย์ จงมองดูตัวเองอย่างรวดเร็วและทูลขอการอภัยจากพระเจ้า และถ้าคนอื่นเข้มงวดกับคุณก็อย่าเขินอาย ความเข้มงวดช่วยคนได้มาก แต่ความปล่อยตัวได้ทำลายคนมากมาย และคริสออสตอมบอกว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้รับการช่วยให้รอดจะรอดพ้นจากความกลัวเกเฮนนา”

รายได้โจเซฟแห่ง Optina (1837-1911):“ คุณเขินอายและความโกรธก็เดือดพล่านในจิตวิญญาณของคุณต่อทุกคน สิ่งนี้มาจากความเย่อหยิ่งและความไร้สาระ พยายามพิจารณาตัวเองต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเลวร้ายและบาปมากกว่าใครๆ ในโลกเสมอ และอธิษฐานในเวลานี้: ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาพวกเราคนบาปด้วยหมายถึงทั้งตัวคุณเองและคนที่คุณโกรธด้วย”

พระบัญญัติของพระเจ้า

มาคาริอุสแห่ง Optina (ค.ศ. 1788-1860):“หลังจากบัพติศมา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าโดยรักษาพระคุณที่มอบให้ไว้ในนั้นและเมื่อคุณก้าวหน้าไป มันก็จะทวีคูณขึ้น การล่วงละเมิดพระบัญญัติ โดยผ่านการกลับใจเราจึงฟื้นฟูและรับพระบัญญัติอีกครั้ง

...ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระคริสต์ ทุกคนมีหน้าที่ คริสเตียนออร์โธดอกซ์และเราไม่สามารถพิสูจน์ตัวเราในทางใดทางหนึ่งต่อพระพักตร์พระเจ้าหากล้มเหลวในการตอบสนองสิ่งเหล่านั้น ยกเว้นโดยผ่านบุญคุณที่กำหนดไว้ล่วงหน้าของพระองค์ และจิตสำนึกที่แท้จริง และการกลับใจต่ออาชญากรรมของเรา

…เมื่อปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า เราต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน และหากพลังแห่งพระบัญญัติในตัวเราถดถอย ความอ่อนน้อมถ่อมตนก็จะเข้ามาวิงวอนแทนเรา และเมื่อเราปฏิบัติคุณธรรมและต้องการให้แน่ใจว่าเราได้รับความรอดแล้ว และดูเหมือนจะเห็นความรอดของเราอยู่ในมือของเรา เราก็คิดผิดมาก เราต้องทำคุณธรรม แต่ไม่เห็น แต่ถือว่าการแก้ไขของตนเป็นของพระเจ้าและความช่วยเหลือของพระองค์ และถ่อมตัวอย่างแท้จริงและไม่เท็จ คำสั่งของพระเจ้า: แม้ว่าคุณจะทำทุกอย่างที่ได้รับคำสั่งให้คุณพูดในฐานะที่เราเป็นผู้รับใช้ที่ไม่สมควรเพราะสิ่งที่เราควรทำเราก็ได้ทำไปแล้ว(พุธ: ลูกา 17:10) พวกฟาริสีเห็นการกระทำดีของตนและขอบพระคุณพระเจ้า แต่เขาก็ไม่ชอบธรรมเหมือนคนเก็บภาษีผู้ถ่อมตัวซึ่งรับรู้ถึงความบาปของเขาและขอให้พระเจ้าเมตตาเขา

…ความรักของพระเจ้าประกอบด้วยการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าและไม่ใช่ในแบบที่คุณคิด - ด้วยความชื่นชมในจิตใจนี่ไม่ใช่การวัดของคุณเลย ดีกว่าเห็นความอ่อนแอของตัวเอง ถ่อมตัวและคิดว่าตัวเองแย่ที่สุด และอย่าพึ่งตัวเองเลย...

ทุกที่ที่เราจำเป็นต้องปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ และผลฝ่ายวิญญาณก็บังเกิดผลจากสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดกลั้น ความศรัทธา ความสุภาพอ่อนโยน การละเว้น และอื่นๆ เพราะการปฏิบัติตามพระบัญญัตินั้นเป็นความรักของพระเจ้า ตามถ้อยคำอันไม่ซื่อสัตย์ของพระองค์ว่า รักฉันและรักษาบัญญัติของฉัน(พุธ: ยอห์น 14, 21) พระบัญญัติของพระองค์ประกอบด้วยความรักต่อพระองค์และเพื่อนบ้าน และถ้าเราคิดที่จะเติมเต็มความรักต่อพระองค์ด้วยการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และการอธิษฐานเท่านั้น และไม่สนใจอีกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้านของเรา เราก็จะไม่เติมเต็มสิ่งนั้นเช่นกัน เพราะพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างใกล้ชิด สิ่งหนึ่งไม่สามารถบรรลุผลได้หากไม่มีสิ่งอื่น ตามคำกล่าวของอัครสาวกเปียโนอันนาผู้ศักดิ์สิทธิ์: ถ้าผู้ใดว่าฉันรักพระเจ้าแต่เกลียดชังพี่น้องของตน นั่นเป็นเรื่องโกหก...(1 ยอห์น 4:20) และองค์พระผู้เป็นเจ้าเองตรัสอีกครั้งว่า: ไม่ใช่ทุกคนที่จะพูดกับฉันว่า: ข้าแต่พระเจ้าจะเข้าสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ แต่จงทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์(มัทธิว 7:21)

คุณถามว่าจะทำทุกอย่างที่ขัดต่อเจตจำนงของคุณและได้อย่างไร จะรู้และเห็นน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างไร? น้ำพระทัยของพระเจ้าปรากฏอยู่ในพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งเราต้องพยายามทำให้สำเร็จเมื่อต้องติดต่อกับเพื่อนบ้านของเรา และในกรณีที่ไม่ปฏิบัติตามและเป็นอาชญากรรม ให้นำการกลับใจ เจตจำนงของเราเสียหาย และเราต้องการแรงผลักดันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า และเราต้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์

ทุกคนได้รับเหตุผล เจตจำนงเสรี และกฎหมายเพื่อทดสอบพวกเขา การปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าในทุกระดับจะนำความรอดมาสู่บุคคล แต่ถ้าเราพบในชื่อเดียวที่เป็นอุปสรรคต่อการรักษาความบริสุทธิ์หรือศีลธรรม และโดยทั่วไปในการปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้า ก็ไม่ใช่สิ่งต้องห้ามเลยที่จะแสวงหาการหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่ทำร้ายเรา

พระเจ้าประทานพระบัญญัติของพระองค์แก่เราและทรงบัญชาให้เราปฏิบัติตามพระบัญญัตินั้น เมื่อเราดำเนินชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ เราจะได้รับความดีงามของพระเจ้าทั้งที่นี่และในชีวิตหน้า และถ้าเรากลายเป็นผู้ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า เมื่อนั้นเราไม่เพียงแต่จะถูกลงโทษที่นี่ แต่ถ้าเรากลับใจ เราจะยัง ไม่รอดพ้นการลงโทษในศตวรรษหน้า”

