หนังสือ: เบอร์นาร์ด ชอว์ เบอร์นาร์ด ชอว์ การเล่น

เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2399 ที่เมืองดับลิน พ่อของเขาล้มเหลวในการทำธุรกิจติดเหล้า แม่ผิดหวังในชีวิตแต่งงานเริ่มสนใจร้องเพลง ชอว์ไม่ได้เรียนรู้อะไรเลยในโรงเรียนที่เขาเรียน แต่เขาเรียนรู้อะไรมากมายจากหนังสือภาพวาดของ Ch. ในหอศิลป์แห่งชาติไอริช

ตอนอายุสิบห้าปี ชอว์ได้งานเป็นเสมียนในบริษัทขายที่ดินแห่งหนึ่ง หนึ่งปีต่อมา เขากลายเป็นแคชเชียร์และดำรงตำแหน่งนี้เป็นเวลาสี่ปี ไม่สามารถเอาชนะความรังเกียจงานดังกล่าวได้เมื่ออายุได้ยี่สิบปีเขาจึงเดินทางไปลอนดอนเพื่ออยู่กับแม่ของเขาซึ่งหลังจากหย่าร้างกับสามีของเธอก็หาเลี้ยงชีพด้วยการเรียนร้องเพลง

ชอว์ซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มได้ตัดสินใจหาเลี้ยงชีพด้วยการเขียน และแม้ว่าบทความที่ส่งกลับมายังเขาด้วยความสม่ำเสมอที่น่าหดหู่ เขายังคงปิดล้อมห้องข่าวต่อไป บทความของเขาเพียงชิ้นเดียวที่ได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์โดยจ่ายให้ผู้เขียนสิบห้าชิลลิง - และนี่คือทั้งหมดที่ชอว์ได้รับจากปากกาในเก้าปี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาเขียนนวนิยายห้าเล่มที่ถูกปฏิเสธโดยสำนักพิมพ์ภาษาอังกฤษทั้งหมด

ในปี 1884 Shaw เข้าร่วม Fabian Society และในไม่ช้าก็กลายเป็นนักพูดที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง ในเวลาเดียวกันเขาได้ปรับปรุงการศึกษาในห้องอ่านหนังสือของ British Museum ซึ่งเขาได้พบกับนักเขียน W. Archer (1856-1924) ผู้แนะนำให้เขารู้จักกับสื่อสารมวลชน หลังจากทำงานเป็นนักข่าวอิสระมาระยะหนึ่ง ชอว์ได้งานเป็นนักวิจารณ์ดนตรีในหนังสือพิมพ์ภาคค่ำฉบับหนึ่ง หลังจากทำงานวิจารณ์ดนตรีหกปี ชอว์ทำงานเป็นเวลาสามปีครึ่งในฐานะนักวิจารณ์ละครเวทีสำหรับ Saturday Riviée ในช่วงเวลานี้ เขาตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับ H. Ibsen และ R. Wagner นอกจากนี้เขายังเขียนบทละคร (ชุด Plays Pleasant and Unpleasant - Plays: Pleasant and Unpleasant, 1898) หนึ่งในนั้นคือ Mrs. Warren's Profession (จัดแสดงครั้งแรกในปี 1902) ถูกห้ามโดยเซ็นเซอร์ อีกเรื่อง Let's wait and see (You Never Can Tell, 1895) ถูกปฏิเสธหลังจากการซักซ้อมหลายครั้ง รายการที่สาม Weapons and Man ( Arms and The Man, 1894) ไม่มีใครเข้าใจเลย นอกจากชื่อดังกล่าวแล้ว คอลเลกชั่นนี้ยังรวมถึงบทละครของ Candida (Candida, 1895), The Man of Destiny (1897), Widower's Houses (1892) และ Heartthrob ( The ฟิแลนเดอร์, 2436). จัดแสดงในอเมริกาโดย R. Mansfield The Devil's Disciple (1897) เป็นละครเรื่องแรกของ Shaw ซึ่งประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศ

ชอว์เขียนบทละคร เขียนบทวิจารณ์ ทำหน้าที่เป็นวิทยากรข้างถนนที่ส่งเสริมแนวคิดสังคมนิยม และนอกจากนี้ยังเป็นสมาชิกของสภาเขตเลือกตั้งเซนต์แพนคราสที่เขาอาศัยอยู่ ภาระที่มากเกินไปดังกล่าวทำให้สุขภาพทรุดโทรมลงอย่างมากและหากไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จาก Charlotte Payne-Townsend ซึ่งเขาแต่งงานในปี 2441 สิ่งต่าง ๆ อาจจบลงอย่างเลวร้าย ระหว่างการเจ็บป่วยที่ยืดเยื้อ ชอว์ได้เขียนบทละครของซีซาร์และคลีโอพัตรา (Caesar and Cleopatra, 1899) และการอุทธรณ์ของกัปตันบราสบาวด์ (Captain Brassbound's Conversion, 1900) ซึ่งผู้เขียนเองเรียกว่า "บทความทางศาสนา" Brasbound ได้รับการตีพิมพ์ใน บทละครสามเรื่องสำหรับพวกที่นับถือนิกายแบ๊ปทิสต์ในซีซาร์และคลีโอพัตรา บทละครเรื่องแรกของชอว์ที่นำเสนอบุคคลในประวัติศาสตร์ที่แท้จริง แนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับวีรบุรุษและวีรสตรีเปลี่ยนไปจนจำไม่ได้

หลังจากไม่ประสบความสำเร็จในเส้นทางการค้าภาพยนตร์ ชอว์ตัดสินใจสร้างละครเรื่องนี้ให้เป็นพาหนะแห่งปรัชญาของเขา โดยตีพิมพ์บทละคร Man and Superman (Man and Superman) ในปี 1903 อย่างไรก็ตาม ในปีถัดมา เวลาของเขาก็มาถึง นักแสดงหนุ่มเอช. Candida, Let's wait and see, John Bull's Other Island (เกาะอื่นของ John Bull, 1904), Man and Superman, Major Barbara (เมเจอร์บาร์บารา, 1905) และ The Doctor's Dilemma (1906)

