› › สำหรับคำถามการวินิจฉัยอาการป่วยทางจิตของ Vincent van Gogh การสมรู้ร่วมคิดของจิตแพทย์แวนโก๊ะซินโดรม หรือสิ่งที่ศิลปินผู้ปราดเปรื่องป่วยด้วย

สำหรับคำถามการวินิจฉัยอาการป่วยทางจิตของ Vincent van Gogh การสมรู้ร่วมคิดของจิตแพทย์แวนโก๊ะซินโดรม หรือสิ่งที่ศิลปินผู้ปราดเปรื่องป่วยด้วย

Vincent van Gogh เป็นหนึ่งในศิลปินที่ผู้เชี่ยวชาญลงความเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าป่วยทางจิต ในโอกาสนี้มีงานเขียนจำนวนมากซึ่งผู้เขียนเป็นจิตแพทย์และนักจิตวิเคราะห์ นักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักวัฒนธรรมศาสตร์ และแม้แต่วิกิพีเดีย เมื่อถูกถามถึง "ศิลปินที่ป่วยทางจิต" ก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขา

นักวิจัยถกเถียงกันเกี่ยวกับการวินิจฉัย โดยบ่งชี้ว่าแวนโก๊ะมีโรคไบโพลาร์ โรคจิตเภท หรือโรคลมบ้าหมูที่กำเริบขึ้นจากการใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด แต่การวินิจฉัยทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตีความข้อความเฉพาะกลุ่มที่เขียนโดย Vincent van Gogh เอง


มีศิลปินเพียงไม่กี่คนที่จับปากกาได้ทิ้งข้อสังเกต สมุดบันทึก จดหมาย ซึ่งมีความหมายเทียบได้กับผลงานของพวกเขาในด้านการวาดภาพ


แต่จดหมายของแวนโก๊ะเป็นเอกสารที่น่าทึ่งและไม่เหมือนใคร มีความยาวหลายร้อยหน้า เป็นบทสนทนากับผู้รับจดหมาย แต่รวมถึงตัวเขาเอง พระเจ้า และโลกด้วย


โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางและนักแปล Vincent van Gogh เองก็เล่าถึงประสบการณ์ที่ประสบ โรคทางจิต, นำเสนอผู้อ่านที่น่าทึ่ง, คิด, ทำงานหนักและอ่อนไหวมากซึ่งในช่วงเวลาระหว่างการโจมตีของโรคร้ายมีสุขภาพที่ดีกว่าล่ามและนักวินิจฉัยส่วนใหญ่ของเขา


เรื่องราวอันบีบคั้นหัวใจของศิลปินเกี่ยวกับประสบการณ์การประสบกับความผิดปกติทางจิตเริ่มขึ้นในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2432 ในจดหมายที่ส่งถึงธีโอ พี่ชายของเขา จากโรงพยาบาลจิตเวชในเมืองอาร์ลส์ของฝรั่งเศส ซึ่งวินเซนต์จบลงหลังจากเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จัก ด้วยหูของเขาถูกตัดออก


“เพื่อขจัดความกลัวทั้งหมดของคุณเกี่ยวกับฉัน ฉันเขียนถึงคุณสองสามคำจากสำนักงานของดร. เรย์ ซึ่งคุ้นเคยกับคุณอยู่แล้ว ซึ่งกำลังฝึกงานอยู่ในโรงพยาบาลท้องถิ่น ฉันจะอยู่ในนั้นอีกสองหรือสามวันหลังจากนั้นฉันคาดว่าจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย ฉันถามคุณสิ่งหนึ่ง - ไม่ต้องกังวลมิฉะนั้นมันจะกลายเป็นแหล่งที่มาของความตื่นเต้นที่ไม่จำเป็นสำหรับฉัน


อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่คุณ Rey มอบให้กับ Van Gogh ในช่วงที่เจ็บป่วย ศิลปินวาดภาพเหมือนของเขา ผู้ร่วมสมัยอ้างว่าภาพเหมือนคล้ายกับนางแบบมาก แต่ Felix Rey ไม่สนใจงานศิลปะ ภาพวาดของแวนโก๊ะอยู่ในห้องใต้หลังคา จากนั้นสักพักพวกเขาก็ปิดรูในเล้าไก่ และในปี 1900 (10 ปีหลังจากการเสียชีวิตของศิลปิน) เท่านั้นที่พบภาพวาดในบ้านของดร. งานนี้ได้มาจากนักสะสมชาวรัสเซียชื่อดัง Sergei Shchukin และเก็บไว้ในคอลเล็กชั่นส่วนตัวของเขาจนถึงปี 1918 นักสะสมทิ้งภาพวาดไว้ที่บ้านเพื่อไปตรวจคนเข้าเมือง ดังนั้นมันจึงจบลงที่คอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์แห่งรัฐ ศิลปกรรมพวกเขา. พุชกินในมอสโก


หลังจากการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลครั้งแรก Vincent van Gogh จะเขียนถึง Theo น้องชายของเขา: "ฉันขอยืนยันว่าการใช้เวลาสองสามวันในโรงพยาบาลกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ชีวิตควรเรียนรู้จากคนป่วย ฉันหวังว่าจะไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นกับฉัน เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับศิลปิน ฉันพบสุริยุปราคาชั่วคราวพร้อมกับอุณหภูมิสูงและการสูญเสียเลือดจำนวนมากเนื่องจากหลอดเลือดแดงถูกตัด แต่ความอยากอาหารของฉันกลับคืนมาในทันที การย่อยอาหารของฉันดี เลือดที่เสียไปถูกเติมเต็มทุกวัน และหัวของฉันก็ทำงานชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ


ในจดหมายถึงธีโอน้องชายของเขา ลงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2432 วินเซนต์ แวน โก๊ะได้เสนอคำตอบสำหรับคำถามที่หลาย ๆ คนสนใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างอัจฉริยะกับความวิกลจริต ศิลปะและจิตเวช: "ฉันจะไม่บอกว่าศิลปินของเรามีสุขภาพจิตดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันจะไม่พูดสิ่งนี้เกี่ยวกับตัวฉัน - ฉันมีความบ้าคลั่งจนไขกระดูก; แต่ฉันพูดและยืนยันว่าเรามียาแก้พิษและยาดังกล่าวอยู่ในการกำจัดซึ่งถ้าเราแสดงความปรารถนาดีเพียงเล็กน้อยก็จะแข็งแกร่งกว่าโรคมาก


เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2432 วินเซนต์ แวน โก๊ะได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสงสัยเกี่ยวกับชาวเมืองอาร์ลส์ - ไม่ ไม่ใช่ผู้ป่วยของโรงพยาบาลจิตเวชในท้องถิ่น แต่เป็นประชาชนทั่วไป: "ฉันต้องบอกว่าเพื่อนบ้านใจดีกับฉันเป็นพิเศษ: ที่นี่ทุกคนทนทุกข์ทรมานจากบางสิ่งบางอย่าง - บางคนมีไข้บางคนมีอาการประสาทหลอนบางคนมีอาการวิกลจริต ดังนั้นทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์ในฐานะสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ... อย่างไรก็ตามไม่ควรสันนิษฐานว่าฉันแข็งแรงสมบูรณ์ ชาวบ้านความทุกข์ทรมานจากโรคเดียวกันบอกความจริงทั้งหมดแก่ฉัน: ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวัยชรา แต่เขาจะมีช่วงเวลาแห่งคราสเสมอ เพราะฉะนั้นอย่ามารับรองว่าจะไม่ป่วยเลยหรือจะไม่ป่วยอีก