นักบุญบารซานูฟีอุสแห่ง Optina (1845-1913):“ดาร์วินนักปรัชญาชาวอังกฤษได้สร้างระบบทั้งหมดตามที่ชีวิตคือการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ การต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ ที่ซึ่งผู้พ่ายแพ้จะต้องถึงวาระถึงความตาย และชัยชนะของผู้ชนะ นี่เป็นจุดเริ่มต้นของปรัชญาสัตว์แล้ว และผู้ที่เชื่อในปรัชญานี้ไม่คิดซ้ำสองเกี่ยวกับการฆ่าคน ดูถูกผู้หญิง ปล้นเพื่อนสนิทที่สุด - และทั้งหมดนี้ก็สงบลงอย่างสมบูรณ์ โดยตระหนักรู้ถึงสิทธิของพวกเขาในการกระทำทั้งหมดนี้ อาชญากรรม และจุดเริ่มต้นของทั้งหมดนี้เป็นอีกครั้งในความคิดที่ผู้คนเชื่อ ในความคิดที่ว่าไม่มีสิ่งใดถูกห้าม พระบัญญัติของพระเจ้าไม่จำเป็น และกฤษฎีกาของคริสตจักรก็มีข้อจำกัด คุณไม่สามารถเชื่อถือความคิดเหล่านี้ได้ เราต้องยอมตามข้อเรียกร้องของศาสนจักรด้วยความนอบน้อมสักครั้ง ไม่ว่าข้อเรียกร้องเหล่านั้นจะถูกจำกัดแค่ไหนก็ตาม ใช่แล้ว พวกมันไม่ได้ยากขนาดนั้น! คริสตจักรต้องการอะไร? อธิษฐานเมื่อจำเป็น รวดเร็ว - ต้องทำสิ่งนี้ พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับพระบัญญัติของพระองค์ว่าไม่เป็นภาระ พระบัญญัติเหล่านี้คืออะไร? อนุโมทนาบุญด้วย...(มัทธิว 5:7) - เราคงจะทำสิ่งนี้สำเร็จ: ใจของเราจะอ่อนลงและเราจะแสดงความเมตตาและช่วยเหลือคนยากจน อานิสงส์ของความอ่อนโยน...(มัทธิว 5:5) - ที่นี่มีกำแพงสูง - ความฉุนเฉียวของเราซึ่งทำให้เราไม่มีความอ่อนโยน ท่านเป็นสุขเมื่อมีคนดูหมิ่นท่าน...(มัทธิว 5:11) - ที่นี่ในความไร้สาระและความภาคภูมิใจของเรามีอุปสรรคที่แทบจะผ่านไม่ได้ในการบรรลุตามพระบัญญัตินี้ - เราแสดงความเมตตาบางทีเราอาจรับมือกับความหงุดหงิดของเราได้ แต่ต้องทนต่อการถูกตำหนิเพื่อชดใช้ ด้วยความดี - นี่เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเรา และนี่คืออุปสรรคที่แยกเราจากพระเจ้า และเราไม่แม้แต่จะพยายามก้าวข้ามไป แต่เราต้องก้าวข้ามไป จะหาจุดแข็งสำหรับสิ่งนี้ได้ที่ไหน? ในการอธิษฐาน”

รายได้ Anatoly Optinsky (Zertsalov) (1824-1894):“และพระเจ้าจะทรงรักคุณ เพราะพระองค์เองตรัสว่า: หากผู้ใดรักษาบัญญัติของเรา เราจะรักเขาและจะมาหาเขาเอง(พุธ: ยอห์น 14, 21) ฉันและพระบิดาจะมาหาเขาและอาศัยอยู่กับเขา(พุธ: ยอห์น 14, 23) ซึ่งหมายความว่าพวกเขาจะอยู่ในใจของคุณ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการสำหรับคุณ... และฉันปรารถนามากกว่าสิ่งอื่นใดในโลก”

พระนิคอนแห่ง Optina (พ.ศ. 2431-2474): “กฎของพระเจ้าอยู่ในใจของเขา และย่างก้าวของเขาจะไม่สะดุด(สดุดี 36, 31). จะแน่ใจได้อย่างไรว่ากฎของพระเจ้าอยู่ในหัวใจ? ประการแรก จะต้องจดจำกฎหมายของพระเจ้า และเพื่อที่จะจำได้ คุณต้องรู้มัน ไม่ว่าจะผ่านสิ่งที่คุณได้ยินหรือผ่านสิ่งที่คุณอ่าน และเพื่อที่จะรู้ คุณต้องมีความปรารถนา ความปรารถนาที่จะรู้กฎของพระเจ้า แต่การรู้และจดจำกฎของพระเจ้าเท่านั้นยังไม่พอ ความรู้ทางจิตที่เย็นชาเกี่ยวกับกฎหมายของพระเจ้านั้นไม่มีชีวิตชีวา การยอมรับกฎหมายของพระเจ้าด้วยใจเท่านั้นที่จะทำให้เขามีชีวิตทุกคนมีใจที่ทุจริต ดังนั้นเราต้องบังคับตัวเองให้ยอมรับกฎหมาย อาณาจักรของพระเจ้าถูกบังคับ และมีเพียงผู้หญิงขัดสนเท่านั้นที่ทำให้เธอพอใจ(มัทธิว 11, 12) เราจะต้องพยายามเพื่อให้ทั้งชีวิตของเราทั้งหมดและ ไม่กำหนดวันและเวลาที่แน่นอนถูกสร้างขึ้นตามกฎหมายของพระเจ้า. เราต้องจัดกิจกรรมทั้งหมดของเราเพื่อให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวเท่านั้นที่ใจของเราจะบริสุทธิ์และเท่านั้น ผู้มีใจบริสุทธิ์จะเห็นพระเจ้า(มัทธิว 5, 8)

ผู้มีจิตใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นของเขา(มัทธิว 5, 3) จะต้องเข้าใจอย่างนี้: ผู้มีใจถ่อมตนย่อมเป็นสุข ผู้ที่ตระหนักรู้ถึงความบาปของตน ความไม่คู่ควรของตน ประการที่สองต่อจากพระบัญญัติข้อแรก: ผู้ที่ร้องไห้ก็เป็นสุข(มัทธิว 5, 4) ผู้ที่รู้ตัวว่าเป็นคนบาปที่ไม่คู่ควรก็ร้องหาบาปของตน แต่ผู้ที่ตระหนักถึงความไม่คู่ควรของตนและร้องไห้เพราะบาปของตนจะไม่โกรธอีกต่อไป เขาจะอ่อนโยนตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงตรัสว่า จงเรียนรู้จากฉัน เพราะฉันอ่อนโยนและมีใจถ่อม(มัทธิว 11:29) บรรดาผู้ที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติข้อที่สามเกี่ยวกับอิสรภาพจากความโกรธและความอ่อนโยนจะปรารถนาให้บรรลุความชอบธรรมของพระเจ้าด้วยสุดจิตวิญญาณ และด้วยเหตุนี้จึงจะปฏิบัติตามพระบัญญัติที่สี่: ผู้ที่หิวโหยและกระหายความจริงย่อมเป็นสุข(มัทธิว 5, 6) โดยการปฏิบัติตามพระบัญญัติทั้งหมด ใจของบุคคลจะบริสุทธิ์ เปี่ยมล้นด้วยดวงใจอันบริสุทธิ์(มัทธิว 5, 8) การปฏิบัติตามพระบัญญัติทำให้จิตวิญญาณเปี่ยมด้วยความรักต่อพระเจ้า การทนทุกข์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่มีความเจ็บปวดใด สาธุการแด่เจ้าเมื่อพวกเขาดูหมิ่นเจ้า ข่มเหงเจ้า และพูดจาดูหมิ่นเจ้าเพื่อเห็นแก่เรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จของท่านในสวรรค์ยิ่งใหญ่ ดังนั้นพวกเขาจึงข่มเหงผู้เผยพระวจนะที่อยู่ก่อนหน้าท่าน(พุธ: มัทธิว 5, 11-12)