ตอนนี้ชอว์ตัดสินใจเขียนบทละครโดยปราศจากการกระทำใดๆ การสนทนาเล่นเรื่องแรก การแต่งงาน (Getting Married, 1908) ประสบความสำเร็จในหมู่ปัญญาชน เรื่องที่สอง Misalliance (Misalliance, 1910) เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขา หลังจากยอมแพ้ Shaw ก็เขียนเรื่องเล็ก ๆ ในบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างเปิดเผย - Fanny's First Play (1911) ซึ่งแสดงบนเวทีของโรงละครเล็ก ๆ เป็นเวลาเกือบสองปี จากนั้น ราวกับว่าได้รับสัมปทานนี้ตามรสนิยมของผู้ชม ชอว์จึงสร้าง ผลงานชิ้นเอกที่แท้จริง - แอนโดรคลัสและสิงโต (Androcles and the Lion, 1913) ตามด้วยบทละคร Pygmalion (Pygmalion, 1914) จัดแสดงโดย G. Beerbom-Three ที่ His Majesty's Theatre โดยมี Patrick Campbell เป็น Eliza Doolittle

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชอว์เป็นบุคคลที่ไม่เป็นที่นิยมมากนัก สื่อมวลชน ประชาชน เพื่อนร่วมงานรุมด่าเขา และในขณะเดียวกันเขาก็เล่นละคร Heartbreak House (Heartbreak House, 1921) อย่างสงบและเตรียมบทพิสูจน์เพื่อมนุษยชาติ - Back to Methuselah (Back to Methuselah, 1923) ซึ่งเขาแต่งตัว ในรูปแบบที่น่าทึ่งของแนวคิดวิวัฒนาการของพวกเขา ในปี 1924 ชื่อเสียงกลับคืนสู่นักเขียน เขาได้รับการยอมรับไปทั่วโลกจากบทละครของเซนต์จอห์น (Saint Joan) ในสายตาของชอว์ Jeanne d'Arc เป็นผู้ประกาศลัทธิโปรเตสแตนต์และลัทธิชาตินิยมดังนั้นคำตัดสินที่คริสตจักรยุคกลางและระบบศักดินามอบให้เธอจึงเป็นเรื่องธรรมชาติ ในปี 1925 ชอว์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมซึ่งเขา ปฏิเสธที่จะรับ

บทละครสุดท้ายที่ทำให้ชอว์ประสบความสำเร็จคือ The Apple Cart (พ.ศ. 2472) ซึ่งเปิดเทศกาลมัลเวิร์นเพื่อเป็นเกียรติแก่นักเขียนบทละคร

ในปีที่คนส่วนใหญ่ไม่มีเวลาเดินทาง Shaw ไปเยือนสหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต แอฟริกาใต้ อินเดีย และนิวซีแลนด์ ในมอสโกที่ Shaw มาถึงพร้อมกับ Lady Astor เขาได้พูดคุยกับสตาลิน เมื่อพรรคแรงงานซึ่งนักเขียนบทละครทำมามากเข้ามามีอำนาจเขาได้รับตำแหน่งขุนนางและขุนนาง แต่เขาปฏิเสธทุกอย่าง ตอนอายุเก้าสิบนักเขียนตกลงที่จะเป็นพลเมืองกิตติมศักดิ์ของดับลินและเขตเซนต์แพนคราสในลอนดอนซึ่งเขาอาศัยอยู่ในวัยเยาว์

ภรรยาของชอว์เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2486 นักเขียนใช้เวลาหลายปีที่เหลืออยู่อย่างสันโดษใน Ayot-St. จนกระทั่งสิ้นอายุขัย ผู้เขียนยังคงมีจิตใจแจ่มใส ชอว์เสียชีวิตที่ Ayot St. Lawrence เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493

George Bernard Shaw เป็นนักเขียนบทละครชาวไอริชผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ผู้ประพันธ์บทละครและนวนิยายหลายเรื่อง

เด็กและเยาวชน

นักเขียนบทละครในอนาคตเกิดที่เมืองดับลิน เมืองหลวงของไอร์แลนด์ ในปี พ.ศ. 2399 คุณพ่อจอห์น ชอว์ค้าขายข้าว แต่ไม่นานก็ล้มละลายและค่อยๆ ติดเหล้า Mother Lucinda Shaw เป็นนักร้องมืออาชีพ นอกจากเบอร์นาร์ดแล้ว ยังมีเด็กอีกสองคนที่เติบโตในครอบครัว เด็กหญิงลูซินดา ฟรานเซสและเอลีนอร์ แอกเนส

เมื่อตอนเป็นเด็กเด็กชายเข้าเรียนที่วิทยาลัยดับลินเวสลีย์และตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปีในโรงเรียนโปรเตสแตนต์ซึ่งไม่ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับวิทยาศาสตร์ที่แน่นอน แต่เป็นการพัฒนาทางจิตวิญญาณของเด็ก ในเวลาเดียวกันคนเลี้ยงแกะไม่ได้ดูถูกการลงโทษทางร่างกายและทุบตีเด็ก ๆ ด้วยไม้เรียวซึ่งเชื่อกันว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาเท่านั้น

Young Bernard เกลียดโรงเรียนและระบบการศึกษาทั้งหมดเมื่อเขาเห็นมันจากโรงเรียน ต่อจากนั้น เขาจำได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเรียนที่แย่ที่สุด ถ้าไม่ใช่นักเรียนคนสุดท้ายในชั้นเรียน

ตอนอายุสิบห้าปี ชอว์ทำงานเป็นเสมียนในสำนักงานอสังหาริมทรัพย์ พ่อแม่ไม่มีเงินจ่ายค่าเรียนวิทยาลัยของลูกชาย แต่ความสัมพันธ์ในครอบครัวช่วยให้ชายหนุ่มมีตำแหน่งที่ดีในเวลานั้น หน้าที่ของเขารวมถึงการรวบรวมเงินเพื่อที่อยู่อาศัยจากคนยากจน ความทรงจำของช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้สะท้อนให้เห็นใน "บทละครที่ไม่พึงประสงค์" เรื่องหนึ่งที่เรียกว่า "บ้านแม่ม่าย"

เมื่อชายหนุ่มอายุได้สิบหกปี แม่ของเขาได้พาลูกสาวทั้งสองไปจากพ่อของเธอและเดินทางไปลอนดอน เบอร์นาร์ดอยู่กับพ่อของเขาในดับลิน ประกอบอาชีพด้านอสังหาริมทรัพย์ สี่ปีต่อมา ในปี พ.ศ. 2419 ชอว์ยังคงไปหาแม่ของเขาในลอนดอน ที่ซึ่งเขาได้รับการศึกษาและได้งานทำในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งของเมืองหลวง

