ข้อมูลโดยย่อของท่านศาสดามูฮัมหมัด ชีวประวัติโดยย่อของศาสดามูฮัมหมัด

คนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าทุกศาสนานำมาซึ่งความดีเท่านั้น มีแต่ความสงบสุขและความรัก เชื่อว่าพระเยซู มูฮัมหมัด พุทธะ และผู้ก่อตั้งศาสนาอื่นๆ เป็นครูบางประเภทที่นำความรู้ใหม่ๆ เข้ามาสู่โลกเกี่ยวกับบางสิ่งที่สูงส่งและประเสริฐ คนที่คุ้นเคยกับศาสนาคริสต์อาจคิดว่ามูฮัมหมัด ผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับพระเยซู ได้เดินทาง สอนผู้คนในเรื่องความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ และเช่นเดียวกับที่ศาสนาคริสต์มีพระคัมภีร์ อิสลามก็มีคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งอธิบายเคล็ดลับมากมายในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและ ความสามัคคี. น่าเสียดายที่นี่ไม่ใช่กรณี การดูชีวประวัติของศาสดาพยากรณ์ก็เพียงพอแล้วที่จะมั่นใจในเรื่องนี้ ชีวประวัติของเขาสามารถเข้าถึงได้และหาง่าย ฉันเอามาที่นี่ http://crimean.org/islam/kitap_read.asp?KitapID=61 ยิ่งไปกว่านั้น เชื่อกันว่าในช่วงชีวิตของเขา มีผู้คนประมาณ 40 คนติดตามมูฮัมหมัด บันทึกทุกย่างก้าวของเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะสงสัยความจริงของเรื่องราวชีวิตของเขา .... ควรพึ่งพาความจริงที่ว่ามีการบันทึกอย่างถูกต้องและครบถ้วน
เราเห็นว่าในตอนแรกแม้นบีมูฮัมหมัดจะไม่มีชุมชนที่เข้มแข็ง และมุสลิมก็ไม่ได้เข้มแข็งมากนัก เขาก็ประพฤติตนค่อนข้างเงียบๆ เรียกร้องให้มีสันติภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างสันติของคนต่างศาสนา แต่เริ่มจากช่วงเวลาหนึ่งที่เกือบจะไม่มีผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมเหลืออยู่ในเมดินา และ “เมดินากับสภาพแวดล้อมโดยรอบกลายเป็นรัฐอธิปไตยที่เป็นอิสระ คำสุดท้ายที่เป็นของชาวมุสลิมและถูกนำโดยท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์” ชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเริ่มต้นขึ้น บทต่อไปจะเป็นดังนี้:

“ความถูกต้องตามกฎหมายของการปฏิบัติการรบ

ในสภาวะที่เป็นอันตรายเหล่านี้ อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจทรงประทานการอนุญาตของพระองค์ในการปฏิบัติการทางทหารต่อกุเรช และเมื่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่เปลี่ยนไป สิ่งที่ได้รับอนุญาตในตอนแรกเท่านั้นจึงถูกบังคับใช้กับชาวมุสลิม และเริ่มบังคับใช้ไม่เพียงแต่กับกุเรชเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ผู้นับถือพระเจ้าหลายองค์คนอื่นๆ ทั้งหมด
ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องราวของเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่เรื่องเสียหายที่จะกล่าวถึงขั้นตอนเหล่านั้นในการพัฒนาสถานการณ์โดยย่อ หลังจากนั้นมติที่กล่าวมาข้างต้นก็กลายเป็นภาระผูกพันสำหรับชาวมุสลิม
ในขั้นแรกของการต่อสู้กับผู้นับถือพระเจ้าหลายองค์ ความรับผิดชอบเหล่านี้คือ:
1. การปฏิบัติต่อผู้นับถือพระเจ้าหลายองค์จากชนเผ่า Quraysh ในฐานะพรรคสงครามเนื่องจากพวกเขาเป็นผู้เริ่มทะเลาะกับชาวมุสลิมอันเป็นผลมาจากการที่ฝ่ายหลังได้รับสิทธิ์ในการปฏิบัติการทางทหารต่อพวกเขาและริบทรัพย์สินของพวกเขาแม้ว่าในตอนแรก สิทธินี้ไม่ได้ขยายไปถึงผู้นับถือพระเจ้าหลายองค์คนอื่นๆ
2. การต่อสู้ต่อต้านผู้นับถือพระเจ้าหลายองค์ทุกคนที่ช่วยเหลือ Quraysh และเป็นพันธมิตรกับพวกเขา เช่นเดียวกับชนเผ่าใดๆ ที่โจมตีชาวมุสลิมอย่างอิสระ และไม่ใช่พันธมิตรของ Quraysh
3. การดำเนินการทางทหารต่อชาวยิวที่กระทำการทรยศอย่างเปิดเผยหรือการสมรู้ร่วมคิดอย่างลับๆ กับชาวกุเรช หลังจากสรุปข้อตกลงกับท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ขออัลลอฮฺทรงอวยพรเขาและประทานสันติสุขแก่เขา
4. การต่อสู้กับคนเหล่านั้นในคัมภีร์ เช่น คริสเตียน ซึ่งจะเป็นคนแรกที่เริ่มการกระทำที่เป็นศัตรูกับมุสลิม ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กับพวกเขาจนกว่าพวกเขาจะตกลงจ่ายจิซยา (ภาษีการเลือกตั้ง) และเริ่มแสดงการยอมจำนนอีกครั้ง
5. การปฏิเสธที่จะทำร้ายผู้ที่นับถือพระเจ้าหลายองค์ ชาวยิว คริสเตียน หรือใครก็ตามที่รับอิสลาม หลังจากนั้นชีวิตและทรัพย์สินของคนเหล่านั้นก็ละเมิดไม่ได้ เว้นแต่บุคคลนั้นจะฝ่าฝืนกฎหมายของศาสนาอิสลาม เนื่องจากหลังจากรายงานนี้ อัลลอฮ์เท่านั้นที่สามารถเรียกร้องได้ ”

บทต่อไปนี้พูดเพื่อตัวเอง พวกเขาถูกเรียกว่า: "ป้อมรบและการรณรงค์ทางทหาร", "การต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ของ BADRA", "การต่อสู้และการรบ", "การสูญเสียทั้งสองฝ่าย", "ผลของการต่อสู้จะได้เรียนรู้ในเมกกะและเมดินา", "THE ปัญหาของนักโทษ”, “แคมเปญของ SAVIK”, “ทีมที่ส่งไปยังอัลกอราดา”, “การต่อสู้ของ UKHUD”, “การเปลี่ยนแปลงวันและสงครามมีความหลากหลาย”, “แคมเปญสู่ HAMRA AL-ASAD”, ​​“เหตุการณ์ที่แตกต่างกัน และการรณรงค์ทางทหาร", "การรณรงค์ครั้งที่สองสู่ BADR" , "การต่อสู้ที่คูน้ำ" และอื่น ๆ : "การฆาตกรรม", "การต่อสู้", "นักโทษ", โจร ", "การรณรงค์", "การปลดประจำการ" และเงื่อนไขทางทหารอื่น ๆ

ไม่มีอะไรใกล้เคียงเลย: “ถ้าโดนแก้มซ้ายก็ให้เลี้ยวขวา”…. ดูเหมือนว่ามูฮัมหมัดจะเป็นผู้นำทางทหารที่ค่อนข้างโหดเหี้ยม ซึ่งอาจมีหลายคนในคริสตศตวรรษที่ 7 อ่านเรื่องราวชีวิตของมูฮัมหมัดและเปรียบเทียบกับเรื่องราวชีวิตของพระเยซู เป็นต้น ความแตกต่างนั้นไม่ธรรมดา บางทีในเวลานั้นพฤติกรรมดังกล่าว สงครามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการยึดของโจร ตัวประกันและนางสนมเป็นสิ่งที่คุ้นเคยและถูกมองข้าม ฉันแน่ใจว่ามูฮัมหมัดไม่ได้อยู่คนเดียวในเรื่องนี้ ในเวลานั้น ผู้ที่มีกองทัพที่แข็งแกร่งกว่านั้นพูดถูก แต่สิ่งนี้เกี่ยวอะไรกับพื้นฐานของ “ศาสนาที่สงบสุข”? และเกี่ยวอะไรกับการวางศาสนาอิสลามไว้บนกระดานเดียวกันกับศาสนาอื่น? ลองคิดดูสิ

คำคม: 1. ศรัทธาเป็นพยานด้วยใจ พูดด้วยลิ้น และยืนยันด้วยการกระทำแห่งกาย 2. มุสลิมคือผู้ที่ไม่เคยทำร้ายผู้อื่นด้วยลิ้นหรือมือ 3. ทุกส่วนของมนุษย์จะต้องบริจาคทาน ทุกวันตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้น 4. ห้ามใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่น และห้ามใช้ความรุนแรงต่อตนเอง 5. หากสิ่งที่ฉันทำเพื่อประโยชน์ของฉันและศรัทธาของฉัน ชีวิตของฉันบางครั้ง งานของฉันก็ง่ายดายและเป็นสุข 6. ปฏิบัติต่อพ่อแม่อย่างศักดิ์สิทธิ์ แล้วคุณจะเห็นพระคุณจากลูกๆ ของคุณ จงบริสุทธิ์ต่อภรรยาของคุณ แล้วพวกเขาจะบริสุทธิ์ต่อคุณ! 7. มีเพียงชายผู้สูงศักดิ์เท่านั้นที่ให้เกียรติผู้หญิง แต่มีเพียงคนวายร้ายเท่านั้นที่ทำให้เธอขายหน้า! 8. เคารพผู้หญิง พวกเขาคือแม่ ภรรยา และน้องสาวของคุณ 9. ผู้ที่รู้จักตนเองย่อมรู้จักพระเจ้าของตน 10. ผู้รู้ความจริงและปฏิบัติตามย่อมปลอดภัย 11. ผู้ที่ไม่เมตตาตนเองก็จะไม่มีความเมตตา! 12. ความมั่งคั่งที่แท้จริงคือความมั่งคั่งของจิตวิญญาณ 13. เขาไม่ใช่คนตาบอดที่ตาไม่เห็น แต่เขาตาบอดที่จิตใจมืดบอด 14. คุณไม่สามารถก่อความชั่วแก่ผู้คนหรือชดเชยด้วยความชั่วได้ 15. การมีความจริงใจและซื่อสัตย์ถือเป็นความยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ความสำเร็จ:

ตำแหน่งทางสังคม:มูฮัมหมัดเป็นครูสอนจิตวิญญาณและผู้เผยพระวจนะของศาสนาอิสลาม เป็นผู้นำทางการเมืองและการทหาร
ผลงานหลัก (เป็นที่รู้จัก):มูฮัมหมัดเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขาคือการรวมตัวกันของชนเผ่าอาหรับ พระองค์ทรงสถาปนารัฐที่ทรงอำนาจใหม่ คือ จักรวรรดิอาหรับหรือคอลีฟะฮ์
ผลงาน:มูฮัมหมัดเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม (ซึ่งแปลว่า "การยอมจำนน") และชาวมุสลิมถือว่าเป็นผู้ส่งสารและผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของพระเจ้า (อาหรับ: อัลเลาะห์)
เขาเป็นผู้นำทางศาสนา การเมือง และการทหาร นักปฏิรูปด้านศีลธรรมและสังคม ผู้ก่อตั้งชุมชนมุสลิม ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระองค์ทรงรื้อฟื้นความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวที่แท้จริง (อิสลาม) ดั้งเดิมของอาดัม โนอาห์ อับราฮัม โมเสส พระเยซู และผู้เผยพระวจนะคนอื่นๆ
ชาวมุสลิมเชื่อว่ามูฮัมหมัดเป็นศาสดาพยากรณ์และผู้ส่งสารของพระเจ้าคนสุดท้าย “ตราประทับของผู้เผยพระวจนะ”. ในเวลาเดียวกัน ศาสนาอิสลามยอมรับตามประเพณีว่ามูฮัมหมัดได้รับการเปิดเผยครั้งสุดท้ายในรูปแบบของอัลกุรอานสำหรับมวลมนุษยชาติและตลอดไป
ตามอัลกุรอาน พระเจ้าทรงประทานคุณธรรม 6 ประการแก่มูฮัมหมัด:
เขาได้รับพรสวรรค์ในการพูดน้อยและสมบูรณ์แบบ
เขาได้รับชัยชนะเหนือความกลัวอย่างสมบูรณ์
เขาได้รับสิทธิ์ตามกฎหมายในการริบสงครามทั้งหมด
แผ่นดินโลกทั้งโลกได้ชื่อว่าเป็นสถานที่สักการะของพระองค์
อัลลอฮ์ทรงส่งเขามาเพื่อนำข้อความอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ไปทั่วโลก
พระองค์ทรงสำเร็จชุดของศาสดาพยากรณ์
หลักการสำคัญในการสอนของเขาคือ:มีพระเจ้าเพียงองค์เดียว ผู้คนต้องเชื่อฟังพระองค์ในทุกสิ่งและตลอดไป ในโลกนี้ประชาชาติต่างๆ ถูกลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับการปฏิเสธผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า และสวรรค์และนรกกำลังรอคอยคนรุ่นปัจจุบัน โลกจะมาถึงวันพิพากษา
คำสอนของมูฮัมหมัดกล่าวว่า:
ห้าเสาหลักของศาสนาอิสลาม(ซุนนี) - หน้าที่หลัก 5 ประการของพิธีกรรมทางศาสนาของศาสนาอิสลาม:
1. Shahada (ศรัทธา) - เป็นพยานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์และมูฮัมหมัดเป็นศาสนทูตของพระองค์
2. ละหมาด (สวดมนต์) - สวดมนต์ห้าครั้งทุกวัน
3. ซะกาต (การให้ทาน) คือการให้ทาน โดยเฉพาะในช่วงรอมฎอน
4. สยาม - การถือศีลอดในช่วงเดือนรอมฎอน
5. พิธีฮัจญ์ (แสวงบุญไปยังเมกกะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของมัสยิดอัลฮารัม (มัสยิดศักดิ์สิทธิ์) ซึ่งเป็นมัสยิดอิสลามที่มีชื่อเสียงที่สุด
มูฮัมหมัดกำหนดให้การละหมาดและการตักบาตรเป็นประจำเป็นหน้าที่ทางศาสนาและห้ามไม่ให้กินดอกเบี้ย
ระบบจริยธรรมของศาสนาอิสลามประกอบด้วยหลักการพื้นฐานหลายประการที่ช่วยให้ทุกคนสามารถดำเนินชีวิตด้วยความรัก ความสงบสุข และความสามัคคี การมีส่วนร่วมที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของมูฮัมหมัดในการพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมคือการก่อตั้งหลักการของภราดรภาพสากลและหลักคำสอนเรื่องความเท่าเทียมกันของมนุษยชาติ ตามหลักศาสนาอิสลาม ทุกเชื้อชาติและทุกเชื้อชาติมีความเท่าเทียมกัน ผู้หญิงมีความเท่าเทียมกับผู้ชายในความเป็นมนุษย์ แต่เพียงแต่มีความรับผิดชอบที่แตกต่างกัน
ชาวมุสลิมจำเป็นต้องเคารพตัวแทนของทุกศาสนาและแม้กระทั่งผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ห้ามเกลียดชังวัฒนธรรมและศาสนาอื่น
มูฮัมหมัดสอนว่า:เคารพและรักพ่อแม่ของคุณ แม้ว่าพ่อแม่จะไม่ปฏิบัติต่อคุณในแบบที่คุณต้องการก็ตาม ช่วยเหลือผู้อื่นทุกครั้งที่ทำได้ การให้แก่คนยากจนเป็นสิ่งจำเป็น ดังนั้นชาวมุสลิมจะต้องเคารพสิ่งมีชีวิตทุกชนิด (รวมถึงพืชด้วย) ฆาตกรรม ผู้คนที่สงบสุขห้ามโดยเด็ดขาดในอัลกุรอาน (“การฆาตกรรมบุคคลหนึ่งเป็นการฆาตกรรมมวลมนุษยชาติ”) ห้ามโจรกรรม ฉ้อโกง ผิดสัญญา การโกหกและการค้าประเวณี เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และยาเสพติดโดยเด็ดขาด เป็นที่ทราบกันดีว่าอัลลอฮ์ทรงเห็นทุกสิ่งที่ผู้คนทำ
บทเรียนชีวิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งที่มาจากพันธกิจของมูฮัมหมัดคือความสำคัญของการบรรลุชะตากรรมของตนเองและความสำคัญของความพยายามอย่างต่อเนื่องและการกระทำที่ถูกต้อง “แท้จริงพระเจ้าทรงรักคนทำดี!” {3:134} “อัลลอฮ์ทรงอยู่เคียงข้างบรรดาผู้ทำหน้าที่ของพวกเขาและบรรดาผู้กระทำความดี” (สุระ “ผึ้ง”, 127-128.) และ “สำหรับผู้ที่ทำความดี จะมีสิ่งดีที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าและมหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้น” (สุระ “ยูนุส”, 10:26)
ในปี 632 หลังจากเสร็จสิ้นการแสวงบุญไปยังเมกกะแล้ว มูฮัมหมัดกล่าวว่า คำพูดที่มีชื่อเสียงซึ่งเรียกว่าเทศนาครั้งสุดท้าย
ในเทศนาครั้งสุดท้ายของพระองค์เขาพูดว่า:
...คุณมีสิทธิเหนือผู้หญิงของคุณ และผู้หญิงของคุณก็มีสิทธิเหนือคุณ... พวกคุณทุกคนล้วนเป็นลูกหลานของอาดัม และอาดัมก็ถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียว และชาวอาหรับก็ไม่มีความได้เปรียบเหนือคนที่ไม่ใช่อาหรับ และคนที่ไม่ใช่อาหรับก็ไม่มีความได้เปรียบเหนือคนอาหรับ และไม่มีข้อได้เปรียบ คนผิวขาวต่อหน้าชายผิวดำ และชายผิวดำต่อหน้าชายผิวขาว เว้นแต่เกรงกลัวพระเจ้า เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้สูงศักดิ์ที่สุดในพวกท่านคือผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้ามากที่สุดและกระทำความดี
“วันนี้ฉันได้ทำให้ศาสนาของคุณสมบูรณ์แบบเพื่อประโยชน์ของคุณ และได้ให้ความโปรดปรานของฉันแก่คุณ และอนุมัติให้ศาสนาอิสลามแก่คุณเป็นศาสนา …” (อัลกุรอาน 5:3) คำพูดสุดท้ายของเขาคือ: “พวกเรา ชุมชนของศาสดาพยากรณ์ ไม่ทิ้งมรดกไว้ สิ่งที่เหลืออยู่หลังจากเราควรจะมอบให้กับองค์กรการกุศล”
มูฮัมหมัดยังเป็นนักการทูต พ่อค้า นักปรัชญา นักพูด นักบัญญัติกฎหมาย นักปฏิรูป และผู้นำทางทหารที่ประสบความสำเร็จอีกด้วย ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขาคือการรวมตัวกันของชนเผ่าอาหรับ ในเมดินา เขาได้สร้างแบบจำลองของรัฐตามระบอบประชาธิปไตย และจากนั้นเขาก็ปกครองอาณาจักรที่เติบโตอย่างรวดเร็วของเขา โมฮัมเหม็ดสร้างรัฐอันทรงพลังใหม่จาก มหาสมุทรแอตแลนติกไปจนถึงแม่น้ำสินธุซึ่งต่อมาพัฒนาเป็นจักรวรรดิอาหรับหรือคอลีฟะฮ์
งานหลัก:อัลกุรอานซึ่งตามศาสนาอิสลามคือชุดของการเปิดเผยที่พูดในนามของอัลลอฮ์โดยศาสดามูฮัมหมัด อัลกุรอานถูกเขียนลงมาจากคำพูดของมูฮัมหมัดโดยสหายของเขา

ชีวิต:

ต้นทาง:เขาเกิดในปี 570 ในเมืองเมกกะของอาหรับ มูฮัมหมัดเป็นบุตรชายของอับดุลลาห์ บิน อับดุลมุฏฏอลิบ พ่อค้าจากชนเผ่าที่ปกครอง และอามินา ภรรยาของเขา
การศึกษา:เมื่อตอนเป็นเด็ก เขาไม่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนและไม่มีครู อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงมีสติปัญญา ความเข้าใจ ระดับสูงสุด และมีชื่อเสียงในด้านวาจาไพเราะและความบริสุทธิ์ของภาษา
ชีวิตและพันธกิจของมูฮัมหมัด:
ด้วยความไม่พอใจกับชีวิตในเมกกะ เขาจะไปที่ถ้ำแห่งหนึ่งในภูเขาโดยรอบเป็นครั้งคราวเพื่อทำสมาธิและไตร่ตรอง
การเปิดเผยครั้งแรก (610)ตามความเชื่อของศาสนาอิสลาม เมื่ออายุ 40 ปี ในเดือนรอมฎอนศักราช 610 มูฮัมหมัดได้รับการเปิดเผยครั้งแรกจากพระเจ้า
หัวหน้าทูตสวรรค์กาเบรียลปรากฏต่อเขาในถ้ำบนภูเขาฮิระใกล้นครเมกกะ และบอกมูฮัมหมัดว่าเขาเป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า กาเบรียลสั่งให้เขาอ่านโองการที่พระเจ้าส่งมาและบอกกับมูฮัมหมัดว่า “อิกรา” ซึ่งก็คือ “อ่าน” นอกจากนี้ กาเบรียลยังสั่งให้เขาเริ่มเทศนาข้อความด้วย
การเปิดเผยเหล่านี้ดำเนินต่อไปสำหรับมูฮัมหมัดเป็นเวลา 23 ปีจนกระทั่งเขาเสียชีวิต การรวบรวมการเปิดเผยเหล่านี้ก่อให้เกิดเนื้อหาในหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม อัลกุรอาน ซึ่งได้รับการจดจำและเขียนโดยผู้ติดตามของเขา และรวบรวมเป็นหนังสือเล่มเดียวไม่นานหลังจากที่เขาเสียชีวิต
การเทศน์และการต่อต้าน (613-621)สามปีต่อมา ประมาณปี 613 เขาเริ่มเทศนาต่อสาธารณะ เรียกร้องให้คนรวยช่วยเหลือคนจน และเรียกร้องให้ทำลายรูปเคารพ ในช่วงปีแรกๆ มูฮัมหมัดเปลี่ยนคนจำนวนมากให้มานับถือศาสนาของเขา และดึงดูดสาวกและผู้ติดตาม
ในปี 619 คอดีญะห์ภรรยาของเขาและอาบู ทาลิบ ลุงของเขาเสียชีวิต และปีนี้ถูกเรียกว่า “ปีแห่งความโศกเศร้า”
เที่ยวกลางคืน.ตามประเพณีของศาสนาอิสลาม ประมาณปี 621 มูฮัมหมัดได้สัมผัสกับอิสราและมิราจ ซึ่งเป็นการเดินทางยามค่ำคืนอันน่าอัศจรรย์กับทูตสวรรค์กาเบรียล ทั้งสองคนนั่งอานคนขาว ม้ามีปีกอัล-บุรัก และออกเดินทางสู่กรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งเขาได้พบกับอับราฮัมและโมเสส จากนั้นพวกเขาเดินทางครั้งที่สองเหนือกาลเวลาและอวกาศผ่านสวรรค์ทั้งเจ็ด ชาวมุสลิมส่วนใหญ่มองว่านี่เป็นการเดินทางทางกายภาพ ในขณะที่คนอื่นๆ บอกว่าเป็นการมองเห็นเชิงเปรียบเทียบทางจิตวิญญาณ
มาดินาและขึ้นสู่อำนาจ (622-630)ในปี 622 ผู้ปกครองเมือง Quraysh ตัดสินใจสังหารศาสดาพยากรณ์ กาเบรียลแจ้งท่านศาสดาถึงแผนการของพวกเขาและขอให้เขาออกจากมักกะห์ทันที
เมื่อวันที่ 24 กันยายน ค.ศ. 622 เขาและผู้ติดตามของเขาที่ยังคงอยู่ในเมกกะได้ย้ายไปที่เมดินา (ซึ่งต่อมาเรียกว่ายาธริบ) เที่ยวบินนี้เรียกว่าฮิจเราะห์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุคมุสลิม ปีนี้เป็นปีเริ่มต้นของปฏิทินฮิจเราะห์ของชาวมุสลิม: 1A.H. (หลังฮิจเราะห์ - ภาษาอังกฤษ, หลังฮิจเราะห์)
ในเมืองเมดินา มูฮัมหมัดได้รวมชนเผ่าที่ขัดแย้งกันในคาบสมุทรอาหรับเข้าเป็นสหพันธ์ชนเผ่าพันธมิตรโดยมีเมืองหลวงอยู่ที่เมดินา ขณะที่อยู่ในเมดินา มูฮัมหมัดรับผู้หญิงหลายคนมาเป็นภรรยา ส่วนใหญ่ด้วยเหตุผลทางการเมืองหรือด้านมนุษยธรรม หลังจากต่อสู้กับชนเผ่าเมกกะเป็นเวลา 8 ปี มูฮัมหมัดก็เสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของเขาในภูมิภาคนี้ และดำเนินการรณรงค์ทางทหารที่ประสบความสำเร็จหลายครั้ง ชื่อเสียงของเขาเพิ่มมากขึ้น และในปี 629 เขาได้เดินทางไปแสวงบุญที่เมกกะโดยไม่มีอุปสรรค
ในปี ค.ศ. 630 เขาได้เดินทัพต่อต้านนครเมกกะซึ่งยอมจำนนโดยไม่มีการต่อสู้ เขาประกาศนิรโทษกรรมสำหรับอาชญากรรมในอดีตและเปลี่ยนคนเมกกะส่วนใหญ่ให้นับถือศาสนาอิสลาม ดังนั้นเขาจึงได้รับการควบคุมอาระเบียทั้งหมดและกลายเป็นผู้ปกครองชาวมุสลิม
ขั้นตอนหลักของชีวิตส่วนตัว:อับดุลลาห์ พ่อของมูฮัมหมัด เสียชีวิตเกือบหกเดือนก่อนเกิด เขาสูญเสียแม่ไปเมื่ออายุได้ 6 ขวบและต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า มูฮัมหมัดถูกมอบให้เป็นผู้ปกครองของปู่ของเขา อับด์ อัล-มุตตะลิบ และหลังจากนั้น 2 ปี ให้กับลุงของเขา อาบู ทาลิบ ซึ่งเลี้ยงดูเขาจนกระทั่งเขาบรรลุนิติภาวะ มูฮัมหมัดเติบโตขึ้นมาเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย
ในปี พ.ศ. 595 เมื่ออายุได้ 25 ปี เขาได้แต่งงานกับคอดีชะ ซึ่งเป็นม่ายผู้มั่งคั่งวัยสี่สิบปี ชีวิตแต่งงานที่มีความสุขของพวกเขากินเวลานานถึง 25 ปี และเขาไม่มีภรรยาอีกในช่วงชีวิตของ Khadija เขามีลูกหกคนกับเธอ - ลูกสาวสี่คนและลูกชายสองคนซึ่งทั้งคู่เสียชีวิตในวัยเด็ก ลูกๆ ของเขาทั้งหมด ยกเว้นลูกสาวสองคนของเขา ฟาติมาและไซนับ เสียชีวิตในช่วงชีวิตของเขา
มูฮัมหมัดเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ประเพณีอิสลามเน้นย้ำถึงธรรมชาติของมนุษย์โดยเฉพาะ เขายอมรับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายเข้มงวดและเจียมเนื้อเจียมตัวที่สุด เขาใช้เวลาหนึ่งหรือสองในสามของแต่ละคืนในการสวดมนต์และนั่งสมาธิ
พวกเขากล่าวว่ามูฮัมหมัดมีรูปร่างที่แข็งแรง มีหน้าผากที่โดดเด่น จมูกโด่ง ดวงตาสีน้ำตาลดำขนาดใหญ่ และรอยยิ้มที่น่าพึงพอใจ เขาแสดงไหวพริบที่ดีในการติดต่อกับผู้คนและหากจำเป็นก็แสดงความอ่อนโยนและอ่อนโยนด้วยซ้ำ มูฮัมหมัดยังคงเป็นตัวอย่างให้กับชาวมุสลิมทุกคนและถูกมองว่าเป็นแบบอย่างสูงสุด
เขาเดินทางไปเมกกะครั้งสุดท้ายในปี 632 โดยก่อตั้งพิธีฮัจญ์หรือการแสวงบุญที่เมกกะ ไม่กี่เดือนหลังจากกลับมายังเมดินา มูฮัมหมัดก็ล้มป่วยและเสียชีวิตในอ้อมแขนของไอชา ภรรยาอันเป็นที่รักของเขา ในวันจันทร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 632 สิริอายุได้ 63 ปี
เขาถูกฝังในสถานที่เดียวกับที่เขาเสียชีวิต ในบริเวณที่เป็นบ้านของ Aisha และเป็นที่ตั้งของมัสยิดของศาสดาในเมืองเมดินาในปัจจุบัน

