สร้างภาพ HDR ใน Photoshop CS5 บทเรียน Adobe Photoshop

ภาพที่มีแสงตัดกันกับแสงย้อนเช่นนี้เป็นตัวเลือกที่ดีเยี่ยมการประมวลผล HDR แต่ก็หักโหมได้ง่ายเสมอ ผลลัพธ์สุดท้ายของเราแสดงให้เห็นถึงความยับยั้งชั่งใจในปริมาณที่เหมาะสม ทำให้เกิดภาพที่สมบูรณ์พร้อมช่วงไดนามิกที่ดี

เราทุกคนคงเคยได้ยินวิธีการโฆษณานี้: HDR ได้แก้ไขสิ่งสุดท้ายแล้ว ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดการถ่ายภาพสร้างภาพที่สวยงามสมจริงพร้อมคอนทราสต์สูง ในสถานการณ์ส่วนใหญ่ ภาพถ่ายหนึ่งภาพไม่สามารถถ่ายทอดโทนสีที่เราเห็นด้วยตาของเราเองได้ครบถ้วน คุณสามารถทำให้ผลลัพธ์ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยใช้การถ่ายคร่อมค่าแสงและการรวมภาพในซอฟต์แวร์พิเศษ

คุณเชื่อหรือไม่? นักเรียนของฉันหลายคนทำไม่ได้ พวกเขาสนใจในศักยภาพของการถ่ายภาพ HDR แต่ก็ไม่พึงพอใจ ผิดธรรมชาติผลลัพธ์และยอมแพ้เพราะความเบื่อหน่ายและความซับซ้อน (ไม่ต้องพูดถึงต้นทุน) ในการเรียนรู้โปรแกรมใหม่

ลองนึกภาพวิธีการใช้ HDR ที่มีราคาถูก ใช้ซอฟต์แวร์ที่คุณรู้จักอยู่แล้ว ทำงานโดยไม่ทำลายล้าง และสร้างผลลัพธ์ที่สมจริงที่สุด คุณคิดว่านี่เป็นกลอุบายบางอย่างหรือไม่? ไม่เลย.

วิธีแก้ปัญหานั้นง่ายมาก - คุณต้องใช้ Lightroom เครื่องมือปกติทั้งหมดใช้งานได้กับ HDR ในลักษณะเดียวกับภาพ RAW ทั่วไป การแก้ไขทั้งหมดของคุณจะไม่ทำลายล้าง ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถเปลี่ยนใจและแก้ไขไฟล์เดิมซ้ำได้บ่อยเท่าที่คุณต้องการ การปรับแต่งภาพถ่ายใน Lightroom จะไม่ส่งผลต่อพิกเซล แต่จะเปลี่ยนชุดคำสั่งที่โปรแกรมใช้เมื่อส่งออกภาพถ่ายเป็น JPEG สำหรับการเผยแพร่ออนไลน์หรือ TIFF สำหรับการพิมพ์ คำแนะนำเหล่านี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

Lightroom มีราคาค่อนข้างถูกและมีคุณสมบัติมากมายนอกเหนือจาก HDR สิ่งที่ดีที่สุดคือผลลัพธ์จะดีกว่าการใช้ Photomatix Pro 5, HDR Efex Pro 2 หรือ HDR Expose 3 ในกรณีของเรา วิธีง่ายๆ คือวิธีที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตาม มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ อยู่สองสามข้อ ก่อนอื่นคุณต้องใช้ Lightroom เวอร์ชัน 4.1 ขึ้นไป เวอร์ชันก่อนหน้าไม่สามารถจัดการการแมปโทน (คำศัพท์ทางเทคนิคที่อธิบายกระบวนการแก้ไข) ของไฟล์ 32 บิต เพื่อทำความเข้าใจเคล็ดลับที่สอง คุณจำเป็นต้องรู้เพิ่มเติมอีกเล็กน้อยเกี่ยวกับวิธีการทำงานของ HDR

กระบวนการเริ่มต้นด้วยการแยกอัตโนมัติ ขอแนะนำให้วางกล้องไว้บนขาตั้งกล้องเพื่อให้ภาพเหมือนกันทุกอย่าง ยกเว้นค่าแสง โดยปกติ ฉันจะถ่ายภาพห้าภาพโดยแยกจากกันจุดเดียว ดังนั้นค่าแสงของฉันจึงมีตั้งแต่สองจุดต่ำกว่าปกติ (EV -2) ไปจนถึงสูงกว่าสองจุด (EV +2) ขั้นตอนต่อไปคือการรวมภาพถ่ายทั้งหมดเหล่านี้ให้เป็น TIFF ช่วงไดนามิกสูง 32 บิต ซึ่งนำเราไปสู่เคล็ดลับที่สอง Lightroom เวอร์ชัน 5.3 และเก่ากว่าไม่สามารถสร้างไฟล์ 32 บิตจากชุดภาพถ่ายได้ ในการทำเช่นนี้คุณต้องใช้ซอฟต์แวร์เพิ่มเติม

อย่างไรก็ตาม มีวิธีแก้ไขง่ายๆ คุณสามารถสร้างไฟล์นี้โดยใช้ Photoshop CS5 หรือสูงกว่า, Photomatix Pro หรือปลั๊กอิน Merge to 32-bit HDR Lightroom จาก HDRsoft

• บันทึกของผู้แปล- ในเวอร์ชันที่หกLightroom มีคุณสมบัติการผสานแล้วเอชดีอาร์ หากต้องการใช้งานคุณต้องเปิดโมดูลพัฒนา เลือกรูปภาพที่จำเป็น จากนั้นเปิดเมนูบริบทและในส่วนรูปถ่ายผสานการค้นหาฟังก์ชันที่ต้องการ

1. รับคอนทราสต์ที่ดีในพื้นที่ไฮไลต์และเงาเพื่อรักษารูปลักษณ์ที่สมจริง
2. คำนิยาม (ความชัดเจน - ทางที่ดีเติมชีวิตชีวาให้กับพื้นที่ที่ดูเรียบๆ แต่อย่ามากเกินไป ปริมาณ (จำนวนเงิน) ในช่วง 10-30 มักจะเพียงพอ โปรดจำไว้ว่าด้วยเครื่องมือนี้คุณสามารถใช้ได้ กฎระเบียบ แปรง(แปรงปรับ) เพื่อจำกัดเอฟเฟกต์ให้อยู่ในบริเวณที่ต้องการ

วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุดคือปลั๊กอิน Merge to 32-bit HDR ซึ่งมีอยู่ที่ www.hdrsoft.com เมื่อติดตั้งแล้ว เพียงเลือกรูปภาพทั้งหมดใน Lightroom คลิกขวา จากนั้นเลือก ส่งออก > รวมเป็น 32 บิตเอชดีอาร์(ส่งออก > รวมเป็น HDR 32 บิต) ในกล่องโต้ตอบที่ปรากฏขึ้น ฉันจะทำเครื่องหมายในช่องนี้เสมอ ลดเสียงรบกวน(ลดเสียงรบกวน).