จากจดหมายของศิลปินถึงพี่ชายของเขาลงวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2432 เราได้เรียนรู้ว่าชาวเมือง Arles หันไปหานายกเทศมนตรีของเมืองพร้อมกับแถลงการณ์ที่ลงนามโดยชาวเมืองบางคนว่า Van Gogh ไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระหลังจาก ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจสั่งให้ศิลปินเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้ง “พูดได้คำเดียวว่า เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ฉันนั่งอยู่คนเดียวภายใต้กุญแจและกุญแจ และภายใต้การดูแลของรัฐมนตรี แม้ว่าความวิกลจริตของฉันยังไม่ได้รับการพิสูจน์และไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยทั่วไป แน่นอน ในส่วนลึกของจิตวิญญาณของฉัน ฉันได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติเช่นนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าฉันจะไม่ยอมให้ตัวเองไม่พอใจ: การแก้ตัวในกรณีเช่นนี้หมายถึงการสารภาพผิด


เมื่อวันที่ 21 เมษายน วินเซนต์ ฟาน โก๊ะ แจ้งให้ธีโอ น้องชายของเขาทราบเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาหลังจากออกจากโรงพยาบาล ที่จะตั้งถิ่นฐานในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิตในแซงต์-เรมีย์-เดอ-โพรวองซ์: "ฉันหวังว่ามันจะเพียงพอถ้าฉันบอกว่าฉัน ฉันไม่สามารถมองหาเวิร์กช็อปใหม่และอาศัยอยู่ที่นั่นคนเดียวได้อย่างแน่นอน… ความสามารถในการทำงานของฉันกำลังค่อยๆ กลับคืนมา แต่ฉันกลัวว่าจะสูญเสียมันไปหากฉันเริ่มออกแรงมากเกินไป และถ้ายิ่งไปกว่านั้น ความรับผิดชอบทั้งหมดสำหรับเวิร์กช็อปตกอยู่กับฉัน …ฉันเริ่มปลอบใจตัวเองว่าตอนนี้ฉันเริ่มถือว่าความบ้าเป็นโรคเดียวกับโรคอื่นๆ”


วินเซนต์ แวน โก๊ะพักรักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช และต่อมาอยู่ในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิต ได้รับทุนสนับสนุนจากธีโอ น้องชายของศิลปิน นอกจากนี้ ธีโอดอร์ยังเลี้ยงชีพวินเซนต์มานานกว่า 10 ปี ให้เงินเป็นค่าเช่าและค่าทำงานศิลปะ สำหรับผืนผ้าใบ สี และค่าดำเนินการ “ฉันไม่รู้ว่ามีสถาบันทางการแพทย์ใดบ้างที่พวกเขายินยอมที่จะรับฉันเข้ารักษาฟรีโดยมีเงื่อนไขว่าฉันจะออกค่าใช้จ่ายเองและมอบงานทั้งหมดให้กับโรงพยาบาล นี่คือ - ฉันจะไม่พูดมาก แต่ก็ยังอยุติธรรม ถ้าฉันพบโรงพยาบาลแบบนั้น ฉันจะเข้าไปโดยไม่คัดค้าน


ก่อนออกจาก Arles ไปยังโรงพยาบาลบ้าแห่ง Saint-Remy-de-Provence Vincent van Gogh เขียนจดหมายต่อไปนี้ถึงพี่ชายของเขา: "ฉันต้องมองสิ่งต่างๆอย่างมีสติ แน่นอนมีทั้งพวง ศิลปินบ้า: ชีวิตเองทำให้พวกเขาพูดอย่างอ่อนโยนค่อนข้างผิดปกติ แน่นอนถ้าฉันสามารถกลับไปทำงานได้ แต่ฉันจะยังคงประทับใจตลอดไป


Vincent Van Gogh ใช้เวลาหนึ่งปีในที่พักพิงของ Saint-Remy-de-Provence (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2432 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2433) ผู้อำนวยการศูนย์พักพิงอนุญาตให้ศิลปินทำงานและยังจัดห้องแยกต่างหากสำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการ แม้จะมีอาการชักซ้ำแล้วซ้ำเล่า วินเซนต์ยังคงวาดภาพต่อไป โดยมองว่านี่เป็นวิธีเดียวในการต่อสู้กับโรคนี้: “การทำงานเกี่ยวกับภาพวาดเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการฟื้นตัวของฉัน ฉันทนได้ด้วยความยากลำบากเท่านั้น วันสุดท้ายเมื่อฉันถูกบังคับให้ยุ่งและพวกเขาไม่ให้ฉันเข้าไปในห้องที่มอบหมายให้ฉันวาดภาพ ... "


ใน Saint-Remy-de-Provence ศิลปินวาดภาพทิวทัศน์จากหน้าต่างของสตูดิโอและสวน และเมื่อ Vincent ได้รับอนุญาตให้ออกจากที่พักพิงภายใต้การดูแล สภาพแวดล้อมของ Saint-Remy ก็ปรากฏบนผืนผ้าใบของเขาด้วย


แม้จะมีอาการชักรุนแรงถึง 3 ครั้งซึ่งทำให้วินเซนต์หยุดงานไปหลายสัปดาห์ แต่ปีนี้เขาวาดภาพมากกว่า 150 ภาพ วาดภาพและสีน้ำมากกว่า 100 ภาพ


จากจดหมายของแวนโก๊ะถึงน้องสาวของเขา: “เป็นความจริงที่มีผู้ป่วยหนักหลายคนที่นี่ แต่ความกลัวและความขยะแขยงที่ความคลั่งไคล้ในตัวฉันก่อนหน้านี้ได้ลดลงอย่างเห็นได้ชัด และแม้ว่าคุณจะได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงโหยหวนที่น่ากลัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งชวนให้นึกถึงโรงละครสัตว์ แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงก็ทำความรู้จักกันอย่างรวดเร็วและช่วยเหลือกันเมื่อมีคนใดคนหนึ่งโจมตี เมื่อฉันทำงานในสวน คนไข้ทุกคนออกมาดูสิ่งที่ฉันทำ และฉันรับรองกับคุณว่า ปฏิบัติตนอย่างละเอียดอ่อนและสุภาพกว่าพลเมืองดีของ Arles พวกเขาจะไม่ยุ่งกับฉัน เป็นไปได้ว่าฉันจะอยู่ที่นี่สักพัก ฉันไม่เคยสัมผัสความสงบเช่นที่นี่และในโรงพยาบาล Arles