มูฮัมหมัด บิน อับดุลลาห์ ชาวกุเรชจากตระกูลฮาชิม เกิดมาในตระกูลเมกคานผู้สูงศักดิ์ตระกูลหนึ่ง ปีเกิดตามประเพณีของมูฮัมหมัด 570 ไม่สามารถยืนยันได้ แน่นอนว่าไม่ทราบเดือนและวันที่ที่แน่นอนของงานนี้

อับดุลลาห์ พ่อของมูฮัมหมัด เสียชีวิตก่อนลูกชายของเขาเกิด ด้วยเหตุนี้ อามีนาหญิงม่ายและทารกแรกเกิดจึงพบว่าตัวเองอยู่ในความดูแลของครอบครัว

ทารกชื่อโกตันตั้งแต่แรกเกิด อย่างไรก็ตาม หลังจากขอบคุณพระเจ้าแห่งกะอ์บะฮ์สำหรับคำอวยพรแล้ว ฮาชิม อับดุล-มุตัลลิบ หัวหน้าครอบครัวก็ตั้งชื่อหลานชายของเขาว่า มูฮัมหมัด ซึ่งแปลว่า "ผู้ได้รับการยกย่อง" แขกประหลาดใจกับชื่อนี้ซึ่งค่อนข้างหายาก แต่เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชาวอาหรับ สำหรับคำถามของแขกคนหนึ่งว่าทำไมจึงไม่รักษาประเพณีการใช้ชื่อสกุล อับดุลมุตัลลิบตอบว่า: “ขอพระผู้ทรงฤทธานุภาพสรรเสริญผู้ที่พระองค์ทรงสร้างบนโลกนี้ในสวรรค์”

แทบไม่สามารถพูดได้แน่ชัดเกี่ยวกับช่วงวัยรุ่นและวัยเยาว์ของเขา ยกเว้นว่าเขาเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่ออายุได้สองขวบเขาสูญเสียแม่ไป จนกระทั่งเขาอายุแปดขวบ เขายังคงอยู่ในความดูแลของปู่ของเขา อับดุลมุตัลลิบ และลุงของเขา อบูฏอลิบ ประเพณีของชาวมุสลิมในเวลาต่อมาทำให้เกิดเรื่องราวในตำนานมากมายเกี่ยวกับวัยเด็กของ "ศาสดา" และประดับประดาด้วยรายละเอียดที่หลากหลาย อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่ามูฮัมหมัดเคยเป็นคนเลี้ยงแกะในวัยเยาว์และยังได้เดินทางไปกับคาราวานด้วย ครั้งหนึ่งเขาไปเยือนซีเรีย ซึ่งตามตำนานเล่าขานกันว่าฤาษีคริสเตียนจำเขาได้ในฐานะศาสดาพยากรณ์ในอนาคต

เมื่ออายุ 25 ปี มูฮัมหมัดไปทำงานให้กับญาติห่าง ๆ ของเขาซึ่งเป็นภรรยาม่ายของพ่อค้าผู้มั่งคั่ง Khadija ซึ่งเขาแต่งงานกันในเวลาต่อมาเล็กน้อยแม้ว่าเธอจะอายุมากกว่ามูฮัมหมัด 15 ปีก็ตาม การแต่งงานซึ่งเกิดขึ้นตามความคิดริเริ่มของ Khadija ทำให้มูฮัมหมัดมีอิสระในการดำเนินการและให้เวลาว่างที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาจิตใจแก่เขา ทุกปีเขาใช้เวลาตามลำพังบนภูเขาฮิระ ใกล้เมืองมักกะฮ์ (นี่เป็นรูปแบบการบำเพ็ญตบะทั่วไปในอาระเบียก่อนอิสลาม)

ระหว่างการปลีกวิเวกครั้งหนึ่งในปี 610 เมื่อเขาอายุได้ประมาณสี่สิบปี ตามประเพณี พระมูฮัมหมัดก็ได้ยินเสียงเรียกที่ส่งถึงเขา ผีนิรนามปรากฏแก่เขาซึ่งต่อมาเริ่มถูกมองว่าเป็นเทวทูตกาเบรียล เขาบังคับให้มูฮัมหมัดท่องบทกวี ข้อเหล่านี้กลายเป็นบรรทัดแรกของ “การเปิดเผย” นี่คือวิธีการอธิบายเหตุการณ์สำคัญนี้ไว้ในชีวประวัติของผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม อิบนุ ฮิชัม:

“ เมื่อเดือนนี้มาถึง ... ผู้ส่งสารของอัลลอฮ์ไปที่ภูเขาฮิระ ... เมื่อคืนตก ... ญิบรีลได้นำคำสั่งของอัลลอฮ์มาให้เขา ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์กล่าวว่า: - ญิบรีลปรากฏแก่ฉันเมื่อฉันหลับโดยมีผ้าคลุมผ้าซึ่งห่อหนังสือบางเล่มแล้วกล่าวว่า: - อ่าน! ฉันตอบว่า: “ฉันอ่านหนังสือไม่ออก” แล้วเขาก็เริ่มคลุมฉันด้วยผ้าคลุมนี้ จนฉันคิดว่าความตายมาถึงแล้ว จากนั้นเขาก็ปล่อยฉันไปและพูดว่า: "อ่าน!" ฉันตอบว่า "ฉันอ่านไม่ออก" เขาเริ่มสำลักฉันอีกครั้งและฉันคิดว่าฉันกำลังจะตาย จากนั้นเขาก็ปล่อยฉันและพูดว่า “อ่าน!” ฉันตอบว่า "ฉันอ่านไม่ออก" เขาเริ่มบีบคอฉันอีกครั้ง ดังนั้นฉันจึงตัดสินใจว่าจุดจบมาถึงแล้ว จากนั้นเขาก็ปล่อยฉันแล้วพูดว่า: “อ่าน!” ฉันตอบว่า: "จะอ่านอะไรดี" โดยหวังเพียงจะกำจัดเขาออกไปเพื่อที่เขาจะไม่ทำแบบเดียวกับฉันอีกเหมือนเมื่อก่อน จากนั้นเขาก็พูดว่า: -อ่าน! ในนามของพระอาจารย์ผู้สร้าง... (อัลกุรอาน 96, 1-5)”

การเรียกมูฮัมหมัด ดังที่อธิบายไว้ในแหล่งข้อมูลของชาวมุสลิม มีความคล้ายคลึงกับวิธีที่วิญญาณเรียกหมอผีมาก เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่มีใครกลายเป็นหมอผีตามเจตจำนงเสรีของตนเองและไม่มีใครปรารถนาที่จะเป็นหนึ่งเดียว พวกหมอผีเองก็ถูกเลือกโดยกองกำลังจากต่างโลกให้รับใช้พวกเขา หลังจากนั้นพลังวิญญาณรวมถึงการทรมาน (ที่เรียกว่า "โรคชามานิก") ซึ่งเป็นผู้สมัครให้หมอผียอมรับภารกิจที่กำหนดโดยเขา เส้นขนานหลักสามารถมองเห็นได้ทั้งในการเรียกของมูฮัมหมัดและการเรียกของหมอผี - นี่คือความรุนแรงต่อบุคคลความปรารถนาที่จะบังคับให้บุคคลยอมรับเจตจำนงของเขาด้วยกำลังและความทรมาน ความคล้ายคลึงนี้ยังถูกตั้งข้อสังเกตโดยนักวิจัยทางโลกเช่น M. Eliade ซึ่งวาดภาพแนวระหว่างการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์อันน่าอัศจรรย์ของมูฮัมหมัดสู่สวรรค์ - "มิราจ" และนิมิตแห่งความมึนงงของชามานิก

มูฮัมหมัดวิ่งกลับบ้านด้วยความกลัวและเล่าเรื่องนิมิตดังกล่าวให้คาดีจาภรรยาของเขาฟัง เธอไปหาวาราเกาะลูกพี่ลูกน้องที่เป็นคริสเตียนของเธอ และในการสนทนากับเขาว่าแนวความคิดของศาสนาอิสลามปรากฏขึ้น - วาราเกาะตีความนิมิตในแง่ที่ว่ามันเป็นรูปลักษณ์ของเทวทูตกาเบรียลซึ่งปรากฏต่อศาสดาพยากรณ์ทุกคนและมูฮัมหมัด จึงเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าองค์เดียวด้วย Khadija เชื่อในสิ่งนี้และพยายามโน้มน้าวมูฮัมหมัดที่หวาดกลัวซึ่งสิ่งมีชีวิตทางจิตวิญญาณเดียวกันนั้นยังคงปรากฏให้เห็นในตอนกลางคืน เป็นเวลานานที่เขายังคงสงสัยว่านี่คือปีศาจ

อย่างไรก็ตาม ด้วยวิธีที่ค่อนข้างดั้งเดิม Khadija สามารถโน้มน้าวเขาได้ว่านี่คือนางฟ้า ไม่ใช่ Shaitan ที่ปรากฏตัวต่อเขา เมื่อมูฮัมหมัดเห็นวิญญาณปรากฏแก่เขาอีกครั้งในร่างของผู้ชาย เขาก็บอกกับคอดีญะห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ มันเป็นกลางคืน เธอถามว่า “ตอนนี้คุณเห็นเขาแล้วหรือยัง” เขาพูดว่า "ใช่" หลังจากนั้นเธอก็เปิดใจแล้วถามว่า:“ ตอนนี้คุณเห็นเขาแล้วหรือยัง” เขาตอบว่า “เปล่า เขาหายไปแล้ว” นางกล่าวว่า “จงเข้มแข็งและชื่นชมยินดีเถิด เพราะบัดนี้เรารู้แน่แล้วว่านี่คือทูตสวรรค์ ไม่ใช่มาร” ตามที่เธอกล่าวไว้ หากเขาเป็นชัยฏอน เขาคงต้องดูผู้หญิงที่เปลือยเปล่า และทูตสวรรค์ที่มีความสุภาพเรียบร้อยเหมาะสมสำหรับเขา จะต้องจากไปอย่างแน่นอน (ดูบทที่ 3) อิบนุ ฮิชาม. ชีวประวัติของศาสดามูฮัมหมัด อ., 2546. - หน้า 94).

เป็นที่น่าสังเกตว่าในระหว่างการก่อตัวของแนวคิดเริ่มแรกของศาสนาอิสลามบทบาทของมูฮัมหมัดเองก็อยู่เฉยๆ เมื่อยอมรับภารกิจที่ได้รับมอบหมายแล้ว มูฮัมหมัดก็เริ่มได้รับการเปิดเผยใหม่ แต่อีกสามปีเต็มเขาได้พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เปิดเผยแก่เขาเฉพาะในแวดวงที่ใกล้ชิดเท่านั้น ผู้ติดตามสองสามคนแรกปรากฏตัว - มุสลิม (“ ยอมจำนน”) ชื่อของศาสนา "อิสลาม" แปลโดยชาวมุสลิมว่า "การยอมจำนน" ในความหมายของการยอมจำนนต่ออัลลอฮ์ ประการแรกชาวมุสลิมกลุ่มแรกคือญาติ (ภรรยา Khadija หลานชายอาลี ฯลฯ ) และคนรู้จักที่ใกล้ชิด

หญิงมุสลิมคนแรกคือคอดีญะห์ คนที่สองคืออาลีหลานชายของเขา ซึ่งตอนนั้นอายุ 12 ปี และมูฮัมหมัดรับช่วงต่อ มุสลิมคนต่อไปคือ เซอิด ทาสของมูฮัมหมัด จากนั้นคนอื่น ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้น แต่ยกเว้นอบูบักร์ - ตามกฎแล้วพวกเขาไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ซึ่งไม่ได้มีบทบาทใด ๆ ใน ชีวิตทางการเมืองชาวเมกกะที่เชื่อว่ามูฮัมหมัดเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าองค์เดียวซึ่งเขาเทศนาภายใต้พระนามของอัลลอฮ์ พวกเขารวมตัวกันอธิษฐาน โมฮัมเหม็ดเล่าเรื่องการเปิดเผยของเขาให้พวกเขาฟังอีกครั้ง สอนให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวและตัวเขาเองในฐานะศาสดาพยากรณ์

ควรมีการอ้างอิงสุนัตหลายฉบับที่อธิบายว่ามูฮัมหมัดได้รับการเปิดเผยอย่างไร นิมิตเช่นต้นฉบับนั้นหายากมาก การเปิดเผยส่วนใหญ่มาในรูปแบบที่แตกต่างกัน

อิบนุสะอัด รายงานหะดีษดังต่อไปนี้:

“อัล-ซาปุก อิบนุ ฮิชัม กล่าวว่า: “โอ้ ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮฺ! การเปิดเผยมาถึงคุณอย่างไร? ผู้ส่งสารของอัลลอฮ์ตอบเขาว่า: “ บางครั้งพวกเขาก็มาหาฉันในรูปของกระดิ่งและมันยากมากสำหรับฉัน (ในที่สุด) มันก็หยุดดัง และฉันก็จำทุกอย่างที่บอกได้ บางครั้งนางฟ้าก็ปรากฏตัวต่อหน้าฉันและพูด และฉันก็จำทุกสิ่งที่เขาพูดได้” อาอิชะห์กล่าวว่า “ฉันได้เห็นเมื่อการเปิดเผยมาถึงเขาในวันที่อากาศหนาวมาก เมื่อมันหยุด หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ”

“อูบัยด์ บ. ซามิตกล่าวว่าเมื่อการเปิดเผยมาถึงท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ เขารู้สึกหนักใจ และผิวพรรณของเขาก็เปลี่ยนไป” (หะดีษจากกลุ่มมุสลิม)

“ใบหน้าของท่านศาสดาเป็นสีแดง และท่านหายใจแรงชั่วขณะหนึ่ง แล้วท่านก็หายจากอาการนั้น” (หะดีษจากคอลเลคชันอัล-บุคอรี)

ต้องพูดสองสามคำเกี่ยวกับเวอร์ชันที่มีอยู่ในโลกคริสเตียนและเกี่ยวกับความเข้าใจในการเปิดเผยเหล่านี้ มีสามคนหลัก

รุ่นแรก: มูฮัมหมัดเลียนแบบและหลอกผู้ติดตามของเขา เขาใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้โดยเฉพาะเพื่อสร้างความประทับใจให้กับการสอนของเขามากขึ้น เวอร์ชันนี้ได้รับการพัฒนาโดยเฉพาะโดย Theodore Abu Kurra

อีกอย่าง: มูฮัมหมัดป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู และอาการเหล่านี้คือโรคลมชัก คนแรกที่แสดงความคิดนี้คือนักบุญ ธีโอฟาเนสผู้สารภาพ เธอสนุกกับความสนใจ โลกวิทยาศาสตร์ถึงวันนี้. ความจริงก็คือในชีวประวัติของมูฮัมหมัดซึ่งเขียนโดยอิบันฮิชามมีช่วงเวลาที่เราสามารถสรุปได้ว่ามูฮัมหมัดมีอาการชักคล้าย ๆ กันในวัยเด็ก มีการอธิบายกรณีนี้เมื่อมูฮัมหมัด ซึ่งยังทรงพระเยาว์ ขณะอยู่ในครอบครัวของนางพยาบาลฮาลิมา เป็นลม จากนั้น Halima และสามีของเธอก็กลัวเขามาก และตามที่ Halima เองก็พูดว่า “พ่อบอกฉันว่า ฉันเกรงว่าเด็กคนนี้จะเป็นโรคหลอดเลือดสมอง ดังนั้นจงมอบเขาให้ครอบครัวก่อนที่ผลจะตามมา” เราก็เลยพาลูกไปหาแม่”

อีกเวอร์ชันหนึ่งคือมูฮัมหมัดมองเห็นนิมิตเหล่านี้ทั้งหมดที่สร้างขึ้นโดยพลังทางจิตวิญญาณเชิงลบ นั่นคือในระหว่างรัฐเหล่านี้เขาอยู่ภายใต้อิทธิพลของปีศาจ และการไม่สื่อสารนี้อธิบายสภาพของเขา สิ่งนี้แสดงโดย George Amartol นักประวัติศาสตร์คริสเตียนแห่งศตวรรษที่ 9 ลำดับเหตุการณ์ของเขาได้รับการแปลเป็นภาษาสลาฟและจอร์เจียและมีอิทธิพลอย่างมากต่อวิทยาศาสตร์ประวัติศาสตร์รัสเซีย

การตีความแต่ละครั้งมีผู้สนับสนุนในยุคของเรา รวมถึงในหมู่นักวิจัยด้วย เป็นลักษณะเฉพาะที่แต่ละคนมีข้อโต้แย้งที่หนักแน่นในความโปรดปรานของตน และแต่ละคนพบรากฐานในประเพณีทางประวัติศาสตร์ของชาวมุสลิม เป็นไปได้ว่าในความเป็นจริงปัจจัยทั้งหมดเหล่านี้ถูกนำมารวมกันและเกี่ยวพันกัน

การเทศนาในที่สาธารณะ

สามปีหลังจากการเปิดเผยครั้งแรก มูฮัมหมัดได้รับคำสั่งให้เริ่มการเทศนาในที่สาธารณะ ซึ่งเขาทำ แก่นแท้ของการเทศนาครั้งแรกคือการประกาศเรื่องการนับถือพระเจ้าองค์เดียว การเรียกร้องให้ละทิ้งการบูชาเทพเจ้าเท็จ และการยืนยันถึงการพิพากษาครั้งสุดท้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ความหมายหลักของคำเทศนาของเขาคือการประกาศ monotheism ว่ามีพระเจ้าเพียงองค์เดียวเท่านั้น - อัลลอฮ์ ตามนี้ มีการโจมตีศาสนานอกรีตของชาวอาหรับ ต่อเทพเจ้าและเทพธิดาที่พวกเขาเคารพนับถือ บนแท่นบูชาของพวกเขา เขาอ้างว่าเป็นผู้เผยพระวจนะของอัลลอฮ์ที่ถูกส่งไปตามหาชาวอาหรับเพื่อนำพวกเขาออกจากการเคารพสักการะเท็จรวมทั้งประกาศการพิพากษาครั้งสุดท้ายการฟื้นคืนชีพรางวัลสำหรับผู้ศรัทธาและความทรมานของผู้ไม่เชื่อ . สิ่งเหล่านี้เป็นประเด็นหลักของการเทศนาในยุคแรกของมูฮัมหมัด แม้ว่าจะมีผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเพิ่มขึ้นอีกสองสามคน แต่โดยทั่วไปแล้วคำเทศนาก็ได้รับการตอบรับอย่างไม่แยแส บุคคลสำคัญรู้สึกไม่พอใจกับการโจมตีลัทธิของเขา

เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งนี้อธิบายได้จากข้อเท็จจริงที่ว่ามูฮัมหมัดไม่ใช่คนดั้งเดิมโดยมีสภาพแวดล้อมนอกรีตเป็นฉากหลัง ในเวลาเดียวกันกับมูฮัมหมัด และก่อนหน้านี้ ชาวอาหรับก็มีศาสดาพยากรณ์ที่คล้ายกัน พวกเขาสอนว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่งเดียวเกี่ยวกับความเมตตาของพระองค์ และประกาศตนว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ พวกเขามีประสบการณ์มึนงงคล้ายกับมูฮัมหมัด บรรพบุรุษและคู่แข่งในยุคแรกของเขาคือ "ศาสดา" มัสลามะจากเมืองเยมามาทางตะวันออกของอาระเบีย ดังนั้นความล้มเหลวของมูฮัมหมัดในฐานะนักเทศน์ก็อธิบายได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าเขาไม่ใช่คนดั้งเดิม เป็นที่ทราบกันดีว่าคนต่างศาสนาเยาะเย้ยเขาว่าเขาแค่เล่าขานชายจากเยมามาซึ่งพูดแบบเดียวกันและประพฤติแบบเดียวกันด้วยซ้ำ นอกจากนี้ยังมีศาสดาพยากรณ์คนอื่นๆ เช่น อัสวัด ตัลหะ และคนอื่นๆ อีกหลายคนที่กล่าวว่าพวกเขาเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าองค์เดียว