นอกจากนี้หากวัตถุใดๆ (เช่น กิ่งไม้)เคลื่อนไหวระหว่างการถ่ายภาพ ให้เลือก ลดการเกิดภาพซ้อน(ลบผี) ทำเครื่องหมายในช่อง การจัดตำแหน่ง(จัดตำแหน่งภาพ) หากคุณถ่ายภาพโดยใช้มือถือกล้องหรือบนขาตั้งกล้องที่สั่นไหว เมื่อคุณคลิกปุ่มผสาน TIFF 32 บิตจะเปิดขึ้นโดยอัตโนมัติในหน้าต่าง Lightroom

หากคุณมี Photomatix Pro อยู่แล้ว คุณไม่จำเป็นต้องมีปลั๊กอินด้วยซ้ำ เพียงเปิดโปรแกรมแยกกัน (ไม่ผ่าน Lightroom) คลิกที่ปุ่ม อัพโหลดรูปภาพ(โหลดภาพคร่อม) ในหน้าต่างที่ปรากฏขึ้น ให้เลือกช่องถัดจากรายการ แสดงภาพดิบ 32 บิต(แสดงรูปภาพที่ยังไม่ได้ประมวลผล 32 บิต) ตั้งค่าที่อธิบายไว้ข้างต้นโดยการเปรียบเทียบกับปลั๊กอิน จากนั้นคลิก ผสาน(ผสาน). หากคุณเลือก แสดงตัวเลือก ( Show Options) สำหรับเครื่องมือ Remove Ghosts คุณจะสามารถระบุพื้นที่ที่คุณต้องการลบวัตถุที่เคลื่อนไหวได้

นี่เป็นเทคนิคขั้นสูงกว่าที่มีอยู่ในปลั๊กอิน คุณยังสามารถเลือกการทำความสะอาดอัตโนมัติได้ หากไม่มีวัตถุเคลื่อนไหวอยู่ในรูปภาพ ไม่ควรทำเครื่องหมายในช่อง เมื่อการผสานเสร็จสมบูรณ์ ให้ไปที่ ไฟล์ > บันทึกเป็น เลือกรูปแบบ TIFF ทศนิยม และคลิกตกลง คุณสามารถปิด Photomatix ได้เนื่องจากเราจะใช้ Lightroom ในการจับคู่โทนเสียง นำเข้าไฟล์ TIFF ที่บันทึกไว้ไปยัง Lightroom

หากคุณบันทึกไว้ในโฟลเดอร์ต้นทางอย่างที่ฉันมักจะทำ คุณเพียงแค่คลิกขวาที่ชื่อโฟลเดอร์ในแผง ห้องสมุด(ไลบรารี) และเลือก ซิงค์โฟลเดอร์(ซิงโครไนซ์โฟลเดอร์) ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้ทำเครื่องหมายในช่องแล้ว แสดงกล่องโต้ตอบการนำเข้า (แสดงกล่องโต้ตอบการนำเข้าก่อนที่จะนำเข้า)คล่องแคล่ว เมื่อหน้าต่างใหม่ปรากฏขึ้น ให้ปิดการใช้งานค่าที่ตั้งล่วงหน้าการพัฒนาทั้งหมดแล้วคลิก ซิงโครไนซ์(ซิงโครไนซ์)

กับHDR เป็นเรื่องง่ายมากที่จะหักโหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพยายามดึงรายละเอียดในบริเวณที่มีเงามืดออกมา ให้เงาเป็นเงาและหยุดตามกาลเวลา เราต้องการผลลัพธ์สุดท้ายที่สมจริง

หากจำเป็น คุณสามารถสร้าง TIFF 32 บิตโดยใช้ Photoshop ได้ แต่ฉันไม่แนะนำให้ทำเช่นนี้หากมีดวงอาทิตย์อยู่ในเฟรม ในตัวฉัน ไฟล์ประสบการณ์นั้นด้วยเหตุนี้จึงมีแถบสีที่แปลกและแทบจะถอดออกได้ ในขณะที่ปลั๊กอิน Merge to 32-bit HDR หรือ Photomatix ไม่มีสิ่งประดิษฐ์ดังกล่าว แต่ในกรณีนี้ ฉันจะให้อัลกอริทึมการทำงานสำหรับ Photoshop แก่คุณ

ขั้นแรก ไปที่ตัวเลือก Lightroom โดยใช้เมนู การแก้ไข > ตัวเลือก(แก้ไข > การตั้งค่า) และเลือก การแก้ไขภายนอก(การแก้ไขภายนอก) เลือก TIFF จากเมนูแบบเลื่อนลงรูปแบบ เนื่องจากไฟล์ PSD จะไม่ทำงานในขั้นตอนนี้ เลือกรูปภาพทั้งหมดที่คุณต้องการใน Lightroom แล้วไปที่เมนู การถ่ายภาพ > แก้ไขใน > รวมเอชดีอาร์โปรอินโฟโต้ชอป(ภาพถ่าย > แก้ไขใน > รวมเป็น HDR Pro ใน Photoshop)

เมื่อกล่องโต้ตอบเปิดขึ้น ตรงข้ามกับเส้น โหมด(โหมด) เลือก 32 บิต ตัวเลือกการแก้ไขทั้งหมดจะหายไปและรูปภาพจะดูแย่มาก ไม่ต้องกังวล เพียงคลิกตกลง จากนั้น Photoshop จะสร้างไฟล์ 32 บิต บันทึกมัน ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อหรือตำแหน่งก็จะไปปรากฏในไดเร็กทอรีถัดจากไฟล์ RAW ต้นฉบับ

• บันทึกของผู้แปล- อาจดูเหมือนไร้จุดหมายที่จะอธิบายวิธีการต่างๆ มากมายในการรวมภาพเพื่อใช้งานเอชดีอาร์ อย่างไรก็ตามแต่ละคนมีลักษณะและข้อดีของตัวเองดังนั้นคำถามในการเลือกเครื่องมือเช่นเคยยังคงเป็นเรื่องของรสนิยมส่วนตัว

การจับคู่โทนสีใน Lightroom

ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีใดในการรับไฟล์ 32 บิต ขั้นตอนต่อไปคือการเปิดไฟล์ในโมดูล Develop ก่อนอื่น แถบเลื่อนการรับแสงจะแสดงค่าแสง +/- 10 สต็อป แทนที่จะเป็น 5 สต็อปตามปกติ แม้ว่าคุณไม่จำเป็นต้องไปสุดโต่งขนาดนั้น แต่ก็ช่วยให้คุณเข้าใจได้ว่าไฟล์ 32 บิตมีช่วงความเข้มแสงที่หลากหลายเพียงใด

ฉันมักจะเริ่มต้นด้วยแถบเลื่อน นิทรรศการ(ค่าแสง) เพื่อปรับ “ความรู้สึก” โดยรวมของภาพถ่าย ความสมดุลของไฮไลท์และเงา โดยไม่ต้องกังวลกับการสูญเสียข้อมูลที่ปลายด้านหนึ่งของระดับโทนสีมากเกินไป บ่อยกว่านั้น TIFF แบบ 32 บิตให้ความรู้สึก "หนักหน่วง" และมีเงาที่เข้มมาก ดังนั้นฉันจึงเริ่มด้วยการทำให้เงาสว่างขึ้นเล็กน้อย

1. ปล่อยให้บริเวณที่มีแสงสว่างยังคงแสงสว่างอยู่ การปล่อยให้บริเวณที่สว่างกลายเป็นสีขาวเกือบจะช่วยเพิ่มความสมจริง
2. ควบคุมการเพิ่มคอนทราสต์ของพื้นผิวให้อยู่ภายใต้การควบคุม การสร้างรูปลักษณ์ "กรันจ์" ที่ไม่พึงประสงค์จะแสดงทันทีว่าเป็น HDR
3. ให้เงายังคงเป็นเงา ปล่อยให้พื้นที่เล็กๆ เป็นสีดำสนิท เพิ่มช่วงไดนามิกของภาพถ่าย และทำให้ไฮไลท์ดูสว่างขึ้นเมื่อมีคอนทราสต์