ความชื่นชมอย่างจริงใจเกิดจากความปรารถนาของ Vincent van Gogh ในการทำงานแม้เขาจะเจ็บป่วยเพื่อวาดภาพต่อไปและไม่ยอมแพ้: "ชีวิตผ่านไปและคุณไม่สามารถย้อนกลับได้ แต่ด้วยเหตุนี้ฉันจึงทำงานอย่างประหยัด ไม่ต้องใช้ความพยายาม: โอกาสในการทำงานก็ไม่ได้ซ้ำซากจำเจเสมอไป ในกรณีของฉัน - และยิ่งกว่านั้น: การโจมตีที่รุนแรงกว่าปกติสามารถทำลายฉันในฐานะศิลปินตลอดไป


สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่า Van Gogh อาจเป็นผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียวในศูนย์พักพิงที่ทำธุรกิจ: “การติดตามการรักษาที่ใช้ในสถาบันนี้เป็นเรื่องง่ายมากแม้ว่าคุณจะย้ายจากที่นี่ก็ตาม เพราะไม่มีอะไรทำที่นี่อย่างแน่นอน ผู้ป่วยถูกทิ้งให้กินหญ้าอย่างเกียจคร้านและปลอบใจตัวเองด้วยอาหารรสจืดและเหม็นอับในบางครั้ง


ปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2433 ธีโอเชิญพี่ชายให้เข้ามาใกล้เขาและครอบครัวมากขึ้น ซึ่งวินเซนต์ก็ไม่ขัดข้อง หลังจากใช้เวลาสามวันกับธีโอในปารีส ศิลปินตั้งรกรากที่ Auvers-sur-Oise (หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ไกลจากปารีส) ที่นี่ Vincent ทำงานโดยไม่ยอมพักแม้แต่นาทีเดียว ทุกๆ วันจะมีงานใหม่ออกมาจากใต้แปรงของเขา ดังนั้นในช่วงสองเดือนสุดท้ายของชีวิต เขาจึงสร้างภาพวาด 70 ภาพ และภาพวาด 32 ภาพ


ใน Auvers-sur-Oise ศิลปินอยู่ภายใต้การดูแลของ Dr. Gachet ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและเป็นคนรักงานศิลปะ Vincent เขียนเกี่ยวกับแพทย์คนนี้: "เท่าที่ฉันเข้าใจไม่มีใครสามารถไว้วางใจ Dr. Gachet ได้ในทางใดทางหนึ่ง ในตอนแรก สำหรับฉันแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะป่วยหนักกว่าฉัน ไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นคือสิ่งต่างๆ และถ้าคนตาบอดจูงคนตาบอด เขาทั้งสองจะไม่ตกลงไปในคูน้ำหรือ?


ทรุดตัวลง ... ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2433 Vincent van Gogh จะเสียชีวิตโดยยิงเข้าที่หน้าอกเขาจะเสียชีวิตต่อหน้า Dr. Gachet ซึ่งได้รับการเรียกตัว พวกเขาจะพบในกระเป๋าของศิลปิน จดหมายฉบับสุดท้ายจ่าหน้าถึงธีโอ ฟาน โก๊ะ ซึ่งจบลงดังนี้: "ฉันจ่ายด้วยชีวิตของฉันสำหรับงานของฉัน และมันทำให้ฉันเสียสติไปครึ่งหนึ่ง มันเป็นเรื่องจริง ..."


การตายของพี่ชายของเขาจะกลายเป็นหายนะสำหรับ Theodor Van Gogh: หลังจากความพยายามในการจัดนิทรรศการมรณกรรมของภาพวาดของพี่ชายของเขาไม่สำเร็จ Theo แสดงอาการวิกลจริตภรรยาของเขาตัดสินใจส่งผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวชซึ่งเขา จะเสียชีวิตในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2434


การทำงานร่วมกันของพี่น้องจะได้รับการชื่นชมอย่างสูงหลังเสียชีวิต และดูเหมือนว่าจะเป็นความอยุติธรรมอย่างไม่น่าเชื่อที่ไม่มีใครมีชีวิตอยู่เพื่อรอวันที่พวกเขามาถึง Vincent van Gogh ชื่อเสียงระดับโลกและการรับรู้

วินเซนต์ วิลเลม ฟาน โก๊ะ จิตรกรแนวโพสต์อิมเพรสชันนิสต์ชาวดัตช์ผู้มีชื่อเสียงระดับโลก เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2396 แต่เขากลายเป็นศิลปินเมื่ออายุเพียง 27 ปี และเสียชีวิตเมื่ออายุ 37 ปี ผลงานของเขาน่าทึ่งมาก เขาสามารถวาดภาพหลายภาพในหนึ่งวัน: ภาพทิวทัศน์ ภาพหุ่นนิ่ง ภาพบุคคล จากบันทึกของแพทย์ที่ดูแลของเขา: "ในช่วงเวลาระหว่างการโจมตี ผู้ป่วยจะสงบอย่างสมบูรณ์และหลงระเริงไปกับการวาดภาพ"

Vincent van Gogh. "มุมมองของ Arles กับ Irises" พ.ศ. 2431

ความเจ็บป่วยและความตาย

แวนโก๊ะเป็นลูกคนโตในครอบครัวและในวัยเด็กก็มีนิสัยที่ขัดแย้งกัน - ที่บ้านศิลปินในอนาคตเป็นเด็กที่ดื้อรั้นและยากลำบากและนอกครอบครัวเขาเป็นคนเงียบ ๆ จริงจังและเจียมเนื้อเจียมตัว

ในตัวเขาและในปีต่อ ๆ ไปของชีวิตความเป็นคู่ได้แสดงออก - เขาฝันถึงครอบครัวและลูก ๆ โดยคำนึงถึง "ชีวิตจริง" นี้ แต่อุทิศตนเพื่องานศิลปะอย่างเต็มที่ ความเจ็บป่วยทางจิตที่เห็นได้ชัดเริ่มขึ้นในปีสุดท้ายของชีวิต เมื่อแวนโก๊ะมีอาการวิกลจริตขั้นรุนแรง หรือเขาใช้เหตุผลอย่างมีสติ

ตาม รุ่นอย่างเป็นทางการการทำงานหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ และวิถีชีวิตที่วุ่นวายทำให้เขาเสียชีวิต - แวนโก๊ะใช้แอ็บซินท์ในทางที่ผิด

ศิลปินเสียชีวิตเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2433 สองวันก่อนหน้านี้ใน Auvers-sur-Oise เขาออกไปเดินเล่นพร้อมกับอุปกรณ์วาดภาพ เขามีปืนพกติดตัว ซึ่งฟานก็อกฮ์ซื้อไว้เพื่อไล่ฝูงนกขณะทำงานในที่โล่ง มันมาจากปืนพกนี้ที่ศิลปินยิงตัวเองในบริเวณหัวใจหลังจากนั้นเขาก็ไปถึงโรงพยาบาลอย่างอิสระ 29 ชั่วโมงต่อมา เขาเสียชีวิตจากการเสียเลือด

เป็นที่น่าสังเกตว่า Van Gogh ยิงตัวตายหลังจากที่วิกฤตทางจิตของเขาดูเหมือนจะถูกเอาชนะ ก่อนเสียชีวิตไม่นาน เขาออกจากคลินิกพร้อมข้อสรุปว่า "หายดีแล้ว"