ความขัดแย้งระหว่างผู้ติดตามกลุ่มเล็กๆ ของมูฮัมหมัดกับพวกนอกรีตรุนแรงขึ้นเมื่อ “ผู้เผยพระวจนะ” ต่อต้านเทพแห่งนครเมกกะที่ได้รับความเคารพนับถือ เมื่อเวลาผ่านไป ความขัดแย้งเริ่มส่งผลให้เกิดการต่อสู้และการประหัตประหาร
มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทราบกันดีว่าในระหว่างการอภิปรายในหัวข้อทางศาสนาระหว่างสาวกคนหนึ่งของมูฮัมหมัดกับคนนอกรีต มุสลิมคนหนึ่งซึ่งไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ ได้คว้ากระดูกอูฐที่วางอยู่ใกล้ ๆ แล้วฟาดคู่ต่อสู้ของเขาด้วยปลายแหลมของมัน ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส เคล็ดลับนี้และอีกมากมายบังคับให้ชนชั้นสูงของเมกกะตัดสินใจทำลายมูฮัมหมัดและผู้สนับสนุนของเขา ชาวมุสลิมบางคนที่ถูกคนต่างศาสนาเป็นทาสถูกฆ่าหรือถูกทรมาน แต่มูฮัมหมัดเองก็ไม่ตกอยู่ในอันตราย เพราะเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของครอบครัวของเขา หัวหน้ากลุ่มอื่น ๆ เข้ามาหาหัวหน้ากลุ่ม Abu Talib ซ้ำแล้วซ้ำอีกและขอให้เขาถอดการคุ้มครองกลุ่มจากมูฮัมหมัดพวกเขาเสนอให้เขา ตัวแปรที่แตกต่างกันอย่างไรก็ตามเขาไม่เห็นด้วย จากนั้นชาวมักกะห์ได้ประกาศคว่ำบาตรครอบครัวฮาชิม แต่อบูทาลิบยังคงยืนกราน

ขณะที่ความสัมพันธ์แย่ลงในช่วงสองปีของการเทศนาอย่างเปิดเผย มูฮัมหมัดพบว่าจำเป็นต้องส่งผู้เชื่อเหล่านั้นที่สร้างความรำคาญให้กับคริสเตียนอบิสซิเนียมากที่สุด ฮิจเราะห์ครั้งแรกนี้เกิดขึ้นในปี 615 ในเวลาเดียวกัน เพื่อนบางคนของมูฮัมหมัดที่ย้ายไปอะบิสซิเนียโดยเรียนศาสนาคริสต์ก็รับบัพติศมา (เช่น อุบัยดุลลอฮ์ บิน ญะฮิซ)
มูฮัมหมัดเองก็ยังไม่ตกอยู่ในอันตรายจากการประหัตประหาร เมื่อชาวกุเรชที่เหลือประกาศคว่ำบาตรกลุ่มฮาชิม สิ่งนี้ไม่ได้บังคับให้อบูทาลิบเปลี่ยนตำแหน่งของเขา ในช่วงเวลานี้ Khadija เสียชีวิต สถานการณ์เลวร้ายลงในปี 619 เมื่ออาบูทาลิบแม้จะได้รับการวิงวอนจากหลานชายของเขาซึ่งยังคงเป็นคนนอกรีตและหัวหน้ากลุ่มคอดีจาก็เสียชีวิต ผู้สืบทอดตำแหน่งของอาบู ทาลิบคือลุงอีกคนของมูฮัมหมัด อาบู-ซูเฟียน ซึ่งต่อมากลายเป็นศัตรูที่สาบานตนที่สุดของเขา เขาถอดการอุปถัมภ์ของกลุ่มออกจากมูฮัมหมัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมูฮัมหมัดกล่าวว่าเนื่องจากลุงของเขา อาบู ทาลิบ ไม่ได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม เขาจะต้องตกนรกเมื่อเขาเสียชีวิต

มูฮัมหมัดพยายามเทศนานอกเมืองมักกะฮ์ ในเมืองทาอิฟที่อยู่ใกล้เคียง แต่ความพยายามครั้งแรกไม่ประสบผลสำเร็จ และผู้ประกาศศาสนาใหม่ถูกขว้างด้วยก้อนหิน

โดยทั่วไปแล้ว เราสามารถยอมรับได้ว่ามูฮัมหมัดในฐานะนักเทศน์ไม่สามารถป้องกันได้โดยสิ้นเชิง นอกเหนือจากความพ่ายแพ้ในเมืองทาอีฟแล้ว ในเมกกะเองเป็นเวลาสิบปีแล้วที่เขาไม่สามารถหาผู้สนับสนุนได้เพียงพอ และในจำนวนผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสจำนวนหนึ่ง หลายคนกลับใจใหม่ไม่ใช่โดยเขา แต่โดยผู้สนับสนุนของเขา ซึ่งเป็นพ่อค้าที่เคารพนับถือ อบู บักร์ ในเมกกะ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผู้อาวุโสร่วมสมัยและผู้เผยพระวจนะคู่แข่งของมูฮัมหมัด มัสลามา สามารถเปลี่ยนผู้ที่อาศัยอยู่ในเยมามา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นมูฮัมหมัดตัดสินใจย้ายไปที่เมือง Yathrib หรือ Medina ในฐานะอนุญาโตตุลาการซึ่งเขาได้รับเชิญจากตัวแทนของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในเมือง Yathrib ติดหล่มอยู่ในสงครามภายในและความขัดแย้งระหว่างชนเผ่า Banu Qayla และชนเผ่ายิวสามเผ่า ตัวแทนของพวกเขาได้เชิญมูฮัมหมัดและชุมชนของเขาให้ตั้งถิ่นฐานในเมดินาด้วยความหวังว่าการมีอยู่ของชาวมุสลิมจะทำให้เกิดความมั่นคง นี่อาจเป็นเพราะว่าอามีนามารดาของมูฮัมหมัดมาจากยาธรริบ หลังจากสองปีของการเจรจากับชาวเมดินา ซึ่งบางคนเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามด้วย มูฮัมหมัดก็ตัดสินใจทำฮิจเราะห์ครั้งที่สอง ในฤดูร้อนปี 622 สมาชิกประมาณ 70 คนในชุมชนของเขารีบไปที่ยาธริบ ดังนั้น เมื่อมูฮัมหมัด พร้อมด้วยอะบู บักร์ เพื่อนของเขา มาถึงยาธรริบด้วยในวันที่ 4 กันยายน เขาพบว่าที่นั่นมีผู้พิทักษ์ส่วนตัวของมูฮาจิร์ (ผู้อพยพ) ชาวเมดินันมุสลิมถูกเรียกว่าอันซาร์ (ผู้ช่วยเหลือ) เมื่อมูฮัมหมัดมาถึง มัสยิดแห่งแรกก็ถูกสร้างขึ้น

ชาวเมดินาปฏิบัติตามคำร้องขอของมูฮัมหมัดและยอมรับชาวมุสลิมจากเมกกะเป็นผู้อยู่ในความอุปการะของพวกเขา อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้เป็นเวลานาน Ansars เองก็ไม่ได้ร่ำรวย และชุมชนก็ไม่สามารถดำรงอยู่ได้ในสภาพที่น่าสังเวช ความจำเป็นคือต้องประกันความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจของผู้อพยพที่สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

จากนั้นมูฮัมหมัดก็ตัดสินใจซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนในประวัติศาสตร์มุสลิม เมื่อเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี้ยงดูชุมชนด้วยแรงงานที่ซื่อสัตย์ เขาจึงตัดสินใจปล้นและทำการจู่โจมที่ทรยศครั้งแรก ชาวอาหรับนับถือเดือนศักดิ์สิทธิ์สี่เดือนของปี ในระหว่างนั้นห้ามมิให้กระทำการทางทหารใดๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มูฮัมหมัด ซึ่งทราบดีถึงความเคลื่อนไหวของกองคาราวานและเคยเข้าร่วมในขบวนคาราวานเหล่านี้มาก่อน ได้สั่งให้กลุ่มผู้ติดตามของเขากลุ่มเล็ก ๆ เข้าโจมตีกองคาราวาน โดยรู้ว่าจะไม่มีการป้องกัน

จากจุดนี้เองที่ประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของอิสลามเริ่มต้นขึ้น ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นจากการเทศนา ซึ่งผลลัพธ์นั้นไม่มีนัยสำคัญ แต่เกิดจากการปล้น การฆาตกรรม และการปะทะกันของทหาร

การโจมตีครั้งแรกดังกล่าวเกิดขึ้นตามคำสั่งของเขาระหว่างการสงบศึกอันศักดิ์สิทธิ์

“ ท่านศาสดาได้ยินว่าอบูซุฟยานอิบันฮาร์บกำลังกลับจากซีเรียพร้อมกับกองคาราวานขนาดใหญ่ของ Quraysh บรรทุกเงินและสิ่งของ... เมื่อได้ยินเรื่องนี้... ท่านศาสดาจึงเรียกร้องให้ชาวมุสลิมโจมตีพวกเขาโดยกล่าวว่า: - นี่คือกองคาราวาน ของกุเรช มันมีความมั่งคั่งของพวกเขา โจมตีพวกเขาและบางทีคุณอาจได้รับพวกเขาด้วยความช่วยเหลือของอัลลอฮ์!” (อิบันฮิชาม ชีวประวัติ... หน้า 278-279)

เป็นที่กล่าวกันว่ามูฮัมหมัดเองเป็นผู้ริเริ่มการยึดคาราวานด้วยเงินและสินค้า มูฮัมหมัดเข้าใจว่าทรัพย์สินในคาราวานไม่ได้เป็นของเขา ไม่ใช่ของชาวมุสลิม แต่เป็นของคนอื่น อย่างไรก็ตาม เขาเรียกร้องให้ชาวมุสลิมยึดเอาคุณค่าเหล่านี้ และนี่คือแรงจูงใจเดียวที่ผู้เขียนชีวประวัติมอบให้

คาราวานไม่ได้รับการปกป้องในทางปฏิบัติและการโจมตีที่ทรยศก็สวมมงกุฎด้วยความสำเร็จ: การส่งกองทหารมุสลิมกลับมาพร้อมกับของโจร อย่างไรก็ตาม สาวกของมูฮัมหมัดหลายคนรู้สึกอับอายกับการละเมิดเดือนแห่งการพักรบอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งห้ามมิให้มีการดำเนินการทางทหาร ความงุนงงของพวกเขาได้รับคำตอบด้วยการเปิดเผย: “พวกเขาถามคุณ [ว่าจะอนุญาตหรือไม่] ให้ต่อสู้ [กับผู้นับถือพระเจ้าเมกกะ] ในเดือนต้องห้าม คำตอบ: -การต่อสู้ในเดือนต้องห้ามถือเป็นบาปอันใหญ่หลวง อย่างไรก็ตาม การหันเหออกจากทางของอัลลอฮฺ การไม่ปล่อยให้ใครเข้าไปในมัสยิดต้องห้าม การปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ และการขับไล่บรรดาผู้ละหมาดออกจากมัสยิดนั้น ถือเป็นบาปที่ยิ่งใหญ่กว่าต่ออัลลอฮฺ เนื่องจากการนับถือพระเจ้าหลายองค์นั้นเป็นบาปที่ยิ่งใหญ่กว่าการฆาตกรรม” (อัลกุรอาน 2.217 ).

หนึ่งปีต่อมาชาวเมกกะได้ส่งกองกำลังไปยัง Yathrib เพื่อลงโทษมูฮัมหมัดในข้อหาปล้นทรัพย์ ประมาณวันที่ 15 มีนาคม 624 พวกเขาโจมตีชาวมุสลิม มีคนประมาณหกร้อยคนเข้าร่วมในการสู้รบในฝ่ายนอกรีต และอีกกว่าสามร้อยคนเล็กน้อยในฝ่ายมุสลิม ต้องขอบคุณวินัยและความกระตือรือร้นของชาวมุสลิม ชัยชนะจึงเข้าข้างพวกเขา สิ่งนี้ทำให้ตำแหน่งของมูฮัมหมัดในเมดินาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ คนต่างศาสนาจำนวนมากเริ่มยอมรับศาสนาอิสลามอย่างแข็งขัน ชาวมุสลิมเชื่อมั่นว่าชัยชนะครั้งนี้เป็นการยืนยันความบริสุทธิ์ของพวกเขา “ ไม่ใช่คุณที่ฆ่าพวกเขา แต่อัลลอฮ์ทรงฆ่าพวกเขา” (อัลกุรอาน 8.17) การเปิดเผยกล่าวถึงเรื่องนี้

ในยุทธการที่บาดร์ คนต่างศาสนาจำนวนมากถูกจับ “ผู้เผยพระวจนะ” สั่งให้ขายบางส่วนให้กับญาติเพื่อเรียกค่าไถ่ พวกขอทานได้รับการปล่อยตัวโดยสาบานว่าจะไม่ต่อต้านเขา และบางคนก็สั่งให้ฆ่า:

“ท่านศาสดาเสด็จต่อไปโดยเสด็จกลับมายังเมดินา นอกจากเขาแล้วยังมีคนต่างศาสนาที่เป็นเชลยและในหมู่พวกเขายังมี Uqba ibn Abu Muayt, an-Nadr ibn al-Harith... เมื่อท่านศาสดาอยู่ในอัล-Safra อัน-Nadr ibn al-Harith ก็ถูกสังหาร จากนั้นเขาก็เดินหน้าต่อไป และ... อุกบา บิน อบู มวยก็ถูกสังหาร เมื่อท่านศาสดาสั่งประหารอุกบา อุกบาถามว่า “จะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ โอ้ มูฮัมหมัด?” พระศาสดาตรัสตอบว่า “ไฟ” เขาถูกอาซิม บิน สะบิต อัล-อันซารีฆ่า..." (อิบนุ ฮิชัม ชีวประวัติ... หน้า 300)

คนเหล่านี้ได้รับการสังเกตเป็นพิเศษเพราะครั้งหนึ่งพวกเขาทำให้มูฮัมหมัดรำคาญด้วยการเยาะเย้ยเขาและบทกวีของเขา มูฮัมหมัดไม่ให้อภัยสิ่งเหล่านั้นและจัดการแสดงการประหารชีวิต และเด็กผู้ชายที่กวี Ukba ถามมูฮัมหมัดก็คือลูก ๆ ของเขา Ukba's...

ในการต่อสู้ครั้งต่อไปที่เกิดขึ้นในอีกหนึ่งปีต่อมา - ที่ Uhud ชาวมุสลิมได้รับความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่แม้ว่ามูฮัมหมัดจะทำนายชัยชนะเมื่อวันก่อน อย่างไรก็ตาม อูฐของเขาถูกฆ่าภายใต้เขา และฟันสองซี่ของเขาถูกกระแทกออกไป

นี่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชุมชนมุสลิม แม้ว่าจะไม่ล่มสลายแม้ว่าจะพ่ายแพ้ก็ตาม มีการเปิดเผยมาถึงมูฮัมหมัด โดยอธิบายว่าชาวมุสลิมเองต้องตำหนิในทุกสิ่ง แต่ไม่ใช่ "ผู้เผยพระวจนะ" ถ้าพวกเขาบอกว่าพวกเขาฟังเขา พวกเขาคงจะชนะ ในเวลาเดียวกัน มูฮัมหมัดได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับตำแหน่งของเขาในเมดินา การปราบปรามเริ่มต้นขึ้นต่อผู้ที่ต่อต้านมูฮัมหมัด คำเทศนาทั้งหมดของมูฮัมหมัดซึ่งต่อมากลายเป็นอัลกุรอานอยู่ในรูปแบบบทกวี และแม้ว่ามูฮัมหมัดเองก็อ้างว่าไม่มีใครสามารถเขียนบทกวีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้ แต่กวีอาหรับก็ยังไม่เชื่อเกี่ยวกับบทกวีของเขาและระดับของบทกวีของเขา พวกเขาล้อเลียนพวกเขาในบทกวีของพวกเขา และเขาทนไม่ได้กับสิ่งนี้ ตามคำสั่งของมูฮัมหมัด นอกเหนือจากกวีชาวเมกกะที่ถูกจับแล้ว กวีสองคนที่อาศัยอยู่ในเมดินาก็ถูกสังหารด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อฆ่ากวีเฒ่าผู้ระมัดระวังมาก มูฮัมหมัดยอมให้ฆาตกรหันไปใช้คำโกหก พวกเขาบอกกวีว่าพวกเขาไม่ใช่มุสลิม และเมื่อได้รับความไว้วางใจจากเขา จึงฆ่าชายชราคนนั้นและนำหัวใจของเขาไปหามูฮัมหมัด ผู้หญิงก็ตกอยู่ภายใต้การกดขี่เหล่านี้เช่นกัน มูฮัมหมัดสั่งให้เสรีชนและบุตรบุญธรรมของเขาอย่าง Zeid เป็นการส่วนตัวให้สังหาร Umm Qirfa กวีหญิงผู้เยาะเย้ย "ผู้เผยพระวจนะ" ในบทกวีของเธอ เซย์ดฆ่าเธอด้วยการผูกเชือกที่ขาของเธอ และอีกด้านผูกไว้กับอูฐสองตัว โดยนำอูฐไปในทิศทางตรงกันข้ามจนกระทั่งผู้หญิงคนนั้นถูกฉีกเป็นสองท่อน (อัล "ซาบา - อิบัน ฮาการ์ - เล่ม 4, หน้า 231)

คนต่างศาสนาในเมดินาส่วนใหญ่กลายเป็นมุสลิม ในขณะที่คนกลุ่มน้อยถูกบังคับให้ย้ายออกไป ฝ่ายต่อต้านอีกฝ่ายในเมืองคือชนเผ่ายิว ซึ่งมีอยู่สี่เผ่า ชาวยิวบางคนเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลามเช่นกัน แต่จำนวนของพวกเขาไม่มีนัยสำคัญ ชาวยิวส่วนใหญ่เยาะเย้ยคำกล่าวอ้างเชิงพยากรณ์ของมูฮัมหมัดและความพยายามในการเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์อีกครั้ง สิ่งนี้ทำให้เขาหงุดหงิด และเขาเริ่มทำสงครามอย่างเป็นระบบกับชนเผ่ายิว ในเวลาเดียวกันเขาทำตัวเหมือนนักการเมืองเจ้าเล่ห์ใช้ประโยชน์จากการทะเลาะวิวาทระหว่างชนเผ่าและพยายามทำลายแต่ละเผ่าแยกจากกันในขณะที่อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน เขาได้ทำลายล้างสามเผ่าอย่างสมบูรณ์ นี่เป็นตัวอย่างแรกของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ภายใต้ศาสนาอิสลาม เขาบังคับให้ชนเผ่าหนึ่งย้ายออกไป

“ ในตอนเที่ยง กาเบรียลปรากฏตัวต่อท่านศาสดา... [และกล่าวว่า]: “ อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่และทรงพระสิริรุ่งโรจน์ได้สั่งให้ท่านไปที่บานูกุไรซา ฉันจะไปหาพวกเขาและเขย่าพวกเขา” ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ได้ปิดล้อมพวกเขาเป็นเวลายี่สิบห้าวันจนกระทั่งการล้อมนั้นทนไม่ไหวสำหรับพวกเขา... “จากนั้นพวกเขาก็ยอมจำนน และท่านศาสดาได้ขังพวกเขาไว้ในเมดินาในบ้านของบินต์ อัล-ฮะริษ ผู้หญิงจากบานู อัน-นัจญาร์ จากนั้นท่านศาสดาได้ไปที่ตลาดของเมืองเมดินาและขุดคูน้ำหลายแห่งที่นั่น แล้วพระองค์ทรงสั่งให้พาพวกเขาไปตัดศีรษะในคูน้ำเหล่านี้ พวกเขาบอกว่ามีประมาณแปดถึงเก้าร้อยคน” (อิบนุ ฮิชัม ชีวประวัติ... หน้า 400)

คนต่างศาสนาที่มีอิทธิพลบางคน เช่น ชาวเมดิเนียน เช่น คาลิด บิน ซุฟยาน และกะบ์ บิน อัล-อัชราฟ ถูกมูฮัมหมัดสังหารโดยการส่งมือสังหาร และคนอื่นๆ ถูกบังคับให้ย้ายออกไป ดังนั้นมูฮัมหมัดจึงรับไว้ตามต้องการ ทั้งเมืองมีชุมชนที่เข้มแข็งและได้รับการฝึกฝนเชื่อฟังเขาอย่างสมบูรณ์ ดังนั้น เมื่อพวกเมกกะทำการรณรงค์ครั้งถัดไป สถานการณ์จึงแตกต่างออกไป

ชาวเมกกะได้รวบรวมกำลังขนาดใหญ่และเคลื่อนไหวต่อต้านเมดินาด้วยความตั้งใจที่จะทำลายศาสนาอิสลาม อย่างไรก็ตาม มูฮัมหมัดซึ่งเข้าใจว่าความแข็งแกร่งของเขายังไม่เพียงพอ จึงหันไปใช้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญชาวเปอร์เซียที่อยู่ในชุมชนและเสนอแนะนวัตกรรมที่ชาวอาหรับไม่คุ้นเคย ซัลมานชาวเปอร์เซียแนะนำให้ขุดคูน้ำรอบๆ เมืองมะดีนะห์ เมื่อชาวเมกกะมาถึงคูน้ำนี้ พวกเขาไม่กล้าที่จะเอาชนะมันและล่าถอยไป โดยพอใจกับการทำลายต้นอินทผาลัมที่เติบโตอยู่รอบๆ การต่อสู้ในเวลาต่อมาส่วนใหญ่ได้รับชัยชนะโดยชาวมุสลิม แม้ว่าชนเผ่าบางเผ่าจะรวมตัวกันต่อต้านพวกเขา เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามทำผิดพลาดและไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ศาสนาอิสลามจึงมีความเข้มแข็งมากขึ้น

ขณะที่เขามีอำนาจมากขึ้น มูฮัมหมัดก็บังคับใช้ศาสนาของเขากับชนเผ่าเล็กๆ โดยรอบ ชาวเบดูอินรับรู้สิ่งนี้โดยส่วนใหญ่โดยเฉยเมย มีทหารม้าเพียงไม่กี่คนเพียงพอที่จะทำลายรูปเคารพของชนเผ่า ซึ่งแทบไม่ได้รับการต่อต้านเลย

ในปี 630 มูฮัมหมัดซึ่งเป็นหัวหน้ากองทัพนับพันได้เดินทัพไปยังเมกกะ เมืองก็ยอมจำนน มูฮัมหมัดยกโทษให้ศัตรูที่ขมขื่นที่สุดของเขาอย่างท้าทาย เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกๆ ที่เร่งรีบเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ในปีที่เขาเสียชีวิต (632) มูฮัมหมัดได้ทำพิธีฮัจญ์ที่กะอ์บะฮ์ ทำความสะอาดรูปเคารพ และประกอบพิธีกรรมบูชาหินสีดำ จากทุกทิศทุกทางตัวแทนของชนเผ่าอาหรับแห่กันไปที่เมกกะอย่างเร่งรีบเพื่อเข้าร่วมเป็นพันธมิตรด้วยพลังที่น่าเกรงขาม ในปีที่มูฮัมหมัดมรณกรรม มีผู้นับถือศาสนาอิสลามประมาณ 100,000 คน อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น หลายภูมิภาคของอาระเบีย (ตะวันออกและใต้) ขับไล่ทูตของเขาออกไปด้วยความอับอาย โดยรวมตัวกันล้อมรอบผู้เผยพระวจนะของพวกเขาเอง - อัสวัดและมูไซลีมา ศาสดาพยากรณ์ทางเลือกเหล่านี้พร้อมกับผู้ติดตามของพวกเขาซึ่งกลายเป็นอุปสรรคที่แข็งแกร่งที่สุดต่อเส้นทางของศาสนาอิสลามในอาระเบีย

อาการป่วยหนักพบว่ามูฮัมหมัดกำลังเตรียมการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านไบแซนเทียม ความตายขัดขวางไม่ให้แผนเป็นจริง ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตเขาป่วยหนักมีผีคนตายมารบกวนเขา เขาเสียชีวิตในเมดินาในปี 632

ชีวิตส่วนตัว

ตามคำสอนของศาสนาอิสลาม: “ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับพวกท่าน สำหรับผู้ที่หวังในอัลลอฮฺ” (กุรอาน 33.21) ดังนั้นการกระทำและ ลักษณะทางศีลธรรมมูฮัมหมัดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมุสลิมทุกคน

ในเมืองเมดินา มูฮัมหมัดได้มีฮาเร็ม เขามีภรรยาได้ครั้งละเก้าคน และโดยรวมแล้วเขามีภรรยา 13 คนตลอดชีวิตของเขา สำหรับชาวมุสลิม มูฮัมหมัดได้กำหนดข้อจำกัดไม่ให้มีภรรยาเกินสี่คน แต่จากนั้นได้รับ "การเปิดเผย" ว่าตัวเขาเองสามารถรับภรรยาได้ไม่จำกัดจำนวนเป็นข้อยกเว้น ในบรรดาภรรยาเหล่านี้ก็มีบ้าง ตัวอย่างที่น่าสนใจ. ตัวอย่างเช่น Aisha bint Abu Bakr ซึ่งมูฮัมหมัดแต่งงานเมื่ออายุเก้าขวบ เนื่องจากมูฮัมหมัดเป็นแบบอย่างของชาวมุสลิม นี่จึงเป็นแบบอย่างทางกฎหมายในกฎหมายอิสลาม ในอิหร่านและโมร็อกโก จนถึงทุกวันนี้ เด็กผู้หญิงสามารถแต่งงานได้ตั้งแต่อายุเก้าขวบ ภรรยาอีกคนของเขาคือภรรยาของ Zeid ลูกชายบุญธรรมของเขา มูฮัมหมัดชอบเธอมากและเขาบังคับให้ลูกชายของเขาหย่ากับเธอและรับเธอเป็นภรรยาของเขา เมื่อชาวมุสลิมบางคนกล้าที่จะขุ่นเคืองในเรื่องนี้ เนื่องจากตามข้อมูลของชาวอาหรับ การแต่งงานดังกล่าวเป็นการร่วมประเวณีระหว่างพี่น้อง มูฮัมหมัดได้รับ "การเปิดเผย" ทันทีที่ทำให้เขาสามารถแต่งงานกับภรรยาของบุตรบุญธรรมของเขาได้
นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงชาวยิวคนหนึ่งที่ "ศาสดาพยากรณ์" จับตัวไปในสนามรบซึ่งปฏิเสธ "เกียรติ" ของการเป็น "ภรรยาของศาสดาพยากรณ์" และยิ่งไปกว่านั้นพยายามวางยาพิษมูฮัมหมัด

การให้เหตุผลและการเรียกร้องให้มีการใช้กำลังทหารรุกรานผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมมีบทบาทสำคัญ ท่านศาสดากล่าวว่า: “ ฉันได้รับคำสั่งให้ต่อสู้กับผู้คนจนกว่าพวกเขาจะเป็นพยานว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์และมูฮัมหมัดเป็นผู้รับใช้และศาสนทูตของพระองค์ พวกเขาจะไม่หันไปในทิศทางของกิบลาของเรา (ทิศทางการละหมาด) พวกเขา จะไม่กินสิ่งที่เราฆ่า และจะไม่อธิษฐานเหมือนเรา เมื่อพวกเขาทำเช่นนี้ เราจะไม่มีสิทธิที่จะริบชีวิตและทรัพย์สินของพวกเขาไป เว้นแต่สิ่งที่ควรได้รับจากพวกเขา" (อบูดาวูด, 2635 - ที่นี่และต่อไปในเชิงอรรถระบุชื่อของผู้เขียนรวบรวมหะดีษที่ทำ ซุนนะฮฺปรากฏเป็นลำดับแรก และอันที่สองคือหมายเลขหะดีษในชุดสะสม)

“ให้บรรดาผู้ที่ซื้อปรโลกด้วยค่าครองชีพในโลกนี้ต่อสู้ในนามของอัลลอฮ์ ใครก็ตามที่ต่อสู้ในนามของอัลลอฮ์ และถูกฆ่าหรือชนะ เราจะให้รางวัลใหญ่” (อัลกุรอาน 4, 74) ใครก็ตามที่เสียชีวิตในญิฮาด “จะได้รับการยกย่องสำหรับการกระทำของเขาจนถึงวันฟื้นคืนชีพ และจะเป็นอิสระจาก การพิพากษาชีวิตหลังความตาย" (มุสลิม, 2494 )

มูฮัมหมัดเองก็ได้รับคำสั่ง: “โอ้ท่านศาสดา! ส่งเสริมผู้ศรัทธาต่อสู้กับผู้ไม่เชื่อ!” (อัลกุรอาน 8, 65) และเขาก็เป็นแรงบันดาลใจ “ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์สนับสนุนให้ผู้คนญิฮาดและเล่าให้พวกเขาฟังเกี่ยวกับสวนเอเดน ชาวอันศอรคนหนึ่งกำลังรับประทานอินทผาลัมที่เขาถืออยู่ในมือ และกล่าวว่า “ฉันอยากเข้าสู่โลกนี้ ฉันควรนั่งจนกว่าฉันจะกินเสร็จไหม?” เขาทิ้งสิ่งที่อยู่ในมือแล้วหยิบดาบต่อสู้จนเขาถูกตัดขาด” (มาลิก, 21,18,42).

ในเวลาเดียวกัน การมีส่วนร่วมในญิฮาดเป็นหน้าที่ของชาวมุสลิม โดยไม่คำนึงถึงความปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จ: “คุณได้รับคำสั่งให้ต่อสู้กับศัตรูของอิสลาม และสิ่งนี้ถือเป็นความเกลียดชังสำหรับคุณ แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันว่าคุณเกลียดสิ่งที่ดีสำหรับคุณ สิ่งที่คุณปรารถนาคือสิ่งที่ชั่วสำหรับคุณ อัลลอฮ์ทรงรอบรู้เรื่องนี้ แต่คุณไม่รู้” (กุรอาน 2.216)

ความสัมพันธ์ของมูฮัมหมัดกับคริสเตียน

ตัวแทนของชนเผ่าอาหรับที่นับถือศาสนาคริสต์พบกับมูฮัมหมัดเป็นประจำ และเขาสนุกกับการพูดคุยกับพวกเขาเกี่ยวกับความศรัทธา ตลอดชีวิตของเขา ผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามต้องต่อสู้กับชนเผ่ายิวสี่เผ่า ได้แก่ Kanuk, Nadir, Qurayz และ Khaybar และเขาได้กำกับการรณรงค์ต่อต้าน Byzantines ออร์โธดอกซ์หนึ่งครั้ง

ชาวคริสต์แห่งนัจรานได้ทำข้อตกลงกับมูฮัมหมัด พวกเขายังมีข้อพิพาททางศาสนาซึ่งยุติลงอย่างไม่ประสบผลสำเร็จสำหรับผู้เผยพระวจนะเท็จ เห็นได้ชัดว่าความล้มเหลวเหล่านี้เป็นเหตุผลว่าทำไมเขา ปีที่ผ่านมาตลอดชีวิตของเขาเขาประสบกับความเกลียดชังต่อคริสเตียนและศาสนาคริสต์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอัลกุรอานคุณจะพบทั้งสองข้อที่สรรเสริญคริสเตียนและคำสาปแช่งโดยตรง พระองค์ทรงมอบอำนาจให้ชาวคริสต์ทั้งหมดถูกขับออกจากคาบสมุทรอาหรับและสิ้นพระชนม์ขณะเตรียมการรณรงค์ครั้งใหญ่เพื่อต่อต้านไบเซนไทน์ออร์โธดอกซ์

ศาสดามูฮัมหมัดเสียชีวิตหลังจากป่วยหนัก เขาเริ่มป่วยในช่วง 10 วันสุดท้ายของเดือนซอฟัร ศาสดามูฮัมหมัดรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงขณะอยู่ในบ้านของไมมูนาห์ ภรรยาคนหนึ่งของเขา เมื่อความเจ็บปวดทวีความรุนแรงมากขึ้น เขาเริ่มถามภรรยาว่า “พรุ่งนี้ฉันจะอยู่ที่ไหน? พรุ่งนี้ฉันจะอยู่ที่ไหน? เนื่องจากท่านศาสดาใช้เวลาอยู่ในบ้านของภรรยาแต่ละคนเมื่อถึงคราวของเธอ พวกเขาเข้าใจความปรารถนาของเขาที่จะอยู่ในบ้านของ 'A'isha และอนุญาตให้เขาอยู่ในที่ที่เขาต้องการ

อาอิชะห์กล่าวว่า “เมื่อท่านศาสดามูฮัมหมัดเดินผ่านบ้านของฉัน พระองค์ทรงทักทายฉัน และฉันก็มีความสุข วันหนึ่งศาสดามูฮัมหมัดเดินผ่านมาและไม่ทักทายฉัน ฉันเอาผ้าพันหัวแล้วหลับไป จากนั้นพระศาสดามูฮัมหมัดก็เสด็จผ่านไปอีกครั้งและถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” ฉันตอบว่า “ฉันปวดหัว” ศาสดามูฮัมหมัดกล่าวว่า “ฉันปวดหัว” ตอนนั้นเองที่ทูตสวรรค์ญิบรีลได้แจ้งแก่เขาว่าเวลาแห่งความตายของเขาจะมาถึงในไม่ช้า ไม่กี่วันต่อมา คนสี่คนพาศาสดามูฮัมหมัดไปที่บ้านของอาอิชา อิหม่ามอาลีเข้ามาและบอกว่าจะเรียกภรรยาของท่านศาสดา เมื่อพวกเขามาถึง พระศาสดามูฮัมหมัดกล่าวว่า “ฉันไม่สามารถไปเยี่ยมท่านได้ อนุญาตให้ฉันอยู่ในบ้านของอาอิชะฮ์” พวกเขาเห็นด้วย.

อาอิชะห์กล่าวว่า “เมื่อท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺเสด็จมา เขาก็เข้าไปด้วย” อยู่ในสภาพร้ายแรงแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถามว่าผู้คนเคยแสดงนามาซหรือไม่ เธอตอบว่า: “ไม่. พวกเขากำลังรอคุณอยู่ โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์” จากนั้นเขาก็พูดว่า: “เอาน้ำมา” เขาอาบน้ำชำระตัว (ทำฆุซุล) และไปหาผู้คน แต่เมื่อออกเดินทางเขาก็หมดสติไป เมื่อเขารู้สึกตัวได้ เขาก็ถามอีกครั้งว่าผู้คนได้แสดงนามาซหรือไม่ พวกเขาตอบเขาว่า:“ ไม่ ผู้คนกำลังรอคุณอยู่ โอ้ท่านศาสนทูตแห่งอัลลอฮ์”

ผู้คนมารวมตัวกันในมัสยิดและรอให้ท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ทำการแสดงอิชานะมาซ ท่านศาสดาได้ส่งตัวอบูบักร์ไปแสดงนะมาซร่วมกับพวกเขาในฐานะอิหม่าม อบู บักร เป็นคนสุภาพมากและแนะนำอุมัรว่า “โอ้ อุมัร! ทำมัน." แต่อุมัรตอบว่า “ท่านสมควรยิ่งกว่านี้” และอบูบักร์ได้แสดงนะมาซร่วมกับพวกเขาในฐานะอิหม่ามเป็นเวลาหลายวัน”

เมื่ออาการของท่านศาสดาดีขึ้นเล็กน้อย ท่านจึงออกไปหาผู้คนเพื่อทำนามาซซูห์ร เขาได้รับการสนับสนุนจากคนสองคน หนึ่งในนั้นคือลุงของเขา - อัล-อับบาส และเมื่ออบู บักร เห็นท่านศาสดา เขาก็เริ่มถอยออกไปเพื่อให้มีที่ว่างให้กับอิหม่ามของเขา แต่ศาสดามูฮัมหมัดได้ให้สัญญาณมือแก่เขาให้อยู่กับที่ และชี้ให้ผู้ที่จับเขานั่งข้างเขา และอบูบักรก็แสดงนามาซยืนและผู้เผยพระวจนะกำลังนั่งอยู่

สภาพของศาสดามูฮัมหมัดยังคงร้ายแรง ฟาติมา บุตรสาวของเขา เมื่อเห็นความทุกข์ทรมานของเขา ก็รู้สึกเสียใจแทนเขา เขาตอบเธอว่า: “หลังจากวันนี้จะไม่มีความเจ็บปวดหรือหนักใจอีกต่อไป”

จากนั้นอาการของท่านศาสดาก็แย่ลงและท่านหยุดพูดโดยสื่อสารกับสัญญาณที่อยู่รอบๆ มีรายงานว่า เมื่อท่านศาสดาสิ้นพระชนม์ ศีรษะของเขาไปอยู่บนตักของอาอิชา เธอกล่าวถึงช่วงเวลานี้ว่า “จากความโปรดปรานที่อัลลอฮ์ทรงประทานแก่ฉัน มีรายงานว่าท่านศาสดาสิ้นพระชนม์ในบ้านของฉัน ในวันที่ฉัน และก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ น้ำลายของเราก็รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน “อับดุลเราะห์มานเข้ามาในบ้านของฉัน และในมือของเขามีซิวากอยู่ ท่านศาสดามองดูเขาและฉันรู้ว่าเขาต้องการศิวัก ฉันถามเขาว่าเขาต้องการซิวแอคนี้หรือไม่ ซึ่งเขาพยักหน้าเห็นด้วย เขาหยิบมันมาไว้ในมือแล้วมองดู ฉันถามว่า: "นุ่มลงไหม?" เขาพยักหน้า. ฉันจึงให้น้ำจิ้มรสจืดในปากของเขาแก่เขาแล้ววางชามน้ำลงไป เขาเอามือจุ่มน้ำ ลูบหน้าผากแล้วพูดซ้ำ: “ไม่มีผู้สร้างอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์” และเขายังกล่าวอีกว่า: “แท้จริงก่อนความตายย่อมมีความทุกข์ทรมาน”

เธอยังกล่าวอีกว่า:“ ฉันเห็นใบหน้าของเขาแดงและมีเหงื่อไหลออกมา เขาขอให้มีคนช่วยลุกขึ้นนั่ง ฉันจับเขาแล้วลูบหัวเขา เขานอนลงบนที่นอน และฉันก็ห่มผ้าให้เขา ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยเห็นใครคนหนึ่งกำลังจะตาย แต่ตอนนี้ฉันเห็นเขากำลังจะตาย (มีรายงานว่าไม่มีใครนอกจากท่านอาอิชาและเหล่าทูตสวรรค์ เมื่อศาสดามูฮัมหมัดเสียชีวิต) “อุมัรมาพร้อมกับมูกีรา อิบนุ ชะอับ” ฉันปิดหน้าและปล่อยให้พวกเขาเข้าไป อุมัรถามว่า: “อาอิชา เกิดอะไรขึ้นกับท่านศาสดา?” ฉันตอบว่า: “เขาหมดสติไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว” “อุมัรเปิดหน้าของเขาแล้วกล่าวว่า “โอ้ วิบัติ!”

ในสุนัตอีกบทหนึ่ง เล่าจากฮะซัน อิบนุ อาลี จากมูฮัมหมัด อิบนุ อาลี ซึ่งกล่าวว่า: “สามวันก่อนที่ศาสดาจะสิ้นพระชนม์ ทูตสวรรค์ญิบรีลได้มาหาเขาและกล่าวว่า: “โอ้ มูฮัมหมัด อัลลอฮ์โดยแท้จริงทรงส่งฉันมาหาคุณ ด้วยความเมตตาจึงได้ถามท่านว่าท่านเป็นยังไงบ้าง” ท่านนบีตอบว่า “โอ้ ญิบรีล ฉันเสียใจ โอ้ ญิบรีล ฉันเสียใจ” วันรุ่งขึ้น ญิบรีลได้มาหาท่านศาสดาอีกครั้งและถามคำถามของเขาซ้ำ พระศาสดาตรัสตอบอีกครั้งว่า “ข้าพระองค์เสียใจ ข้าพระองค์เสียใจ” ในวันที่สาม ญิบรีลได้มาพร้อมกับมะลักอัซรออีล และพร้อมกับพวกเขาคือมะลาอิกะฮ์ในอากาศซึ่งมีชื่อว่าอิสมาอิล ซึ่งมีมะลาอิกะฮ์จำนวน 70,000 องค์ร่วมด้วย และแต่ละมะกะโรนี 70,000 องค์นี้มาพร้อมกับมะกะฮ์ 70,000 องค์ แองเจิลญิบรีลเป็นคนแรกที่เข้าหาท่านศาสดามูฮัมหมัดและกล่าวว่า: “โอ้ อาหมัด อัลลอฮ์ได้ส่งฉันมาด้วยความเมตตาแก่คุณ” และทวนคำถามของเขาอีกครั้ง พระศาสดาตรัสตอบอีกครั้งว่าเขาเศร้าใจ ในขณะนั้น แองเจิล อัซราเอลเข้าไปหาท่านศาสดาพยากรณ์ ญิบรีลบอกกับท่านศาสดามูฮัมหมัดว่า “ทูตแห่งความตายเป็นผู้ขออนุญาต และก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ขออนุญาตจากใคร และจะไม่ขออนุญาตจากบุคคลใดอีกต่อไป” ศาสดามูฮัมหมัดตอบว่า: “ฉันอนุญาต” จากนั้น อัซราเอลก็ทักทายท่านศาสดาและกล่าวว่า “ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน โอ้ อะห์หมัด อัลลอฮ์ทรงส่งฉันมาหาท่าน และทรงบัญชาให้ฉันเชื่อฟังคำสั่งของท่าน” หากคุณสั่งให้ฉันเอาวิญญาณของคุณไปฉันก็จะทำ หากคุณไม่ต้องการฉันก็จะทิ้งเธอไป” พระศาสดาถามเทวดาแห่งความตาย: “นี่คือสิ่งที่คุณทำ Azrael?” เขาตอบว่า: “นี่คือสิ่งที่ฉันได้รับคำสั่ง [อัลลอฮ์สั่งให้ฉันปฏิบัติตามคำร้องขอของคุณ]” พระศาสดามูฮัมหมัดตรัสตอบว่า “โอ้ อัสราเอล จงทำตามที่เจ้ามาเถิด” จากนั้นทุกคนที่อยู่ในบ้านได้ยินคำทักทายของทูตสวรรค์: “ขอความสันติสุขจงมีแด่ท่าน ชาวบ้านหลังนี้ ขอความเมตตาและพระพรของอัลลอฮ์จงมีแด่ท่าน” และแสดงความเสียใจ: “จงมอบหมายทุกสิ่งแด่อัลลอฮฺ และ จงวางใจในพระองค์ ลำบากแท้จริง” คือผู้ที่ถูกกีดกันจากซอบ "" หะดีษนี้มีระดับของฮะซัน-เมอร์ซัล

คุณอาจจะชอบมัน

สิ่งที่ชาฟาตจะเกิดในวันกิยามะฮ์นั้นเป็นจริง Shafaat กระทำโดย: ศาสดา, นักวิชาการผู้ยำเกรงพระเจ้า, มรณสักขี, เทวดา ศาสดามูฮัมหมัดของเราได้รับสิทธิจากชาฟาตผู้ยิ่งใหญ่พิเศษ ศาสดามูฮัมหมัด ในนามของศาสดา "มูฮัมหมัด" ตัวอักษร "x" ออกเสียงว่า ح ในภาษาอาหรับจะขอการอภัยโทษแก่ผู้กระทำบาปอันใหญ่หลวงจากชุมชนของเขา รายงานด้วยสุนัตอันเป็นความจริง: “ชาฟาตของฉันนั้นมีไว้สำหรับบรรดาผู้กระทำบาปอันใหญ่หลวงจากชุมชนของฉัน” ถ่ายทอดโดยอิบนุ ฮิบบาน สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบาปใหญ่ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ชาฟาต สำหรับบางคน พวกเขาสร้างชาฟาตก่อนเข้านรก และบางคนหลังจากเข้านรกแล้ว Shafaat ทำเพื่อชาวมุสลิมเท่านั้น

Shafaat ของท่านศาสดาจะไม่เพียงแต่สำหรับชาวมุสลิมที่อาศัยอยู่ในช่วงเวลาของศาสดามูฮัมหมัดและหลังจากนั้นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้ที่มาจากชุมชนก่อนหน้านี้ (ชุมชนของศาสดาพยากรณ์อื่น ๆ )

มีกล่าวไว้ในอัลกุรอาน (ซูเราะห์อัลอันบียา อายะฮฺที่ 28) ซึ่งหมายความว่า “พวกเขาไม่ทำชาฟาต ยกเว้นผู้ที่อัลลอฮ์ทรงอนุมัติชาฟาตให้” ศาสดามูฮัมหมัดของเราเป็นคนแรกที่สร้างชาฟาต

มีเรื่องที่รู้จักกันดีที่เราได้กล่าวถึงไปแล้วก่อนหน้านี้แต่ก็คุ้มค่าที่จะกล่าวถึงอีกครั้ง ผู้ปกครองอบู ญะอ์ฟัร กล่าวว่า “โอ้ อบู อับดุลลอฮ์! เมื่ออ่านดุอา ฉันควรหันหน้าไปทางกิบละฮ์หรือหันหน้าไปทางท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์? อิหม่ามมาลิกตอบว่า: “เหตุใดคุณจึงหันหน้าหนีจากท่านศาสดา? ท้ายที่สุดแล้ว ในวันกิยามะฮ์เขาจะทำการชาฟาตเป็นที่โปรดปรานของคุณ ดังนั้นจงหันหน้าไปทางท่านศาสดาพยากรณ์ขอชาฟาตจากเขาแล้วอัลลอฮ์จะทรงประทานชาฟาตของศาสดาพยากรณ์แก่คุณ! มีการกล่าวไว้ในอัลกุรอานอันศักดิ์สิทธิ์ (ซูเราะห์อัน-นิสา อายะฮฺที่ 64) ความหมาย: “และหากพวกเขากระทำการอันไม่ยุติธรรมต่อตนเอง มาพบท่านและขออภัยโทษจากอัลลอฮ์ และผู้ส่งสารของอัลลอฮฺก็ขออภัยโทษสำหรับ พวกเขาจึงจะได้รับความเมตตาและการอภัยโทษจากอัลลอฮ์ เพราะอัลลอฮ์เป็นผู้รับการกลับใจของบรรดามุสลิม และทรงเมตตาต่อพวกเขา"

ทั้งหมดนี้ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แสดงว่าได้ไปเยี่ยมชมหลุมศพของท่านศาสดามูฮัมหมัด ในนามของศาสดา "มูฮัมหมัด" ตัวอักษร "x" ออกเสียงว่า ح ในภาษาอาหรับอนุญาตให้ถามเขาเกี่ยวกับ Shafaat ตามคำพูดของนักวิทยาศาสตร์และที่สำคัญที่สุด - ศาสดามูฮัมหมัดเอง ในนามของศาสดา "มูฮัมหมัด" ตัวอักษร "x" ออกเสียงว่า ح ในภาษาอาหรับ.

แท้จริงแล้ว ในวันพิพากษา เมื่อดวงอาทิตย์จะเข้าใกล้ศีรษะของคนบางคน และพวกเขาจะจมลงด้วยเหงื่อของพวกเขาเอง แล้วพวกเขาก็จะเริ่มพูดกันว่า “ให้เราไปหาอาดัมบรรพบุรุษของเราเถิด เพื่อว่า เขาจะทำการชาฟาตเพื่อพวกเรา” หลังจากนั้นพวกเขาจะมาหาอาดัมและพูดกับเขาว่า “โอ อาดัม เจ้าเป็นบิดาของมวลมนุษยชาติ อัลลอฮ์ทรงสร้างพวกท่าน ประทานดวงวิญญาณที่มีเกียรติแก่พวกท่าน และทรงสั่งให้เหล่ามะลาอิกะฮ์กราบลงต่อท่าน ดังนั้นจงสร้างชาฟาตให้เราต่อพระพักตร์พระเจ้าของท่านเถิด” อาดัมจะกล่าวว่า: “ฉันไม่ใช่ผู้ที่ได้รับชาฟาตผู้ยิ่งใหญ่ ไปที่นูห์ (โนอาห์)! หลังจากนั้นพวกเขาจะมาหานูห์และถามเขาเขาจะตอบแบบเดียวกับอาดัมและส่งพวกเขาไปหาอิบราฮิม (อับราฮัม) หลังจากนี้ พวกเขาจะมาหาอิบราฮิมและขอชาฟาตจากเขา แต่เขาจะตอบเหมือนศาสดาพยากรณ์คนก่อนๆ ว่า “ฉันไม่ใช่ผู้ที่ได้รับชาฟาตผู้ยิ่งใหญ่ จงไปหามูซา (โมเสส)” หลังจากนั้น พวกเขาจะมาหามูซาและถามเขา แต่เขาจะตอบเช่นเดียวกับศาสดาพยากรณ์คนก่อนๆ ว่า “ฉันไม่ใช่ผู้ที่ได้รับชาฟาอาตผู้ยิ่งใหญ่มอบให้ จงไปหาอีซา!” หลังจากนั้นพวกเขาจะมาหาอีซาและถามพระองค์ เขาจะตอบพวกเขา: "ฉันไม่ใช่ผู้ที่ได้รับ Shafaat ผู้ยิ่งใหญ่ จงไปหามูฮัมหมัด" หลังจากนั้นพวกเขาจะมาหาท่านศาสดามูฮัมหมัดและถามท่าน จากนั้นท่านศาสดาจะก้มลงกับพื้นเขาจะไม่เงยหน้าขึ้นจนกว่าจะได้ยินคำตอบ เขาจะได้รับแจ้งว่า: “โอ้ มูฮัมหมัด จงเงยหน้าขึ้นเถิด! จงขอแล้วมันจะให้แก่คุณ จงทำชาฟาต แล้วชาฟาตของคุณจะถูกยอมรับ! เขาจะเงยหน้าขึ้นแล้วพูดว่า: “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ชุมชนของข้าพระองค์! ชุมชนของฉัน ข้าแต่พระเจ้า!