ย้ายไปที่แถบเลื่อน เงา(เงา) และ แสงจ้า(ไฮไลท์) ผมเริ่มต้นด้วยการเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ค่าที่มากกว่า 50 สำหรับค่าแรกจะทำให้เงาดูเรียบและไม่สมจริง การใช้ไฮไลต์มากเกินไปจะทำให้เกิดปัญหาน้อยลง โปรดจำไว้ว่าการมีพื้นที่เล็กๆ สีขาวและดำสมบูรณ์จะทำให้ภาพดูสมจริงยิ่งขึ้น เฉดสีอ่อนจะสว่างขึ้นถัดจากสีดำสนิท ซึ่งจะทำให้ช่วงไดนามิกเพิ่มขึ้น ภาพถ่ายที่มีคอนทราสต์สูงส่วนใหญ่จะมีองค์ประกอบที่มีโทนสีแสงสูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยไม่ถูกทำให้สว่างจนเกินไป ดวงอาทิตย์เป็นข้อยกเว้นในตัวมันเอง มันเป็นสีขาวสนิทเสมอ ความจำเป็นในการทำให้บางพื้นที่เป็นสีดำและบางส่วนเกือบเป็นสีขาวเป็นเหตุผลหลักในการใช้แถบเลื่อน สีดำ(คนผิวดำ) และ สีขาว(คนผิวขาว). ฉันชอบตั้งค่าสีพื้นหลัง Lightroom ให้เป็นสีขาว ดังนั้นฉันจึงมีสิ่งที่จะเปรียบเทียบไฮไลต์ได้ หากต้องการทำตามตัวอย่างของฉัน ให้ไปที่เมนู การแก้ไข > ตัวเลือก > อินเทอร์เฟซ(แก้ไข > ค่ากำหนด > อินเทอร์เฟซ)นอกจากนี้ ให้จับตาดูฮิสโตแกรมเมื่อคุณทำการเปลี่ยนแปลง มันเป็นของคุณ ผู้ช่วยที่ดีที่สุดซึ่งจะบอกคุณเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในภาพ

รูปภาพ 32 บิตส่วนใหญ่ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการเพิ่มคอนทราสต์ให้กับพาเนล เส้นโค้งโทนสี(โทนสีโค้ง). วิธีนี้ช่วยดึงโทนสีกลางออกมาและทำให้ภาพดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ขณะเดียวกันก็ปรับปรุงไฮไลท์และเงาด้วย แทนกลับไปลองแก้ไขสถานการณ์ด้วย ฟิลเตอร์ไล่ระดับสี(ไล่ระดับฟิลเตอร์) และ แปรงปรับ(แปรงปรับ) ซึ่งจะช่วยรักษาคอนทราสต์เฉพาะจุดของพื้นที่ที่ต้องการได้ดีกว่าการแก้ไขโดยรวมด้วยเงาและไฮไลต์

ปลั๊กอิน Merge to 32 บิตมีแนวโน้มที่จะเพิ่มความอิ่มตัว หากภาพถ่ายของคุณมีสีสันมากเกินไป ให้ลดความอิ่มตัวลง 5 หรือ 10 จุด

การใช้ Lightroom เพื่อทำงานร่วมกับ HDR จะช่วยให้คุณได้รายละเอียดที่สะอาดตาและมองเห็นได้มากขึ้น แม้ว่าพื้นที่ที่มืดที่สุดและสว่างที่สุดจะยังคงอยู่ในไฟล์ RAW ก็ตาม แนวทางนี้จะสร้างภาพที่น่าจดจำ มีชีวิตชีวา และมีคอนทราสต์สูงได้ดีกว่าวิธีอื่นๆ ซึ่งใช้ได้ดีกับภาพถ่ายทิวทัศน์

หากคุณต้องการเรียนรู้วิธีการวาด รูปสวยในรูปแบบของภาพวาด สีน้ำมันบทเรียนนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคุณอย่างแน่นอน ตอนนี้เราจะได้เรียนรู้วิธีสร้างสิ่งที่เรียกว่า HDR หลอกอย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยใช้ Photoshop ลองใช้วัตถุกราฟิกในรูปแบบ JPEG เป็นพื้นฐาน

เราจำเป็นต้องบรรลุผลนี้:

บน ชั้นต้นการทำทุกอย่างให้ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญมากเนื่องจากจะเป็นพื้นฐานของงานขั้นสุดท้าย

ลองใช้แท็บกัน รูปภาพ > การปรับแต่ง > เงา/ไฮไลต์เพื่อตั้งค่าที่จำเป็นทั้งหมด:

• เงาเกิดขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์
• วรรณยุกต์ Vids 45 เปอร์เซ็นต์
• รัศมี 44 แต้ม
• Hi-Lite Emount 67 เปอร์เซ็นต์
• รัศมี 46 แต้ม

เราใช้การผสมผสาน CTRL+เจเพื่อสร้างสำเนาของเลเยอร์การทำงาน จากนั้นตั้งค่าโหมดการผสมเลเยอร์เป็น ดอดจ์สี. ด้วยความช่วยเหลือของการปรับแต่งทั้งหมดนี้เราสามารถบรรลุความสว่างของสีที่ต้องการและบริเวณที่ต้องการจะขาวขึ้นโดยสมบูรณ์ เราจะกู้คืนในภายหลัง แต่ในขั้นตอนการทำงานนี้ไม่จำเป็น

สร้างสำเนาของเลเยอร์การทำงานปัจจุบันโดยใช้ CTRL+เจขณะนี้โหมดการผสมสามารถกำหนดค่าอื่นได้ - Linear Burn เป็นผลให้พื้นผิวทั้งหมดของภาพที่ประมวลผลจะถูกปกคลุมไปด้วยจุดด่างดำ แต่นี่คือสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง เติมแผนด้านหน้าด้วยสีดำแล้วใช้คำสั่ง เลือก > ช่วงสี.ในกรณีนี้ พารามิเตอร์ความคลุมเครือต้องมีอย่างน้อย 100 จุด

เราสร้างเลเยอร์มาสก์เพื่อสิ่งนี้เราใช้ไอคอนการทำงานพิเศษซึ่งมีวงกลมสีแดงกำกับไว้ จะไม่เหลือร่องรอยของสีดำ อย่างไรก็ตาม ภาพถ่ายดูหยาบและไม่สม่ำเสมอเล็กน้อย ลองใช้เลเยอร์มาสก์แล้วกำหนด ตัวกรอง > เกาส์เบลอค่าตั้งแต่หนึ่งถึงห้าขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณ

มันจะง่ายยิ่งขึ้นในการทำงานต่อไป มาสร้างสำเนาของการเบิร์นเชิงเส้นและแทนที่โหมดการผสมด้วยตัวบ่งชี้ โอเวอร์เลย์ตอนนี้คุณจะต้องเลือกเลเยอร์มาสก์และใช้แป้นพิมพ์ลัด Ctrl+i(เลือก > กลับด้าน). คอนทราสต์ของภาพถ่ายจะเพิ่มขึ้นทันที และเงาสีซีดจะเข้มขึ้น