รุ่น

Vincent van Gogh. อุทิศให้กับโกแกง พ.ศ. 2431

มีความลึกลับมากมายในความเจ็บป่วยทางจิตของแวนโก๊ะ เป็นที่ทราบกันดีว่าในระหว่างการโจมตีเขาเห็นภาพหลอนที่น่าหวาดเสียว ความเศร้าโศก และความโกรธ เขาสามารถกินสีของเขา วิ่งไปรอบ ๆ ห้องเป็นเวลาหลายชั่วโมงและหยุดนิ่งอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน ตามที่ศิลปินระบุในช่วงเวลาแห่งความมึนงงเหล่านี้เขาเห็นภาพผืนผ้าใบในอนาคต

ที่โรงพยาบาลโรคจิตใน Arles เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมบ้าหมูที่กลีบขมับ แต่ความคิดเห็นของแพทย์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับศิลปินนั้นแตกต่างกัน ดร.เฟลิกซ์ เรย์เชื่อว่าแวนโก๊ะเป็นโรคลมบ้าหมูและเป็นหัวหน้าคลินิกจิตเวชใน Saint-Remy ดร.เพย์รอนเชื่อว่าศิลปินได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคสมองอักเสบเฉียบพลัน (สมองเสียหาย) ในระหว่างการรักษาเขาได้รวมวารีบำบัด - อยู่ในอ่างอาบน้ำสองชั่วโมงสองครั้งต่อสัปดาห์ แต่วารีบำบัดไม่ได้บรรเทาอาการป่วยของแวนโก๊ะ

ในเวลาเดียวกัน ดร.กาเชต์ ซึ่งเฝ้าสังเกตศิลปินใน Auvers อ้างว่าแวนโก๊ะได้รับผลกระทบจากการอยู่กลางแดดเป็นเวลานานและน้ำมันสนซึ่งเขาดื่มขณะทำงาน แต่แวนโก๊ะดื่มน้ำมันสนเมื่อการโจมตีเริ่มขึ้นเพื่อบรรเทาอาการของเขา

จนถึงปัจจุบันมีการพิจารณาการวินิจฉัยที่ถูกต้องที่สุดซึ่งเป็นอาการที่ค่อนข้างหายากของโรคซึ่งเกิดขึ้นใน 3-5% ของผู้ป่วย

ในบรรดาญาติของแวนโก๊ะทางฝั่งมารดาเป็นโรคลมบ้าหมู น้าคนหนึ่งของเขาเป็นโรคลมบ้าหมู ความบกพร่องทางกรรมพันธุ์อาจไม่ปรากฏให้เห็นหากไม่ใช่เพราะพลังทางจิตและวิญญาณที่หักโหมมากเกินไปอย่างต่อเนื่อง การทำงานหนักเกินไป โภชนาการที่ไม่ดี แอลกอฮอล์ และภาวะช็อกอย่างรุนแรง

ความวิกลจริตทางอารมณ์

ในบันทึกของแพทย์มีบรรทัดต่อไปนี้: "เขามีอาการชักเป็นวัฏจักรซ้ำทุกสามเดือน ในช่วงภาวะขาดสติ ฟานก็อกฮ์เริ่มทำงานอีกครั้งตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก วาดด้วยความปลาบปลื้มใจและแรงบันดาลใจ วันละสองหรือสามภาพ จากคำพูดเหล่านี้ หลายคนวินิจฉัยว่าอาการป่วยของศิลปินเป็นโรคจิตคลั่งไคล้และซึมเศร้า

Vincent van Gogh. "ทานตะวัน", 2431

อาการของโรคจิตคลั่งไคล้-ซึมเศร้า ได้แก่ ความคิดอยากฆ่าตัวตาย อารมณ์ดีโดยไม่ได้รับการกระตุ้น กิจกรรมเคลื่อนไหวและการพูดเพิ่มขึ้น ช่วงเวลาของความคลุ้มคลั่งและภาวะซึมเศร้า

สาเหตุของการพัฒนาโรคจิตใน Van Gogh อาจเป็น absinthe ซึ่งตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่ามีสารสกัดจากบอระเพ็ด alpha-thujone สารนี้เข้าสู่ร่างกายมนุษย์แทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อประสาทและสมองซึ่งนำไปสู่การหยุดชะงักของกระบวนการยับยั้งแรงกระตุ้นของเส้นประสาทตามปกติ เป็นผลให้บุคคลมีอาการชัก ภาพหลอน และสัญญาณอื่นๆ ของพฤติกรรมทางจิต

“โรคลมบ้าหมูบวกวิกลจริต”

ฟานก็อกฮ์ถูกมองว่าเป็นบ้าโดยดร. เพรอน แพทย์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2432 ระบุว่า: "แวนโก๊ะเป็นโรคลมบ้าหมูและเป็นคนวิกลจริต"

โปรดทราบว่าจนถึงศตวรรษที่ 20 การวินิจฉัยโรคลมบ้าหมูยังหมายถึงโรคมีเนียร์ด้วย

จดหมายที่ค้นพบของ Van Gogh แสดงถึงอาการวิงเวียนศีรษะที่รุนแรงที่สุด ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับพยาธิสภาพของหูชั้นใน (หูชั้นใน) พวกเขามีอาการคลื่นไส้ อาเจียนโดยควบคุมไม่ได้ หูอื้อ และสลับกับมีประจำเดือนซึ่งเขาแข็งแรงสมบูรณ์ดี

โรคมีเนียร์

ลักษณะของโรค: เสียงก้องในหัวคงที่, จากนั้นลดลง, แล้วทวีความรุนแรงขึ้น, บางครั้งก็มาพร้อมกับการสูญเสียการได้ยิน โรคนี้มักเกิดขึ้นเมื่ออายุ 30-50 ปี ผลจากโรคนี้ ความบกพร่องทางการได้ยินอาจกลายเป็นถาวร และผู้ป่วยบางรายจะมีอาการหูหนวก

ตามเวอร์ชั่นหนึ่งเรื่องราวของหูที่ถูกตัดออก (ภาพวาด "ภาพเหมือนตนเองที่มีหูที่ถูกตัด") เป็นผลมาจากเสียงเรียกเข้าที่ทนไม่ได้

กลุ่มอาการแวนโก๊ะ

การวินิจฉัยโรค "แวนโก๊ะซินโดรม" ใช้ในกรณีผู้ป่วยทางจิตที่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บ (ตัดส่วนของร่างกายออก มีแผลขนาดใหญ่) หรือแสดงความต้องการที่ยืนกรานต่อแพทย์ให้ทำการผ่าตัดรักษาเขา โรคนี้เกิดขึ้นในโรคจิตเภท, dysmorphophobia, dysmorphomania เนื่องจากมีอาการหลงผิด, ภาพหลอน, แรงกระตุ้น

เชื่อกันว่าความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรงจากอาการวิงเวียนศีรษะบ่อยครั้ง พร้อมกับเสียงอื้ออึงในหูจนทนไม่ได้ ซึ่งทำให้เขาคลุ้มคลั่ง แวนโก๊ะจึงตัดหูของเขาทิ้ง