ศาสดามุฮัมมัดกล่าวว่า “ฉันคือคนที่สำคัญที่สุดในวันกิยามะฮ์ และเป็นคนแรกที่จะออกมาจากหลุมศพในวันกิยามะฮ์ และเป็นคนแรกที่จะสร้างชาฟาต และเป็นคนแรกที่จะมีชาฟาต จะได้รับการยอมรับ”

นอกจากนี้ พระศาสดามูฮัมหมัดยังกล่าวอีกว่า “ฉันได้รับตัวเลือกระหว่างชาฟาตและโอกาสสำหรับครึ่งหนึ่งของชุมชนของฉันที่จะเข้าสู่สวรรค์โดยปราศจากความทุกข์ทรมาน ฉันเลือก Shafaat เพราะมันมีประโยชน์ต่อชุมชนของฉันมากกว่า คุณคิดว่า Shafaat ของฉันมีไว้สำหรับผู้เคร่งครัด แต่ไม่ใช่ มีไว้สำหรับคนบาปรายใหญ่จากชุมชนของฉัน”

Abu Hurayrah กล่าวว่าพระศาสดามูฮัมหมัดกล่าวว่า: “ ศาสดาทุกคนได้รับโอกาสในการขอดุอาพิเศษจากอัลลอฮ์ซึ่งจะเป็นที่ยอมรับ พวกเขาแต่ละคนทำสิ่งนี้ในช่วงชีวิตของพวกเขา แต่ฉันทิ้งโอกาสนี้ไว้ วันโลกาวินาศเพื่อทำการชะฟาตให้กับชุมชนของฉันในวันนั้น ชาฟาตนี้จะถูกมอบให้แก่บรรดาผู้ที่จากชุมชนของฉันซึ่งไม่กระทำการชิริก”

หลังจากย้ายจากเมกกะไปยังเมดินา พระศาสดามูฮัมหมัดทรงประกอบพิธีฮัจญ์เพียงครั้งเดียว และนั่นเป็นปีที่ 10 ฮิจเราะห์ ไม่นานก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ในระหว่างการจาริกแสวงบุญ เขาได้พูดคุยกับผู้คนหลายครั้งและกล่าวอำลาผู้ศรัทธา คำแนะนำเหล่านี้เรียกว่าคำเทศนาอำลาของศาสดาพยากรณ์ พระองค์ทรงแสดงโอวาทครั้งหนึ่งในวันอารอฟะฮ์ ในปี (ซุลฮิจญะห์ที่ 9) ในหุบเขาอุรานะฮ์ (1) ถัดจากอารอฟัต และอีกครั้งในวันรุ่งขึ้น นั่นคือ วันนั้น ของวันอีดอัฎฮา ผู้เชื่อหลายคนได้ยินคำเทศนาเหล่านี้ และพวกเขาเล่าถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ให้ผู้อื่นฟัง - ดังนั้นคำแนะนำเหล่านี้จึงถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

เรื่องราวหนึ่งเล่าว่าในช่วงเริ่มต้นเทศนาของท่านศาสดาพยากรณ์กล่าวกับผู้คนดังนี้ “โอ้ ประชาชนทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าให้ดี ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าปีหน้าข้าพเจ้าจะได้อยู่ในหมู่พวกท่านหรือไม่ ฟังสิ่งที่ฉันจะพูดและส่งต่อคำพูดของฉันให้กับผู้ที่ไม่สามารถเข้าร่วมได้ในวันนี้”

มีการถ่ายทอดคำเทศนาของท่านศาสดานี้มากมาย ญาบีร์ อิบัน อับดุลลาห์สรุปเรื่องราวของฮัจญ์ครั้งสุดท้ายของท่านศาสดาและการเทศนาอำลาของเขาได้ดีกว่าสหายอื่น ๆ ทั้งหมด เรื่องราวของเขาเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเวลาที่ท่านศาสดาออกเดินทางจากเมดินา และอธิบายรายละเอียดทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจนกระทั่งเสร็จสิ้นพิธีฮัจญ์

อิหม่ามมุสลิมรายงานในคอลเลกชั่นสุนัต "ซอฮิหฺ" ของเขา (หนังสือ "ฮัจญ์" บทที่ "การจาริกแสวงบุญของศาสดามูฮัมหมัด") จากญะฟาร์ อิบนุ มูฮัมหมัด ว่าพ่อของเขากล่าวว่า "เรามาถึงญะบีร์ บิน อับดุลลอฮ์ และเขาก็เริ่ม ทำความคุ้นเคยกับทุกคน และเมื่อถึงคราวของฉัน ฉันก็พูดว่า: “ฉันชื่อ มูฮัมหมัด อิบนุ อาลี บิน ฮุสเซน”< … >เขาพูดว่า “ยินดีต้อนรับ โอ้ หลานชายของฉัน! ถามสิ่งที่คุณต้องการ”< … >จากนั้นฉันก็ถามเขาว่า “บอกฉันเกี่ยวกับพิธีฮัจญ์ของท่านศาสดาแห่งอัลลอฮฺเถิด” เขาแสดงเก้านิ้วและกล่าวว่า: “แท้จริงท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ไม่ได้ทำฮัจย์มาเก้าปีแล้ว ในปีที่ 10 มีการประกาศว่าท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์จะไปประกอบพิธีฮัจญ์ จากนั้นผู้คนจำนวนมากมาที่มะดีนะฮ์และต้องการประกอบพิธีฮัจญ์ร่วมกับท่านศาสดาเพื่อทำตามแบบอย่างของท่าน”

นอกจากนี้ Jabir ibn 'Abdullah กล่าวว่าเมื่อไปประกอบพิธีฮัจญ์และมาถึงบริเวณใกล้กับเมกกะแล้วศาสดามูฮัมหมัดก็มุ่งหน้าไปยังหุบเขาอาราฟัตทันทีผ่านพื้นที่มุซดาลิฟาห์โดยไม่หยุด เขาอยู่ที่นั่นจนพระอาทิตย์ตกดินแล้วขี่อูฐไปที่หุบเขาอูรานัค ที่นั่น ในวันอารอฟัต ท่านศาสดาได้ปราศรัยกับผู้คนและ [กล่าวสรรเสริญอัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจ] กล่าวว่า:

“โอ้ผู้คน! เช่นเดียวกับที่คุณพิจารณาเดือนนี้ วันนี้ เมืองนี้ศักดิ์สิทธิ์ ชีวิต ทรัพย์สิน และศักดิ์ศรีของคุณก็ศักดิ์สิทธิ์และละเมิดไม่ได้เช่นกัน แท้จริงแล้วทุกคนจะตอบองค์พระผู้เป็นเจ้าตามการกระทำของตน

ยุคแห่งความโง่เขลากลายเป็นอดีตไปแล้ว และการปฏิบัติที่ไม่คู่ควรได้ถูกยกเลิกไปแล้ว รวมถึงความบาดหมางทางสายโลหิตและดอกเบี้ยจ่าย<…>

จงยำเกรงพระเจ้าและมีเมตตาต่อผู้หญิง (2) อย่าทำให้พวกเขาขุ่นเคือง โดยจำไว้ว่าคุณได้รับพวกเขาเป็นภรรยาโดยได้รับอนุญาตจากอัลลอฮ์เป็นค่านิยมที่ถูกกำหนดไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คุณมีสิทธิ์ในความสัมพันธ์ของคุณกับพวกเขา แต่พวกเขาก็มีสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับคุณเช่นกัน พวกเขาไม่ควรให้คนที่ไม่พอใจคุณและคนที่คุณไม่อยากเห็นเข้าไปในบ้าน จงนำพวกเขาด้วยปัญญา คุณต้องให้อาหารและสวมใส่เสื้อผ้าตามที่ชารีอะห์กำหนด

ฉันได้ฝากแนวทางที่ชัดเจนแก่คุณ ซึ่งคุณจะไม่หลงทางจากเส้นทางที่แท้จริง - นี่คือคัมภีร์แห่งสวรรค์ (Kuran) แล้ว [เมื่อ] พวกเขาถามคุณเกี่ยวกับฉัน คุณจะตอบอย่างไร”

สหายกล่าวว่า: “เราเป็นพยานว่าคุณนำข้อความนี้มาให้เรา บรรลุภารกิจของคุณและให้คำแนะนำที่ดีอย่างจริงใจแก่เรา”

พระศาสดาทรงยกขึ้น นิ้วชี้ขึ้น (๓) แล้วชี้ไปทางประชาชนด้วยคำว่า

“ขออัลลอฮฺทรงเป็นพยาน!”นี่เป็นการยุติสุนัตที่รายงานในการรวบรวมอิหม่ามมุสลิม

การออกอากาศอื่น ๆ ของคำเทศนาอำลายังมีถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ดังต่อไปนี้

“ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบแต่ตนเองเท่านั้น และพ่อจะไม่ถูกลงโทษสำหรับบาปของลูกชายของเขา และลูกชายจะไม่ถูกลงโทษสำหรับบาปของพ่อ”

“แท้จริงแล้ว มุสลิมเป็นพี่น้องกัน และไม่อนุญาตให้มุสลิมยึดเอาสิ่งที่เป็นของพี่น้องของเขา เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเขา”

“โอ้ผู้คน! แท้จริงพระเจ้าของเจ้าเป็นผู้สร้างแต่เพียงผู้เดียว ผู้ทรงไม่มีภาคี และคุณมีบรรพบุรุษเพียงคนเดียวคืออดัม ไม่มีข้อได้เปรียบสำหรับชาวอาหรับเหนือผู้ที่มิใช่อาหรับ หรือสำหรับคนผิวคล้ำเหนือคนผิวสี ยกเว้นในระดับความเกรงกลัวพระเจ้า สำหรับอัลลอฮ์ สิ่งที่ดีที่สุดในหมู่พวกท่านคือผู้ที่เกรงกลัวพระเจ้าที่สุด”

เมื่อจบเทศนา พระศาสดาตรัสว่า:

“ให้ผู้ที่ได้ยินได้นำถ้อยคำของเราไปบอกผู้ที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ และบางทีบางคนอาจจะเข้าใจดีกว่าพวกคุณบางคน”

คำเทศนานี้ทิ้งรอยประทับอันลึกซึ้งไว้ในใจของผู้คนที่ฟังศาสดาพยากรณ์ และแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังคงทำให้หัวใจของผู้ศรัทธารู้สึกตื่นเต้น

_________________________

1 - นักวิชาการอื่นที่ไม่ใช่อิหม่ามมาลิกกล่าวว่าหุบเขานี้ไม่รวมอยู่ในอาราฟัต

2 - ท่านศาสดาเรียกร้องให้เคารพสิทธิของสตรี มีน้ำใจต่อพวกเธอ อยู่ร่วมกับพวกเธอตามคำสั่งและอนุมัติของอิสลาม

3 - ท่าทางนี้ไม่ได้หมายความว่าอัลลอฮ์อยู่ในสวรรค์เนื่องจากพระเจ้าทรงดำรงอยู่โดยไม่มีสถานที่

ปาฏิหาริย์ของศาสดาพยากรณ์หลายท่านเป็นที่รู้จัก แต่ปาฏิหาริย์ที่น่าทึ่งที่สุดคือปาฏิหาริย์ของศาสดามูฮัมหมัด ในนามของศาสดา "มูฮัมหมัด" ตัวอักษร "x" ออกเสียงว่า ح ในภาษาอาหรับ.

อัลลอฮ ในนามของพระเจ้าในภาษาอาหรับ "อัลเลาะห์" ตัวอักษร "x" ออกเสียงเหมือน ه ภาษาอาหรับผู้ทรงอำนาจประทานปาฏิหาริย์พิเศษแก่ศาสดาพยากรณ์ ปาฏิหาริย์ของท่านศาสดา (มูจิซา) เป็นปรากฏการณ์ที่พิเศษและน่าทึ่งที่มอบให้ท่านศาสดาพยากรณ์เพื่อยืนยันความจริงของเขา และเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อต้านสิ่งที่คล้ายคลึงกับปาฏิหาริย์นี้

คัมภีร์กุรอาน คำนี้ต้องอ่านเป็นภาษาอาหรับว่า - الْقَـرْآن- นี่คือปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของศาสดามูฮัมหมัดซึ่งดำเนินต่อไปจนถึงทุกวันนี้ ทุกสิ่งในอัลกุรอานเป็นความจริงตั้งแต่ตัวอักษรตัวแรกถึงตัวอักษรสุดท้าย มันจะไม่มีวันบิดเบี้ยวและจะคงอยู่จนกระทั่งวันสิ้นโลก และสิ่งนี้ระบุไว้ในอัลกุรอานเอง (สุระ 41 "Fussilyat" ข้อ 41-42) ความหมาย: "แท้จริงแล้วพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้เป็นหนังสืออันยิ่งใหญ่ที่ผู้สร้างเก็บไว้ [จากข้อผิดพลาดและความหลงผิด] และจากการโกหกทุกด้าน จะไม่เจาะเข้าไปในเธอ”

อัลกุรอานบรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนานก่อนการปรากฏของศาสดามูฮัมหมัด ตลอดจนเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งที่อธิบายไว้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ และพวกเราเองก็เป็นพยานเห็นเหตุการณ์นั้นด้วย

อัลกุรอานถูกเปิดเผยในช่วงเวลาที่ชาวอาหรับมีความรู้อย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับวรรณกรรมและบทกวี เมื่อพวกเขาได้ยินข้อความของอัลกุรอาน แม้จะมีคารมคมคายและมีความรู้ด้านภาษาเป็นเลิศ แต่พวกเขาไม่สามารถต่อต้านสิ่งใดในพระคัมภีร์จากสวรรค์ได้

0 ความงามและความสมบูรณ์แบบที่ไม่มีใครเทียบได้ของข้อความในอัลกุรอานระบุไว้ในโองการที่ 88 ของซูเราะห์ 17 "อัลอิสเราะห์" ความหมาย: "แม้ว่าผู้คนและญินจะรวมตัวกันเพื่อแต่งบางสิ่งเช่นอัลกุรอานพวกเขาก็จะไม่ ทำได้แม้จะช่วยเหลือกันเพื่อนก็ตาม”

ปาฏิหาริย์ที่น่าทึ่งที่สุดอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ได้ ระดับสูงสุดศาสดามูฮัมหมัดคืออิสราและมิราจ

Isra คือการเดินทางยามค่ำคืนอันแสนวิเศษของศาสดามูฮัมหมัด# จากเมืองเมกกะไปยังเมืองกุดส์ (1) ร่วมกับอัครเทวดาญิบรีลบนภูเขาที่ไม่ธรรมดาจากสวรรค์ - บูรัค ในช่วงอิสเราะห์ ท่านศาสดาได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์มากมายและแสดงนามาซในสถานที่พิเศษ ในเมืองกุดส์ ที่มัสยิดอัล-อักซอ ศาสดาพยากรณ์รุ่นก่อนๆ ทั้งหมดมารวมตัวกันเพื่อเข้าเฝ้าศาสดามูฮัมหมัด พวกเขาร่วมกันแสดงนามาซร่วมกัน โดยมีศาสดามูฮัมหมัดเป็นอิหม่าม และหลังจากนั้นพระศาสดามูฮัมหมัดก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์และสูงขึ้นไป ในระหว่างการขึ้นสู่สวรรค์ครั้งนี้ (มีรอจ) ศาสดามูฮัมหมัดได้เห็นมลาอิกะฮ์ สวนสวรรค์ อาร์ช และสิ่งมีชีวิตที่ยิ่งใหญ่อื่นๆ ของอัลลอฮ์ (2)

การเดินทางอันอัศจรรย์ของท่านศาสดาไปยังกุดส์ เสด็จสู่สวรรค์และกลับไปยังเมกกะใช้เวลาน้อยกว่าหนึ่งในสามของคืน!

ปาฏิหาริย์พิเศษอีกอย่างหนึ่งที่มอบให้กับศาสดามูฮัมหมัด - เมื่อดวงจันทร์แยกออกเป็นสองซีก ปาฏิหาริย์นี้ถูกกล่าวถึงในอัลกุรอาน (ซูเราะห์ อัล-คามาร์ โองการที่ 1) ความหมาย: “สัญญาณอย่างหนึ่งของการใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของโลกก็คือดวงจันทร์แยกออกจากกัน”

ปาฏิหาริย์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันหนึ่งกุเรชนอกศาสนาเรียกร้องหลักฐานจากท่านศาสดาพยากรณ์ว่าเขาเป็นผู้สัตย์จริง เป็นช่วงกลางเดือน (วันที่ 14) คือคืนพระจันทร์เต็มดวง แล้วปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น - จานดวงจันทร์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน: อันหนึ่งอยู่เหนือภูเขาอาบูกูบัยส์และอันที่สองอยู่ด้านล่าง เมื่อผู้คนเห็นสิ่งนี้ ผู้ศรัทธาก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นในความศรัทธาของพวกเขา และผู้ไม่เชื่อก็เริ่มกล่าวหาศาสดาพยากรณ์เรื่องเวทมนตร์ พวกเขาส่งผู้สื่อสารไปยังดินแดนห่างไกลเพื่อดูว่าพวกเขาเห็นดวงจันทร์แยกออกจากกันที่นั่นหรือไม่ แต่เมื่อกลับมาแล้วผู้ส่งสารก็ยืนยันว่ามีคนเห็นเหตุการณ์นี้ที่อื่นด้วย นักประวัติศาสตร์บางคนเขียนว่าในประเทศจีนมีอาคารโบราณแห่งหนึ่งซึ่งเขียนไว้ว่า "สร้างขึ้นในปีที่ดวงจันทร์แยก"

ปาฏิหาริย์ที่น่าอัศจรรย์อีกประการหนึ่งของศาสดามูฮัมหมัดคือเมื่อน้ำพ่นออกมาระหว่างนิ้วของท่านศาสดามูฮัมหมัดต่อหน้าพยานจำนวนมาก

นี่ไม่ใช่กรณีของศาสดาพยากรณ์คนอื่นๆ และถึงแม้ว่ามูซาจะได้รับอัศจรรย์ว่าน้ำปรากฏขึ้นมาจากก้อนหินเมื่อเขาใช้ไม้เท้ากระแทกมัน แต่เมื่อน้ำไหลออกจากมือของผู้มีชีวิต มันยิ่งอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นอีก!

อิหม่ามอัลบุคอรีย์และมุสลิมได้ถ่ายทอดสุนัตต่อไปนี้จากญาบีร์: “ในวันฮุดัยบียะห์ ผู้คนต่างกระหายน้ำ พระศาสดามูฮัมหมัดทรงถือภาชนะที่มีน้ำอยู่ในพระหัตถ์ ซึ่งเขาต้องการจะทำการสรง เมื่อผู้คนเข้ามาหาท่าน ท่านศาสดาถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?” พวกเขาตอบว่า: “โอ้ท่านเราะสูลของอัลลอฮ์! เราไม่มีน้ำสำหรับดื่มหรือชำระล้าง เว้นแต่สิ่งที่อยู่ในมือของท่าน” จากนั้นศาสดามูฮัมหมัดก็ลดมือลงในภาชนะ - และ [ที่นี่ทุกคนเห็นว่า] น้ำเริ่มพุ่งออกมาจากช่องว่างระหว่างนิ้วของเขา เราดับกระหายและอาบน้ำละหมาด” บางคนถามว่า “พวกท่านอยู่ที่นั่นกี่คน?” ญะบิรตอบว่า “หากพวกเรามีหนึ่งแสนคน เราก็จะเพียงพอ แต่เราก็มีหนึ่งพันห้าร้อยคน”

สัตว์ต่างๆ พูดคุยกับศาสดามูฮัมหมัด เช่น อูฐตัวหนึ่งบ่นกับท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ว่าเจ้าของของเขาปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ดี แต่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อวัตถุไม่มีชีวิตพูดหรือแสดงความรู้สึกต่อหน้าศาสดาพยากรณ์ ตัวอย่างเช่นอาหารที่อยู่ในมือของผู้ส่งสารของอัลลอฮ์อ่าน dhikr "Subhanallah" และต้นปาล์มแห้งซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวสนับสนุนท่านศาสดาในระหว่างการเทศน์คร่ำครวญจากการพลัดพรากจากผู้ส่งสารของอัลลอฮ์เมื่อเขาเริ่มอ่าน คำเทศนาจาก minbar เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างเมืองญุมอะห์ และผู้คนมากมายได้เห็นปาฏิหาริย์นี้ แล้วพระศาสดามูฮัมหมัดก็ลงมาจากมินบัร ขึ้นไปบนต้นปาล์มกอดมัน ต้นปาล์มก็ส่งเสียงสะอื้นราวกับ เด็กเล็กที่กำลังถูกผู้ใหญ่ปลอบโยนจนเธอหยุดส่งเสียง

เหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในทะเลทรายเมื่อท่านศาสดาได้พบกับชาวอาหรับที่นับถือรูปเคารพและเรียกเขาให้มานับถือศาสนาอิสลาม ชาวอาหรับคนนั้นขอให้พิสูจน์ความจริงของคำพูดของท่านศาสดาจากนั้นผู้ส่งสารของอัลลอฮ์ก็เรียกต้นไม้ต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมทะเลทรายให้เขาและเชื่อฟังท่านศาสดาพยากรณ์ก็ไปหาเขาโดยขุดดินด้วยรากของมัน . เมื่อต้นไม้ต้นนี้เข้ามาใกล้ มันก็กล่าวคำพยานของอิสลามสามครั้ง จากนั้นชาวอาหรับคนนี้ก็เข้ารับอิสลาม

ผู้ส่งสารของอัลลอฮ์สามารถรักษาบุคคลได้ด้วยการสัมผัสเพียงมือเดียว วันหนึ่ง สหายของท่านศาสดาชื่อกอทาดะสูญเสียดวงตาข้างหนึ่ง และผู้คนต้องการจะถอดมันออก แต่เมื่อพวกเขานำกอตาดะห์ไปหาท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ ด้วยมืออันอวยพรของเขา เขาได้ใส่ตาที่ตกลงไปในเบ้าตา และดวงตาก็หยั่งราก และการมองเห็นก็กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ กะทาดาเองบอกว่าตาที่หายไปหยั่งรากได้ดีจนจำไม่ได้ว่าตาข้างไหนเสียหาย

มีกรณีที่ทราบกันดีอยู่แล้วเมื่อชายตาบอดคนหนึ่งขอให้ท่านศาสดาพยากรณ์ฟื้นการมองเห็นของเขา ท่านศาสดาแนะนำให้เขาอดทน เพราะมีรางวัลสำหรับความอดทน แต่ชายตาบอดตอบว่า: “โอ้ท่านเราะสูลของอัลลอฮ์! ฉันไม่มีไกด์ และมันยากมากหากไม่มีการมองเห็น” จากนั้นพระศาสดาทรงสั่งให้เขาทำการสรงและทำนามาซสอง rak'ahs จากนั้นอ่านดุอาต่อไปนี้: “ โอ้อัลลอฮ์! ฉันถามคุณและหันไปหาคุณผ่านศาสดามูฮัมหมัดของเรา - ศาสดาแห่งความเมตตา! โอ้มูฮัมหมัด! ฉันขอวิงวอนต่ออัลลอฮฺผ่านทางพวกท่าน เพื่อให้คำขอของฉันได้รับการตอบรับ” ชายตาบอดทำตามที่ศาสดาพยากรณ์สั่งและได้รับการมองเห็น สหายของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์? ชื่ออุษมาน อิบนุ ฮุนัยฟ์ ผู้เห็นเหตุการณ์นี้กล่าวว่า “ฉันขอสาบานต่ออัลลอฮฺ! เรายังไม่ได้แยกทางกับศาสดาพยากรณ์ และมีเวลาผ่านไปน้อยมากนับตั้งแต่ชายคนนั้นกลับมามองเห็นอีกครั้ง”

ขอบคุณบาราคาห์ของศาสดามูฮัมหมัด อาหารจำนวนเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะเลี้ยงคนจำนวนมากได้

วันหนึ่ง อบู ฮุร็อยเราะห์ มาหาท่านศาสดามูฮัมหมัดและนำอินทผลัมมา 21 อัน เมื่อหันไปหาท่านศาสดาเขากล่าวว่า: “ โอ้ผู้ส่งสารของอัลลอฮ์! อ่านดุอาให้ฉันเพื่อให้วันที่เหล่านี้มีบารอกะฮ์” ศาสดามูฮัมหมัดถือแต่ละวันและอ่าน “บาสมาลยาห์” (4) จากนั้นจึงสั่งให้เรียกคนกลุ่มหนึ่ง พวกเขามากินอินทผลัมให้อิ่มแล้วจากไป จากนั้นท่านศาสดาก็เรียกคนกลุ่มต่อไปแล้วก็อีกกลุ่มหนึ่ง ทุกครั้งที่มีคนมากินอินทผาลัมแต่ก็ไม่เคยหมด หลังจากนั้น ศาสดามูฮัมหมัดและอบู ฮุรอยเราะห์ได้รับประทานอินทผลัมเหล่านี้ แต่วันที่ยังคงอยู่ จากนั้นพระศาสดามูฮัมหมัดก็รวบรวมพวกเขาใส่ไว้ในกระเป๋าหนังแล้วกล่าวว่า: “โอ้ อบูฮุรอยเราะห์! ถ้าอยากกินก็เอามือล้วงกระเป๋าแล้วออกเดตจากที่นั่น”