มารีทัชภาพกันต่อครับ มาเปลี่ยนความโปร่งใสของเลเยอร์กัน ควรอยู่ที่ประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์บนเลเยอร์ชื่อ Overlay และสำหรับ Linear Burn - ไม่เกิน 55 เปอร์เซ็นต์

มาทำให้แผนด้านหน้าขาวขึ้น ลองกำหนดค่า 100 คะแนนให้กับพารามิเตอร์ความคลุมเครือโดยใช้ชุดของฟังก์ชัน เลือก > ช่วงสี. พื้นที่ที่มีแสงสว่างมากเกินไปบนวัตถุกราฟิกจะถูกตกแต่งด้วยสิ่งที่เรียกว่ามดคลาน เราสร้างเลเยอร์ที่ซ้ำกันและวางไว้ที่ด้านบนสุดของรายการ สิ่งที่เหลืออยู่คือการเพิ่มเลเยอร์มาสก์ให้กับวัตถุและใช้ฟังก์ชัน ตัวกรอง > เกาส์เบลอ.

จากนั้นเลือกปุ่มที่มีสัญลักษณ์สัญญาณสีแดงและเครื่องมือ แผนที่ไล่ระดับสี. ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา เราจะได้รับสิ่งที่เรียกว่าเลเยอร์การปรับ เนื่องจากมันจะเปลี่ยนสีโดยอัตโนมัติตามการไล่ระดับสีที่ใช้ ทางด้านขวาคุณจะเห็นเครื่องมือทำงานทั้งหมดของนักออกแบบ ในขณะที่เลเยอร์ไล่ระดับสีทำงานอยู่ คุณจะต้องเพิ่มเลเยอร์มาสก์ที่เรียกว่าแสงให้กับระบบ มาเริ่มกระบวนการผกผันโดยใช้การรวมกัน เลือก > กลับด้านจากนั้นคลิกที่ปุ่มเพิ่มเลเยอร์มาสก์ - เพิ่มเลเยอร์มาสก์. ตั้งค่าโหมดการผสมเป็น ไฟแรงและเราจะลดตัวบ่งชี้ความโปร่งใสลงเหลือ 72 เปอร์เซ็นต์

ตอนนี้ถึงเวลาสำหรับการตกแต่งขั้นสุดท้าย คุณสามารถสร้างสรรค์สิ่งเล็กๆ น้อยๆ และเพิ่มบางสิ่งของคุณเองหรือสมัครได้ ตัวกรอง > เรนเดอร์ > เมฆ

เหตุใดการถ่ายภาพห้องที่มีทิวทัศน์สวยงามจากหน้าต่างจึงมักจะเต็มไปด้วยการเปิดรับแสงมากเกินไปในบริเวณที่สว่างจ้าหรือเอฟเฟกต์ของห้องใต้ดินที่จมอยู่ในความมืด เหตุใดอาคารจึงดูสวยงามมากในภาพถ่าย ในขณะที่ท้องฟ้าที่ตัดกับพื้นหลังดูเป็นจุดที่ไม่มีสี ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงที่น่าเสียดายของความสามารถอันจำกัดของเมทริกซ์

โอกาสที่ช่วยให้คุณสามารถสร้างภาพที่มีรายละเอียดที่ดีในบริเวณที่มีแสงสว่างมากที่สุดและน้อยที่สุดในลักษณะที่การมองเห็นของมนุษย์สามารถทำได้ สำหรับการเปรียบเทียบ ดวงตาของเราสามารถตรวจจับความแตกต่างของความสว่างได้ 12-14 สต็อป (หรือ 12-14 สต็อป - หน่วยที่ใช้วัดช่วงไดนามิก กล่าวคือ พูดคร่าวๆ คือความแตกต่างระหว่างจุดที่มืดที่สุดและสว่างที่สุดของภาพ) ; ฟิล์มขาวดำ - ประมาณ 10; ฟิล์มเนกาทีฟสี - 7; และเมทริกซ์ กล้องดิจิตอล- มากถึง 8 สต็อปสำหรับรุ่นที่แพงที่สุดและ 4-6 สำหรับกล้องส่วนใหญ่ แต่ถึงแม้จำนวนเล็กน้อยเช่น 4-6 หยุดก็ไม่ใช่โทษประหารชีวิตสำหรับคุณ ความเป็นไปได้ที่สร้างสรรค์. ท้ายที่สุดไม่ใช่กล้องที่ถ่ายภาพ แต่เป็นช่างภาพ และในกรณีเช่นนี้ เทคโนโลยีการถ่ายภาพ HDR (High Dynamic Range) ช่วยให้คุณสามารถกระโดดข้ามศีรษะได้ในกรณีเช่นนี้

ผลการเรียน:

จากวิธีการทั้งหมดในการแก้ไขภาพถ่าย HDR ตอนนี้เราจะมาดูวิธีการหลักกัน เทคนิคคลาสสิกในการสร้าง HDR คือการได้เฟรมที่เหมือนกันหลายเฟรม การสัมผัสที่แตกต่างกันโดยใช้ขาตั้งกล้อง โดยปกติแล้วจะมีเฟรมดังกล่าวสามเฟรม: ปกติ - เพื่อถ่ายทอดพื้นที่ฮาล์ฟโทน, เปิดรับแสงน้อยเกินไป - โดยมีเงาที่ได้รับการพัฒนามาอย่างดี และเปิดรับแสงมากเกินไป - เพื่อถ่ายทอดพื้นที่ที่มีแสง หากต้องการรับพวกมัน ให้ใช้วิธีดังต่อไปนี้:

การถ่ายคร่อมค่าแสงหรือการถ่ายคร่อม - ประกอบด้วยการตั้งค่า "คร่อม" ชนิดหนึ่งที่สัมพันธ์กับค่าแสงปกติ หลังจากนั้นกล้องจะไม่ได้ถ่ายภาพเพียงภาพเดียว แต่ถ่ายภาพ 3 ภาพในคราวเดียว - ภาพหนึ่งที่มีการเปิดรับแสง "ปกติ" และส่วนที่เหลือได้รับแสงน้อยเกินไปและเปิดรับแสงมากเกินไป โดยเปลี่ยนระดับแสงเป็นขนาดเดียวที่ระบุ

การชดเชยแสง: แนวคิดก็เหมือนกัน มีเพียงคุณเท่านั้นที่ตั้งค่าออฟเซ็ตที่แตกต่างกันสำหรับภาพแต่ละภาพ จากนั้นนำภาพที่ได้ออกมามารวมกัน

ข้อเสียของเทคนิคที่อธิบายไว้ข้างต้นคือใช้ได้เฉพาะในกรณีที่มีวัตถุถ่ายภาพนิ่งเท่านั้น แน่นอน - ในบางกรณีสามารถถ่ายภาพได้เพียงภาพเดียวเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากเรากำลังเผชิญกับการถ่ายภาพวัตถุที่กำลังเคลื่อนที่ อีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการถ่ายคร่อมค่าแสงอาจเป็นการซ้อนทับของไฟล์ RAW หนึ่งเวอร์ชันการรับแสงที่แตกต่างกัน ใดๆ แปลงไฟล์ RAWมีฟังก์ชั่นชดเชยแสง โดยปกติแล้ว ความเป็นไปได้ในการขยายช่วงไดนามิกในลักษณะนี้จะแคบกว่าการถ่ายคร่อมมาก แต่เพื่อให้ภาพถ่าย HDR ไม่สูญเสียความสมจริง การสร้างความแตกต่าง 2-3 สต็อประหว่างภาพถ่ายที่เปิดรับแสงน้อยหรือมากเกินไปก็เพียงพอแล้ว