งานช่วยให้รอดฝ่ายวิญญาณประกอบด้วยการดูดซึมคำสอนพระกิตติคุณอันศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่จิตใจและหัวใจ น่าเสียดายที่ผู้คนบ่อยครั้ง (ทั้งพระภิกษุและฆราวาสที่คิดว่าตนเองเป็นคริสเตียน) ที่รักการอ่านพระวรสารศักดิ์สิทธิ์ ไปโบสถ์และโดยทั่วไปเป็นสมาชิกของคริสตจักรออร์โธดอกซ์ศักดิ์สิทธิ์หรือคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น - ไม่ต้องการหรือไม่พยายามในทุกเรื่องและ สถานการณ์ของชีวิตประยุกต์ใช้พระบัญญัติพระกิตติคุณกับตนเอง โดยรู้จักพระบัญญัติประหนึ่งว่าพระบัญญัตินั้นประทานให้ทุกคนยกเว้นพวกเขา ตัวอย่างเช่น เป็นที่ทราบกันดีว่าพระกิตติคุณกำหนดให้เราต้องให้อภัยความผิดของกันและกัน แต่เราไม่ต้องการให้อภัย เราพบว่าเป็นการยุติธรรมที่จะตอบแทนผู้ที่ทำให้เราโศกเศร้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และด้วยเหตุนี้เราจึงละทิ้งคำสอนของพระคริสต์ หากไม่ใช่ด้วยคำพูด เราก็ละทิ้งด้วยใจของเรา

บ้าอะไร! สาธุคุณมาระโกนักพรตเขียนว่า: “พระเจ้าทรงซ่อนอยู่ในพระบัญญัติของพระองค์และพบโดยผู้ที่แสวงหาพระองค์เมื่อพวกเขาปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์”คำเหล่านี้มีความหมายลึกซึ้ง เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์ในชีวิตส่วนตัวเท่านั้นที่สามารถพบพระเจ้าได้แต่ถ้าความประสงค์ของใครบางคน “เพื่อให้เป็นไปตามทางของฉัน” มีค่ามากกว่าคำสอนของพระคริสต์ ฉันก็จะนิ่งเงียบ... ทุกคนจะได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่าน

เราไม่เพียงต้องรู้จักพระกิตติคุณเท่านั้น แต่ยังต้องดำเนินชีวิตตามนั้นด้วย ไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะเป็นคริสเตียนไม่ได้ หรือจะเป็นพระภิกษุด้วย จำเป็นที่บุคคลจะต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นการส่วนตัวตามความคิดของพระกิตติคุณอันศักดิ์สิทธิ์และคริสตจักรศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์ - ทั้งในการกระทำภายนอกและในจิตวิญญาณ มีเพียงความสำเร็จส่วนตัวในการชำระจิตใจจากกิเลสตัณหาตามพระบัญญัติของพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถชี้แจงปัญหานี้ได้

กฎของพระเจ้าอยู่ในใจของเขา และย่างก้าวของเขาจะไม่สะดุด(สดุดี 36, 31). กล่าวคือ เมื่อบุคคลหนึ่งนำธรรมบัญญัติของพระเจ้า พระบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าไว้ในใจ และรักสิ่งเหล่านั้น เขาจะเกลียดบาป จะเร่าร้อนด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตในองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะยับยั้งตนเองจาก บาปทั้งหมด

บาปที่ปกคลุมไปด้วยความดี คืบคลานและสร้างความเสียหายให้กับจิตวิญญาณของผู้ที่ไม่เชื่อใจในข่าวประเสริฐ ความดีของพระกิตติคุณเรียกร้องการเสียสละตนเอง “การละทิ้งความตั้งใจและเหตุผลของตน”

มาคาริอุสแห่ง Optina (ค.ศ. 1788-1860):“ด้วยความบริสุทธิ์ของความคิดของเรา เราสามารถมองทุกคนว่าศักดิ์สิทธิ์และดี เมื่อเรามองว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ดี มันมาจากสมัยการประทานของเรา

เมื่อคุณมองไปที่ K. คุณจะจินตนาการถึงความหลงใหลของผู้อื่นได้อย่างชัดเจน แต่ใครจะสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวภายในใจของพวกเขาได้? หลายสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการกระทำบาปสำหรับเรา ด้วยเจตนาดี พระเจ้าทรงยอมรับว่าเป็นการกระทำที่ดี ในขณะที่สิ่งอื่นๆ ซึ่งปรากฏตามภาพแห่งคุณธรรม กลับถูกปฏิเสธโดยพระเจ้าด้วยเจตนาชั่ว...

เมื่อได้รับความช่วยเหลือหรือแก้ไขสิ่งที่ดีแล้ว จงระวังความคิดที่ชมเชยและประณามผู้อื่น นี้เป็นเครือข่ายของศัตรูด้วย ดึงดูดความเย่อหยิ่ง และกำจัดผลแห่งคุณธรรมทั้งหมด

ฉันแนะนำให้คุณอย่าสงสัยใครในทางไม่ดี ทั้งหมด พระเจ้าของเขาทรงยืนหรือล้มลง(โรม 14:4) และไม่มีใครจะถูกลงโทษหรือตอบแทนสำหรับการกระทำของผู้อื่น: แต่ละคนจะต้องแบกภาระของตน(สาว 6, 5). พ่อผู้ศักดิ์สิทธิ์สอนว่าอย่าเชื่อแม้แต่สายตาของคุณเอง เพราะว่าใครก็ตามที่ยังคงหลงใหลในกิเลสตัณหาและไม่หลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น ศัตรูที่ผ่านทางสิ่งเหล่านั้นแสดงถึงสิ่งที่เขาพอใจ เชื่อแต่ความคิดที่เป็นพยานถึงความดีของเพื่อนบ้านเท่านั้น...

จงระวังความละอายและการกล่าวโทษ คุณจะไม่ให้คำตอบสำหรับความล้มเหลวและการกระทำผิดของเพื่อนบ้าน แต่คุณต้องให้คำตอบสำหรับตัวคุณเอง และยิ่งกว่านั้นสำหรับการประณาม ใครบ้างที่ไม่มีตัณหาและความอ่อนแอทางจิตวิญญาณ และใครบ้างที่ไม่ถูกเอาชนะ? คนหนึ่งมีอีกคน อีกคนมีอีกคน มากกว่า อีกคนน้อยกว่า และเรามักจะเห็นผงในสายตาเพื่อนบ้านของเรา แต่ไม่เห็นท่อนไม้ในตัวเราเอง

ตามคำสั่งของคริสตจักรและพินัยกรรมของอัครทูต คุณต้องเคารพนักบวช ในฐานะผู้ดูแลแท่นบูชาและศีลศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เพราะหากไม่มีพวกมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรอด และตามกำลังของคุณ จงให้พวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตามความต้องการของพวกเขา ผู้ปรนนิบัติแท่นบูชาก็แบ่งปันกับแท่นบูชา(1 โครินธ์ 9, 13); แต่ในระหว่างการสารภาพ คุณสามารถให้หรือฝากความกตัญญูไว้ได้ ไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะตัดสินพวกเขาจากความผิดพลาดของพวกเขา แกะไม่ได้ตัดสินคนเลี้ยงแกะไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็ตาม การพิพากษาปุโรหิตคือการพิพากษาตัวพระคริสต์เอง ระวังสิ่งนี้ให้มากที่สุด!