Vincent van Gogh. "ด้วยผ้าพันหู", 2432

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้มีหลายเวอร์ชัน ตามที่หนึ่งในนั้น ใบหูของ Vincent van Gogh ถูกตัดออกโดยเพื่อนของเขา พอล โกแกง. ในคืนวันที่ 23-24 ธันวาคม พ.ศ. 2431 การทะเลาะกันเกิดขึ้นระหว่างพวกเขาและด้วยความโกรธ Van Gogh โจมตี Gauguin ซึ่งเป็นนักดาบที่ดีใช้ดาบฟันติ่งหูซ้ายของ Van Gogh หลังจากนั้นเขาก็ โยนอาวุธลงไปในแม่น้ำ

แต่นักประวัติศาสตร์ศิลปะรุ่นหลักนั้นอิงจากการศึกษาโปรโตคอลของตำรวจ ตามระเบียบการสอบสวนและตาม Gauguin หลังจากทะเลาะกับเพื่อน Gauguin ก็ออกจากบ้านและไปค้างคืนที่โรงแรม

แวนโก๊ะอารมณ์เสียที่ถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง ใช้มีดโกนตัดติ่งหู หลังจากนั้นเขาก็ไปซ่องโสเภณีเพื่อแสดงหูที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ให้โสเภณีที่คุ้นเคยดู

ตอนนี้จากชีวิตของศิลปินที่ถือเป็นสัญญาณของความผิดปกติทางจิตที่ทำให้เขาฆ่าตัวตาย

ยังไงก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญบางคนแย้งว่าความหลงใหลในสีเขียว สีแดง และสีขาวมากเกินไปนั้นบ่งบอกถึงอาการตาบอดสีของแวนโก๊ะ การวิเคราะห์ภาพวาด "Starry Night" นำไปสู่การเกิดขึ้นของสมมติฐานนี้

Vincent van Gogh. " คืนแสงดาว", 2432

โดยทั่วไป นักวิจัยยอมรับว่า ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ได้รับความทุกข์ทรมานจากภาวะซึมเศร้า ซึ่งรวมถึงหูอื้อ ความเครียดทางประสาท และการใช้แอ็บซินธ์ในทางที่ผิด อาจนำไปสู่การเป็นโรคจิตเภทได้

เชื่อว่าเป็นโรคเดียวกัน นิโคไล โกกอล, ลูกชายของอเล็กซานเดอร์ ดูมาส์, เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์, อัลเบรทช์ ดูเรอร์ และเซอร์เก รัคมานินอฟ.

ในบรรดาคำศัพท์เกี่ยวกับจิตเวชศาสตร์ที่มีชื่อเดียวกัน หนึ่งในคำที่โด่งดังที่สุดคือกลุ่มอาการของแวนโก๊ะ สาระสำคัญของการเบี่ยงเบนนั้นอยู่ในความปรารถนาที่ไม่อาจต้านทานได้ในการผ่าตัดด้วยตนเอง: เพื่อตัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออกเพื่อทำดาเมจ กลุ่มอาการนี้สามารถสังเกตได้ในอาการป่วยทางจิตต่างๆ เช่น โรคจิตเภท

พื้นฐานของความผิดปกติคือทัศนคติที่ก้าวร้าวโดยอัตโนมัติซึ่งมุ่งทำร้ายและทำลายร่างกายของตนเอง กลุ่มอาการนี้มักถูกเปรียบเทียบกับ dysmorphomania ซึ่งประกอบด้วยความไม่พอใจทางพยาธิวิทยากับรูปร่างหน้าตา บุคคลที่ทุกข์ทรมานจากความเบี่ยงเบนนี้หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะแก้ไขความบกพร่องทางร่างกายในจินตนาการไม่ว่าจะด้วยวิธีใด: ด้วยตัวเองหรือด้วยความช่วยเหลือของการผ่าตัด

แนวคิดของโรคและสัญญาณของมัน

กลุ่มอาการแวนโก๊ะเป็นโรคทางจิตที่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาที่จะทำการผ่าตัดด้วยตนเองโดยการตัดส่วนต่าง ๆ ของร่างกายออก โรคนี้ยังแสดงออกด้วยการบังคับให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ดำเนินการดังกล่าว ที่สุด บุคคลที่มีชื่อเสียงความทุกข์ทรมานจากโรคทางจิตนี้คือ Vincent van Gogh ซึ่งตั้งชื่อตามชื่อซินโดรม การกระทำที่เป็นที่รู้จักของอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่ทำให้ประชาชนตกใจกับความบ้าคลั่งและความโหดร้ายของมัน ศิลปินชื่อดังตัดหูและส่งจดหมายถึงคนรักของเขา มีหลายเวอร์ชันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น: บางคนเชื่อว่าเพื่อนของเขาได้รับบาดเจ็บที่ Van Gogh บางคนบอกว่าศิลปินใช้ฝิ่นและกระทำการที่บ้าคลั่งนี้ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติด ถึงกระนั้น ข้อเท็จจริงหลายอย่างบ่งชี้ว่าอัจฉริยะได้รับความทุกข์ทรมานจากความผิดปกติทางจิต โดยสันนิษฐานว่าได้ตัดหูของเขาในช่วงที่โรคกำเริบ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม แต่ทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่เป็นโรคแวนโก๊ะ

บ่อยครั้งที่โรคนี้มาพร้อมกับความผิดปกติทางจิต บางครั้งการทำร้ายตนเองในลักษณะดังกล่าวเป็นการชี้ให้เห็นโดยธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ศิลปินรัสเซียสมัยใหม่อาจได้รับความทุกข์ทรมานจากความเบี่ยงเบนนี้ มีการกระทำอย่างต่อเนื่องโดยถูกกล่าวหาว่ามีความหวือหวาทางการเมือง ซึ่งเขาตัดส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายออกหรือสร้างบาดแผลและการบาดเจ็บอื่น ๆ โรคนี้เกิดขึ้นในโรคจิตเภทต่อไปนี้:

  • โรคจิตเภท;
  • เพ้อ;
  • ประสาทหลอน;
  • dysmorphomania;
  • ความวิกลจริตทางอารมณ์;
  • ความผิดปกติของการกิน
  • โรคลมบ้าหมูที่มีอาการชักทางจิต
  • ดึงดูดหุนหันพลันแล่น

บ่อยครั้งที่กลุ่มอาการนี้ส่งผลกระทบต่อบุคคลที่มี dysmorphomania, โรคจิตเภทและอาการหลงผิดในภาวะ hypochondriacal ภายใต้ dysmorphomaniac delusions เข้าใจถึงความเชื่อมั่นของบุคคลในความเบี่ยงเบนทางร่างกายในจินตนาการที่ไม่มีอยู่จริงของเขา บ่อยครั้งที่ความคิดบ้า ๆ นั้นนำไปสู่การถอดชิ้นส่วนของร่างกายออก การกระทำที่หุนหันพลันแล่นสามารถก่อให้เกิดการทำร้ายตนเองได้เช่นกัน การสูญเสียการควบคุมเช่นนี้เป็นผลที่ตามมาอย่างน่ากลัว เนื่องจากในสภาวะของความหลงใหล คนๆ หนึ่งสามารถทำสิ่งที่น่ากลัวได้ ดังนั้น หญิงชาวจีนรายหนึ่งซึ่งเป็นโรคเสพติดการช้อปปิ้ง ได้ตอบสนองต่อความไม่พอใจครั้งต่อไปของสามีด้วยการตัดนิ้วของเธอเอง ผู้หญิงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลทันเวลา นิ้วถูกช่วยชีวิต ข้อสรุปของจิตแพทย์ฟังดูเหมือนเป็น