ต่อไปนี้เป็นวิธีสร้างภาพ HDR โดยใช้ Photoshop

ด้วยไฟล์สองไฟล์ในรูปแบบของเลเยอร์ ซึ่งเป็นผลมาจากการแปลงที่การตั้งค่าการชดเชยแสงที่แตกต่างกัน เราจึงทำงานใน Photoshop ต่อไป เลเยอร์ฮาล์ฟโทนควรอยู่ด้านล่าง หากต้องการจับคู่รูปภาพให้เข้ากันอย่างลงตัว ให้ลากรูปภาพจากไฟล์ต้นฉบับไปยังไฟล์สุดท้ายโดยกดปุ่ม Shift ค้างไว้ ทางเลือกหนึ่งสำหรับการประมวลผลเพิ่มเติมคือ:

1. การกดคีย์ผสมคือ Ctrl+Alt+~ ซึ่งจะเป็นการเลือกพื้นที่สว่าง
2. กลับด้านมาสก์ (เมนูด้านบนของ Photoshop Select => Inverse)
3. สร้างเลเยอร์ใหม่ด้วยการเลือกนี้ (เมนูด้านบนของ Photoshop Layer => New =>Layer via Copy)
4. ปิดการมองเห็นของเลเยอร์กลางและปรับความโปร่งใสของเลเยอร์บนสุด (แถบเลื่อนความทึบในหน้าต่างเลเยอร์ F7) เพื่อให้ได้ภาพสุดท้ายที่ต้องการ

อย่างไรก็ตาม ไม่แนะนำให้ประมวลผลประเภทนี้เสมอไป อัลกอริธึมทางเลือก - เริ่มต้นจากชั้นบนสุดโดยใช้แปรงโปร่งแสงอันอ่อนนุ่ม เราจะลบพื้นที่ที่มีการเปิดรับแสงที่ไม่ถูกต้อง และค่อยๆ ลดค่าความทึบลง จากนั้นเราก็ไปยังการทำงานในเลเยอร์ถัดไปหากมีหลายเลเยอร์

ขออภัย กล้องบางรุ่นไม่รองรับรูปแบบ RAW ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณมีไฟล์ JPEG ไฟล์เดียวอยู่ในมือ คุณสามารถจำลองเวอร์ชันการรับแสงได้ 2 เวอร์ชันโดยใช้การแก้ไขระดับหรือเส้นโค้ง แต่บ่อยครั้ง เนื่องจากปริมาณข้อมูลที่มีอยู่ในรูปแบบนี้โดยทั่วไปลดลง คุณจึงทำได้เพียง ดึงพื้นที่ปัญหาออกเล็กน้อย TIFF สามารถทำได้เช่นเดียวกัน - อย่างไรก็ตามสิ่งนี้จะไม่เพิ่มคุณภาพ แต่การสูญเสียอย่างหลังจะลดลงเล็กน้อยระหว่างการประมวลผล

การสร้างภาพถ่าย HDR ยังสามารถมอบหมายให้กับโปรแกรมเช่น Photomatix ได้อีกด้วย

ใน ในกรณีนี้กระบวนการสร้าง HDR จะใช้แรงงานน้อยลง

เราเปิดรูปภาพ 3 รูปใน Photomatix ซึ่งเปิดรับแสงต่างกัน 2 สต็อป โดยเลือกแท็บสร้างจากเมนู HDR ด้านบน หลังจากที่ Photomatix ถามคุณว่าควรใช้ภาพไหน การตั้งค่าการรับแสงสำหรับแต่ละภาพจะถูกตรวจสอบ ในกรณีนี้คุณควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าโปรแกรมกำหนดค่าได้ถูกต้องและมีเครื่องหมายถูกถัดจากการใช้เส้นโค้งการตอบสนองมาตรฐาน หากคุณเลือกตัวเลือก จัดแนวภาพ LDR ก่อนสร้างภาพ HDR Photomatix จะจัดแนวภาพเมื่อรวมเข้าด้วยกัน คลิกตกลง HDR พร้อมแล้ว จริงอยู่ ในขั้นตอนนี้ภาพที่ได้ไม่น่าจะสอดคล้องกับแนวคิดดั้งเดิมของภาพถ่าย HDR และผลลัพธ์ที่ต้องการ เพื่อให้ดูเป็นที่ยอมรับมากขึ้น ให้ไปที่เมนู HDR แล้วเลือก Tone Mapping ด้วยการทดลองปรับแต่งและฟีเจอร์ต่างๆ ของ Photomatix คุณจะได้ภาพที่สมดุลและสมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ก็ตาม ในบรรดาภาพหลายพันภาพที่เราดู ดวงตาของเราจะหยุดอยู่ที่ภาพถ่าย HDR ที่จับใจอย่างแน่นอน เราถูกดึงดูดด้วยความชัดเจนของภาพถ่าย เส้นที่วาด ความสว่าง และปริมาตรของภาพ ภาพถ่ายเหล่านี้มีคุณค่ามากที่สุด แต่การสร้างภาพถ่าย HDR ที่แท้จริงนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้แรงงานมากซึ่งต้องใช้ภาพถ่ายหลายภาพในคราวเดียว ในขณะเดียวกัน วันนี้เรามักจะพบภาพถ่ายจากภาพถ่ายหลอก HDR ที่สร้างขึ้นโดยใช้เอฟเฟกต์ง่ายๆ ใน Photoshop ความแตกต่างระหว่างภาพถ่าย HDR ของจริงและของปลอมมีความสำคัญมาก มันก็คุ้มค่าที่จะเข้าใจรายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้อย่างละเอียดมากขึ้น

HDR คืออะไรและใช้ทำอะไร?

การถ่ายภาพ HDR (ช่วงไดนามิกสูง) หมายถึง "ช่วงไดนามิกที่ขยาย" อย่างแท้จริง ที่จริงแล้ว ช่วงไดนามิกคือช่วงระหว่างโทนสีที่มืดที่สุดและสว่างที่สุด ในกรณีนี้ โทนสีเข้มในภาพถ่ายจะปรากฏเกือบเป็นสีดำ และโทนสีอ่อนจะปรากฏเกือบเป็นสีขาว ลองยกตัวอย่างคลาสสิก เมื่อเข้าไปในห้องที่ได้รับแสงสว่างจากแสงแดดจากหน้าต่าง เราจะมองเห็นภายในทั้งหมดได้อย่างชัดเจน ทั้งสิ่งที่อยู่ในที่ร่มบางส่วนและวัตถุที่มีแสงตกกระทบ อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เราต้องการถ่ายภาพความสวยงามนี้ เราก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่กล้องจะจับภาพได้เฉพาะวัตถุบางอย่างเท่านั้น ในภาพถ่ายบางภาพ วัตถุจะมองเห็นได้ในเงามืด แต่แทนที่หน้าต่างจะมีไฮไลต์สีขาว หรือในทางกลับกัน - หน้าต่างจะมองเห็นได้ชัดเจนในภาพถ่าย และวัตถุที่อยู่ด้านหลังห้องจะมืดสนิท ประเด็นก็คือดวงตาของมนุษย์เป็นเครื่องมือที่ล้ำหน้ากว่าและสามารถ “จับภาพ” เฉดสีได้หลากหลายกว่า เมื่อเทียบกับกล้องที่ดีที่สุด สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อเรามองดูอาคารด้วยตาของเรา เราจะเก็บรายละเอียดทั้งหมดของส่วนหน้าของอาคารและพระอาทิตย์ตกดินอันน่าทึ่งเหนืออาคาร