…โดยเฉพาะ อย่ากล่าวโทษผู้อื่น เพราะสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวเป็นการวิงวอนเพื่อเราทุกคนในการกล่าวโทษต่อพระพักตร์พระเจ้า

...ฉันเจอคำพูด (ของคุณ) ทุกวัน: “ฉันพูดไร้สาระและประณาม” เรารู้ว่ามันยากแค่ไหน โดยเฉพาะการประณาม แต่คุณยังคงไม่ละทิ้งทักษะของคุณ และถ้าเราตอบพระเจ้าเกี่ยวกับคำพูดไร้สาระทุกคำ แล้วเรากำลังพูดถึงการลงโทษอย่างไร?

... สำหรับการดูหมิ่นเพื่อนบ้านของเรา พระเจ้าทอดทิ้งเราและตกอยู่ในความชั่วร้ายแบบเดียวกันหรือโหดร้ายกว่านั้น เพื่อที่เราจะได้ตระหนักถึงความอ่อนแอของเราและถ่อมตัวลง”

นักบุญแอมโบรสแห่ง Optina (1812-1891):“ คุณต้องใส่ใจกับชีวิตภายในของคุณเพื่อที่จะไม่สังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ แล้วคุณจะไม่ตัดสิน

ไม่จำเป็นต้องตัดสินเพราะคุณไม่รู้จักจิตวิญญาณของคนอื่น มองตัวเองให้มากขึ้น และเมื่ออ่านหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ให้นำไปใช้กับตัวเองและแก้ไขตัวเอง ไม่ใช่ผู้อื่น ไม่งั้นจะรู้เยอะแต่อาจจะแย่กว่าคนอื่น...

การตัดสินที่ชอบธรรมควรใช้กับตัวเราเอง ไม่ใช่กับผู้อื่น และเราไม่ควรตัดสินตนเองจากการกระทำภายนอก แต่โดยสภาพหรือความรู้สึกภายในของเรา

ความหึงหวงของคุณอยู่เหนือเหตุผล ทิ้งคนอื่นไว้! บางครั้งดูเหมือนว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นเพียงผิวเผิน แต่จิตวิญญาณของทุกคนนั้นลึกล้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พระเจ้าทรงห้ามสองครั้งไม่เพียง แต่ประณาม แต่ยังตัดสินด้วย

และพวกเขา (พี่สาวน้องสาว) บางทีอาจมีสิ่งดีๆ ที่เป็นความลับซึ่งไถ่ข้อบกพร่องอื่น ๆ ในตัวพวกเขาซึ่งคุณมองไม่เห็น คุณมีความสามารถมากในการเสียสละ แต่พระเจ้าตรัสว่า: ฉันต้องการความเมตตา ไม่ใช่การเสียสละ(มัทธิว 9, 13) แต่คุณมีความเมตตาเพียงเล็กน้อย - นั่นคือเหตุผลที่คุณตัดสินทุกคนอย่างไร้ความเมตตา คุณมองเฉพาะด้านที่ไม่ดีของบุคคลและอย่ามองในแง่ดี แต่คุณมองเห็นความเสียสละของตนเองและยกย่องตนเองในสิ่งเหล่านั้น

ลำแสงในดวงตาคือความภาคภูมิใจ พวกฟาริสีมีคุณธรรมทุกอย่างแต่ก็ภูมิใจ แต่คนเก็บภาษีกลับมีความถ่อมตัวและดีกว่า

…ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอดทน และการไม่ตัดสินผู้อื่นเป็นสิ่งจำเป็นในทุกที่ โดยวิธีการทางจิตวิญญาณเหล่านี้เท่านั้นจึงจะสามารถได้รับการประทานจิตวิญญาณอย่างสันติ สมกับขอบเขตที่เราขยายตนเองไปสู่ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอดกลั้นใจ และการไม่ตัดสินผู้อื่น หากผู้ที่ยอมหรือหยิ่งยโสในสิทธิผู้พิพากษาพบข้อบกพร่องและความไม่ปกติในองค์พระผู้เป็นเจ้าเอง ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความจริงทั้งมวล โดยเรียกพระองค์ว่าเป็นคนประจบสอพลอ ชาวสะมาเรีย และที่แย่กว่านั้น (มธ. 27:63; ยอห์น 8:48) เมื่อนั้น พวกเขาจะไม่สรุปอะไรเกี่ยวกับคนธรรมดา...

…ขอสันติสุขจงมีแก่คนจำนวนมากที่รักธรรมบัญญัติของพระองค์ และไม่มีการทดลองใด ๆ สำหรับพวกเขา(สดุดี 118, 165) หากมีบางสิ่งหรือบางคนล่อลวงหรือทำให้เราสับสน นั่นแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเราไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎแห่งพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างถูกต้อง ซึ่งพระบัญญัติหลักไม่ใช่การตัดสินหรือประณามใครก็ตาม ทุกคนจะได้รับเกียรติหรือละอายใจจากการกระทำของตนในการพิพากษาครั้งสุดท้ายของพระเจ้า เราไม่ได้รับสิทธิ์ในการตัดสินผู้อื่น และบ่อยครั้งที่เราตัดสินอย่างผิดพลาดและไม่ถูกต้อง และแม้แต่ในพันธสัญญาเดิมก็ถูกกำหนดให้ใส่ใจกับตัวคุณเองและความรอดและการแก้ไขจิตวิญญาณของคุณเอง นี่คือสิ่งที่เราควรกังวลมากที่สุด

หากผู้เผยพระวจนะดาวิดสั่งคนบริสุทธิ์ว่า: จงเกรงกลัวพระเจ้า จงถวายเกียรติแด่พระองค์ทุกคน(สดุดี 33:10) แล้วมันจำเป็นและมีประโยชน์มากสักเท่าใดสำหรับคนบาปและบกพร่องที่จะต้องเกรงกลัวพระเจ้าอยู่เสมอ กลัวที่จะฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้า และเหนือสิ่งอื่นใดเกี่ยวกับการพิพากษาและการลงโทษซึ่งชีวิตของ คริสเตียนกลายเป็นคนหน้าซื่อใจคด ตามที่กล่าวไว้ในข่าวประเสริฐ: คนหน้าซื่อใจคด เอาท่อนไม้ออกจากข้างตัวคุณก่อน(มัทธิว 7, 5)…

... ระวังความสงสัยเหมือนไฟ เพราะศัตรูของเผ่าพันธุ์มนุษย์จับคนในตาข่ายของเขาโดยพยายามนำเสนอทุกสิ่งในรูปแบบที่ผิด - ขาวเป็นดำและดำเหมือนขาวเหมือนที่เขาทำกับอาดัมและเอวาบรรพบุรุษของเราในสวรรค์ .