การสร้าง

ในตอนแรก เมื่อมาถึงลอนดอน เบอร์นาร์ด ชอว์ไปเยี่ยมห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เพื่อเติมเต็มช่องว่างในการศึกษาของเขา แม่ของนักเขียนบทละครหาเลี้ยงชีพด้วยการสอนร้องเพลง ส่วนลูกชายของเธอจมดิ่งสู่ปัญหาสังคมและการเมือง

ในปี พ.ศ. 2427 ชอว์เข้าร่วมสมาคมฟาเบียน ซึ่งตั้งชื่อตามนายพลฟาบิอุสแห่งโรมัน ฟาบิอุสเอาชนะศัตรูด้วยความเชื่องช้า ความระมัดระวัง และความสามารถในการรอคอย แนวคิดหลักของ Fabians คือลัทธิสังคมนิยมเป็นประเภทเดียวที่เป็นไปได้ในการพัฒนาต่อไปของบริเตนใหญ่ แต่ประเทศต้องค่อยๆ มาถึงโดยไม่มีความหายนะและการปฏิวัติ

ในช่วงเวลาเดียวกันใน British Museum เบอร์นาร์ดชอว์ได้พบกับนักเขียน Archer หลังจากพูดคุยกับนักเขียนบทละครในอนาคตตัดสินใจลองใช้สื่อสารมวลชน เริ่มแรกเขาทำงานเป็นนักข่าวอิสระ จากนั้นทำงานเป็นนักวิจารณ์ดนตรีให้กับนิตยสาร London World เป็นเวลาหกปี หลังจากนั้นเขาเขียนคอลัมน์ละครสำหรับ Saturday Review เป็นเวลาสามปี

พร้อมกับสื่อสารมวลชน Shaw เริ่มเขียนนวนิยายซึ่งในเวลานั้นไม่มีใครรับหน้าที่จัดพิมพ์ ระหว่างปี พ.ศ. 2422 ถึง พ.ศ. 2426 เบอร์นาร์ด ชอว์ เขียนนวนิยาย 5 เล่ม โดยเรื่องแรกไม่ได้ตีพิมพ์จนกระทั่ง พ.ศ. 2429 ต่อจากนั้นนักวิจารณ์หลังจากวิเคราะห์การทดลองทางวรรณกรรมครั้งแรกของเบอร์นาร์ดชอว์ได้ข้อสรุปว่าพวกเขาแสดงคุณลักษณะที่สดใสซึ่งมีอยู่ในผลงานต่อไปของนักเขียนบทละคร: คำอธิบายสั้น ๆ ของสถานการณ์และบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง

เมื่อเขาเป็นนักวิจารณ์ละคร Shaw เริ่มสนใจงานของ Henrik Ibsen นักเขียนชาวนอร์เวย์ ในปีพ. ศ. 2434 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ The Quintessence of Ibsenism ซึ่งเขาได้แยกแยะลักษณะสำคัญของบทละครของนักเขียนบทละครชาวสแกนดิเนเวีย ในสมัยที่ชอว์ยังเยาว์วัย มีเพียงละครเท่านั้นที่ครองเวทีการแสดงละคร เช่นเดียวกับละครประโลมโลกและคอเมดี้เล็กน้อย ชอว์กล่าวว่า Ibsen กลายเป็นผู้ริเริ่มอย่างแท้จริงในบทละครของยุโรป ยกระดับไปสู่ระดับใหม่โดยเปิดเผยความขัดแย้งที่แหลมคมและการสนทนาระหว่างตัวละคร

ได้รับแรงบันดาลใจจากบทละครของ Ibsen ในปี 1885 Bernard Shaw ได้เขียน "บทละครที่ไม่พึงประสงค์" เรื่องแรกของเขาชื่อ The Widower's House เป็นที่เชื่อกันว่าชีวประวัติของ Shaw ในฐานะนักเขียนบทละครเริ่มต้นด้วยงานนี้ ยุคใหม่ของละครยุโรปก็ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ เฉียบคม เฉพาะประเด็น สร้างขึ้นจากความขัดแย้งและบทสนทนา ไม่ใช่จากการกระทำที่แข็งขันของตัวละคร

ตามมาด้วยบทละคร "เทปสีแดง" และ "วิชาชีพของนางวอร์เรน" ซึ่งทำให้อังกฤษยุควิกตอเรียที่แข็งกระด้างสั่นสะท้านด้วยลักษณะเฉพาะที่ไม่เปิดเผย การเสียดสี และความสัตย์จริง ตัวเอกของ "Mrs. Warren's Profession" เป็นโสเภณีที่หาเลี้ยงชีพด้วยงานฝีมือโบราณและจะไม่ละทิ้งวิธีการหารายได้นี้

สิ่งที่ตรงกันข้ามกับผู้หญิงที่ทุจริตในละครคือลูกสาวของเธอ เด็กสาวเมื่อได้เรียนรู้เกี่ยวกับแหล่งที่มาของรายได้ของแม่ เธอจึงออกจากบ้านไปหากินเองโดยสุจริต ในผลงานชิ้นนี้ ชอว์ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงลักษณะของนักปฏิรูปที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยหยิบยกหัวข้อใหม่สำหรับวรรณคดีและละครอังกฤษ ทั้งแบบเฉียบพลันและเฉพาะประเด็น การเมืองและสังคม เบอร์นาร์ด ชอว์ช่วยเติมเต็มประเภทของละครที่เหมือนจริงด้วยอารมณ์ขันและการเสียดสีที่ละเอียดอ่อน ต้องขอบคุณบทละครของเขาที่มีเสน่ห์และพลังในการนำเสนอที่ไม่ธรรมดา

หลังจากสร้างแบบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในช่วงเวลานั้นด้วย "บทละครที่ไม่น่าพอใจ" ชอว์จึงเปิดตัวชุด "บทละครที่ถูกใจ": "Arms and a Man", "The Chosen One of Fate", "Wait and see", "Candida"

"Pygmalion" เป็นหนึ่งในบทละครของเบอร์นาร์ด ชอว์ ซึ่งเป็นผลงานที่กว้างขวาง หลากหลายแง่มุม และซับซ้อน ซึ่งอุทิศให้กับหนังสือและเอกสารทางวิทยาศาสตร์หลายเล่ม ใจกลางของเรื่องราวคือชะตากรรมของคนขายดอกไม้ผู้น่าสงสาร เอลิซา ดูลิตเติ้ล และฮิกกิ้นส์ สุภาพบุรุษสังคมผู้สูงศักดิ์ผู้มั่งคั่ง ฝ่ายหลังต้องการสร้างผู้หญิงในสังคมชั้นสูงจากสาวดอกไม้ เช่นเดียวกับที่ Pygmalion ในตำนานสร้าง Galatea ของเขาจากเศษหินอ่อน

การเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งของ Eliza ช่วยเปิดเผยคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ ความเมตตาที่มีมาแต่กำเนิด ความสูงส่งของสาวดอกไม้ธรรมดา ความขัดแย้งในการ์ตูนระหว่างสุภาพบุรุษสองคนขู่ว่าจะกลายเป็นโศกนาฏกรรมของหญิงสาวที่พวกเขามองไม่เห็นความงามภายใน

งานสำคัญต่อไปของนักเขียนบทละครคือละครเรื่อง "House where Hearts Break" ซึ่งเขียนขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ชอว์กล่าวหากลุ่มปัญญาชนอังกฤษและสังคมอย่างแจ่มแจ้งว่าได้ทำให้ประเทศและยุโรปทั้งหมดจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของความหายนะและความสยดสยอง ในงานนี้อิทธิพลของ Ibsen ต่องานของ Shaw นั้นมีการติดตามอย่างชัดเจน ละครเสียดสีนำเสนอลักษณะพิสดาร อุปมาอุปไมย และสัญลักษณ์

สงครามยังยืนยันเบอร์นาร์ดชอว์ในความมุ่งมั่นของเขาต่อแนวคิดสังคมนิยม จนกระทั่งสิ้นสุดวันของเขา เขายังคงเชื่อว่าสังคมนิยมรัสเซียเป็นตัวอย่างสำหรับโลกที่ศิวิไลซ์ทั้งมวล และระบบสังคมและการเมืองของสหภาพโซเวียตเป็นระบบเดียวที่แท้จริงและถูกต้อง ในช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา ชอว์กลายเป็นผู้สนับสนุนอุดมการณ์ของระบอบสตาลินและได้ไปเยือนสหภาพโซเวียตในปี 2474

ในช่วงเวลาสั้น ๆ นักเขียนบทละครมีแนวโน้มที่จะคิดว่ามีเพียงเผด็จการเท่านั้นที่สามารถฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในสังคมและประเทศได้ แต่หลังจากเข้ามามีอำนาจในเยอรมนีเขาก็ละทิ้งความคิดนี้

ในปีพ. ศ. 2466 โลกได้เห็นสิ่งที่ดีที่สุดตามที่นักวิจารณ์และผู้ชื่นชมผลงานของเบอร์นาร์ดชอว์บทละคร "Saint Joan" ซึ่งอุทิศให้กับชีวิตการกระทำและความทุกข์ทรมานของ Joan of Arc บทละครต่อมา "Bitter but True", "Aground", "Millionaire", "Geneva" และอื่น ๆ ไม่ได้รับการยอมรับจากสาธารณชนในช่วงชีวิตของผู้เขียน

หลังจากการเสียชีวิตของเบอร์นาร์ด ชอว์ ละครต่างๆ ก็ถูกจัดแสดงโดยโรงละครในประเทศต่างๆ ซึ่งยังคงแสดงอยู่บนเวทีจนถึงทุกวันนี้ และผลงานบางชิ้นได้ค้นพบชีวิตใหม่ในวงการภาพยนตร์ ดังนั้นในปี 1974 ภาพยนตร์เรื่อง "Millionaireness" จากบทละครชื่อเดียวกันจึงออกฉายในสหภาพโซเวียต ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก บทบาทนี้แสดงโดย V. Osenev และนักแสดงคนอื่น ๆ

ชีวิตส่วนตัว

ในปี 1898 Bernard Shaw แต่งงานกับ Charlotte Payne-Townsend ผู้หญิงคนนั้นเป็นทายาทที่ร่ำรวย แต่เบอร์นาร์ดไม่สนใจเงินหลายล้านของเธอ ในปี 1925 เขาถึงกับปฏิเสธที่จะรับรางวัล และเอกอัครราชทูตอังกฤษ Arthur Duff ต้องรับเงิน ต่อจากนั้น เงินเหล่านี้ถูกใช้ไปในการสร้างกองทุนสำหรับนักแปล

กับชาร์ลอตต์ เบอร์นาร์ด ชอว์อยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนเป็นเวลาสี่สิบห้าปีจนกระทั่งเธอเสียชีวิต พวกเขาไม่มีลูก แน่นอน การแต่งงานไม่ได้สมบูรณ์แบบเสมอไป และมีการทะเลาะกันระหว่างชอว์กับภรรยาของเขา

ดังนั้นจึงมีข่าวลือว่าผู้เขียนหลงรักนักแสดงหญิงชื่อดัง Stella Patrick Campbell ซึ่งเขาเขียนเรื่อง "Pigmalion" ซึ่งเป็นการประดิษฐ์ Eliza Doolittle ที่น่ารัก

ความตาย

นักเขียนบทละครใช้ชีวิตช่วงครึ่งหลังในเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์ ซึ่งเขาและชาร์ลอตต์มีบ้านสองชั้นแสนสบายที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจี นักเขียนอาศัยและทำงานที่นั่นตั้งแต่ปี 2449 ถึง 2493 จนกระทั่งเสียชีวิต

ในช่วงบั้นปลายชีวิต ความสูญเสียเริ่มตามหลอกหลอนผู้เขียนทีละคนๆ ในปี 1940 สเตลล่าเสียชีวิต คนรักที่ไม่ได้พูดของเขา ซึ่งทำหน้าที่แทนนักเขียนบทละคร ในปี 1943 ชาร์ลอตต์ผู้ซื่อสัตย์เสียชีวิต ในช่วงเดือนสุดท้ายของชีวิต เบอร์นาร์ดล้มหมอนนอนเสื่อ เขาพบกับความตายอย่างกล้าหาญโดยมีสติสัมปชัญญะจนถึงที่สุด เบอร์นาร์ด ชอว์ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 ตามความประสงค์ของผู้เขียน ศพของเขาถูกเผา และเถ้าถ่านก็กระจัดกระจายไปพร้อมกับเถ้าถ่านของภรรยาที่รักของเขา