พื้นฐานของกลุ่มอาการคือพฤติกรรมทำร้ายตัวเองและก้าวร้าวอัตโนมัติ พฤติกรรมทำร้ายตนเอง หมายถึง การกระทำหลายอย่างที่มุ่งให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของตนเอง สาเหตุหลักของการรุกรานอัตโนมัติคือ:

  • ไม่สามารถตอบสนองต่อความยากลำบากของชีวิตและต้านทานปัจจัยความเครียดได้อย่างเพียงพอ
  • พฤติกรรมเชิงสาธิต
  • ภาวะซึมเศร้า;
  • พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น, การละเมิดการควบคุมตนเอง

ด้วยพฤติกรรมที่ทำลายตัวเอง พื้นที่ของร่างกายที่สามารถเข้าถึงได้บ่อยที่สุด ได้แก่ แขน ขา หน้าอกและหน้าท้อง อวัยวะเพศ จากสถิติ ผู้หญิงมักมีพฤติกรรมก้าวร้าวอัตโนมัติและกลุ่มอาการนี้มากที่สุด ศิลปินที่มีชื่อเสียง- ผู้ชาย เพศหญิงมีแนวโน้มที่จะถูกมีดบาดและมีบาดแผลลึกมากกว่าการตัดชิ้นส่วนของร่างกาย ผู้ชายที่เป็นโรคนี้มักจะทำร้ายตัวเองในบริเวณอวัยวะเพศ

การพัฒนาของโรคอาจได้รับอิทธิพลจากหลายปัจจัย:

  • ความบกพร่องทางพันธุกรรม;
  • การติดแอลกอฮอล์และยาเสพติด
  • ด้านสังคมและจิตวิทยา
  • โรคของอวัยวะภายใน

ปัจจัยทางพันธุกรรมมีอิทธิพลต่อการพัฒนาความผิดปกติทางจิตและกลุ่มอาการโดยพื้นฐาน ตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ น้องสาวของแม่ของ Van Gogh ป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู และพี่น้องของศิลปินต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคจิตเภท ตั้งแต่ความปัญญาอ่อนไปจนถึงโรคจิตเภท

การใช้แอลกอฮอล์และสารเสพติดส่งผลต่อระดับการควบคุมบุคลิกภาพ เมื่อคนๆ หนึ่งมีพฤติกรรมก้าวร้าวอัตโนมัติ คุณสมบัติความตั้งใจและการควบคุมตนเองที่ลดลงอาจนำไปสู่การทำร้ายตนเองได้ มีชื่อเสียง ศิลปินชาวฝรั่งเศสซึ่งถูกตัดหู ดื่มสุรา ดื่มสุรา และสูบฝิ่น ซึ่งอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมทำร้ายตนเอง

อิทธิพลทางสังคมและจิตวิทยามีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของพฤติกรรมก้าวร้าวอัตโนมัติ บ่อยครั้งที่คน ๆ หนึ่งสร้างความเสียหายให้กับตัวเองเนื่องจากไม่สามารถอยู่รอดจากความเครียดทางจิตใจความขัดแย้งและความเครียดในชีวิตประจำวัน ผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมานจากการระบาดของพฤติกรรมทำร้ายตัวเองอ้างว่าการทำร้ายตัวเองทำให้เขา "บดบังความเจ็บปวดทางจิตใจของร่างกาย"

บางครั้งความปรารถนาที่จะทำการผ่าตัดในร่างกายของตัวเองอาจเกิดจากความเจ็บปวดของโรค คนที่ทุกข์ทรมานจากความผิดปกติทางจิต มักมีอาการปวดที่อวัยวะหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายอยู่ตลอดเวลา มีแนวโน้มที่จะทำร้ายตัวเองเพื่อกำจัดความเจ็บปวด รูปแบบหนึ่งของการตัดแขนขาที่น่าตื่นเต้นของ Van Gogh คือข้อสันนิษฐานว่าศิลปินถูกทรมานด้วยความเจ็บปวดที่ทนไม่ได้หลังจากป่วยเป็นโรคหูน้ำหนวก

การรักษาโรค

การบำบัดโรคเกี่ยวข้องกับการรักษาความเจ็บป่วยทางจิตที่มีการระบาดของโรค auto-aggression ยารักษาโรคจิต ยากล่อมประสาท และยาต้านอาการซึมเศร้าหลายชนิดถูกนำมาใช้เพื่อลดความปรารถนาที่ท่วมท้นและความคิดที่หมกมุ่นเรื่องการทำลายล้าง ในกรณีที่มีอาการของ Van Gogh จะมีการระบุการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อลดความเสี่ยงของความเสียหาย

จิตบำบัดจะมีผลเฉพาะเมื่อกลุ่มอาการของโรคเป็นการแสดงพฤติกรรมที่ทำร้ายตนเองโดยมีสาเหตุมาจากโรคซึมเศร้าหรือโรคประสาท วิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือจิตบำบัดเกี่ยวกับความรู้ความเข้าใจและพฤติกรรม ซึ่งไม่เพียงกำหนดสาเหตุของการทำร้ายตัวเองของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงวิธีการตอบโต้การปะทุของความก้าวร้าวโดยอัตโนมัติด้วย นักจิตอายุรเวทศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับระดับของทัศนคติที่ก้าวร้าวโดยอัตโนมัติ หากพวกเขาได้รับชัยชนะ วิธีการทางความคิดและพฤติกรรมจะไม่ได้ผลเสมอไป ด้วยการครอบงำของความเชื่อที่ก้าวร้าวโดยอัตโนมัติ กระบวนการกู้คืนส่วนบุคคลถูกขัดขวางโดยลูกค้าไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการได้

การรักษาโรคเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนและใช้เวลานานและไม่ประสบความสำเร็จเสมอไป ตัวอย่างเช่น โรคนี้รักษาได้ง่ายกว่าในโรคจิตเภทมากกว่าใน dysmorphomania และโรคลมบ้าหมู หากผู้ป่วยมีอาการหลงผิดอย่างต่อเนื่อง การรักษาอาจหยุดชะงักเนื่องจากความซับซ้อนของการรักษาด้วยยา

ข้อเท็จจริงที่น่าตกใจ

ศิลปินชาวอเมริกัน A. Fielding หมกมุ่นอยู่กับความคิดที่จะบรรลุการตรัสรู้ทางวิญญาณจนเธอเจาะรูในกะโหลกศีรษะของเธอ ก่อนการผ่าตัด ผู้หญิงคนนี้หันไปหาศัลยแพทย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับร้องขอการเจาะเลือดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งน่าจะช่วยให้เธอมองโลกต่างออกไป