...องค์พระผู้เป็นเจ้าเองตรัสในข่าวประเสริฐว่า: ถ้าจะยัดลงท้องก็รักษาพระบัญญัติ(มัทธิว 19, 17) และในพระบัญญัตินั้นมีสิ่งหนึ่งที่เราฝ่าฝืนได้ง่ายโดยลืมไปว่าการละเมิดนี้ทำให้ชีวิตของเรากลายเป็นความหน้าซื่อใจคด พระบัญญัตินี้ไม่ใช่ให้ตัดสินหรือประณามดังที่พระเจ้าตรัสเอง: คนหน้าซื่อใจคด เอาท่อนไม้ออกจากฝั่งคุณก่อน...(มัทธิว 7:5)

...บางคนมีสิ่งดีที่ซ่อนอยู่ซึ่งมีค่าต่อพระเจ้ามากกว่าชีวิตทั้งชีวิตของเรา มนุษย์มองเห็นได้แต่สิ่งที่มองเห็นได้ แต่พระเจ้าทรงมองเห็นส่วนลึกของใจ...

…สำหรับการประณามผู้อื่น บุคคลนั้นจะไม่หลีกเลี่ยงการประณามหากเขาไม่เอาใจใส่ที่จะกลับใจทันเวลา…»

อ้างอิงจากหนังสือ “Soulful Teachings of the Optina Elders” ในสองเล่ม เล่มที่ 1 Kramatorsk, “Circulation-51”, 2009

คำนำ

ประวัติของ Optina Pustyn

Optina Pustyn เป็นหนึ่งในอารามรัสเซียออร์โธดอกซ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด ซึ่งเป็นศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่สำคัญที่สุดของการเป็นผู้นำ อารามแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากเมือง Kozelsk ภูมิภาค Kaluga 2 กม. และผู้ศรัทธาหลายพันคนเดินทางเป็นระยะทางไกลเพื่อรับคำแนะนำอันชาญฉลาดจากผู้เฒ่า Optina

ตามตำนาน อารามแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 14-15 โดย Opta คนหนึ่ง - อดีตโจรที่กลับใจจากความโหดร้ายของเขา Opta ตัดสินใจชดใช้บาปของเขา บวชเป็นพระ และใช้ชื่อ Macarius เป็นพระ เมื่อเกษียณอายุแล้ว Opta (Makariy) ได้สร้างดินแดนรกร้างซึ่งตั้งชื่อตามเขา - Optina (Makaryeva) แต่นี่เป็นเพียงตำนาน และตอนนี้ เราแทบไม่อาจทราบได้ว่า Opta มีอยู่จริงหรือไม่ ไม่มีแหล่งลายลักษณ์อักษรที่ยืนยันการมีอยู่ของโจร Opta อย่างไรก็ตามตำนานเกี่ยวกับโจรที่กลับใจกลับกลายเป็นเรื่องเหนียวแน่นมากในหมู่ผู้คน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในอารามมีโบสถ์แห่งทางเข้าของพระแม่มารีย์และอารามที่มีหกห้องเมื่อต้นศตวรรษที่ 17 ในปี พ.ศ. 2364 ด้านหลังอารามมีการก่อตั้งอารามเซนต์จอห์นเดอะแบปทิสต์ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของชีวิตฝ่ายวิญญาณของอาราม ผู้เฒ่า Optina ไม่เพียงแต่เป็นที่ปรึกษาให้กับพระภิกษุเท่านั้น แต่ยังจัดการสนทนาทางศาสนาและศีลธรรมกับฆราวาสอย่างต่อเนื่อง นั่นคือเหตุผลที่ Optina Pustyn ได้รับชื่อเสียงในหมู่ผู้แสวงบุญที่ไปอารามแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อดูโบราณวัตถุและไอคอนที่น่าอัศจรรย์เท่านั้น แต่ยังได้รับคำปลอบใจหรือคำแนะนำอันชาญฉลาดจากบรรพบุรุษผู้น่านับถือเป็นหลัก

Optina Pustyn ถูกปิดหลังการปฏิวัติเดือนตุลาคมในปี 1918 ในปี พ.ศ. 2530 อารามได้ถูกส่งกลับคืนสู่คริสตจักร ปัจจุบันวัดแห่งนี้ได้กลายมาเป็นศูนย์แสวงบุญอีกครั้ง ขณะนี้มีคริสตจักรปฏิบัติการแปดแห่งใน Optina Pustyn โบสถ์หลักของอาราม - Vvedensky, Kazansky, Vladimirsky และ Preobrazhensky - เปิดให้บริการตลอดทั้งวันและผู้แสวงบุญสามารถสักการะไอคอนและพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของบรรพบุรุษที่เคารพนับถือได้เสมอ

* * *

Optina Pustyn ครั้งหนึ่งมีผู้มาเยี่ยมเยียนนับพันคน ในบรรดาผู้แสวงบุญที่แสวงหาการตรัสรู้ทางจิตวิญญาณในการกล่าวสุนทรพจน์ของผู้เฒ่า มีบุคคลสาธารณะ นักวิทยาศาสตร์ นักการเมือง นักปรัชญา และศิลปิน... นี่เป็นคำพูดของคนมีชื่อเสียงเพียงไม่กี่คนที่โชคดีพอที่จะสื่อสารกับ Optina เป็นการส่วนตัว ผู้เฒ่าและผ่านพวกเขาได้สัมผัสกับประเพณีทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของออร์โธดอกซ์

นักบุญอิกเนเชียส (บรีอันชานินอฟ) (1807–1867) ครูสอนศาสนา นักพรตและนักจิตวิญญาณ: “ เราป่วยในโลกนี้ แต่ในทะเลทรายของคุณ เราได้รับการปฏิบัติ... Optina Hermitage ผู้มีความสุขไม่ทิ้งความทรงจำของฉัน ฉันชอบเธอ... และอารามที่มีความเงียบสงบเป็นแรงบันดาลใจ”.

พาเวล ฟลอเรนสกี (1882–1937) นักปรัชญาศาสนา นักวิทยาศาสตร์ นักบวชชาวรัสเซีย: “Optina คือ... จุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมใหม่ เป็นปมที่ไม่เพียงแต่ถูกฉายไว้เท่านั้น แต่มีชีวิตอยู่มาเป็นเวลาร้อยปีแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วได้สร้างสภาพแวดล้อมที่มีการปลูกฝังวินัยทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่ศีลธรรม ไม่ใช่นักพรตภายนอก แต่เป็นจิตวิญญาณ... ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณ โดยสมบูรณ์ไม่ควรผ่าน Optina แต่ผ่านมัน กินมัน ทอด้ายนี้ให้เข้ากับประเพณีของเรา แน่นอนว่าอันนี้ด้วย เพราะนี่เป็นด้ายเดียวที่นำเราลงมาจากระนาบประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง โดยไม่มีการหยุดชะงัก ศตวรรษสู่ศตวรรษสู่ชั้นที่ลึกที่สุด ความต่อเนื่องทางจิตวิญญาณ... หากเราเริ่มติดตามกระแสชีวิตรัสเซียที่หลากหลายที่สุดในด้านจิตวิญญาณในทางจิตใจจากนั้นทั้งทางตรงและทางอ้อมเราจะถูกนำไปที่ Optina เสมอเพื่อเป็นจุดสนใจทางจิตวิญญาณจากการติดต่อกับสิ่งนั้น วิญญาณถูกจุดขึ้น แม้ว่าต่อมาจะถูกเปิดเผยในทิศทางอื่นนอกเหนือจาก Optina ที่ถูกต้องก็ตาม…”.