คำคมและคำพังเพย

• ถ้าคุณมีแอปเปิ้ล และฉันก็มีแอปเปิ้ล และถ้าเราแลกแอปเปิ้ลกัน คุณกับฉันจะมีแอปเปิ้ลอย่างละลูก และถ้าคุณมีความคิดและฉันมีแนวคิด และเราแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เราแต่ละคนจะมีสองความคิด
• บาปที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับเพื่อนบ้านไม่ใช่ความเกลียดชัง แต่เป็นความเฉยเมย นี่คือจุดสุดยอดของความไร้มนุษยธรรมอย่างแท้จริง
• สามีในอุดมคติคือผู้ชายที่เชื่อว่าเขามีภรรยาในอุดมคติ
• ใครทำได้ ใครทำไม่ได้ก็สอนคนอื่น

บรรณานุกรม

• "ยังไม่บรรลุนิติภาวะ (2422);
• "ปมที่ไม่ลงตัว" (2423);
• "ความรักในหมู่ศิลปิน" (2424);
• "อาชีพของ Cashel Byron" (2425);
• "ไม่ใช่สังคมนิยม" (2425)

จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์ เกิดที่ดับลินเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2399 โดยกำเนิดจอร์จ ชอว์ พ่อค้าธัญพืช และลูซินดา ชอว์ นักร้องอาชีพ เขามีพี่สาวสองคน: ลูซินดา ฟรานเซส นักร้องละครเวที และเอลีนอร์ แอ็กเนส ซึ่งเสียชีวิตด้วยวัณโรคเมื่ออายุ 21 ปี

Shaw เข้าเรียนที่ Wesley College Dublin และ Grammar School เขาได้รับการศึกษาระดับมัธยมศึกษาในดับลิน ตอนอายุสิบเอ็ดปี เขาถูกส่งไปโรงเรียนโปรเตสแตนต์ ซึ่งตามคำพูดของเขาเอง เขาคือนักเรียนคนสุดท้ายหรือคนสุดท้าย เขาเรียกโรงเรียนว่าเป็นขั้นตอนที่อันตรายที่สุดในการศึกษาของเขา: "ไม่เคยคิดเลยว่าฉันจะเตรียมบทเรียนหรือบอกความจริงกับศัตรูและเพชฌฆาตสากล - ครู" ระบบการศึกษาถูกวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยชอว์ว่าเน้นเรื่องจิตใจมากกว่าการพัฒนาจิตวิญญาณ ผู้เขียนวิพากษ์วิจารณ์ระบบการลงโทษทางร่างกายที่โรงเรียนเป็นพิเศษ ตอนอายุสิบห้าเขากลายเป็นเสมียน ครอบครัวไม่มีหนทางส่งเขาเรียนมหาวิทยาลัย แต่เส้นสายของลุงของเขาช่วยให้เขาได้งานที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของทาวน์เซนด์ หน้าที่อย่างหนึ่งของชอว์คือการเก็บค่าเช่าจากผู้ที่อาศัยอยู่ในสลัมดับลิน และความประทับใจอันน่าเศร้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็รวมอยู่ใน Widower's House ในเวลาต่อมา เขาเป็นเสมียนที่มีความสามารถพอสมควรแม้ว่าความน่าเบื่อของงานนี้ทำให้เขาเบื่อ เขาเรียนรู้ที่จะเก็บบัญชีอย่างเรียบร้อยและเขียนด้วยลายมือที่อ่านง่าย ทุกสิ่งที่เขียนด้วยลายมือของชอว์ (แม้แต่ในปีที่แล้ว) นั้นง่ายและน่าอ่าน สิ่งนี้ช่วยชอว์ได้ดีในภายหลังเมื่อเขากลายเป็นนักเขียนมืออาชีพ: ผู้เรียงพิมพ์ความเศร้าโศกไม่รู้ด้วยต้นฉบับของเขา เมื่อชอว์อายุ 16 ปี แม่ของเขาหนีออกจากบ้านพร้อมกับคนรักและลูกสาว เบอร์นาร์ดตัดสินใจไปอยู่กับพ่อที่ดับลิน เขาได้รับการศึกษาและกลายเป็นพนักงานในสำนักงานอสังหาริมทรัพย์ เขาทำงานนี้มาหลายปีแล้วแม้ว่าเขาจะไม่ชอบก็ตาม

ในปี 1876 Shaw ไปอยู่กับแม่ของเขาในลอนดอน ครอบครัวต้อนรับเขาอย่างอบอุ่น ในช่วงเวลานี้เขาเยี่ยมชมห้องสมุดสาธารณะและพิพิธภัณฑ์ เขาเริ่มทำงานอย่างหนักในห้องสมุดและสร้างผลงานชิ้นแรกของเขา และหลังจากนั้นก็เป็นผู้นำคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับดนตรีโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตาม นิยายเรื่องแรกๆ ของเขาไม่ประสบความสำเร็จจนกระทั่งปี 1885 เมื่อเขากลายเป็นที่รู้จักในฐานะนักวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์

ในช่วงครึ่งแรกของปี 1890 เขาทำงานเป็นนักวิจารณ์ให้กับ London World ซึ่ง Robert Hichens เข้ามารับตำแหน่งแทน

ในเวลาเดียวกัน เขาเริ่มสนใจแนวคิดทางสังคมประชาธิปไตยและเข้าร่วมกับ Fabian Society ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างลัทธิสังคมนิยมด้วยสันติวิธี ในสังคมนี้เขาได้พบกับภรรยาในอนาคตของเขา Charlotte Paine-Townshend ซึ่งเขาแต่งงานในปี 2441 เบอร์นาร์ด ชอว์มีเส้นสายด้านข้าง

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานักเขียนบทละครอาศัยอยู่ในบ้านของเขาเองและเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 94 ปีจากภาวะไตวาย ร่างของเขาถูกเผาและเถ้าถ่านของเขากระจัดกระจายไปพร้อมกับภรรยาของเขา

การแสดงของจอร์จ เบอร์นาร์ด(1856-1950)