บางคนได้รับอิทธิพลอย่างมากจากโลกอันน่าอัศจรรย์ของเกมคอมพิวเตอร์ ภาพยนตร์ และหนังสือ ธีมพรายวิเศษทำให้แฟนๆ หลายคนคลั่งไคล้ ประเภทนี้. หลายกรณีของใบหูที่ควบคุมได้เองนั้นมีลักษณะคล้ายกับหูแหลมของเอลฟ์

จนถึงปัจจุบัน การตัดนิ้วเป็นสัญญาณของการประท้วง (ทางการเมือง สังคม) หรือการอุทิศตนถือเป็นเรื่องปกติ การแสดงออกทางอารมณ์ทางพยาธิวิทยาดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นการชี้ให้เห็นและบ่งบอกถึงความผิดปกติทางจิต ปรากฏการณ์นี้พบได้บ่อยใน ตะวันออกเช่น ญี่ปุ่น จีน เนื่องจากสืบทอดเทคนิค "ยูบิตสึเมะ" โบราณซึ่งใช้ในชุมชนอาชญากร ขั้นตอนเกี่ยวข้องกับการตัดนิ้วบางส่วนเป็นสัญญาณของการไม่ปฏิบัติตามกฎของชุมชนมาเฟีย

กลุ่มอาการแวน-จี โอ้ ฮ่า (ตั้งชื่อตามผู้ป่วย - ศิลปินชาวดัตช์แห่งแวนโก๊ะในศตวรรษที่ 19) - สร้างความเสียหายให้กับตัวเขาเองต่อผู้ป่วยทางจิต (การตัดส่วนของร่างกายออก, แผลขนาดใหญ่) หรือนำเสนอความต้องการที่ยืนกรานต่อแพทย์ให้ทำการผ่าตัดเนื่องจาก การปรากฏตัวของภาวะเพ้อ hypochondriacal, ภาพหลอน, ไดรฟ์หุนหันพลันแล่น

Vincent van Gogh. ภาพตัวเอง (ชิ้นส่วนของภาพ)

เขาใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้น การรับรู้มาถึงเขาหลังจากการตายของเขาและในปัจจุบันมีการมอบเงินหลายสิบล้านดอลลาร์สำหรับภาพวาดของเขา

วินเซนต์ แวนโก๊ะ เกิดเมื่อวันที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2396 พ่อของ Vincent คือ Theodor van Gogh ซึ่งเป็นศิษยาภิบาลนิกายโปรเตสแตนต์ และแม่ของเขาคือ Anna Cornelia Carbentus ลูกสาวของคนขายหนังสือและหนังสือที่มีชื่อเสียงจากกรุงเฮก เขาเป็นลูกคนโตในครอบครัวซึ่งแสดงความไม่ลงรอยกันตั้งแต่วัยเด็ก: ครอบครัวจำได้ว่าเขาเป็นเด็กที่ดื้อรั้นและดื้อรั้นและนอกครอบครัวเขาเป็นคนเงียบขรึม จริงจัง อ่อนหวานและเจียมเนื้อเจียมตัว

ในตอนแรกเขาเรียนที่โรงเรียนประจำหมู่บ้านจากนั้นที่บ้านกับผู้ปกครอง และเมื่ออายุ 11 ปีเขาถูกส่งไปเรียนที่โรงเรียนประจำ ความโดดเดี่ยวจากครอบครัวของเขาสร้างความประทับใจให้กับเขาซึ่งสะท้อนให้เห็นในภาพรวม ชีวิตในภายหลัง. เมื่ออายุได้ 15 ปี เขาลาออกจากโรงเรียนประจำและกลับบ้าน

ความรักในการวาดภาพของ Vincent เริ่มต้นเมื่อเขาเริ่มทำงานเป็นตัวแทนจำหน่ายในบริษัทศิลปะและการค้าของลุง
ในไม่ช้าเขาก็ประสบกับความล้มเหลวในความรัก ความผิดหวังส่งผลต่องาน - เขาเลิกสนใจมันและหันไปหาพระคัมภีร์ ชีวิตเปลี่ยนไปอย่างมาก ฟานก็อกฮ์เป็นผู้ขายหนังสือ และระหว่างปี พ.ศ. 2412 ถึง พ.ศ. 2419 ทำหน้าที่เป็นนายหน้าให้กับบริษัทซื้อขายงานศิลปะในกรุงเฮก บรัสเซลส์ ลอนดอน และปารีส และในปี พ.ศ. 2419 เขาทำงานเป็นครูในอังกฤษ
หลังจากนั้นเขาเริ่มสนใจในเทววิทยาและตั้งแต่ปี พ.ศ. 2421 เป็นนักเทศน์ในเขตเหมืองแร่ Borinage ( ในเบลเยียม)

Van Gogh กลายเป็นศิลปินเมื่ออายุ 27 ปี ในปีพ. ศ. 2428 โลกได้เห็นภาพวาด "ผู้กินมันฝรั่ง" ที่มีชื่อเสียง มันถูกเขียนด้วยเฉดสีเข้มและเช่นเดียวกับในภาพวาดอื่น ๆ วัตถุหลักคือบุคคลที่มีอารมณ์และประสบการณ์ของเขา

ในปี พ.ศ. 2429 ฟานก็อกฮ์ย้ายไปปารีส ซึ่งเขาได้วาดภาพชุดหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ "Poets 'Garden" ที่มีชื่อเสียงที่สุด งวดใหม่ความคิดสร้างสรรค์ถูกทำเครื่องหมายด้วยการเปลี่ยนแปลงสไตล์ สีจะสว่างขึ้น โครงเรื่องร่าเริงมากขึ้น ช่วงเวลานี้โดดเด่นด้วยเทคนิคของ pointillism - จังหวะสั้น ๆ ของสีรุ้ง

ยังมีชีวิตอยู่ . แจกันกับดอกไอริส พฤษภาคม 1890
Van Gogh เป็นศิลปินที่มีผลงานมากมาย เขาสามารถวาดภาพหลายภาพในหนึ่งวัน เหล่านี้คือภาพทิวทัศน์ ภาพหุ่นนิ่ง ภาพบุคคล และภาพเขียนประเภทต่างๆช่วงปลายของความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเริ่มขึ้นหลังจากย้ายจากปารีสไปทางตอนใต้ของฝรั่งเศสเป็นที่ถกเถียงกันมาก แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดผลมากที่สุดธรรมชาติที่สดใสของโพรวองซ์เป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินเขียนทิวทัศน์ที่มีชีวิตชีวาและมีสีสัน แต่ในเวลาเดียวกันโรคก็เติบโตในจิตวิญญาณของศิลปินซึ่งในที่สุดก็ทำให้เขาเสียชีวิตในช่วงวิกฤต Van Gogh วาดภาพที่สื่อถึงความรู้สึกกดดันของความสิ้นหวังที่เกาะกุมศิลปิน ผลผลิตของเขานั้นเหลือเชื่อมาก " ในช่วงเวลาระหว่างการโจมตีผู้ป่วยจะสงบและหลงใหลในการวาดภาพ ", - แพทย์ที่เข้าร่วมระบุ
ฟานก็อกฮ์ยิงตัวตายเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2433 หลังจากวิกฤตทางจิตของเขาดูเหมือนจะดีขึ้น ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาได้ออกจากคลินิกพร้อมกับข้อสรุปว่า “ ฟื้นตัว ».