อิหม่าม อบู ฮุรอยเราะห์ กล่าวว่าเขากินอินทผาลัมจากถุงนี้ตลอดชีวิตของท่านศาสดามูฮัมหมัด เช่นเดียวกับในรัชสมัยของอบู บักร และอุมัร และอุษมานด้วย และทั้งหมดนี้เป็นเพราะดุอาของท่านศาสดามูฮัมหมัด อบู ฮุร็อยเราะห์ยังบอกอีกว่าวันหนึ่งมีคนนำเหยือกนมมาให้ท่านศาสดาพยากรณ์ และเพียงพอจะเลี้ยงคนได้มากกว่า 200 คน

ปาฏิหาริย์ที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ของท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์:

“ในวันคานดัก สหายของท่านศาสดากำลังขุดคูน้ำและหยุดอยู่เมื่อพบก้อนหินขนาดใหญ่ที่พวกเขาไม่สามารถพังได้ จากนั้นท่านศาสดาก็มาถึง ถือพลั่วในมือ แล้วพูดว่า “บิสมิลลาฮิรเราะห์มานีรราฮิม” สามครั้ง กระแทกหินก้อนนี้ มันก็พังทลายเหมือนเม็ดทราย

“วันหนึ่งชายคนหนึ่งจากพื้นที่ยามามามาหาศาสดามูฮัมหมัดพร้อมกับทารกแรกเกิดห่อผ้า พระศาสดามูฮัมหมัดหันไปหาทารกแรกเกิดแล้วถามว่า “ฉันเป็นใคร” จากนั้นตามพระประสงค์ของอัลลอฮ์ ทารกกล่าวว่า: “คุณคือผู้ส่งสารของอัลลอฮ์” พระศาสดาตรัสกับเด็กว่า: “ขออัลลอฮ์ทรงอวยพรคุณ!” และเด็กคนนี้เริ่มถูกเรียกว่า มูบารัก (5) อัล-ยามามาห์

— มุสลิมคนหนึ่งมีพี่น้องที่ยำเกรงพระเจ้าซึ่งถือศีลอดซุนนะฮฺแม้ในวันที่ร้อนที่สุด และทำซุนนะฮฺนะมาซแม้ในคืนที่หนาวที่สุด เมื่อเขาเสียชีวิต น้องชายของเขานั่งอยู่ข้างเตียงและขอความเมตตาจากอัลลอฮ์และการอภัยโทษแก่เขา ทันใดนั้น ผ้าคลุมก็หลุดออกจากใบหน้าของผู้ตาย และท่านกล่าวว่า “อัสสลามุอะลัยกุม!” พี่ชายที่ประหลาดใจกลับทักทายแล้วถามว่า “สิ่งนี้เกิดขึ้นหรือเปล่า” พี่ชายตอบว่า: “ใช่. พาฉันไปพบท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์เถิด - เขาสัญญาว่าเราจะไม่แยกจากกันจนกว่าเราจะได้พบกัน”

“เมื่อพ่อของเศาะหาบะฮ์คนหนึ่งเสียชีวิตโดยทิ้งหนี้ก้อนใหญ่ไว้เบื้องหลัง เพื่อนคนนี้มาหาท่านศาสดาและกล่าวว่าเขาไม่มีอะไรนอกจากอินทผลัม ซึ่งการเก็บเกี่ยวซึ่งแม้จะเป็นเวลาหลายปีก็ไม่เพียงพอต่อการชำระหนี้ และขอความช่วยเหลือจากพระศาสดา จากนั้นท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ก็เดินไปรอบๆ กองอินทผลัมกองหนึ่ง แล้วเดินไปรอบๆ อีกกองหนึ่งแล้วกล่าวว่า “นับพวกมันด้วย” น่าแปลกที่ไม่เพียงแต่จะมีวันที่เพียงพอที่จะชำระหนี้เท่านั้น แต่ยังเหลือจำนวนเงินเท่าเดิมอีกด้วย

อัลลอฮ์ผู้ทรงอำนาจทรงประทานปาฏิหาริย์มากมายแก่ท่านศาสดามูฮัมหมัด ปาฏิหาริย์ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น เพราะนักวิทยาศาสตร์บางคนบอกว่ามีปาฏิหาริย์เป็นพัน ๆ ปาฏิหาริย์และปาฏิหาริย์อื่น ๆ - สามพัน!

_______________________________________________________

1 - Quds (เยรูซาเล็ม) - เมืองศักดิ์สิทธิ์ในปาเลสไตน์

2 - สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่าการขึ้นสู่สวรรค์ของท่านศาสดาไม่ได้หมายความว่าเขาขึ้นไปยังสถานที่ที่อัลลอฮ์ควรจะอยู่ เนื่องจากไม่มีธรรมชาติที่อัลลอฮ์จะอยู่ในสถานที่ใด ๆ การคิดว่าอัลลอฮ์อยู่ในสถานที่ใด ๆ ถือเป็นความไม่เชื่อ!

3 – “อัลลอฮฺไม่มีข้อบกพร่อง”

4. คำว่า “บิสมิลลาฮิรเราะห์มานีรราฮิม”

5 - คำว่า "มูบารัค" แปลว่า "ได้รับพร"

ชีวประวัติใหม่ของศาสดาพยากรณ์บอกเราว่าใครเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม

เนื้อร้อง: คริสตอฟ รอยเธอร์

กลางศตวรรษที่แปด แบกแดด. ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะและเขียน อย่างไข้ติดต่อกันหลายปี เนื้อหาของผลงานของเขาจะถูกเขียนใหม่และเก็บรักษาไว้อย่างดีโดยผู้รอบรู้หลายรุ่น

ต้นฉบับของมูฮัมหมัด อิบนุ อิสฮัก สูญหายไป มันอาจจะถูกไฟไหม้ในปี 1258 ระหว่างการรุกรานมองโกลในกรุงแบกแดด แต่เรื่องเล่าส่วนใหญ่เกี่ยวกับชีวิตของศาสดามูฮัมหมัดที่มาถึงสมัยของเรา รวมถึงการตีความข้อความที่เข้าใจยากหลายข้อในอัลกุรอานนั้นมีพื้นฐานมาจากบันทึกของนักประวัติศาสตร์แบกแดดคนนี้อย่างแม่นยำ

อิบนุ อิสฮากใช้แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เนื้อหาของพวกเขานอกเหนือไปจากเหตุการณ์ที่อธิบายไว้ในอัลกุรอาน มีทั้งคำพังเพย เรื่องราวที่น่าสนใจ สัญญา หรือแม้แต่บทกวี เพื่อให้บันทึกของเขามีความน่าเชื่อถือ นักประวัติศาสตร์จึงติดตามเรื่องราวในตำนานทั้งหมด ตัวอย่างเช่น: “ ยาคุบ บิน อุตบา บอกฉันจากคำพูดของ az-Zuhri จากคำพูดของ Urwa จากคำพูดของ Aisha ภรรยาของศาสดาพยากรณ์ ไอชาบอก..."

เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าหน้าที่ในกรุงแบกแดดจะต้องแก้กฎหมายที่ไม่เป็นที่นิยม รวมถึงภาษีใหม่ด้วยคำพูดจากศาสดาพยากรณ์ ด้วยเหตุนี้ จำนวนคำพูดจากมูฮัมหมัดจึงเพิ่มขึ้น และมูลค่าก็ลดลง อิบนุ อิสฮากพิจารณาคำพูดทั้งหมดของศาสดาพยากรณ์และข้อเท็จจริงในชีวประวัติของเขาในบริบทของประวัติศาสตร์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงกีดกันข้อโต้แย้งของนักเทศน์ที่ใช้คำพูดของผู้เผยพระวจนะโดยพลการเพื่อจุดประสงค์ของตนเอง

หากผู้บันทึกเหตุการณ์ไม่แน่ใจเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง เขาก็ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา โดยอ้างอิงเรื่องราวชีวิตของมูฮัมหมัดในเวอร์ชันต่างๆ เขาสร้างบันทึกเหตุการณ์ของเขาค่อนข้างเร็วหลังจากเหตุการณ์ที่อธิบายไว้ และด้วยเหตุนี้จึงปฏิบัติต่อเหตุการณ์เหล่านั้นด้วยใจที่เปิดกว้าง

ภายหลังสิ่งนี้จะเป็นไปไม่ได้ เมื่ออำนาจของศาสนาอิสลามเติบโตขึ้น ก็จะมีการสรรเสริญมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่วางรากฐานสำหรับศาสนาใหม่ และจะมีสถานที่ที่ไม่ชัดเจนน้อยมากในชีวประวัติของมูฮัมหมัด

แล้วจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นในเมกกะ เมดินา และคาบสมุทรอาหรับ? คนธรรมดาจะค้นพบศาสนาที่ผู้ศรัทธาทั่วโลกนับถือมากกว่าหนึ่งพันล้านคนได้อย่างไร?

แม้จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย มรดกทางวรรณกรรมยุคกลางของศาสนาอิสลาม มีน้อยมากที่รอดพ้นจากอาระเบียตั้งแต่สมัยศาสดามูฮัมหมัด ดังนั้น ประวัติศาสตร์ของศาสดาพยากรณ์จึงถูกสร้างขึ้นใหม่ได้จากตำนานที่บันทึกไว้โดยนักวิชาการและผู้ปกครองชาวมุสลิมที่ชื่นชมท่าน หรือใช้ท่านในการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจเท่านั้น ทุกสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับชีวิตของมูฮัมหมัดนั้นมาจากบันทึกของนักประวัติศาสตร์มุสลิม การวิเคราะห์พงศาวดารเวอร์ชันต่างๆ และการแก้ไขเผยให้เห็นประวัติอันหลากหลายของศาสดาพยากรณ์จนแทบจะไม่มีใครประดิษฐ์ขึ้นมาได้

ทางตะวันตกของคาบสมุทรอาหรับในศตวรรษที่ 7: ทรายที่ลุกโชนด้วยความร้อน มีคนไม่กี่คนที่อาศัยอยู่นอกโอเอซิส ไม่มีจักรวรรดิใดที่สามารถพิชิตทะเลทรายในท้องถิ่นได้ ไบแซนเทียมซึ่งเป็นเพื่อนบ้านที่มีอำนาจทางเหนือ สามารถรุกคืบไปทางใต้ได้ไกลถึงเมืองบอสรา (ปัจจุบันคือซีเรีย) และเจราช (ปัจจุบันคือจอร์แดน) ทะเลทรายและโอเอซิสของอาระเบียตะวันตกถูกครอบงำโดยชนเผ่าเบดูอิน การค้าของพวกเขาคือการจู่โจมของโจร เฉพาะในช่วงสามเดือนศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เมื่อชาวอาหรับประกอบพิธีฮัจญ์ ณ สถานที่สักการะเทพเจ้าของพวกเขา ห้ามการโจมตี

ผู้แสวงบุญส่วนใหญ่ไปที่เมกกะ นักประวัติศาสตร์อธิบายว่าที่นี่เป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีตลาดสด โรงอาบน้ำ และโรงพยาบาลหลายแห่ง ไม่สามารถเทียบได้กับมหานครอาหรับตอนใต้ในยุคกลางอย่าง Najran และ Sana'a แต่ในเมกกะมีกะอ์บะฮ์ซึ่งเป็นโครงสร้างลูกบาศก์อยู่แล้วที่มุมตะวันออกซึ่งมีการสร้างศาลเจ้า - "หินดำ"

เชื่อกันว่ากะอ์บะฮ์เป็นที่ประดิษฐานของเทพพยากรณ์ฮูบัล ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือของชนเผ่ากุเรชที่มูฮัมหมัดมา ตามตำนานแล้ว กะอ์บะฮ์นั้นเป็นที่สักการะของศาสดาพยากรณ์และบรรพบุรุษอิบราฮิม

แต่เหนือสิ่งอื่นใด มีเทพธิดาสามองค์ได้รับการบูชาในเมกกะ ซึ่งลุกขึ้นมาในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ เมื่อความลึกลับอันยิ่งใหญ่ของการเป็นแม่ยังคงบังคับให้ผู้คนบูชาไอดอลหญิงได้ นี่คืออัลลาต เทพีแห่งท้องฟ้าและฝน อัล-มานาท เทพีแห่งโชคชะตา; และสุดท้าย อัล-อุซซา ซึ่งถูกระบุว่าเป็นดาวศุกร์ นอกจากนี้ ก่อนที่มูฮัมหมัดจะประสูติ ผู้คนต่างสักการะบิดาของตน ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้สูงสุด ในจารึกโบราณ พระองค์เรียกว่าอิลาห์ ต่อมาเขาถูกเรียกว่าอัลลอฮ.

ศตวรรษที่ 7 เป็นช่วงเวลาแห่งจุดเปลี่ยนทางศาสนา ศาสนาคริสต์และศาสนายิวกำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ทั้งสองศาสนารู้จักพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงส่งคัมภีร์ลงมาให้พวกเขา เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้วลัทธิเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์โบราณก็ลดลงมากขึ้น แต่ชาวอาหรับยังไม่พร้อมที่จะละทิ้งความเชื่อของตน ต่อมาในสุระ 53 ของอัลกุรอาน มูฮัมหมัดจะพูดติดตลกว่าชาวอาหรับที่ต้องการมีบุตรชาย บูชาเทพเจ้าที่มีลูกสาวเพียงคนเดียว

มูฮัมหมัดถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางความขัดแย้งระหว่างเทพเจ้าและความเชื่อ ไม่มีมติเกี่ยวกับวันเกิดของเขา บันทึกในยุคแรกระบุว่ามูฮัมหมัดเกิดใน "ปีช้าง" ซึ่งตรงกับคริสตศักราช 569 หรือ 570 นักเขียนชีวประวัติของมูฮัมหมัดในเวลาต่อมาเขียนว่าเขาเกิดประมาณปี 570

มูฮัมหมัดเกิดในครอบครัวของอับดุลลาห์จากเผ่ากุเรชซึ่งปกครองในเมกกะในขณะนั้น พ่อของมูฮัมหมัดเสียชีวิตไม่นานก่อนที่ลูกชายของเขาจะเกิดหรือหลังจากนั้นไม่นาน หลังจากคลอดบุตรได้ไม่นาน เด็กชายก็ถูกพรากจากแม่ของเขาและได้รับการเลี้ยงดูโดยภรรยาชาวเบดูอินซึ่งทำงานเป็นพยาบาล ในตอนแรกไม่มีใครอยากยุ่งกับลูกครึ่งเด็กกำพร้า จนกระทั่งหญิงยากจนคนหนึ่งสงสารเขา ในปีนั้นมีภัยแล้ง หนึ่งในตำนานกล่าว และหน้าอกของนางพยาบาลก็แห้งเหือด แต่ทันทีที่เธออุ้มมูฮัมหมัดไว้ในอ้อมแขนของเธอ “อกของเธอและเต้านมของวัวก็เต็มไปด้วยน้ำนม” ปาฏิหาริย์นี้ช่วยชีวิตเด็กๆ ฝูงสัตว์ และคนทั้งเผ่าได้

มูฮัมหมัดอาศัยอยู่กับพยาบาลเปียกเป็นเวลานาน ถึงกระนั้น เขาก็ประสบกับปาฏิหาริย์ ซึ่งตำราในยุคแรก ๆ มีอายุย้อนไปถึงสมัยที่เขาทรงเรียก และต่อมาเล่าถึงวัยเด็กของมูฮัมหมัด เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ของศาสดาพยากรณ์ นั่นคือ การนำออกจากร่างกายและชำระจิตใจให้บริสุทธิ์โดยทูตสวรรค์สององค์ ตามตำนาน จู่ๆ เหล่าทูตสวรรค์ก็ปรากฏตัวขึ้น ตัดหน้าอกของมูฮัมหมัดออก ดึงหัวใจของเขาออก และล้างเขาด้วยน้ำเย็นจากภาชนะทองคำ นี่คือวิธีที่มูฮัมหมัดกลายเป็นผู้บริสุทธิ์

เมื่อเด็กชายอายุได้หกขวบ แม่ของเขาก็เสียชีวิต มูฮัมหมัดถูกนำตัวไปอยู่ภายใต้การดูแลของปู่ของเขา อับด์ มุตตะลิบ เป็นครั้งแรก และหลังจากการตายของเขา - อาบู ทาลิบ ลุงของเขา ผู้นำกลุ่ม

อาบู ทาลิบจะไม่มีวันกลายเป็นมุสลิม แต่ในวันแห่งการทดลอง เขาจะอยู่ข้างๆ หลานชายของเขาตลอดไป

เมื่อยังเป็นวัยรุ่น มูฮัมหมัดเริ่มร่วมเดินทางร่วมกับอาบู ทาลิบ ลุงของเขา วันหนึ่งพวกเขามาถึงบอสรา เมื่อคาราวานผ่านอารามของพระฤาษีบาคีรา เขาก็เรียกพวกเขามาหาเขาเป็นครั้งแรกโดยไม่คาดคิด พวกเขาตอบรับคำเชิญ โดยปล่อยให้เด็กชายอยู่ข้างนอกเพื่อดูแลอูฐ

แต่มูฮัมหมัดคือคนที่บาคีราต้องการเห็น นี่คือผู้เผยพระวจนะในอนาคต เขากล่าว พระภิกษุแน่ใจว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับมูฮัมหมัด เรากำลังพูดถึงในตัวเขา หนังสือศักดิ์สิทธิ์โอ้. เขาพาลุงมูฮัมหมัดออกไปและเตือนว่า: “ชาวยิวดูแลเขาด้วย! เพราะพวกเขาจะรู้จักพระองค์คือผู้ที่ข้าพระองค์รู้จัก และจะทำร้ายพระองค์” ตามเวอร์ชันอื่น Bahira เตือน Abu Talib เกี่ยวกับไบแซนไทน์

กองคาราวานที่เดินทางจากเมกกะไปทางเหนือยังคงเป็นปริศนา ท้ายที่สุดแล้ว "เส้นทางแห่งธูป" ในตำนานไม่ได้ผ่านเมกกะ แต่ผ่านเมดินาซึ่งตั้งอยู่ทางเหนือ และไม่มีใครรู้เกี่ยวกับสินค้าที่มูฮัมหมัดขนส่งไปทางเหนือและเกี่ยวกับธุรกรรมทางการค้าของเขา มีเพียงนักประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมาเท่านั้นที่ตกแต่งรายละเอียด หรือบางทีคาราวานเหล่านี้อาจเป็นเพียงการตกแต่งปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้น? ลองนึกภาพ: พระคริสเตียนจากเมืองบอสราอันห่างไกลและเจริญรุ่งเรือง เรียนรู้จากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ว่ามูฮัมหมัดเป็นผู้เผยพระวจนะ! ความคิดเห็นที่เป็นกลางมากขึ้นนั้นยากที่จะจินตนาการ

มูฮัมหมัดเดินทางด้วยคาราวานระหว่างโอเอซิสและได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งจะเป็นคนแรกที่เชื่อในชะตากรรมของเขา พ่อค้าเศรษฐีชื่อคอดีชะห์ หลังจากจ้างมูฮัมหมัดเป็นผู้ช่วยของเธอ ในไม่ช้าเธอก็มั่นใจในความซื่อสัตย์และความซื่อสัตย์ของเขา และต่อมาก็ตัดสินใจรับเขาไป
เข้าสู่สามี เมื่อถึงเวลานั้นเธออายุ 40 ปีแล้ว เธออายุมากกว่ามูฮัมหมัด 15 ปี เธอแต่งงานสองครั้ง

มูฮัมหมัดซึ่งตั้งรกรากอยู่ในบ้านของคอดีญะฮ์จะอาศัยอยู่ที่นั่นจนสิ้นพระชนม์ เขาไม่มีบ้านของตัวเอง นักประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมาหันมาสนใจเรื่องนี้ทันที ในความเห็นของพวกเขา ตอนนี้แสดงให้เห็นว่าผู้เผยพระวจนะเป็นมากกว่านั้นมาก คนทันสมัยมากกว่าการเปิดเผยของเขาเอง ในเวลาเดียวกัน อิสลามได้ยกเลิกรูปแบบการแต่งงาน ซึ่งบางครั้งผู้ชายจะเป็นแขกและเป็นเพื่อนในตอนกลางคืน สำหรับผู้หญิงบางคน ไม่ใช่คนเดียว แต่ยังคงไว้ซึ่งสิทธิของผู้ชายที่จะมีภรรยาสี่คน

อิสลามจะเปลี่ยนบทบาทของสตรีในสังคม โดยเฉพาะผู้หญิงจะได้รับสิทธิในการรับมรดกเป็นครั้งแรก แต่ในขณะเดียวกัน ตามกฎของชารีอะห์ คำให้การของผู้หญิงสองคนในศาลก็เท่ากับคำให้การของผู้ชายคนเดียว เมื่อสิ้นสุดการแสวงบุญครั้งสุดท้าย มูฮัมหมัดจะเรียกพวกผู้ชายว่า “ฟังนะ! จงปฏิบัติต่อผู้หญิงอย่างกรุณา เพราะพวกเขาเป็นเหมือนเชลยของคุณ” คำถามของนางพยาบาลของอิบราฮิม บุตรของมูฮัมหมัดที่เสียชีวิตในปีนั้น วัยเด็ก: “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮ์ พวกท่านประกาศความโปรดปรานเฉพาะกับผู้ชาย แต่ทำไมไม่ประกาศกับผู้หญิงล่ะ?” พระศาสดาตอบคำถามของเธอด้วยคำถาม: “คุณไม่พอใจกับชีวิตหรือเปล่า” และเขาสัญญาว่าทุกจิบนมที่ทารกดูดจากอกของพยาบาลจะมอบให้กับเธอในชีวิตหลังความตาย มูฮัมหมัดยังคัดค้านการฝังเด็กสาวแรกเกิดในทราย ซึ่งแพร่หลายในเวลานั้น

มีหลักฐานการดำรงอยู่ของคอดีญะเอง คำกล่าวที่ว่ามูฮัมหมัดแต่งงานกับคอดีญะห์เมื่อเธออายุ 40 ปีนั้นอธิบายได้ด้วยความมหัศจรรย์ของตัวเลขนี้ ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงแต่ในหมู่ชาวมุสลิมเท่านั้น โมเสสใช้เวลา 40 วันบนภูเขา และพระเยซูอยู่ในทะเลทราย ตามข้อมูลของอัลกุรอาน มูฮัมหมัดอายุ 40 ปี เมื่อการเปิดเผยครั้งแรกมาถึงเขา

ตามที่อิบัน อิสฮากกล่าวไว้ มูฮัมหมัดได้เข้าร่วมสันนิบาตขุนนางในเมกกะตั้งแต่ยังเป็นเด็ก สมาชิกต้องดูแลให้ผู้แสวงบุญที่เดินทางมายังกะอ์บะฮ์สวมเสื้อผ้าที่สะอาด ความบริสุทธิ์จะกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตทั้งชีวิตของมูฮัมหมัด ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยจากความคิดที่ผิดพลาดและเทพเจ้าจอมปลอม

ในวันหยุดศักดิ์สิทธิ์ ศาสดาเริ่มออกเดินทางไปที่ภูเขาฮิระใกล้นครเมกกะ เพื่ออุทิศตนเพื่อการบำเพ็ญตบะและสวดมนต์ตอนกลางคืน ในปี 610 ใน “คืนแห่งอำนาจ” ของเดือนรอมฎอน การเปิดเผยครั้งแรกจะถูกส่งไปยังมูฮัมหมัด “มันลงมาบนเขาเมื่อรุ่งสาง” ตำนานกล่าว

ในชีวประวัติของผู้เผยพระวจนะที่เป็นที่ยอมรับ หัวหน้าทูตสวรรค์กาเบรียลสั่งมูฮัมหมัดที่หวาดกลัว: "อ่าน!" (หรือ "พูดออกมา!") ขณะที่ถือม้วนกระดาษไว้ตรงหน้าเขา ซึ่งมูฮัมหมัดที่ตื่นเต้นก็ตอบว่า: “มะอัครา!”! เนื่องจาก "ma" หมายถึง "อะไร" วลีที่เข้าใจยากจึงสามารถตีความได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของคำถาม "จะออกเสียงอะไรอ่าน" แต่ถ้าคุณเปลี่ยนการเน้นไปที่พยางค์ที่สอง คำนี้ก็แปลได้ว่า "ไม่" แล้วคำตอบของมูฮัมหมัดก็จะเป็นดังนี้: "ฉันไม่อ่าน ฉันอ่านไม่ออก"