George Bernard Shaw - นักเขียนบทละครชาวอังกฤษเชื้อสายไอริชหนึ่งในผู้ก่อตั้ง "ละครแห่งความคิด" นักเขียน นักเขียนเรียงความ หนึ่งในผู้ปฏิรูปศิลปะการแสดงละครแห่งศตวรรษที่ 20 รองจากเชคสเปียร์ นักเขียนบทละครที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับสองในโรงละครอังกฤษ รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม ผู้ชนะรางวัล "ออสการ์"
เขาเกิดในไอริชดับลินเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 วัยเด็กของนักเขียนในอนาคตถูกบดบังด้วยการติดเหล้าของพ่อของเขาความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่ของเขา เช่นเดียวกับเด็กทุกคน เบอร์นาร์ดไปโรงเรียน แต่เรียนรู้บทเรียนหลักในชีวิตจากหนังสือที่เขาอ่านและเพลงที่เขาฟัง ในปี พ.ศ. 2414 หลังจากจบการศึกษา เขาเริ่มทำงานในบริษัทขายที่ดินแห่งหนึ่ง หนึ่งปีต่อมาเขาเข้ารับตำแหน่งแคชเชียร์ แต่สี่ปีต่อมา เขาเกลียดงาน เขาย้ายไปลอนดอน: แม่ของเขาอาศัยอยู่ที่นั่นโดยหย่าร้างกับพ่อของเธอ ตั้งแต่อายุยังน้อย Shaw มองตัวเองว่าเป็นนักเขียน แต่บทความที่เขาส่งไปยังกองบรรณาธิการต่าง ๆ ไม่ได้รับการตีพิมพ์ เป็นเวลา 9 ปีที่เขาได้รับเพียง 15 ชิลลิงซึ่งเป็นค่าธรรมเนียมสำหรับบทความเดียวจากการเขียนแม้ว่าในช่วงเวลานี้เขาจะเขียนนวนิยายมากถึง 5 เล่มก็ตาม
ในปี 1884 B. Shaw เข้าร่วม Fabian Society และหลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับชื่อเสียงในฐานะนักพูดที่มีพรสวรรค์ การเยี่ยมชมห้องอ่านหนังสือของบริติชมิวเซียมเพื่อการศึกษาด้วยตนเอง เขาได้พบกับดับเบิลยู. อาร์เชอร์ และขอบคุณที่เขาได้มีส่วนร่วมในงานสื่อสารมวลชน หลังจากทำงานเป็นนักข่าวอิสระครั้งแรก ชอว์ทำงานเป็นนักวิจารณ์ดนตรีเป็นเวลาหกปี จากนั้นทำงานให้กับ Saturday Review ในตำแหน่งนักวิจารณ์ละครเป็นเวลาสามปีครึ่ง บทวิจารณ์ที่เขียนโดยเขาประกอบด้วยคอลเลกชันสามเล่ม“ Our Theatre of the Nineties” ซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2475 ในปี พ.ศ. 2434 มีการเผยแพร่แถลงการณ์สร้างสรรค์ดั้งเดิมของชอว์ซึ่งเป็นบทความขนาดยาวเรื่อง“ The Quintessence of Ibsenism” ซึ่งผู้เขียนได้แสดง ทัศนคติเชิงวิพากษ์ต่อสุนทรียภาพร่วมสมัยและความเห็นอกเห็นใจต่อละครที่ฉายให้เห็นความขัดแย้งของธรรมชาติทางสังคม
การเปิดตัวครั้งแรกของเขาในสาขาการละครคือละครเรื่อง "Widower's House" และ "Mrs. Warren's Profession" (พ.ศ. 2435 และ พ.ศ. 2436 ตามลำดับ) พวกเขาตั้งใจให้จัดแสดงในโรงละครอิสระซึ่งเป็นสโมสรปิด ดังนั้นชอว์จึงกล้าแสดงแง่มุมของชีวิตที่ศิลปะร่วมสมัยของเขามองข้ามไป งานเหล่านี้และงานอื่น ๆ รวมอยู่ในวงจร "การเล่นที่ไม่พึงประสงค์" ในปีเดียวกันก็มีการเปิดตัว "Pleasant Plays" และ "ตัวแทน" ของวงจรนี้ก็เริ่มเข้าสู่เวทีของโรงละครในเมืองใหญ่ในช่วงปลายยุค 90 ความสำเร็จครั้งใหญ่ครั้งแรกนำมาโดย The Devil's Disciple ที่เขียนขึ้นในปี 1897 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรอบที่สาม - Plays for the Puritans
ชั่วโมงที่ดีที่สุดของนักเขียนบทละครเกิดขึ้นในปี 2447 เมื่อผู้นำของ Kord Theatre เปลี่ยนและรวมบทละครของเขาไว้ในละครโดยเฉพาะ Candida, Major Barbara, Man and Superman และอื่น ๆ ชื่อเสียงของผู้แต่งที่กล้าหาญ จัดการด้วยศีลธรรมสาธารณะและความคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ล้มล้างสิ่งที่ถือว่าเป็นสัจพจน์ ก่อตั้งขึ้น การมีส่วนร่วมในคลังทองคำของละครคือความสำเร็จที่โด่งดังของ Pygmalion (1913)
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เบอร์นาร์ด ชอว์ต้องฟังคำพูดที่ไม่ยกยอและการดูถูกเหยียดหยามโดยตรงจากผู้ชม นักเขียน หนังสือพิมพ์และนิตยสาร อย่างไรก็ตาม เขายังคงเขียนต่อไป และในปี พ.ศ. 2460 ประวัติความคิดสร้างสรรค์ของเขาก็เริ่มขึ้นในเวทีใหม่ โศกนาฏกรรม "Saint Joan" ซึ่งจัดแสดงในปี 1924 ทำให้ B. Shaw กลับคืนสู่ความรุ่งเรืองในอดีต และในปี 1925 เขาก็กลายเป็นผู้ชนะรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมและปฏิเสธองค์ประกอบทางการเงิน
อายุมากกว่า 70 ปีในช่วง 30 ปี รายการไปเที่ยวรอบโลก เยือนอินเดีย แอฟริกาใต้ นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา นอกจากนี้เขายังไปเยือนสหภาพโซเวียตในปี 2474 ในเดือนกรกฎาคมของปีนั้นเขาได้พบกับสตาลินเป็นการส่วนตัว ในฐานะนักสังคมนิยม Shaw ยินดีอย่างจริงใจต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศของโซเวียตและกลายเป็นผู้สนับสนุนลัทธิสตาลิน หลังจากที่พรรคแรงงานเข้ามามีอำนาจ บี. ชอว์ได้รับข้อเสนอให้ดำรงตำแหน่งขุนนางและขุนนาง แต่เขาปฏิเสธ ต่อมาเขาตกลงรับสถานะพลเมืองกิตติมศักดิ์ของดับลินและหนึ่งในเขตลอนดอน
B. Shaw เขียนถึงวัยชรา บทละครเรื่องสุดท้าย "Billions of Bayant" และ "Fititious Fables" เขาเขียนในปี 2491 และ 2493 นักเขียนบทละครชื่อดังเสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2493 โดยยังคงมีสติสมบูรณ์
ที่มา http://www.wisdoms.ru/avt/b284.html