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่สิ่งที่กล้องจะอวดได้ ในเรื่องนี้ เพื่อแสดงรายละเอียดทั้งหมดของภาพที่เรารับรู้ด้วยตาในภาพถ่าย จำเป็นต้องถ่ายภาพหลายภาพหรือ RAW หนึ่งภาพ และท้ายที่สุดก็รวมทุกอย่างไว้ในภาพถ่าย HDR ที่สวยงามเพียงภาพเดียว อย่างไรก็ตาม คุณสามารถทำให้งานง่ายขึ้นและสร้าง HDR ปลอมได้ ลองพิจารณาทุกประเภทตามลำดับ

การสร้างหลอก HDR

นอกจากการถ่ายภาพ HDR จริงแล้ว ยังมีแนวคิดการถ่ายภาพ HDR ปลอมอีกด้วย มันไม่ง่ายไปกว่านี้แล้ว หากต้องการสร้างภาพดังกล่าว คุณไม่จำเป็นต้องมีภาพหลายภาพหรือไฟล์ RAW รูปเดียวก็พอแล้ว

ในเวลาเดียวกัน สำหรับการประมวลผลดังกล่าว หากพูดง่ายๆ ก็คือภาพถ่ายธรรมดาที่สุดที่ถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลทุกตัวก็เหมาะสม ในกรณีนี้คือภาพถ่ายของวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดแห่งหนึ่ง ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว ด้วยการใช้เอฟเฟ็กต์ HDR Photoshop คุณสามารถสร้างภาพถ่ายต้นฉบับที่สดใสได้

1. บางทีขั้นตอนที่สำคัญที่สุดอาจเป็นขั้นตอนแรก – พื้นฐาน ใช้คำสั่ง Image >>Adjustment>>Shadow/Highlight และตั้งค่าต่อไปนี้:

2. ขั้นตอนต่อไปคือการทำซ้ำเลเยอร์ฐานและตั้งค่าการผสมบนเลเยอร์ Color Dodge การผสมนี้จะทำให้สีสว่างขึ้น และเปลี่ยนบริเวณที่สว่างมากให้เป็นสีขาว

2. ทำซ้ำเลเยอร์ฐานด้วย แต่คราวนี้ตั้งค่าการผสมเลเยอร์เป็น Linear Burn ตั้งค่าสีหลักเป็นสีดำผ่าน Select >> Color Range (Selection) และทำเครื่องหมายที่ตัวเลือก Invert (เราสนใจทุกอย่างยกเว้นพื้นที่สีดำ) ความคลุมเครือเหมาะที่สุดที่ 100 ตอนนี้เพิ่มเลเยอร์มาสก์ใหม่ วิธีนี้บริเวณสีดำจะหายไป

3. อย่างไรก็ตาม จะยังมี "พื้นที่ที่ไม่สวย" อยู่ในภาพ ซึ่งสามารถกำจัดออกได้โดยใช้ตัวกรอง Gaussian Blur โดยปรับรัศมีเป็น 25-35 พิกเซล (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของคุณ)

4. ทำซ้ำเลเยอร์ Linear Burn และตั้งค่าการซ้อนทับเป็น Overlay จากนั้นเลือกเลเยอร์มาสก์และกลับด้าน (Ctrl+I) การผสมนี้จะทำให้เงาที่สว่างที่สุดมืดลงและยังเพิ่มความเปรียบต่างอีกด้วย

5. ขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบความโปร่งใสของเลเยอร์ ในกรณีนี้ เลเยอร์ซ้อนทับถูกตั้งค่าเป็น 45% และ Linear Burn เป็น 65%

6. เลือก >> Color Range ตั้งค่า White Matte และตั้งค่า Fuzziness ไปที่ระดับ 100 พื้นที่ที่สว่างที่สุดของภาพจะถูกเน้น ทำซ้ำเลเยอร์ฐานแล้วเลื่อนขึ้น จากนั้นสร้างเลเยอร์มาสก์และทำให้นุ่มลงโดยใช้ตัวกรอง Gaussian Blur

7. คุณยังสามารถทำงานกับรูปภาพผ่านแผนที่ไล่ระดับสี และ "ปรับสี" รูปภาพได้ ขึ้นอยู่กับสีที่ถูกระงับที่ด้านล่างของรูปภาพ หลังจากทำงานกับแผนที่ไล่ระดับสีแล้ว ให้เลือก Select >> Color Range จากนั้นเลือก Invert สร้างเลเยอร์มาสก์ ตั้งค่าการผสมเลเยอร์เป็น Hard Light และความทึบของเลเยอร์เป็น 70%

8. ทดลองกับความโปร่งใสของทุกเลเยอร์และคอนทราสต์ของภาพ รูปภาพ Pseudo-HDR พร้อมแล้ว

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าในบางกรณี ยังคงจำเป็นต้องดึงวัตถุออกจากกันและแก้ไขทะเลหรือท้องฟ้าแยกจากกัน เลย บทเรียนหลัก Photoshop - ทดลอง เปลี่ยนแปลง และเลือกค่าที่เหมาะสมที่สุดเพื่อทำให้ภาพดูสวยงามและสดใส

วิธีสร้างภาพถ่าย HDR จากไฟล์ RAW ไฟล์เดียว

เริ่มต้นด้วย (อย่างที่พวกเขาพูดกันเผื่อไว้) เรามาทำความเข้าใจว่า RAW คืออะไร RAW - แปลจากภาษาอังกฤษแปลว่า "ดิบ" คำนี้หมายถึงข้อมูลที่ได้รับโดยตรงจากเมทริกซ์ดิจิทัล กล่าวคือ รูปภาพโดยไม่ได้ประมวลผลโดยกล้อง ไฟล์ RAW ยังมีข้อมูล EXIF ​​​​(ความเร็วชัตเตอร์ รูรับแสง ฯลฯ) โดยทั่วไปแล้ว ไฟล์ RAW สามารถเทียบได้กับการถ่ายทำในกล้องฟิล์ม ไฟล์ดังกล่าวต้องการ "การพัฒนา" บนคอมพิวเตอร์โดยใช้ตัวแปลงพิเศษ วิธีนี้ช่วยให้คุณได้รับข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับภาพถ่ายและคุณภาพสูงสุด

มาดูรายละเอียดทั้งหมดในการสร้างภาพถ่าย HDR จากไฟล์ RAW ไฟล์เดียวกัน เพื่อทำเช่นนี้ ต่อไปนี้เป็นบทเรียนที่ยอดเยี่ยมและเรียบง่ายมากโดย Lars Kahrel เขาใช้ภาพอนุสาวรีย์ในเอดินบะระเพียงภาพเดียวเพื่อสร้างภาพถ่าย HDR พารามิเตอร์ทางเทคนิคของกล้อง - PENTAX K200D พร้อมเลนส์ Tamron 18-200, 1/160 วินาที, f 6.3; ISO100, 28มม.