การเน้นที่เปลี่ยนไปง่ายๆ นี้บ่งชี้ว่าผู้เขียนข้อความที่เปิดเผยคือพระเจ้า ท้ายที่สุดแล้ว การเน้นพยางค์ที่สองแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าศาสดาพยากรณ์ไม่รู้วิธีอ่าน และทำได้เพียงฟังและพูดซ้ำตามกาเบรียลในสิ่งที่เขาบอกเขาในนามของพระเจ้าเท่านั้น แต่ถ้าเน้นไปที่พยางค์แรกก็ไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อว่ามูฮัมหมัดอ่านไม่ออก

พระศาสดาถามกาเบรียลซ้ำแล้วซ้ำเล่า:“ มาธาอัครา?” นั่นคือ“ จะอ่านอะไรดี” อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ผู้นับถือลัทธิยังคงตีความตอนนี้ในแง่ดีสำหรับตัวเอง: ผู้เผยพระวจนะไม่ทราบวิธีการอ่านซึ่งหมายความว่าความสงสัยใด ๆ ที่เขายืมเศษข้อความใด ๆ จากหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอื่นจะถูกลบออกจากเขาโดยสิ้นเชิง

คืนนั้น หัวหน้าทูตสวรรค์กาเบรียลปรากฏต่อมูฮัมหมัดพร้อมกับโองการแรกของอัลกุรอาน

“ญาเบรลไม่ปล่อยให้มูฮัมหมัดอยู่ตามลำพัง” อิบนุ อิสฮาก บรรยายถึงบทสนทนาระหว่างอัครทูตสวรรค์และผู้เผยพระวจนะ - เขาพูดว่า:“ อ่านออกเสียงในนามของพระเจ้าของคุณผู้สร้างคุณสร้างมนุษย์จากก้อนเลือด! พูดออกมาดัง ๆ! พระเจ้าของเจ้าเป็นผู้ทรงเมตตาเสมอ ผู้ทรงสอนคาลาม ทรงสอนมนุษย์ในสิ่งที่เขาไม่รู้” “และฉันก็พูดแบบนี้... ในเวลาเดียวกัน สำหรับฉันดูเหมือนว่าทุกสิ่งที่ฉันได้ยินดูเหมือนจะเขียนอยู่ในใจ”

ด้วยความสับสนอย่างสิ้นเชิง มูฮัมหมัดลงมาจากภูเขา แต่ครึ่งทางเขาได้ยินเสียงจากสวรรค์: “โอ้ มูฮัมหมัด! คุณคือผู้ส่งสารของพระเจ้า และฉันคือกาเบรียล!” ตามตำนาน มูฮัมหมัดกลับมาหาคาดิจาด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงและ "ไหล่สั่นเทา" เขาจะบอกภรรยาเกี่ยวกับประสบการณ์ของเขาเท่านั้น คอดีญะห์จะเป็นคนแรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม

คนที่สองที่จะยืนยันความจริงของภารกิจพยากรณ์ของมูฮัมหมัดจะเป็นคริสเตียนซึ่งเป็นญาติของคอดีญะห์ ต่อมาอิสลามจะถือว่าคริสเตียนเป็นพยานที่ซื่อสัตย์ที่สุดต่อภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของมูฮัมหมัด อิบนุ อิสฮากให้ข้อพิสูจน์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งเกี่ยวกับพันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของมูฮัมหมัด นั่นคือ เขาไม่ได้มาเยี่ยมเขาโดยมารร้าย แต่โดยทูตสวรรค์ที่หายตัวไปทุกครั้งที่มูฮัมหมัดและคอดีญะห์นอนร่วมเตียงกัน

การหายตัวไปดังกล่าวเป็นเรื่องปกติสำหรับทูตสวรรค์ การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของผู้ส่งสารจากสวรรค์มีความสำคัญ เพราะในศตวรรษแรกของศาสนาอิสลาม การถกเถียงไม่ได้เกี่ยวกับความจริงหรือนิยาย แต่เกี่ยวกับว่าอัลกุรอานถูกเปิดเผยโดยผู้ทรงอำนาจหรือมารร้าย

การดลใจจากพระเจ้าเริ่มต้นจากการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของกาเบรียล ซึ่งแสดงสัญญาณแรกแก่มูฮัมหมัดที่หวาดกลัวและบังคับให้เขายอมจำนนหรือไม่?

อาลี บิน อบีฏอลิบ ลูกพี่ลูกน้องของศาสดาพยากรณ์และลูกเขย มีข้อมูลอื่นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังที่หลานชายของเขาเล่าว่า มูฮัมหมัดเคยมาเยี่ยมเยียนด้วยนิมิตบางอย่างมาก่อน อิบนุ อิสฮาก เป็นผู้บรรยายฉากที่มีนิมิตดังกล่าว อย่างไรก็ตาม อิบนุ ฮิชาม ได้เขียนชีวประวัติของศาสดาพยากรณ์ที่รวบรวมโดยอิบนุ อิสฮาก ใหม่ ได้ลบทิ้งไป

ยูนุส อิบัน บูการ์ นักประวัติศาสตร์อีกคนหนึ่งซึ่งเสียชีวิตในปี 814 ให้รายละเอียดดังนี้ มูฮัมหมัดในวัยหนุ่มต้องทนทุกข์ทรมานจากการโจมตีที่ทำให้เขาตัวสั่น “ในเมกกะ ผู้ส่งสารในอนาคตของอัลลอฮ์มักถูกนัยน์ตาปีศาจ (ทุกครั้ง) โดยไม่คาดคิด ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งนี้เกิดขึ้นก่อนที่การดลใจอันศักดิ์สิทธิ์จะลงมายังเขาด้วยซ้ำ ในกรณีเช่นนี้ พระองค์ทรงส่ง Khadija ไปหาหญิงสูงอายุคนหนึ่งซึ่ง (ด้วยเวทมนตร์) ได้ลบคาถาออกจากเขา วันหนึ่งหลังจากที่อัลกุรอานถูกประทานแก่เขา เขาก็โชคร้ายอีกครั้ง คอดีจาห์ถามเขาว่า: “ศาสนทูตของอัลลอฮ์! ฉันไม่ควรส่งไปหาหญิงชราคนนั้นที่ลบคาถาจากคุณเหรอ?” เขาก็ตอบว่า: “ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว!”

ในปี 613 มูฮัมหมัดจะเรียกชาวเมืองเมกกะมานับถือศาสนาอิสลามเป็นครั้งแรก พระองค์ทรงเทศนาอันทรงพลังเกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัวของการพิพากษาครั้งสุดท้ายและความทรมานในนรกซึ่งทุกคนที่ปฏิเสธที่จะเชื่อฟังพระเจ้าและผู้ส่งสารของพระองค์จะถึงวาระ เขาเรียกร้องให้ชาวมักกะห์เชื่อ อธิษฐาน และทำความดี เลี้ยงอาหารคนจนและแม้กระทั่งทาสที่เป็นอิสระ

คำสอนใหม่ตั้งอยู่บนพื้นฐานที่สั่นคลอน ในด้านหนึ่งก็ต้องเป็นของใหม่ ในทางกลับกัน ไม่มีใครที่หัวรุนแรงเกินไป เพราะมูฮัมหมัดก็ต้องการดึงดูดคนที่ขี้ระแวงเช่นกัน

อดีตศาสดาพยากรณ์ - อิซา, อิสมาอิล, อิบราฮิม - จะต้องรักษาตำแหน่งที่สูงของพวกเขาและเป็นพยานถึงการเรียกที่แท้จริงของมูฮัมหมัด และยอมรับว่าเขาเป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ด้วยเหตุนี้ มูฮัมหมัดจึงได้นำประเพณีการบูชายัญสัตว์มาใช้ ซึ่งแพร่หลายในหมู่ชาวอาหรับนอกรีตอีกครั้ง คริสเตียนประกอบพิธีกรรมนี้ด้วยขนมปังและเหล้าองุ่นในเชิงสัญลักษณ์ แต่ชาวยิวยกเลิกพิธีกรรมนี้โดยสิ้นเชิง

แต่ชาวเมกกะกลับเชื่องช้า มี "คาฮิน" (หมอดู) มากเกินไปทุกที่อยู่แล้ว มีอาการชักกระตุก และพูดพึมพำเรื่องไร้สาระทุกประเภท ดังนั้นนักเทศน์จึงไม่มีโอกาสได้ยินมากนัก อย่างไรก็ตาม ไม่มีการได้ยินเช่นนี้ในสุนทรพจน์ของมูฮัมหมัดในเมกกะ ทำนอง น้ำเสียง การหยุดและสัมผัสที่ไม่คาดคิด...

เร็วๆ นี้จะมีการพูดถึง "พลังวิเศษของพระวจนะ" ทั่วทั้งเมกกะ กลุ่มผู้สนับสนุนมูฮัมหมัดค่อยๆ ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เขามีผู้ชายจากตระกูลขุนนาง ผู้แสวงหาพระเจ้า และคนยากจนเข้าร่วมด้วย ผู้เผยพระวจนะยังไม่สามารถเสนอสิ่งใดแก่พวกเขาได้นอกจากข้อความของเขา

ชุมชนใหม่พร้อมเปิดรับทุกคนโดยไม่คำนึงถึงสถานะและเพศ ผู้ติดตามคนแรกคนหนึ่งของผู้เผยพระวจนะกลายเป็นทาสซึ่งเขาให้อิสรภาพทันที

ในเมกกะพวกเขาล้อเลียนสหายของมูฮัมหมัด แต่อย่าข่มเหงพวกเขา แต่เมื่อมูฮัมหมัดเริ่มเรียกร้องการยอมจำนนต่อพระเจ้าองค์เดียวอย่างแข็งขันมากขึ้นเรื่อยๆ โดยพูดต่อต้านเทพเจ้าในอดีต อารมณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

สำหรับชาวเมกกะ กะอ์บะฮ์ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์แห่งความศรัทธาเท่านั้น พวกเขาจะดำรงชีวิตได้อย่างไรหากไม่มีผู้แสวงบุญที่พวกเขาเช่าที่อยู่อาศัย ขายอาหารและสัตว์สังเวย? และเมกกะจะเป็นอย่างไรหากข้อห้ามสามเดือนสำหรับโจร การปล้นทางหลวง และการฆาตกรรมทั้งหมดถูกยกเลิก? มันไม่ใช่ ตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เมืองและความสงบเรียบร้อยที่นี่ในช่วงเดือนวันหยุดทำให้เป็นศูนย์กลางการค้า หากไม่มีกะอบะหในเมกกะ คงไม่มีใครมาที่นี่

มูฮัมหมัดท้าทายระบบทั้งทางศาสนาและการเมือง เขาเรียกร้องให้ยกเลิกลำดับชั้นของชนเผ่า เผ่า และอายุ พวกเขาจะต้องถูกแทนที่ด้วยการเชื่อฟังพระเจ้าและผู้ส่งสารของพระองค์โดยเฉพาะ เรากำลังพูดถึงไม่เพียงแต่และไม่มากเกี่ยวกับความรอดของจิตวิญญาณ แต่ยังเกี่ยวกับพลังที่แท้จริงด้วย

ผู้สนับสนุนโมฮัมเหม็ดถูกโจมตี ชุมชนโดดเดี่ยวมากขึ้น และชาวมุสลิมถูกคุกคาม

ในท้ายที่สุดมีการโพสต์ข้อความอย่างเป็นทางการบนผนังกะอ์บะฮ์: ห้ามมิให้ทำการแต่งงานหรือทำธุรกรรมกับตัวแทนของสิบสี่กลุ่มของชุมชนมุสลิมกลุ่มแรก

ในชีวประวัติเล่มแรกของมูฮัมหมัด ผู้บรรยายพยายามทำให้ผู้ชมเกิดความสงสัยอย่างสูงสุด ใช่และใน ชีวประวัติในภายหลังผู้เผยพระวจนะซึ่งความแตกต่างและคำอธิบายเกี่ยวกับความอ่อนแอของมนุษย์ได้ถูกลบออกไปแล้ว ดราม่าจะยังคงอยู่ อัลลอฮฺทรงส่งผู้เผยพระวจนะลงมา แต่ไม่มีใครฟังเขา พวกเขาปฏิบัติต่อเขาอย่างไร้ความกรุณา เรียกร้องปาฏิหาริย์ และเตรียมการพยายามลอบสังหารเขา ความตึงเครียดกำลังเพิ่มขึ้น อัลลอฮ์จะทรงละทิ้งเขาหรือไม่?

เลขที่ เขาทำการอัศจรรย์ - และช่างเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ! คืนหนึ่ง สัตว์ขี่สีขาวตัวหนึ่งมีขนาดเล็กกว่าล่อ แต่มีขนาดใหญ่กว่าลา มีปีกสองข้างที่ขา และด้วยความช่วยเหลือ มันจึงเคลื่อนตัวได้ โดยแทบไม่แตะพื้นด้วยกีบ ถูกนำมาหามูฮัมหมัด

ก่อนพระศาสดามูฮัมหมัด สิ่งมีชีวิตนี้ซึ่งเรียกว่า "บูรัค" บรรทุกศาสดาพยากรณ์มากกว่าหนึ่งคนไว้บนตัวมันเอง เรือบรรทุกมูฮัมหมัดข้ามท้องฟ้าไปยัง “บ้านศักดิ์สิทธิ์” (มัสยิดอัล-อักซอ) ในกรุงเยรูซาเลม ที่นั่นกลุ่มบรรพบุรุษของเขาทั้งหมดกำลังรอมูฮัมหมัดอยู่แล้ว - ผู้เผยพระวจนะอิซาอิบราฮิมมูซา พวกเขาอธิษฐานด้วยกัน จากนั้นบันไดก็ลงมาจากท้องฟ้า ซึ่งกาเบรียลและมูฮัมหมัดขึ้นไป ทูตสวรรค์ที่ประตูสวรรค์ทั้งเจ็ดถามว่ามูฮัมหมัดเป็นผู้ส่งสารหรือไม่ จาเบรลบอกว่าใช่

ชั่วระยะเวลาหนึ่งหลังจากการสิ้นพระชนม์ของมูฮัมหมัด การเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระองค์จะถือเป็นนิมิต เป็นแสงสว่างที่มาถึงพระองค์ในความฝัน จะกลายเป็นประเด็นพิพาททางกฎหมายในภายหลัง

เจ้าหน้าที่มุสลิมจำนวนมากยืนยันว่ามูฮัมหมัดไปสวรรค์จริงๆ การสงสัยว่านี่ถือเป็นการดูหมิ่นศาสดาพยากรณ์และควรถูกลงโทษประหารชีวิตดังที่บางคนโต้เถียงกันในสมัยของตน

และแม้กระทั่งในปี 2544 สถาบันจิตวิญญาณอัลอัซฮาร์ที่ได้รับความเคารพนับถือในกรุงไคโรได้สั่งห้ามหนังสือเล่มหนึ่งที่ตั้งคำถามถึงข้อเท็จจริงของการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์

มูฮัมหมัดเผชิญกับปัญหาของผู้เผยพระวจนะทุกคน - จะทำอย่างไรถ้ามีคนอื่นนำหน้าคุณไปแล้ว? ตำแหน่ง "พระบุตรของพระเจ้า" ถูกกำหนดให้กับอีซาโดยคริสเตียน ยิ่งไปกว่านั้น ในกรณีนี้ มูฮัมหมัดจะพบว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มที่น่าสงสัยอย่างยิ่งของเทพธิดาท้องถิ่นสามองค์ซึ่งถือเป็นธิดาของพระเจ้า และไม่สมควรที่อัลลอฮฺจะทรง “มี” บุตร ดังนั้นการเชื่อในสิ่งนี้จึงเป็น "บาปอันร้ายแรง" อัลกุรอาน (สุระ 19) กล่าว

แต่มันสร้าง ปัญหาใหม่: จะนำทางดวงวิญญาณที่หลงหายไปบนเส้นทางที่แท้จริงได้อย่างไร? มูฮัมหมัดเป็น คนธรรมดาคนหนึ่ง, เตือนนักพงศาวดาร. แต่ในศตวรรษที่ 7 ไม่มีผู้เผยพระวจนะที่สามารถดึงดูดผู้ติดตามมาอยู่เคียงข้างพวกเขาได้อีกต่อไป แล้วคนธรรมดาๆ จะสามารถต่อต้านเทพเจ้าในอดีตได้ ทั้งฤทธิ์อำนาจและความกลัวของพวกเขาเองได้อย่างไร?

สถานการณ์ในเมกกะแย่ลง: ในปี 619 Khadija และ Abu Talib ผู้สนับสนุนและการสนับสนุนจากมูฮัมหมัดเสียชีวิต เขาไม่เพียงแต่ได้รับผู้ติดตามมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีกด้วย หากไม่มีการคุ้มครองจากอบู ทาลิบ ตำแหน่งของเขาก็ล่อแหลม ใครๆ ก็สามารถฆ่ามูฮัมหมัดได้โดยไม่ต้องกลัวความอาฆาตโลหิตจากกลุ่มของเขา ในปี 621 ที่งานแสดงสินค้าในเมืองเมกกะ มูฮัมหมัดได้พบกับผู้แสวงบุญจากยาธรริบ (เมดินา) ซึ่งเป็นโอเอซิสที่อยู่ห่างจากเมกกะไปทางเหนือ 350 กิโลเมตร ความสนใจของชาวอาหรับที่มีต่อศาสดาพยากรณ์ไม่ได้มีลักษณะทางศาสนา ดังที่อิบัน อิสฮากเขียนไว้ มูฮัมหมัดในวัยหนุ่มของเขาได้รับชื่อเสียงในฐานะอนุญาโตตุลาการ "ฮาคัม" และบุคคลเช่นนี้คือสิ่งที่จำเป็นในเมดินาอย่างแท้จริง

มีอีกเรื่องหนึ่ง จากข้อมูลของอิบนุ อิสฮาก หลายคนรายงานว่าเมื่อใดก็ตามที่เกิดความขัดแย้งระหว่างชาวอาหรับและชาวยิวในมะดีนะฮ์ ชาวยิวก็ข่มขู่ชาวอาหรับ: “เวลากำลังใกล้เข้ามาเมื่อศาสดาพยากรณ์จะถูกส่งมาหาเรา ซึ่งเราจะทำลายคุณ!” ด้วยภัยคุกคามเหล่านี้ ชนเผ่าชาวยิวจึงเตรียมพื้นที่สำหรับการมาของศาสดาพยากรณ์โดยไม่รู้ตัว แต่พวกเขาไม่สงสัยว่าทูตจะไม่เข้าข้างพวกเขา

ในปี 622 มูฮัมหมัดและสหายของเขาย้ายไปที่เมดินา ยุคใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น: ในเมดินา มูฮัมหมัดได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ส่งสารของอัลลอฮ์และเป็นผู้นำทางโลก ต้องขอบคุณความสามารถพิเศษของเขา พรสวรรค์ในการปราศรัย ความสามารถในการเจรจา และแน่นอนว่าการอ้างอิงถึงอัลลอฮ์ มูฮัมหมัดจึงสามารถแก้ไขข้อขัดแย้งระหว่างกลุ่มที่ทำสงครามได้ ในไม่ช้าเขาจะเติบโตจากบทบาทผู้ชี้ขาดและกลายเป็นผู้ปกครอง

เมดินาจะเป็นกระดานกระโดดสู่ชัยชนะ จากที่นี่อิสลามจะเริ่มพิชิตโลก ปีฮิจเราะห์ - มูฮัมหมัดอพยพจากเมกกะไปยังเมดินา - จะเป็นปีแรกของปฏิทินอิสลาม

อิสลามจะรวมหลักการพื้นฐานที่มีอยู่ก่อนเข้าไว้ด้วยกันในวิถีทางที่ยอดเยี่ยม ศาสนายิวยังมีพิธีกรรมและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด แต่ข้อความของศาสดาพยากรณ์มุสลิมถูกส่งถึงทุกคน ไม่ใช่แค่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ศาสนาคริสต์ถึงแม้จะมีพันธกิจ แต่ในตัวมันเองยังเป็นนามธรรมมากกว่า แต่ก็เป็นอาณาจักรที่ "ไม่ใช่ของโลกนี้" ชีวิตประจำวันของชาวคริสเตียนแทบจะไม่ได้รับการควบคุมโดยคำแนะนำทางพิธีกรรมซึ่งการปฏิบัติตามนั้นจะเปิดทางสู่สวรรค์ ในทางกลับกัน ศาสนาอิสลามเสนอทัศนคติดังกล่าวแก่ผู้ศรัทธา และยิ่งไปกว่านั้น ศาสนาอิสลามเปิดกว้างสำหรับทุกคนอย่างแน่นอน สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แต่นี่คือวิธีที่มูฮัมหมัดจินตนาการถึงอิสลามตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางของเขาหรือเปล่า? หรือศาสนาของเขาถูกหล่อหลอมจากความปรารถนาที่จะต่อต้านกระแสที่จัดตั้งขึ้นแล้ว?

ชนเผ่าชาวยิวในเมดินาปฏิเสธที่จะเชื่อฟังศาสดาพยากรณ์ที่เพิ่งสร้างใหม่ อย่างไรก็ตามมูฮัมหมัดพยายามอ้างถึงศาสดาพยากรณ์ที่ชาวยิวจำได้เช่นอิบราฮิม (อับราฮัม) และมูซา (โมเสส) โดยจำได้ว่าคนหลังทำนายถึงการปรากฏตัวของศาสดาพยากรณ์ในโตราห์ด้วยซ้ำ แต่ชาวยิวก็ยืนกราน

เมื่อเวลาผ่านไป อิสลามจะยอมรับ "ศาสนาหนังสือ" ของศาสนายิวและศาสนาคริสต์ สิ่งนี้อธิบายได้ไม่มากนักจากความเชื่อของผู้เผยพระวจนะเช่นเดียวกับลัทธิปฏิบัตินิยมของผู้ปกครองรุ่นหลัง - และรายได้มหาศาลจากภาษีการเลือกตั้งซึ่งกำหนดให้กับผู้ที่ไม่เชื่อ

ทศวรรษหลังจากการเสียชีวิตของมูฮัมหมัด มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับความคาดเดาไม่ได้ของชาวยิวที่เข้าร่วมสมคบคิดลับกับศัตรูของศาสดาพยากรณ์ ความจริงอยู่ที่ไหนและนิยายที่สนับสนุนการฆาตกรรมชาวยิวอยู่ที่ไหนไม่เป็นที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม คำสาปแช่งมากมายต่อชาวยิวในอัลกุรอานเป็นพยานถึงการปฏิเสธอย่างลึกซึ้งของมุสลิม: “โอ้ บรรดาผู้ศรัทธา! อย่าเป็นเพื่อนกับชาวยิวและคริสเตียน” สุระหลายอันของอัลกุรอานพูดถึงการหลอกลวงและการหลอกลวงของชาวยิว สิบแปดเดือนหลังจากมาถึงเมดินา มูฮัมหมัดสั่งผู้ศรัทธาให้ละหมาดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยไม่ได้หันหน้าไปทางกรุงเยรูซาเล็ม เมืองของศาสดาพยากรณ์ในอดีต แต่หันหน้าไปทาง... เมกกะ!