ปีแห่งชีวิต:ตั้งแต่ 07/26/1856 ถึง 11/02/1950

นักเขียนชาวไอริชและอังกฤษดีเด่น นักเขียนร้อยแก้ว นักเขียนบทละคร นักวิจารณ์ดนตรีและละคร บุคคลสาธารณะ นักเขียนบทละครที่พูดภาษาอังกฤษได้ซึ่งได้รับความนิยมมากเป็นอันดับสอง (รองจากเชกสเปียร์) เขามีส่วนสนับสนุนอันล้ำค่าต่อวงการละครอังกฤษและโลก ผู้ได้รับรางวัลโนเบล. เขายังเป็นที่รู้จักในด้านไหวพริบและการยึดมั่นในมุมมองแบบสังคมนิยม

George Bernard Shaw เกิดที่เมืองดับลิน พ่อของชอว์ซึ่งเป็นข้าราชการตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจค้าข้าว แต่เหนื่อยหน่ายและติดสุรา แม่ของนักเขียนเป็นนักร้องและนักดนตรีสมัครเล่น เด็กชายเรียนที่บ้านเป็นอันดับแรกจากนั้นไปที่โรงเรียนคาทอลิกและโปรเตสแตนต์หลังจากนั้นเมื่ออายุสิบหกปีเขาได้งานเป็นเสมียนใน บริษัท ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเขาทำงานเป็นเวลาสี่ปี ในปี พ.ศ. 2416 พ่อแม่ของชอว์หย่าร้างกัน และแม่ของเขาย้ายไปลอนดอน สามปีต่อมา เบอร์นาร์ดเข้าร่วมกับพวกเขาและตัดสินใจเป็นนักเขียน อย่างไรก็ตาม บทความทั้งหมดของเขาถูกส่งคืนโดยบรรณาธิการ และไม่มีนวนิยายทั้งห้าเล่มของชอว์ได้รับการตีพิมพ์ ในเวลานี้ นักเขียนต้องพึ่งพารายได้อันน้อยนิดของแม่ซึ่งเป็นผู้ให้บทเรียนดนตรี ในปี พ.ศ. 2425 ชอว์หันเข้าหาปัญหาสังคมและกลายเป็นนักสังคมนิยมที่เชื่อมั่น ในปี 1884 นักเขียนบทละครได้เข้าร่วม Fabian Society ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเผยแพร่แนวคิดสังคมนิยม ชอว์กลายเป็นสมาชิกที่กระตือรือร้นของสังคม โดยมักบรรยายสามครั้งต่อสัปดาห์ ในเวลาเดียวกัน ชอว์ได้พบกับนักวิจารณ์ละคร ดับบลิว อาร์เชอร์ ซึ่งเขาแนะนำให้ชอว์เป็นนักข่าวอิสระก่อน จากนั้นจึงเป็นผู้เขียนบทวิจารณ์ดนตรีและละคร (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2429) ในสิ่งพิมพ์เช่น "โลก" รายสัปดาห์ ("โลก" ), "หนังสือพิมพ์ Pall Mall" ("Pall Mall Gazette"), หนังสือพิมพ์ "Star" ("Star") งานเขียนที่สำคัญของชอว์ทำให้เขาได้รับความนิยมและเป็นอิสระทางการเงิน ในปี พ.ศ. 2438 นายชอว์กลายเป็นนักวิจารณ์ละครในนิตยสาร "Saturday Review" ของลอนดอน ("Saturday Review") ชอว์เริ่มสนใจโรงละครมากขึ้นเรื่อย ๆ เขียนผลงานหลายชิ้นเกี่ยวกับ G. Ibsen และ R. Wagner และในปี 1892 ละครเรื่องแรกของ Shaw "Widower's Houses" ("Widowers" Houses ") ละครไม่ประสบความสำเร็จ และถูกถอนออกหลังจากการแสดง 2 รอบ บทละครที่ตามมาอีกหลายบทโดยนักเขียนบทละครก็กลายเป็นเรื่องล้ำค่าเช่นกัน ผู้กำกับปฏิเสธที่จะแสดงบทนี้ และแม้แต่ "Mrs Warren's Profession" ก็ถูกเซ็นเซอร์ห้ามด้วยซ้ำ (บทละครเกี่ยวกับการค้าประเวณี) รายการนี้เผยแพร่ผลงานโดยออกค่าใช้จ่ายเอง ในปี 1898 Shaw แต่งงานกับ Charlotte Payne Townsend ผู้ใจบุญชาวไอริชและนักสังคมสงเคราะห์ที่ให้การสนับสนุนเขาอย่างมาก ชื่อเสียงมาถึงนักเขียนบทละครในปี 1904 เมื่อบทละครของเขากลายเป็นพื้นฐานของละครของ London Royal Court Theatre ซึ่งแสดงโดย D Vedrenn และ Harley Grenville-Barker ผู้ถ่ายทำโรงละครแห่งนี้ เป็นเวลาสามฤดูกาล (พ.ศ. 2447-2550) บทละครที่สำคัญที่สุดของนักเขียนบทละครเกือบทั้งหมดเล่นที่โรงละครรอยัลคอร์ท พร้อมกันกับคำสารภาพของชอว์ ข้อกล่าวหาเรื่อง "ความจริงจังไม่เพียงพอ" และความตลกขบขันเริ่มดังขึ้น ตอลสตอย. ชอว์เองเขียนบทละครที่ "จริงจัง" มากขึ้นเรื่อย ๆ เต็มไปด้วยแนวคิดทางปรัชญาดังนั้นจึงได้รับความนิยมจากสาธารณชนน้อยลงเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง มุมมองต่อต้านสงครามของชอว์ (ซึ่งเขาไม่ลังเลที่จะแสดงออก) ทำให้นักเขียนบทละครถูกปฏิเสธอย่างรุนแรงจากสื่อมวลชนและเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ หลังจากเรียงความเรื่อง "สงครามจากมุมมองของสามัญสำนึก" ซึ่งนักเขียนบทละครวิพากษ์วิจารณ์ทั้งอังกฤษและเยอรมนีเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศเจรจากันโดยเยาะเย้ยความรักชาติที่ตาบอด Shaw ถูกไล่ออกจาก Dramatists' Club ในยุค 20 ศตวรรษที่ XX ผลงานของชอว์กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง ในช่วงเวลานี้บทละครที่มีความขัดแย้งและซับซ้อนที่สุดของชอว์คือ "Back to Methuselah" ("Back to Methuselah", 1922) รวมถึงโศกนาฏกรรมเรื่องเดียวในละครของเขา: "Saint Joan" ("Saint Joan", 1924) เกี่ยวกับ Jeanne D'Arc ในปี พ.ศ. 2469 รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมประจำปี พ.ศ. 2468 ตกเป็นของชอว์ "สำหรับผลงานที่โดดเด่นด้วยอุดมคติและมนุษยนิยม สำหรับการเสียดสีที่ระยิบระยับ ชอว์ปฏิเสธส่วนที่เป็นตัวเงินของรางวัลโนเบลและสั่งให้จัดตั้งกองทุนวรรณกรรมแองโกล-สวีเดนสำหรับนักแปลโดยเฉพาะนักแปลของสตรินเบิร์ก ในปี พ.ศ. 2471 ชอว์ออกหนังสือ The Smart Woman's Guide สู่ลัทธิสังคมนิยมและทุนนิยม ( "คู่มือสตรีอัจฉริยะเพื่อสังคมนิยมและทุนนิยม") - วาทกรรมในหัวข้อการเมืองและเศรษฐกิจ และในปี 2474 นักเขียนบทละครได้ไปเยือนสหภาพโซเวียตและพบกับสตาลิน ชอว์ยังคงเป็นนักสังคมนิยมอย่างแข็งขันตลอดชีวิตของเขาและ สนับสนุนสหภาพโซเวียตอย่างมาก โดยถือว่าภรรยาของชอว์ต้นแบบเสียชีวิตในปี 2486 หลังจากนั้นนักเขียนบทละครย้ายจากลอนดอนไปที่บ้านของเขาในเฮิร์ตฟอร์ดเชียร์ ซึ่งเขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสันโดษ ชอว์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2493 ขณะอายุ จาก 94