รูปแบบ DNG ช่วยให้คุณสามารถแยกรายละเอียดทั้งหมดของภาพถ่ายจากไฟล์ RAW ไฟล์เดียวและประมวลผลภาพถ่ายได้อย่างสะดวก รูปแบบนี้ช่วยให้ช่างภาพสามารถเข้าถึงไฟล์ของตนได้อย่างง่ายดาย คุณสามารถแปลงไฟล์ของคุณเป็นรูปแบบ DNG ได้อย่างง่ายดายโดยใช้ Adobe Camera Raw และ DNG Converter ฟรี (Windows/Mac OS) รูปภาพจะถูกบันทึกในรูปแบบ DNG และยังเป็น JPG

หากต้องการสร้างภาพ HDR ให้เปิดในก่อน โปรแกรมโฟโต้ชอป(Photoshop Elements 6.0) รูปแบบ DNG เราทิ้งรูปภาพที่แตกต่างกัน 3 รูปและตั้งค่าการรับแสงที่แตกต่างกัน (เช่น -2 EV / ปกติ / +2 E)

จากนั้นคุณต้องเปิดโปรแกรม Dynamic Photo HDR (เป็นภาษารัสเซีย)

เมื่อเปิดรูปภาพในโปรแกรมนี้คุณจะต้องทำงานกับ Curve และ Color Equalizer เล็กน้อย ในเวลาเดียวกัน เราจะ "แก้ไข" สีเหลืองเล็กน้อย ลดสีแดง และเพิ่มสีน้ำเงิน ความแรงของแสงที่น่าทึ่ง รัศมี ความอิ่มตัวของแสงอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

รูปภาพ HDR พร้อมแล้ว

ทัศนศึกษา วี การถ่ายภาพแบบ HDR

หากเราดูประวัติศาสตร์สักหน่อย ก็น่าสังเกตว่าก่อนหน้านี้ภาพที่มีช่วงไดนามิกสูง (HDR) เคยถูกใช้ในรูปแบบ 3 มิติ แต่ตอนนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในการถ่ายภาพ

ลองพิจารณาดู งานที่มีรายละเอียดมากขึ้นด้วยรูปภาพหลายรูป และวิธีรวมรูปภาพเหล่านี้ให้เป็นรูปภาพ HDR เดียว

รายละเอียดการถ่ายภาพบางส่วน:

• ตั้งค่าคร่อมแสง เลือกโหมดถ่ายภาพต่อเนื่อง
• เลือกองค์ประกอบโดยคำนึงถึงความจริงที่ว่าควรมีพื้นที่ส่องสว่างโดยเฉลี่ยตรงกลางภาพ
• แก้ไขการเปิดรับแสง;
• ใช้เวลาอย่างน้อย 3 เฟรม

ขั้นแรก เราต้องถ่ายภาพวัตถุเดียวกันหลายภาพจากตำแหน่งเดียวกัน ในแง่นี้ ขาตั้งกล้องมีบทบาทสำคัญในการถ่ายภาพ เนื่องจากความจำเป็นในการถ่ายภาพวัตถุที่อยู่นิ่ง ภาพถ่าย HDR ส่วนใหญ่จะถ่ายทอดวัตถุที่อยู่นิ่งได้ เช่น ธรรมชาติหรืออาคาร งานต่อไปของช่างภาพคือการถ่ายภาพเป็นชุด (3 ภาพ) โดยมีค่าแสงต่างกัน ตัวอย่างเช่น หากเราเปิดรับแสงอาคาร ท้องฟ้าก็จะได้รับแสงมากเกินไป และหากเราเปิดรับแสง (พระอาทิตย์ตก) อาคารก็จะมืดลง โดยทั่วไป Adobe แนะนำให้ใช้การถ่ายคร่อมที่แตกต่างกัน (การถ่ายภาพชุดเฟรมที่มีค่าต่างกันตามช่วงเวลา เช่น ค่าแสง สมดุลแสงขาว ฯลฯ) ตามระดับแสงหนึ่งระดับ

หมายเหตุ! การเปิดรับแสงที่สว่างที่สุดควรแสดงวัตถุที่มืดที่สุดโดยมีความสว่างเพียงพอที่จะทำให้วัตถุเหล่านั้นมองเห็นได้ชัดเจน

หน้าที่ของช่างภาพคือการรวมภาพทั้งสามนี้ให้เป็นภาพเดียว โดยเฉลี่ยแล้วพวกเขาจะถ่ายรูป 3-5 ภาพโดยมีค่าแสงต่างกัน เราจะจำกัดตัวเองไว้แค่สามรูป

-2 0 +2

มีเคล็ดลับอย่างหนึ่งคือ เมื่อถ่ายภาพพื้นผิวเรียบ การถ่ายคร่อมมักจะทำเป็นระยะ 2 ขั้นตอน หากตัวแบบในการถ่ายภาพมีพื้นผิวไม่เรียบและเป็นวัตถุที่โค้งมนและนูน ดังนั้นเพื่อให้การเปลี่ยนผ่านมีความราบรื่นยิ่งขึ้น ควรตั้งค่าช่วงเวลาให้น้อยลง ทางที่ดีควรถ่ายภาพในโหมดแมนนวล

ขั้นต่อไปคือการรวมภาพถ่ายให้เป็นภาพ 32 บิตเดียว ซึ่งจะนำมาให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราเห็นด้วยตาเรามากที่สุด ในการดำเนินการนี้คุณต้องเลือกไฟล์ผ่านเมนู "ไฟล์->อัตโนมัติ->ผสานเป็น HDR..." อีกทางเลือกหนึ่งคือใช้ฟังก์ชัน "เพิ่มไฟล์ที่เปิดอยู่" หากไฟล์ที่เลือกสำหรับงานถูกเปิดใน Photoshop แล้ว

หากคุณใช้ขาตั้งกล้อง ตำแหน่งของภาพจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากถ่ายภาพเป็นชุด "ด้วยตนเอง" หรือตำแหน่งของกล้องบนขาตั้งกล้องเปลี่ยนไปขณะเปลี่ยนการตั้งค่า ควรเลือกตัวเลือกการจัดแนว "พยายามจัดตำแหน่งภาพต้นฉบับโดยอัตโนมัติ" เราเตือนคุณว่าการจัดตำแหน่งดังกล่าวอาจใช้เวลานานถึง 40-50 นาที และ Photoshop จะต้องใช้ทรัพยากรพีซีทั้งหมด ดังนั้นคุณจึงไม่น่าจะทำอะไรอย่างอื่นบนคอมพิวเตอร์ของคุณได้

หากคุณมั่นใจในตำแหน่งการถ่ายภาพเดียวกัน เพื่อประหยัดเวลาและความพยายาม คุณสามารถปฏิเสธฟังก์ชัน "พยายามจัดตำแหน่งรูปภาพต้นฉบับโดยอัตโนมัติ" ได้ ในบางกรณี Photoshop อาจขอให้คุณป้อนข้อมูล EXIF ​​​​ด้วยตนเอง ดำเนินไปโดยไม่ได้บอกว่าข้อมูลควรมีความแม่นยำที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หลังจากดำเนินการคำนวณทั้งหมดและรวมภาพถ่ายแล้ว การแสดงตัวอย่าง HDR จะปรากฏขึ้น หน้าต่างที่มีฮิสโตแกรมรวมจะปรากฏขึ้น คุณสามารถเลื่อนแถบเลื่อนจุดสีขาวไปที่ขอบขวาของฮิสโตแกรมเพื่อดูรายละเอียดที่สว่างทั้งหมดได้ นี่เป็นเพียงตัวอย่างสำหรับตอนนี้เท่านั้น เพิ่มเติม ค่าที่แน่นอนสามารถติดตั้งได้ในภายหลัง หลังจากคลิกปุ่มตกลง เราจะได้ภาพ HDR แบบ 32 บิต ซึ่งสามารถบันทึกได้แล้ว