N.V. Gogol (1809–1852) นักเขียนและกวีชาวรัสเซียผู้ยิ่งใหญ่: “ฉันไม่เคยเห็นพระภิกษุเช่นนี้ที่ไหนเลย สำหรับฉันดูเหมือนว่าทุกสิ่งในสวรรค์กำลังพูดกับพวกเขาแต่ละคน ฉันไม่ได้ถามว่าใครอาศัยอยู่กับพวกเขา ใบหน้าของพวกเขาบอกทุกอย่าง พวกผู้รับใช้เองก็ประหลาดใจกับความอ่อนโยนที่สดใสของเหล่าทูตสวรรค์ ความเรียบง่ายที่เปล่งประกายของท่าทางของพวกเขา คนงานในวัด ชาวนา และชาวบ้านโดยรอบ ห่างออกไปหลายไมล์ เมื่อใกล้ถึงอาราม คุณจะได้ยินกลิ่นหอมของมันแล้ว ทุกอย่างเป็นมิตรมากขึ้น คันธนูลดลง และมีความเห็นอกเห็นใจต่อบุคคลนั้นมากขึ้น”.

เป็นที่ทราบกันดีว่า F. M. Dostoevsky (1821–1881) ไปเยี่ยม Optina Pustyn ซ้ำแล้วซ้ำอีกซึ่งเขาได้สนทนากับเอ็ลเดอร์แอมโบรสเป็นเวลานาน การมาเยือนเหล่านี้สร้างความประทับใจอย่างมากให้กับ Dostoevsky และผู้เขียนได้ใช้คุณลักษณะบางอย่างของ Monk Ambrose ในการสร้างภาพลักษณ์ของผู้เฒ่า Zosima ในนวนิยายเรื่อง The Brothers Karamazov Optina Pustyn เองก็ทำหน้าที่เป็นต้นแบบของอารามที่ปรากฎใน The Brothers Karamazov

ความอาวุโสคืออะไร

แน่นอนว่า Optina Pustyn คือผู้อาวุโสคนแรก และคุณสามารถเข้าใจ Optina Pustyn ได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจว่าความอาวุโสโดยทั่วไปคืออะไร ในออร์โธดอกซ์การเป็นผู้อาวุโสเป็นผลงานพิเศษของสงฆ์โดยอาศัยคำแนะนำและคำสอนที่สอนโดยผู้ให้คำปรึกษาทางจิตวิญญาณ - ผู้เฒ่า (ในสำนักแม่ชี - ผู้เฒ่า) นอกจากนี้ชายชราไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีอายุมาก ตามที่พระภิกษุปีเตอร์แห่งดามัสกัสกล่าวไว้ “ไม่ใช่ทุกคนที่อายุมากแล้วจะสามารถเป็นผู้นำได้แล้ว แต่ใครก็ตามที่เข้าสู่ความสงบและรับของประทานแห่งการใช้เหตุผล” และของประทานแห่งการใช้เหตุผลนั้นเป็นความสามารถพิเศษซึ่งเป็นของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นคือเชื่อกันว่าผู้เฒ่าคือบุคคลที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าเองทรงเรียกให้มารับใช้นี้

แก่นแท้ของความเป็นผู้สูงอายุอยู่ที่ว่าจากบรรดาพี่น้องสงฆ์ พระภิกษุผู้มีประสบการณ์ในชีวิตฝ่ายวิญญาณและนักพรต เป็นผู้บรรลุความคลายกำหนัดและจิตใจที่บริสุทธิ์ และได้รับพระคุณและของประทานแห่งการใช้เหตุผล คนแบบนี้เรียกว่าผู้เฒ่า พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า เฉียบแหลม เสียสละ มีความเห็นอกเห็นใจ ปราศจากกิเลสตัณหา และไม่เห็นแก่ตัว พระประสงค์ของพระเจ้าถูกเปิดเผยแก่ผู้อาวุโส ดังนั้นเขาจึงสามารถนำทางความรอดของผู้อื่นและรักษาความปรารถนาของพวกเขาได้ บุคคลดังกล่าวกลายเป็นบิดาฝ่ายวิญญาณของคณะสงฆ์ทั้งหมดเขาเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าแก่สามเณร (และฆราวาส)

เราสามารถพูดได้ว่าผู้เฒ่าไม่ได้ดำรงอยู่เพื่อตนเอง เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนเข้ามาหาพวกเขาเพื่อขอคำแนะนำและคำอวยพร และแบ่งปันความคิดและการกระทำของพวกเขากับพวกเขา คำพูดอันชาญฉลาดของผู้เฒ่าคอยช่วยเหลือและสนับสนุนผู้คนมาโดยตลอด พวกเขาเสริมสร้างศรัทธาในช่วงเวลาแห่งความสงสัยและความสิ้นหวัง และทำหน้าที่เป็นอาวุธอันทรงพลังในการต่อสู้กับตัณหา

มันเป็นผู้อาวุโสที่ทำให้ Optina Pustyn มีจิตวิญญาณที่พิเศษ บรรยากาศแห่งความรัก ความสงบและความเมตตากรุณา ปลูกฝังความหวังสำหรับความรอดและศรัทธาที่เข้มแข็งขึ้น และมันก็ไม่ใช่เรื่องไร้ประโยชน์ที่หลายคนเปรียบเทียบ Optina Pustyn กับอาณาจักรแห่งสวรรค์บนโลกโดยเรียกมันว่าอุดมคติของความสัมพันธ์แบบคริสเตียน

เมื่ออ่านคำของผู้เฒ่า Optina บางคนจะเพลิดเพลินกับภาษาการดำเนินชีวิตที่ยอดเยี่ยม สิบเก้า ศตวรรษอื่น ๆ จะค้นพบสิ่งที่ทันสมัยอย่างไม่คาดคิดโดยไม่คาดคิด ในสมัยแห่งความทรงจำของนักบุญแอมโบรสและสภาผู้เฒ่า Optina ขอให้เราสื่อสารกับพวกเขาต่อไปผ่านทางชีวิต จดหมาย คำแนะนำของพวกเขา เพื่อที่ชีวิตของเราจะส่องสว่างด้วยปัญญาของพวกเขา เช่นเดียวกับแสงแห่ง พระอาทิตย์อันอ่อนโยนของเดือนตุลาคม

“...ฉันไม่เคยพบพระแบบนี้มาก่อน

สำหรับฉันดูเหมือนว่าทุกสิ่งจากสวรรค์กำลังพูดกับพวกเขาแต่ละคน”

เอ็น.วี. โกกอล

จากศตวรรษสู่ศตวรรษ แหล่งแห่งปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้เฒ่า Optina Pustyn หลั่งไหลเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์และนำการเยียวยามาสู่ทุกคนที่แสวงหาความรอดและอิสรภาพในพระคริสต์ อิสรภาพจากกฎของโลก จากกิเลสตัณหาของตนเอง อิสรภาพที่สมบูรณ์แบบซึ่งกำหนดโดยพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด: “อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในตัวคุณ”

เอ็ลเดอร์คือ “ผู้นำทาง” ที่มีประสบการณ์ซึ่งช่วยให้ผู้คนพบทางไปหาพระองค์ที่นี่บนแผ่นดินโลก คำแนะนำของพวกเขานั้นเรียบง่าย ครูที่แท้จริงทุกคนลงไปสู่ระดับของศิษย์เพื่อช่วยให้เขาบรรลุถึงระดับความรู้สูงสุด และพระสงฆ์ Optina ก็ยอมอ่อนน้อมถ่อมตนจนถึง "วัยทารก" ของลูกศิษย์ และพูดในลักษณะที่คำพูดของพวกเขาจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อ นักวิทยาศาสตร์และชาวนาที่เรียบง่าย ด้วยเหตุนี้ Optina Pustyn จึงมอบ "สมบัติ" ที่แท้จริงของความรู้ทางจิตวิญญาณแก่รัสเซียซึ่งมีอยู่ในคำแนะนำสั้น ๆ