การออกเสียงนามสกุล Shaw ที่ถูกต้องคือ "Sho" อย่างไรก็ตามการออกเสียง "Show" ได้กลายเป็นที่ยึดมั่นในประเพณีการพูดภาษารัสเซีย

จากการแสดง 988 ครั้งที่เล่นที่ Royal Court Theatre ระหว่างปี พ.ศ. 2447 ถึง พ.ศ. 2450 701 ครั้งขึ้นอยู่กับผลงานของชอว์

เพื่อตอบสนองต่อวลี "การแสดงเป็นตัวตลก" V.I. เลนินกล่าวว่า: "ในรัฐกระฎุมพี เขาอาจจะเป็นตัวตลกสำหรับชนชั้นนายทุน แต่ในการปฏิวัติเขาจะไม่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตัวตลก"

B. Shaw กลายเป็นนักเขียนคนแรกที่ปฏิเสธรางวัลโนเบล

B. Shaw เป็นบุคคลเดียวที่ได้รับทั้งรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมและรางวัลออสการ์ในเวลาเดียวกัน

ด้วยอารมณ์ขันที่ยอดเยี่ยมและจิตใจที่หวงแหน Shaw กลายเป็นผู้ประพันธ์คำพังเพยมากมาย

รางวัลนักเขียน

(1925)
รางวัลออสการ์สาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (พ.ศ. 2481)

บรรณานุกรม

วงจร "การเล่นที่ไม่พึงประสงค์"
บ้านแม่ม่าย (2428-2435)
อกหัก (2436)
อาชีพของนางวอร์เรน (พ.ศ. 2436-2437)

รอบ "เล่นสนุก"
แขนและชาย (2437)
แคนดิดา (2437-2438)
Destiny's Chosen One (พ.ศ. 2438)
มารอดูกัน (2438-2439)

วัฏจักร "สามชิ้นสำหรับพวกที่นับถือนิกายแบ๊ปทิสต์"
สาวกปีศาจ (2439-2440)
(1898)
การเปลี่ยนแปลงของกัปตัน Brasbound (2442)

Magnificent Bashvil หรือความมั่นคงที่ไม่ได้รับผลตอบแทน" (1901)
มนุษย์กับซูเปอร์แมน (2444-2446)
เกาะอื่นของ John Bull (1904)
เขาโกหกสามีของเธออย่างไร (2447)
พันตรีบาร์บารา (2449)
แพทย์ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก (2449)
สลับฉากในโรงละคร (2450)
การแต่งงาน (2451)
เปิดเผย Blanco Posnet (1909)

วงจร "Tomfoolery and trinkets"
ความหลงใหล ยาพิษ การทำให้กลายเป็นหิน หรือแก๊สโซเจนร้ายแรง (1905)
หนังสือพิมพ์ (2452)
เด็กที่มีเสน่ห์ (2452)
บิตของความเป็นจริง (1909)

จำนวนการผลิตละครของชอว์ไม่สามารถคำนวณได้ รายการดัดแปลงผลงานของนักเขียนบทละครบนเว็บไซต์ Kinopoisk ประกอบด้วยภาพยนตร์และภาพยนตร์โทรทัศน์ 62 เรื่อง
การดัดแปลงหน้าจอที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ:
Pygmalion (1938, สหราชอาณาจักร) ผบ. อี. เอสควิท, แอล. โฮเวิร์ด. บี. ชอว์เป็นผู้เขียนบทและได้รับรางวัลออสการ์
My Fair Lady (พ.ศ. 2507 สหรัฐอเมริกา) ผู้อำนวยการ เจ. คูคอร์. ดัดแปลงจากบทละคร Pygmalion ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับ 8 รางวัลออสการ์ รวมถึงรางวัลหลัก "ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม"

การดัดแปลงภาพยนตร์ในประเทศ:
เขาโกหกสามีอย่างไร (พ.ศ. 2499) ผบ. T. Berezantseva
พิกมาเลียน (1957) ผบ. เอส. อเล็กเซเยฟ
กาลาเทีย (2520) ผบ. อ. เบลินสกี้. ภาพยนตร์บัลเล่ต์ที่สร้างจากบทละคร "Pygmalion"
โศกเศร้าไร้ความรู้สึก (2529) ผบ. อ. โซคุรอฟ ภาพยนตร์แฟนตาซีที่สร้างจากละครเรื่อง Heartbreak House