ในขั้นตอนนี้ สามารถใช้ฟังก์ชันการประมวลผลภาพได้น้อยมากกับภาพ 32 บิต โดยทั่วไปแล้ว มีประโยชน์เพียงเล็กน้อย ยกเว้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการเก็บถาวร หนึ่งในฟังก์ชันที่ใช้ได้คือการปรับค่าแสง (รูปภาพ> การปรับค่า> ค่าแสง) คุณสามารถลองเปลี่ยนการเปิดรับแสงเพื่อดึงเอาไฮไลท์ที่ซ่อนอยู่หรือรายละเอียดในบริเวณที่มืดออกมาได้ ขั้นตอนต่อไปคือการแปลงภาพ HDR 32 บิตเป็นไฟล์ LDR 16 หรือ 8 บิตโดยใช้การจับคู่โทน ลองแปลงรูปภาพเป็น 16 บิต

หลังจากการดำเนินการเสร็จสิ้น กล่องโต้ตอบจะปรากฏขึ้น - การอนุรักษ์ HDR ในวิธีการ เลือก การปรับตัวในเครื่อง ต่อไปเราทำงานกับฮิสโตแกรม - เราย้ายเส้นตรงให้ใกล้กับโซนเงามากขึ้น ต่อไปคุณสามารถเล่นกับส่วนโค้งได้เล็กน้อย เป็นการยากที่จะพูดถึงความหมายที่ชัดเจน เนื่องจากแต่ละภาพต้องใช้แนวทางที่แยกจากกัน

ต่อไป เราจะแปลงรูปภาพเป็น 16 บิต และปรับสีตามรสนิยมของเรา เราย้ายไปยังขั้นตอนการทำแผนที่โทน (Tone Mapping) หากต้องการทำสิ่งนี้ ให้ดูที่เมนู Image –Adjustment ตั้งค่า Exposure ก่อน แล้วตามด้วย Gamma หากต้องการลดคอนทราสต์ ให้เพิ่มค่าแกมมา การใช้ปลั๊กอินการทำแผนที่โทนสีของ Photomatix ช่วยให้คุณสามารถระบุรายละเอียดพื้นผิวของภาพถ่ายได้ คุณยังสามารถใช้งานแผนที่ไล่ระดับสีและ "ตกแต่ง" รูปภาพและปรับสีรูปภาพได้ โดยทั่วไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับจินตนาการและการทดลองของคุณ เพราะต่อหน้าคุณคือโลกทั้งใบของเครื่องมือ Photoshop

คุณสามารถรับชมวิดีโอโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการสร้างการถ่ายภาพ HDR ได้ จริงอยู่ที่นี่เป็นบทเรียนที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ความคิดเห็น

1. อาเธอร์
   22 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 20:42 น

ขั้นตอนแรกมีความสำคัญมาก ซึ่งเป็นพื้นฐานสำหรับภาพ HDR ในอนาคต
ไปที่เมนู รูปภาพ > การปรับ > เงา/ไฮไลต์ และตั้งค่าต่อไปนี้:

จำนวนเงา:50%
ความกว้างของโทนสี 45%
รัศมี 44px
ปริมาณแสงสูง 67%
ความกว้างของโทนสี 65%
รัศมี 46px

ทำซ้ำเลเยอร์ (CTRL+J) และเปลี่ยนโหมดการผสมเลเยอร์เป็น Color Dodge การกระทำนี้จะทำให้สีมีความเข้มข้นขึ้นและทำให้ไฮไลท์ดูเป็นสีขาวบริสุทธิ์
ในขั้นตอนถัดไป พื้นที่เหล่านี้จะถูกกู้คืนด้วยการดำเนินการบางอย่าง

ทำซ้ำเลเยอร์ปัจจุบัน (CTRL+J) และเปลี่ยนโหมดการผสมเลเยอร์เป็น Linear Burn ภาพถ่ายถูกปกคลุมไปด้วยจุดด่างดำ? อย่ากลัวเลย
ตั้งค่าสี เบื้องหน้าเป็นสีดำและใช้คำสั่ง select > color range: fuziness=100 > OK
สร้างเลเยอร์มาสก์ (ไอคอนมีวงกลมสีแดงทำเครื่องหมายในแผงเลเยอร์ด้านล่าง) ตอนนี้สีดำหายไปแล้ว หากต้องการปรับความไม่สม่ำเสมอของภาพถ่ายให้เรียบขึ้น ให้เลือกเลเยอร์มาสก์แล้วใช้ฟิลเตอร์ > เกาส์เซียนเบลอ (ค่าตั้งแต่ 1 ถึง 5 ขึ้นอยู่กับภาพถ่าย)

ขั้นตอนต่อไปนั้นง่ายมาก ทำซ้ำเลเยอร์ “linear Burn” เปลี่ยนโหมดการผสมของเลเยอร์คัดลอกเป็น Overlay เลือกเลเยอร์มาสก์แล้วกด ctrl+i (เลือก > กลับด้าน) การกระทำนี้จะทำให้เงาที่สว่างเกินไปมืดลงและเพิ่มคอนทราสต์

ทีนี้มาปรับภาพอีกสักหน่อย เล่นกับความโปร่งใสของเลเยอร์ ค่าความโปร่งใสที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเลเยอร์ "โอเวอร์เลย์" จะอยู่ที่ประมาณ 40% และสำหรับเลเยอร์ "การเบิร์นเชิงเส้น" คือ 55%

ทำให้สีพื้นหน้าเป็นสีขาว ลองใช้คำสั่ง select > color range โดยมีค่า fuziness = 100 “มดคลาน” จะปรากฏในบริเวณที่มีแสง ทำซ้ำเลเยอร์แรกและย้ายสำเนาไปไว้บนเลเยอร์อื่นๆ เพิ่มเลเยอร์มาสก์ เลือกเลเยอร์มาสก์ แล้วใส่ filter > gaussian blur

คลิกที่ไอคอนที่มีวงกลมสีแดง และเลือกแผนที่ไล่ระดับสีจากเมนู นี่คือเลเยอร์การปรับที่จะเปลี่ยนสีในภาพถ่ายตามการไล่ระดับสีที่เลือก ทางด้านขวาของภาพ คุณจะเห็นการไล่ระดับสีที่ใช้กับภาพนี้ โหลดส่วนที่เลือกจากเลเยอร์มาสก์ “แสง” (Ctrl+คลิกบนเลเยอร์มาสก์ “แสง” คุณควรเปิดใช้งานเลเยอร์การไล่ระดับสีอยู่) กลับด้าน (เลือก > กลับด้าน) และคลิกที่ไอคอน “เพิ่มเลเยอร์มาสก์” เปลี่ยนโหมดการผสมของเลเยอร์ไล่ระดับสีเป็น แสงแข็ง และลดความทึบลงเป็น 72%