“นมแห่งคำพูด”

พระแอมโบรสเป็นปรมาจารย์ด้านคำสอนทางจิตวิญญาณที่ไม่มีใครเทียบได้ พวกเขาขับรถเกวียนมาหาเขาจากทุกหนทุกแห่ง เดินเท้าเป็นระยะทางหลายไมล์ทั้งคนแก่และเด็ก เพียงเพื่อฟังเขาและขอพรจากเขาในขณะที่บาทหลวงยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาเข้าใจว่านี่คือของขวัญแห่งชีวิต

ในบริเวณแผนกต้อนรับเล็กๆ พวกเขารอถึงคิว โดยนั่งเป็นแถวโดยไม่รบกวน ในบางครั้ง คุณพ่อโจเซฟ ผู้ดูแลห้องขัง พยักหน้าอย่างเงียบๆ ให้กับผู้มาเยี่ยมคนถัดไป ในวันที่อากาศดี แอมโบรสเองก็ออกไปหาผู้แสวงบุญที่ระเบียง เห็นได้ชัดว่าไม่มีผู้คนอยู่รอบๆ แต่มีจดหมายอยู่บนโต๊ะของนักบวชมากกว่านั้น ดังนั้นเขาจึงพยายามแสดงสาระสำคัญด้วยคำตอบสั้นๆ เพื่อให้จดจำได้ดีขึ้น

ในโลกนี้ก่อนที่จะออกจากอารามเขามีบุคลิกที่ร่าเริงและมีชีวิตชีวาและในอารามความมีชีวิตชีวานี้เปลี่ยนมาเป็นความสุขทางวิญญาณตลอดหลายปีที่ผ่านมา การหายใจเบา ๆ และเรื่องตลกบ่งบอกถึงคำแนะนำสั้น ๆ ของเขา

ตัวอย่างเช่นเกี่ยวกับสิ่งสำคัญ - เกี่ยวกับสาเหตุของปัญหาและการล้มลงในชีวิต:

“อะไรทำให้คนเรารู้สึกแย่? –

เพราะเขาลืมไปว่ามีพระเจ้าอยู่เหนือเขา”

นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นก่อนการล้ม และความสำคัญของการหลีกเลี่ยงการตัดสินผู้อื่น:

“ถั่วเอ๋ย อย่าอวดอ้างว่าเจ้าดีกว่าถั่ว

ถ้าคุณเปียกคุณจะระเบิด”

เกี่ยวกับวิธีการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตฝ่ายวิญญาณได้ง่ายขึ้น:

“ใครให้มากกว่ากัน?

เขาได้รับมากขึ้น"

ในทำนองเดียวกัน ผู้อาวุโสคนอื่นๆ พูดคุยกับผู้แสวงบุญโดยคำนึงถึงอายุของพวกเขาเพื่อทำให้คำอภิบาลอ่อนลงด้วยเรื่องตลกและคำคล้องจอง ที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณคุณพ่อ แอมโบรส, สาธุคุณ. ลีโอมักบอกผู้คนเกี่ยวกับประโยชน์ของการปฏิบัติตามกฎระเบียบ:

“ความถ่อมใจอยู่ที่ไหน

มีความรอดอยู่ใกล้ๆ”

สาธุคุณแอนโทนี่

ในสองบรรทัด คุณพ่อแอนโทนี่เล่าว่าคริสเตียนต้องวางใจพระผู้เป็นเจ้าและหันไปหาพระองค์ในการสวดอ้อนวอนว่าสำคัญเพียงใด:

“ผู้ใดวางใจในพระเจ้าอย่างมั่นคง

พระเจ้าช่วยเหลือเขาในทุกสิ่ง”

และผู้อาวุโส Anatoly (ผู้อาวุโส) แสดงออกในประโยคเดียวว่าควรหลีกเลี่ยงการประณามอย่างไร:

“สงสารแล้วคุณจะไม่ตัดสิน”

“ถั่วสามลูก”

สิงห์ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด

สำหรับผู้ที่อุทิศตนตามคำแนะนำของผู้เฒ่าและทำงานภายใน "บทเรียน" นั้นยากกว่า

“อาจารย์” ตัวจริงที่วางรากฐานของโรงเรียนศาสนศาสตร์ Optina คือผู้อาวุโสกลุ่มแรก: Rev. ไพสี และข้างหลังท่าน – พระศาสดา. ลีโอและมาคาเรียส

คำแนะนำของคนสุดท้ายแสดงให้เห็นถึงหลักการพื้นฐานของงานฝ่ายวิญญาณ

“ยา” นี้อาจไม่เป็นที่พอใจเสมอไป มีรสขม แต่กลับทำให้ชื่นใจเมื่อได้รู้ว่าเป็น จริงเพราะ แบบนั้นมันยากกว่าและแม้ว่าธรรมชาติของมนุษย์จะต่อต้านการบังคับให้ปฏิบัติตาม "เส้นทางที่เที่ยงตรง" แต่ก็มีวิญญาณของข่าวประเสริฐ วิญญาณของพระคริสต์อยู่ในนั้น

คุณสมบัติ 3 ประการ คุณธรรม 3 ประการของนักบุญ ดอกป๊อปปี้ria มีราคาพิเศษ:อดทนแบกรับความโศกเศร้า ความอ่อนน้อมถ่อมตน และการตำหนิตนเองรากฐานของชีวิตฝ่ายวิญญาณได้ถูกสร้างขึ้นบนพวกเขา และปูทางไปสู่คุณธรรมที่สูงกว่า: ความเมตตา ความรัก การปฏิเสธตนเอง

หลวงพ่อมาคาริอุส

คุณพ่อมาคาริอุสเตือนเราว่าเส้นทางแห่งความโศกเศร้าได้เตรียมไว้สำหรับทุกคนในโลกที่แสวงหาความรอด แต่เราไม่ควรกลัว สิ้นหวัง หรืออายที่จะอยู่ห่างจากพวกเขา พวกเขาถูกส่งมาหาเราเพื่อชำระจิตวิญญาณของเราให้บริสุทธิ์และได้รับคุณสมบัติสูงสุด และทุกสิ่งที่จิตวิญญาณ "สั่นเทา": การสูญเสีย ความเจ็บปวด การทำงานหนัก ความอยุติธรรม การตำหนิ และแม้แต่ความไม่สมบูรณ์ของตัวเอง - จะต้องกลายเป็น "วัตถุ" แห่งความรอดของเรา:

“เส้นทางของเราเป็นไปตามที่เราต้องการหรือไม่อยากได้ และความโศกเศร้าควรเกิดขึ้นหากได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ต่อการทดลองและความอดทนในการเรียนรู้ของเรา”

ใครก็ตามที่ได้รับทักษะความอดทนก็ผ่านเส้นทางนี้ไปได้โดยไม่ยาก เขาไม่ท้าทาย ไม่พยายามเปลี่ยนเงื่อนไขที่เขาถูกวางไว้ แต่ยอมรับว่าเป็นการทดสอบจากพระหัตถ์ของพระเจ้า จากนั้นเขาก็เปลี่ยนทั้งคำตำหนิและข้อกล่าวหาไร้สาระให้เป็นเหตุผลที่จะพิจารณาตัวเองให้รอบคอบมากขึ้น: สังเกตเห็นตัณหาที่กบฏหรือจดจำบาปที่ไม่กลับใจ นั่นคือความอดทนยังสอนการตำหนิตนเองด้วย:

“การเอาชนะกิเลสตัณหานั้นเจ็บปวดก็ต่อเมื่อเราผ่านสิ่งเหล่านั้นอย่างภาคภูมิใจและหยิ่งผยอง แต่เมื่อเราถ่อมตัว ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าและแจ้งการแก้ไขของเธอ เมื่อนั้นสิ่งเหล่านั้นก็จะทนได้เช่นกัน”

มุมมองในประเพณีการศึกษาทางจิตวิญญาณของ Optina นี้จะได้รับพลังแห่งคำพังเพย:

“หากมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกอย่างก็อยู่ที่นั่น หากไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ก็ไม่มีอะไรเลย”

โดยการจดจำพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่าของประทานฝ่ายวิญญาณจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อวิญญาณแห่งความรักทำงานในบุคคลเท่านั้น คุณพ่อ Macarius แนะนำให้ลูก ๆ ฝ่ายวิญญาณของเขามีความกระตือรือร้นไม่ใช่เพื่อรับของประทานด้วยตนเอง แต่สำหรับสิ่งที่เปิดทางสำหรับความรักของคริสเตียน:

“อย่ามองหาพรสวรรค์ใดๆ แต่จงพยายามฝึกฝนแม่แห่งพรสวรรค์ให้เชี่ยวชาญ ความอ่อนน้อมถ่อมตนแข็งแกร่งกว่า”

ไม่เพียงแต่ความโศกเศร้าภายนอกเท่านั้นที่ก่อกวนบุคคล แต่ยังรวมถึงความเศร้าภายในด้วย - ตัณหาที่ไม่มีใครเอาชนะได้ และผู้อาวุโสเปิดเผยกฎทั่วไปในสงครามฝ่ายวิญญาณ: เราสามารถเอาชนะความอ่อนแอที่กลายเป็นทักษะได้ก็ต่อเมื่อได้รับความช่วยเหลือจากคุณธรรมที่ตรงกันข้าม:

“...ต่อต้านความหยิ่งยโส - ความอ่อนน้อมถ่อมตน - ความตะกละ - การงดเว้น - ความอิจฉาและความขุ่นเคือง - ความรัก แต่เมื่อไม่มีสิ่งนี้ เราจะไม่ตำหนิตนเอง ถ่อมตนและขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า”

แนวคิดเรื่องประโยชน์ของความอ่อนน้อมถ่อมตนเพื่อประโยชน์ของพระคริสต์เพื่อตนเองและผู้อื่นนั้นดำเนินไปตามคำแนะนำของผู้เฒ่า Optina ที่มีต่อทั้งพระสงฆ์และฆราวาส การเรียกร้องให้ “ไม่มองหาตนเอง” เพื่อเปลี่ยนใจของตนเองให้เข้าสู่สงครามฝ่ายวิญญาณ ฟังดูเป็นคำแนะนำของพวกเขาอยู่เสมอ แต่ยังคง…

ผ้านวม

ความสงบทางจิตวิญญาณและแม้กระทั่งความรุนแรงของคำสั่งของผู้เฒ่าไม่เกี่ยวอะไรกับความแปลกแยกหรือความเฉยเมย ในจดหมายที่ส่งถึงลูกๆ ฝ่ายวิญญาณ มีพื้นที่สำหรับทั้งความเห็นอกเห็นใจและการให้กำลังใจ ตัวอย่างเช่นนี่คือจดหมายฉบับหนึ่งจากเอกสารสำคัญของ Elder Anatoly (Zertsalov) มีความอบอุ่นและความเห็นอกเห็นใจของพ่อในตัวเขามากแค่ไหน:

“สำหรับตำแหน่งที่น่าสงสารของคุณในแวดวงพี่สาวน้องสาว คุณจะพิสูจน์ได้ว่าคุณเป็นน้องสาวของพวกเขา ไม่ใช่คนแขวนคอ เมื่อคุณแสดงความรักแบบพี่น้องและอดทนต่อพวกเขา มันทำให้ฉันเจ็บปวดด้วยซ้ำที่ได้เห็นหรือได้ยินว่าทุกคนกดดันคุณอย่างไร: แล้วถ้าความรุ่งโรจน์นิรันดร์ในอนาคตของคุณอยู่ภายใต้แรงกดดันนี้ล่ะ?<…>จงอดทน จงอดทนต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จงร่าเริงเถิด”

ไม่ว่า “พายุ” จะเลวร้ายแค่ไหน ไม่ว่าตัณหาของตัวเองจะดูยากเย็นเพียงใด ทุกอย่างจะถูกชั่งน้ำหนัก ทุกอย่างจะมีราคากำหนดในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์:

“...ถ้าใครรักพระเยซูก็พยายามสุดความสามารถที่จะสะสมสินสอดให้มากขึ้น<…>และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงรักคนเช่นนั้น”

คำแนะนำของผู้เฒ่า Optina ครอบคลุมประเด็นสำคัญในชีวิตเกือบทั้งหมดและมีเหตุผลในทุกสิ่ง: มาตรการหนึ่งสำหรับพระภิกษุอีกวิธีหนึ่งสำหรับฆราวาสหนึ่งสำหรับผู้เริ่มต้นอีกวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่อยู่ตรงกลางและตอนท้าย เส้นทาง.

แต่พวกเขายังตรวจสอบคำถามที่พบบ่อยสำหรับทุกคน: เกี่ยวกับจุดประสงค์ของชีวิตคริสเตียน การอดอาหารแบบใดที่ถูกต้อง เกี่ยวกับว่ามันสร้างความแตกต่างอย่างไรและจะเชื่ออย่างไร เกี่ยวกับความหมายและพลังอันเปี่ยมด้วยพระคุณของศีลศักดิ์สิทธิ์ของคริสตจักร เกี่ยวกับการอธิษฐานและการอ่านจิตวิญญาณ เกี่ยวกับการใช้พรสวรรค์ที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากเหล่าสาวกของพระองค์ และเกี่ยวกับอันตรายบนเส้นทางแห่งความรอด

การอ่านพวกเขาบางคนจะเพลิดเพลินไปกับภาษาการใช้ชีวิตที่ยอดเยี่ยมของศตวรรษที่ 19 คนอื่น ๆ จะค้นพบสิ่งที่ทันสมัยและเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างไม่คาดคิดโดยไม่คาดคิดราวกับว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับศิษยาภิบาลที่ตกอยู่ภายใต้ไฟของสื่อมวลชนซึ่งหยิ่งผยองในสิทธิที่จะ พิพากษาคริสตจักร...

และในช่วงเวลาแห่งความทรงจำของนักบุญแอมโบรสและสภาผู้อาวุโส Optina นั้นดีแค่ไหนที่จะ "สื่อสารกับพวกเขา" ต่อไป - เพื่อค้นหาหรืออ่านวรรณกรรมที่มีอยู่ในขณะนี้อีกครั้ง: ชีวิต, จดหมาย, คำแนะนำ, เพื่อ ชีวิตของเราจะสว่างไสวด้วยปัญญาของพวกเขา ดุจแสงตะวันอันอ่อนโยนของเดือนตุลาคม