แต่มูฮัมหมัดเข้าใจดีว่า เป็นไปไม่ได้เลยที่จะยึดเมืองศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา ซึ่งขับไล่โอรสผู้เผยพระวจนะออกไปด้วยการสวดภาวนาเพียงอย่างเดียว เราจำเป็นต้องมีสงครามเล็กน้อย แต่ก่อนอื่นคุณต้องโน้มน้าวเพื่อนของคุณในเมดินาว่าการทำสงครามกับเมกกะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของพวกเขาเอง มูฮัมหมัดอ้างถึงผู้มีอำนาจระดับสูง เขาอธิบายว่าสงครามนี้ได้รับคำสั่งจากอัลลอฮ์ ในหลาย Surah ของอัลกุรอานที่สร้างขึ้นในช่วงเวลานั้นอัลลอฮ์ทรงเรียกการทำสงครามกับผู้นอกศาสนาเป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของผู้ติดตามศาสนาอิสลาม

ในไม่ช้าท่านศาสนทูตของอัลลอฮ์ก็ออกและ กฎโดยละเอียดญิฮาดในทางของพระเจ้า ดังนั้นถึงเวลาของการปล้นในพระนามของพระเจ้า

“จงต่อสู้ในหนทางของอัลลอฮ์กับบรรดาผู้ที่ต่อสู้กับพวกเจ้า แต่อย่าฝ่าฝืนขอบเขตของสิ่งที่ได้รับอนุญาต แท้จริงอัลลอฮฺไม่ทรงชอบผู้ละเมิด พระผู้ทรงอำนาจทรงตรัสแก่ศาสนทูตของพระองค์ แต่เขายังกล่าวอีกว่า: “จงฆ่า (บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา) ไม่ว่าเจ้าพบพวกเขาที่ไหนก็ตาม จงขับไล่พวกเขาออกจากที่ที่พวกเขาไล่เจ้าออกไป”

ทุกอย่างเริ่มต้นด้วยการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ แต่ในฤดูใบไม้ผลิปี 624 การต่อสู้ครั้งแรกก็มาถึง: ที่น้ำพุ Badr ซึ่งอยู่ห่างจากเมดินาไปทางใต้ประมาณ 130 กิโลเมตร การต่อสู้ครั้งใหญ่ครั้งแรกเกิดขึ้นระหว่างชาวมุสลิมที่ถูกขับไล่ออกจากเมกกะและกุเรช ประเภท-
ญาติและเพื่อนเก่าฆ่ากัน กองกำลังเล็กๆ ของมูฮัมหมัดเอาชนะกองกำลังที่เหนือกว่าของพวกเมกกะ นักประวัติศาสตร์จะไม่เสียใจกับการฆาตกรรมพี่น้องครั้งนี้ ในทางตรงกันข้าม: ชัยชนะเหนือศัตรูจะกลายเป็นสัญญาณจากเบื้องบนซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้ทรงอำนาจอยู่ฝ่ายใด หลังจากการสู้รบ ผู้ชนะจะแบ่งของที่ริบมาและประหารนักโทษบางส่วน

สำหรับคำถามของหนึ่งในผู้ถูกตัดสินประหารชีวิต: “ใครจะดูแลลูก ๆ ของฉันตอนนี้มูฮัมหมัด?” - ผู้เผยพระวจนะควรจะตอบว่า: "เกเฮนนา" อย่างไรก็ตาม เชลยส่วนใหญ่จะถูกญาติเรียกค่าไถ่ อัลกุรอานจะเชิดชูความสำเร็จในการต่อสู้ตามพระประสงค์ของผู้ทรงอำนาจ: “ คุณไม่ได้ฆ่าคนนอกรีต แต่อัลลอฮ์ทรงเอาชนะพวกเขา (... ) เพื่อที่จะให้ผู้ศรัทธาได้รับการทดสอบที่ดีจากพระองค์เอง”

Chroniclers รวบรวมรายชื่อผู้เข้าร่วมการสังหารหมู่ชาวมุสลิมจำนวนมาก และลูกหลานของพวกเขาถือเป็นชนชั้นสูง การซุ่มโจมตีและการกดขี่ข่มเหงผู้หญิงและเด็กดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น เมื่อเทียบกับการถอนต้นปาล์มออก ไม่ว่าในกรณีใด มีโองการบทหนึ่งในอัลกุรอานที่ให้ความชอบธรรมกับการกระทำประเภทนี้: “สิ่งใดก็ตามที่คุณตัดจากต้นปาล์มหรือทิ้งไว้ให้ยืนบนรากของมัน จะต้องได้รับอนุญาตจากอัลลอฮ์ และเพื่อพระองค์จะได้ทำให้คนชั่วร้ายอับอาย”

แต่เมื่ออีกหนึ่งปีต่อมาการต่อสู้ครั้งที่สองบนภูเขาอูฮุดจบลงด้วยความพ่ายแพ้ ท่านศาสดาพยากรณ์ก็มีปัญหาในการตีความความล้มเหลว: หากชัยชนะมาโดยพระประสงค์ของอัลลอฮ์ แล้วอะไรคือความพ่ายแพ้?

คำตอบมอบให้เขาในรูปแบบของการเปิดเผย: ความพ่ายแพ้คือการทดสอบ บททดสอบศรัทธาในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

หลังจากที่มูฮัมหมัดขึ้นสู่อำนาจในเมดินา ข้อความจากสวรรค์ก็เปลี่ยนไป อัลลอฮ์ไม่สื่อสารคำสั่งทั่วไปกับศาสดาพยากรณ์อีกต่อไป เช่นเดียวกับในเมกกะ ตอนนี้เขาคลี่คลายข้อขัดแย้ง ออกกฎหมาย แทรกแซงปฏิบัติการทางทหาร และแม้กระทั่งในเรื่องอื้อฉาวที่ทำให้ฮาเร็มของมูฮัมหมัดสั่นคลอน

ในตอนแรก มูฮัมหมัดสนใจ Zeinab ซึ่งเขาเองก็แต่งงานกับ Zayd ลูกชายบุญธรรมของเขามาก จนเขาพร้อมที่จะรับเธอเป็นภรรยาของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตของเธอกับ Zayd ไม่ดีขึ้น จากนั้น เมื่อมีภรรยาหลายคนยืนกราน เขาจึงปฏิญาณว่าจะยกเลิก เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆกับแมรี่ทาสชาวคอปติกของเขา อย่างไรก็ตาม มูฮัมหมัดไม่สามารถแยกทางกับซีนับและมาเรียได้ จากนั้นอัลลอฮ์ก็ทรงจัดทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ผู้ทรงอำนาจทรงส่งการเปิดเผยไปยังมูฮัมหมัด (อัลกุรอาน สุระ 33 ข้อ 37-40) ทำให้เขาสามารถแต่งงานกับภรรยาที่หย่าร้างของลูกชายบุญธรรมของเขา เนื่องจากมูฮัมหมัดไม่ใช่พ่อของใครเลย แต่เป็น "ผู้ส่งสารของอัลลอฮ์"

ผู้ศรัทธาชาวมุสลิมได้รับอนุญาตให้มีภรรยาได้เพียงสี่คน แต่อัลลอฮ์ทรงให้สิทธิพิเศษแก่มูฮัมหมัดในการแต่งงานอย่างถาวร อันดับของสมัครพรรคพวกก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน ไม่มีร่องรอยของผู้แสวงพระเจ้าผู้สงบสุขที่ถูกชาวเมกกะเยาะเย้ยและทำให้อับอายอีกต่อไป พวกเขาถูกแทนที่ด้วยการต่อสู้ของตัวแทนของชนเผ่าต่าง ๆ แข่งขันกันในการเชื่อฟังและความแข็งแกร่ง

“ไม่มีใครในพวกท่านจะเชื่อ” มูฮัมหมัดกล่าว “จนกว่าเขาจะรักฉันมากกว่าพ่อ ลูกชาย และทุกคนด้วยกัน” ผมที่ถูกตัดออกจากเคราของศาสดาพยากรณ์และน้ำที่เขาใช้ล้างหน้าจะถูกรวบรวมและเก็บรักษาไว้ พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขามี นักเจรจาของชนเผ่าศัตรูกล่าว

แล้วชายคนนี้ที่ทำหน้าที่เป็นผู้ส่งสารของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คือใคร? เขาแทบไม่เคยหัวเราะเลยผู้ติดตามของเขาพูดเพียงรอยยิ้มเล็กน้อยบนริมฝีปากของเขาเป็นครั้งคราว “ฆาตกรมักจะหัวเราะอยู่เสมอ” เหยื่อชาวยิวจากชนเผ่าบานู นาดีร์ กล่าว “ชายในเสื้อคลุมกว้างและมีดาบอยู่บนไหล่ ขี่อูฐและพอใจในน้ำค้างดอกฝิ่น...และพูดจาฉลาดอยู่เสมอ” แต่มูฮัมหมัดมีหน้าตาเป็นอย่างไร ใบหน้าของเขาเป็นอย่างไร? ไม่มีอะไรรู้แน่ชัดเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ มีเพียงข้อมูลว่าเขารักขนมหวาน ใช้ชีวิตอย่างสุภาพเรียบร้อย เขามีรองเท้าแตะและเสื้อคลุมตัวเดียว ในตอนต้นของปี 627 มีการสู้รบขั้นเด็ดขาดระหว่างทหารม้าเมกกะและหน่วยของมูฮัมหมัด เมื่อถึงเวลานั้น ชาวมุสลิม 3,000 คนได้ขุดคูน้ำรอบๆ เมืองมะดีนะห์ ซึ่งกลายเป็นกำแพงกั้นที่ผ่านไม่ได้สำหรับ
ทหารม้าศัตรู 10,000 นาย ฝ่ายที่ทำสงครามเผชิญหน้ากันเป็นเวลาสองสัปดาห์ แต่การโจมตีล้มเหลว และผู้นำของกลุ่มเมกกะ อาบู ซุฟยาน ให้สัญญาณให้ล่าถอย นี่คือวิธีที่อิบนุ อิสฮาก บรรยายถึงการต่อสู้ และหลังจากนั้นเขาก็เป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ในภายหลัง ในช่วงเวลาชี้ขาด ฝ่ายตรงข้ามของมูฮัมหมัดมักจะแสดงความไม่เด็ดขาดเสมอ แม้ว่าหลังจากชัยชนะที่อูฮุด ศัตรูก็ยังไม่สามารถกำจัดกองทหารมุสลิมที่พ่ายแพ้ได้ และที่เมดินาพวกเขาก็ยอมจำนน มูฮัมหมัดเองก็ดูเหมือนจะไม่สงสัยเลย หลังจากความสำเร็จของมูฮัมหมัด จำนวนผู้สนับสนุนของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ด้วยความยินดีกับความมุ่งมั่น ความสำเร็จทางการทหาร จำนวนผู้สนับสนุน และความเชื่อในปาฏิหาริย์ ชาวเมกกะจึงติดตามเขาไปยังเมดินา ฝ่ายตรงข้ามถูกผลักเข้าไปในมุม

แต่ก่อนที่จะออกเดินทางในการรณรงค์จากเมดินา มูฮัมหมัดไม่พลาดโอกาสที่จะยุติบัญชีกับชนเผ่ายิวสามเผ่าสุดท้ายที่เป็นศัตรูกับเขา ถูกกล่าวหาว่าหัวหน้าทูตสวรรค์กาเบรียลส่งข้อความถึงเขา: อัลลอฮ์สั่งให้โจมตีกลุ่มกุไรซา พระศาสดาทรงสั่งให้ปิดล้อมบ้านหอคอยของชาวยิว หลังจากผ่านไป 25 วัน พวกกุไรซีก็ยอมจำนน ผู้หญิงและเด็กถูกขายไปเป็นทาส ส่วนผู้ชายในจำนวนนี้มีตั้งแต่ 600 ถึง 900 คนถูกฆ่าตาย

แม้ว่าอิบัน อิสฮาคและนักประวัติศาสตร์ในเวลาต่อมาจะยืนยันการทำลายล้างกลุ่มชาวยิวหลายกลุ่ม แต่ความไม่สอดคล้องกันก็ยังคงมีอยู่ ชาว Quraizites เขียนว่า Ibn Ishaq ยอมจำนนต่อโชคชะตาอย่างง่ายดาย หลังจากพูดคุยกับไอชา ภรรยาสาวของมูฮัมหมัด เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ก็เดินไปประหารชีวิตเธออย่างมีความสุข ผู้นำคนหนึ่งของ Quraiz กล่าวก่อนที่เขาจะเสียชีวิต: "พระเจ้าทรงส่งหนังสือ ชะตากรรม และการสังหารหมู่นองเลือดให้กับลูกหลานของอิสราเอล"

มีความปรารถนาที่จะบรรเทาฝันร้ายหรือไม่? ไม่ว่าในกรณีใด สิ่งนี้จะถูกระบุด้วยความคลาดเคลื่อนระหว่างตำนานที่เล่าถึงเหตุการณ์ในสมัยนั้น ในทางกลับกัน ในประวัติศาสตร์ของศาสนายิวใน รายละเอียดที่เล็กที่สุดซึ่งบันทึกการกระทำรุนแรงต่อประชาชนอิสราเอลทั้งหมด ไม่มีการเอ่ยถึงการทำลายล้างชาวยิวในเมดินาและเครื่องเทศใกล้เคียง บางทีการสังหารหมู่ครั้งนี้อาจไม่เกิดขึ้นเลยเหรอ?

ความหวาดกลัวในด้านหนึ่งและความมีน้ำใจต่อทุกคนที่พร้อมจะยอมต่อพระประสงค์ของพระเจ้า อีกด้านหนึ่ง นี่คือวิธีที่ชุมชนเติบโตขึ้น อิสลามในปัจจุบันไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการยอมจำนนต่ออำนาจของอัลลอฮ์และศาสนทูตของพระองค์ หลายคนสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อศาสดาพยากรณ์เพื่อให้พอใจ รัฐบาลใหม่. แต่มูฮัมหมัดเรียกร้องจากผู้ติดตามของเขาเพียงอิมานเท่านั้น - ศรัทธาที่ตระหนักรู้ภายใน ในขณะเดียวกัน อัลกุรอานประณามชาวเบดูอินที่ศรัทธาในหัวใจยังไม่ทะลุทะลวง

ในปี 628 มีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น: มูฮัมหมัดและผู้ติดตามจำนวนหนึ่งปรากฏตัว บ้านเกิด. พระองค์ไม่ได้มาเพื่อต่อสู้แต่มาเพื่ออธิษฐาน มูฮัมหมัดเพียงแต่ขออนุญาตให้เยี่ยมชมสักการะกะอ์บะฮ์เท่านั้น หากพวกเมกกะยอมให้เขาทำเช่นนี้ พวกเขาจะเสียหน้า แต่พวกเขาไม่ต้องการโจมตีมูฮัมหมัดเช่นกัน ผู้เจรจารีบเร่งระหว่างค่ายของมูฮัมหมัดและเมกกะ ในท้ายที่สุดทั้งสองฝ่ายสรุปการสู้รบ: ผู้เผยพระวจนะรับหน้าที่ไม่โจมตีกองคาราวานของชาวเมกกะเป็นเวลาสิบปีและส่งคืนผู้แปรพักตร์ให้พวกเขา ด้วยเหตุนี้เขาและผู้ติดตามจึงได้รับอนุญาตให้เยี่ยมชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ บน ปีหน้าชาวมุสลิมเดินทางไปแสวงบุญครั้งแรกที่นครเมกกะ

หนึ่งปีต่อมา มูฮัมหมัดใช้ข้ออ้างสร้างความบาดหมางระหว่างสองกลุ่ม ซึ่งหนึ่งในนั้นเขาเป็นพันธมิตรกัน ได้เปิดตัวการรณรงค์ต่อต้านนครเมกกะ เต็มไปด้วยความกระหายผลกำไร แรงผลักดันจากความกระตือรือร้นทางศาสนา ความมั่นใจในชัยชนะ ผู้สนับสนุนมูฮัมหมัดกำลังมุ่งหน้าสู่เมืองศักดิ์สิทธิ์ อบู ซุฟยาน ผู้นำกลุ่มมักกะห์ที่ล่าถอยในการรบที่สนามเพลาะ ได้บังคับกองกำลังของเขา
ที่จะยอมแพ้

มักกะฮ์จะตกประมาณวันที่ 11 มกราคม 630 ประวัติศาสตร์เงียบงันเกี่ยวกับการต่อต้านของชาวเมกกะ มูฮัมหมัดขี่อูฐอย่างมีชัยเข้าไปในจัตุรัสที่กะอบะหยืนอยู่ หมุนวงกลมลูกบาศก์ที่ทำจากหินเจ็ดครั้ง จากนั้นจึงเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่อปรากฎในภายหลัง นี่ยังไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่จะสรรเสริญพระศาสดามูฮัมหมัดในภายหลัง

อิบัน อิสฮาก เขียนว่าภายในกะอ์บะฮ์ มูฮัมหมัดพบเพียงนกพิราบไม้ตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง ซึ่งเขาก็หักและโยนทิ้งทันที หลังจากนั้น เขาก็ออกไปที่จัตุรัสและกล่าวสุนทรพจน์กับชาวเมกกะที่เสี่ยงจะออกจากบ้าน สองศตวรรษต่อมา นกพิราบไม้ที่หักนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าอัศจรรย์ นักประวัติศาสตร์อัล-อัซรากีเขียนว่าศาสดาพยากรณ์พบรูปเคารพ "ไม่ต่ำกว่า 360" ของกะอ์บะฮ์ซึ่งปีศาจเต็มไปด้วยตะกั่ว แต่ทันทีที่มูฮัมหมัดชี้ไปที่รูปเคารพด้วยไม้เท้า พวกเขาก็กลายเป็นฝุ่นทันที ในเวลาเดียวกัน อัล-อัซรากีอ้างถึงผู้เห็นเหตุการณ์ที่มีชื่อเสียงไร้ที่ติซึ่งเป็นพยานถึงสิ่งเดียวกันกับอิบัน อิสฮาค มีข้อยกเว้นเพียงข้อเดียว: ในงานของอิบัน อิสฮาค ไม่มีคำพูดใดเกี่ยวกับรูปเคารพ 360 รูป ผู้นำของมาร และไม้เท้าวิเศษ

มูฮัมหมัดไม่ได้ตั้งใจที่จะห้ามพิธีกรรมแบบเก่า อัลลอฮ์ทรงอยู่ทั่วไปทุกหนทุกแห่งและไม่ต้องการสถานที่สักการะใด ๆ ไม่เหมือนเทพองค์ก่อน ๆ ที่มูฮัมหมัดเกลียดชัง แต่ถ้ากะอ์บะฮ์ถูกยกเลิก เมกกะก็จะสูญเสียการสนับสนุนจากพระองค์ อัลเลาะห์ยืนยันมูฮัมหมัดกล่าวว่าอิบราฮิมเองซึ่งเป็นบรรพบุรุษของผู้ศรัทธาทุกคนในพระเจ้าได้เดินทางไปแสวงบุญครั้งแรกที่เมกกะ ดังนั้น มูฮัมหมัดจึงเพียงแต่คืนพิธีกรรมให้กลับสู่จุดประสงค์ที่แท้จริง

ความปรารถนาที่จะรวมสิ่งที่เข้ากันไม่ได้จะทำให้ตัวเองรู้สึกได้แม้จะผ่านไป 1,400 ปีก็ตาม สัญลักษณ์ของศรัทธาของชาวมุสลิมคือสูตร “ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮ์” ซึ่งก็คือ “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์” แต่เหตุใดอิสลามจึงต้องการชิ้นส่วนของอุกกาบาตที่ฝังอยู่ที่มุมกะอ์บะฮ์ก่อนพระศาสดามูฮัมหมัดซึ่งมีผู้แสวงบุญหลายล้านคนแห่กันไปโดยคำนึงถึงความสูงของความสุขที่มีโอกาสได้สัมผัส "หินดำ" และจูบมัน? นี่คือพระประสงค์ของอัลลอฮ์ มูฮัมหมัดกล่าว และผู้ฟังยอมรับข่าวดีนี้ด้วยความโล่งใจ แล้วพวกเขาก็เกือบจะละทิ้งเทพเจ้าในอดีตของพวกเขา ตอนนี้พวกเขาถูกทิ้งให้อยู่กับสถานที่แห่งการสถิตอยู่ของพระเจ้าและมอบรายละเอียดปลีกย่อยทั้งหมดของพิธีกรรม: วงจรเจ็ดเท่ารอบกะอบะห - จุดดึงดูดของทุกสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์, การขว้างหินของชัยฏอน, จุดยืนอันยิ่งใหญ่บนภูเขาอาราฟัต .

โมฮัมเหม็ดมีอายุได้ไม่นาน หลังจากเอาชนะเมกกะได้ เขาก็กลับมายังเมดินา ปีสุดท้ายของชีวิตเรียกว่าปีสถานทูต ตอนนี้ชนเผ่าอาหรับต่างก็มาหาศาสดาพยากรณ์และผู้ปกครองคนใหม่เพื่อสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อผู้ที่อ้างถึงอัลลอฮ์และผู้ที่อัลลอฮ์ได้ทรงนำไปสู่ชัยชนะอันยิ่งใหญ่

แต่ชัยชนะนี้เกิดขึ้นได้จากการหลอมรวมอำนาจทางศาสนาและการเมืองที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อเข้าด้วยกันเป็นภาพพจน์อันไม่มีข้อผิดพลาดของมูฮัมหมัด จะกลายเป็น "การจำนอง" แบบหนึ่งสำหรับศาสนาอิสลาม มูฮัมหมัดจะไม่มีวันถูกแทนที่โดยใครเลย ผู้สืบทอด (คอลีฟะห์) ที่จะเข้ามาแทนที่เขาและรับมรดกอำนาจของเขา จะไม่สามารถอ้างถึงสถานะของศาสดาพยากรณ์ได้อีกต่อไป

“จงระวังสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เพราะทุกสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่คือนวัตกรรม นวัตกรรมทุกอย่างคือความหลง และทุกความหลงนำไปสู่ไฟ!” ผู้เผยพระวจนะได้เทศนาเช่นนี้แก่บรรดาผู้ศรัทธาในระหว่างการแสวงบุญอำลา ซึ่งพระองค์ทรงทำไว้หนึ่งปีก่อนที่ท่านจะมรณภาพ เพื่อให้ทุกสิ่งที่ท่านได้ทำสำเร็จนั้นถูกต้องตามกฎหมายเพียงครั้งเดียวและตลอดไป

หลังจากมูฮัมหมัดแล้ว จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในพิธีกรรมได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของศรัทธาหลังจากการสิ้นพระชนม์ของมูฮัมหมัดจะแสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจ: ในขณะที่ศาสนาอิสลามครอบงำเฉพาะอาระเบียตะวันตก การครอบงำทางศาสนาและการเมืองของ Quraish ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของมูฮัมหมัดก็ขยายออกไป อย่างไรก็ตาม ยิ่งมีคนยอมจำนนต่อพวกเขามากเท่าไร คำถามก็ยิ่งเร่งด่วนมากขึ้นเท่านั้น ใครควรได้รับการพิจารณาให้เป็นมุสลิมที่แท้จริง?

ช่วงเวลาตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 ถึงศตวรรษที่ 12 จะกลายเป็น “ยุคทอง” ของศาสนาอิสลาม นักวิทยาศาสตร์จะแปลผลงานของชาวกรีกโบราณเป็นภาษาอาหรับ นักปรัชญาจะยกระดับเหตุผลไปสู่ระดับศรัทธาโดยไม่ต้องรับโทษเด็ดขาด แต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 12 จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และแม้แต่ใน Maghreb ที่ห่างไกล แชมเปี้ยนออร์โธดอกซ์ของ "ความจริง" ของการขึ้นสู่สวรรค์ของศาสดาพยากรณ์จะมีชัยโดยเรียกร้องให้มีโทษประหารชีวิตสำหรับสาวกของการตีความอัลกุรอานอื่น ๆ ทั้งหมด ความศรัทธาอันแรงกล้าเหล่านี้จะเรียกช่วงปีแห่งชีวิตของท่านศาสดามูฮัมหมัดว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ตัวเขาเอง - ปราศจากความผิดพลาดและความศักดิ์สิทธิ์ และนวัตกรรมใด ๆ - ความชั่วร้าย

แต่ด้วยเหตุนี้จึงเกิดปัญหาซึ่งยังไม่ได้รับการแก้ไขจนถึงทุกวันนี้: ถ้าเราถือว่าผู้เผยพระวจนะอยู่นอกกรอบของยุคของเขา การตัดสินและการกระทำหลายอย่างของเขาจึงดูโหดร้ายและป่าเถื่อนด้วยซ้ำ แต่ถ้าเราประเมินว่าเขาเป็นวีรบุรุษในยุคของเขา การเรียกร้องเดียวกันสำหรับสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อระดมผู้คนในเมดินาเพื่อต่อสู้กับเมกกะก็ปรากฏในมุมมองที่แตกต่างออกไปเล็กน้อย

ไม่นานก่อนที่มูฮัมหมัดจะสิ้นพระชนม์ มีลางสังหรณ์ว่าความแตกแยกจะเกิดขึ้นในชุมชนศาสนาของเขา ลางสังหรณ์ไม่ได้หลอกลวงเขา: เพียงไม่กี่ทศวรรษต่อมาชาวชีอะห์ก็กลายเป็นคู่ต่อสู้ที่เข้ากันไม่ได้ของกาหลิบซึ่งเชื่อว่ามีเพียงทายาทสายตรงของลูกพี่ลูกน้องและลูกเขยของเขาอาลีอิบันอาบีทาลิบเท่านั้นที่สามารถเป็นผู้นำชุมชนได้ (โมฮัมเหม็ดเองไม่ได้ ละทิ้งบุตรชาย อาลีได้แต่งงานกับฟาติมา บุตรสาวของเขา) และพวกเขาตีความเรื่องราวของศาสดาแตกต่างไปจากนักปฏิบัตินิยม - ซุนนี ซึ่งแม้ทุกวันนี้ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ยังคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น

มิถุนายน 632. ภารกิจของมูฮัมหมัดเสร็จสิ้นแล้ว เขาปิดตาของเขาตลอดไป หลายคนปฏิเสธที่จะเชื่อการตายของเขา สำหรับพวกเขา เขาเป็นอมตะมานานแล้ว อบู บักร สหายที่ใกล้ที่สุดของท่านศาสดาพยากรณ์ ปรากฏตัวต่อหน้าผู้ร่วมไว้อาลัย: “จงแจ้งให้บรรดาผู้บูชามูฮัมหมัดทราบว่ามูฮัมหมัดเสียชีวิตแล้ว และขอให้บรรดาผู้เคารพภักดีอัลลอฮ์จงระลึกว่าอัลลอฮ์ทรงพระชนม์และไม่มีวันตาย”

นั่นคือวิธีที่มันถูกบันทึกไว้