ในระหว่างการโจมตี เขาเห็นภาพหลอนเหมือนฝันร้าย ความเศร้าโศก และความโกรธมาเยือน เขาสามารถกินสีของตัวเอง วิ่งไปรอบ ๆ ห้องเป็นเวลาหลายชั่วโมงและหยุดนิ่งอยู่ในท่าเดียวเป็นเวลานาน ตามที่เขาพูดในช่วงเวลาแห่งความมึนงงเขาเห็นภาพผืนผ้าใบในอนาคต

จุดสุดยอดของความเจ็บป่วยในระหว่างที่เขามักปวดหัวจนทนไม่ได้คือเขาขว้างแก้วแอ็บซินท์ใส่ศีรษะของโกแกงผู้ยิ่งใหญ่ไม่น้อยจากนั้นก็โจมตีเขาด้วยมีดโกนที่เปิดอยู่ อย่างไรก็ตามในเย็นวันเดียวกัน
โดยวิธีการตามรุ่นอื่น: ใบหูของ Vincent van Gogh ถูกตัดออกโดย Paul Gauguin เพื่อนของเขา - ดังนั้น

พิจารณา ฮันส์ คอฟมันน์ และริต้า วิลเดแกนส์
ตามเวอร์ชั่นของพวกเขาในคืนวันที่ 23-24 ธันวาคม พ.ศ. 2431 แวนโก๊ะโจมตีโกแกงด้วยความโกรธเมื่อเขาบอกเพื่อนว่าเขากำลังจะออกจากอาร์ลส์ Gauguin นักดาบฝีมือดีใช้ดาบฟันติ่งหูซ้ายของ Van Gogh หลังจากนั้นเขาก็โยนอาวุธลงในแม่น้ำ ข้อสรุปของนักประวัติศาสตร์ศิลป์มีพื้นฐานมาจากการศึกษาระเบียบการของตำรวจ ซึ่งตามแบบที่ยอมรับกันทั่วไปมีพื้นฐานมาจาก: แวนโก๊ะใช้มีดโกนตัดใบหูของเขาเองในสภาวะปลุกเร้าจิตใจ
นั่นคือสิ่งที่ Gauguin บอกกับตำรวจ
ตามระเบียบการสอบสวนหลังจากทะเลาะกับเพื่อน Gauguin ก็ออกจากบ้านและไปค้างคืนที่โรงแรมใกล้เคียง แวนโก๊ะถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพังด้วยความคับข้องใจ ตัดติ่งหูของเขาด้วยมีดโกน หลังจากนั้นเขาก็ไปที่ซ่องเพื่อแสดงหูที่ห่อด้วยหนังสือพิมพ์ให้โสเภณีที่คุ้นเคยดู ต่อจากนั้นตอนนี้จากชีวิตของศิลปินถือเป็นสัญญาณของโรคทางจิตซึ่งทำให้เขาฆ่าตัวตาย ครั้งหนึ่งเมื่อสร้างจังหวะสุดท้ายของภาพวาด " อีกาในทุ่งข้าวสาลี' จ่อยิงหัวตัวเอง ตามเวอร์ชั่นอื่นถูกยิงที่ท้องหลังจากนั้นเขาก็วาดภาพอีกภาพหนึ่ง
.

ในความเจ็บป่วยทางจิต ห้าม โกก้า ความลึกลับมากมาย
จิตแพทย์ที่กำลังพยายามฟื้นฟูภาพทางคลินิกได้รับการยอมรับว่าเป็นการวินิจฉัยที่ถูกต้องซึ่งทำโดยดร.เงื่อนไขอื่น ๆ ที่เข้าเกณฑ์สำหรับโรคจิตอินทรีย์ แต่ไม่อยู่ในรูปของความสับสน โรคจิตของ Korsakoff ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ หรือภาวะสมองเสื่อม ปัจจุบันเรียกว่า โรคจิตที่ไม่ระบุรายละเอียดเนื่องจากโรคลมบ้าหมู) .
ในหมู่ญาติ รถตู้ โกก้า แม่เป็นโรคลมบ้าหมู น้าคนหนึ่งของเขาเป็นโรคลมบ้าหมู
ความเจ็บป่วยทางจิตเกิดขึ้นกับทั้งธีโอและวิลเลมินา - เห็นได้ชัดว่ามีรากมาจากกรรมพันธุ์
แต่แน่นอนว่า ความบกพร่องทางกรรมพันธุ์ไม่ใช่สิ่งที่ร้ายแรงถึงชีวิต - มันไม่มีทางนำไปสู่ความเจ็บป่วยได้ หากไม่ใช่เพราะปัจจัยกระตุ้น ความเครียดทางจิตใจและจิตวิญญาณที่มากเกินไปอย่างต่อเนื่อง การทำงานหนักเกินไปเรื้อรัง โภชนาการที่ไม่ดี แอลกอฮอล์ รวมกับความวุ่นวายทางศีลธรรมอย่างรุนแรงที่ลดลงอย่างมาก รถตู้ โกก้า มากเกินไป - ทั้งหมดนี้มากเกินพอสำหรับการรับรู้ถึงแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นกับโรค

ความเป็นคู่ที่ร้ายแรงหลอกหลอนศิลปินมาตลอดชีวิต ชีวิตสั้น. ดูเหมือนว่าคนสองคนเข้ากันได้ดี เขาฝันถึงครอบครัวและลูก ๆ เรียกมันว่า "ชีวิตจริง" อย่างไรก็ตาม เขาอุทิศตนให้กับงานศิลปะอย่างเต็มที่ เขาต้องการเป็นนักบวชเหมือนพ่อของเขา และตัวเขาเองที่แหกกฎทั้งหมด เริ่มใช้ชีวิตร่วมกับ กับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการโจมตีอย่างรุนแรงจากความวิกลจริต เวลาที่เหลือเขาให้เหตุผลอย่างมีสติ

รถตู้ Gog ทำให้ Paul Gauguin เป็นผู้ซึ่งเขาเชิญให้อยู่ในสตูดิโอของเขา และเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่าเขาได้พยายามโกแกงด้วยในระหว่างการโจมตีครั้งต่อไป

รถตู้โกกเข้ารับการตรวจโดยแพทย์สามคน และทุกคนมีความเห็นต่างกัน
ดร.เรย์เชื่อเช่นนั้น รถตู้ โกกป่วยเป็นโรคลมบ้าหมู
หัวหน้าคลินิกจิตเวชแห่ง Saint-Remy, Dr. Peyron เชื่อเช่นนั้น รถตู้ Gog ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคสมองอักเสบเฉียบพลัน (สมองถูกทำลาย) ในระหว่างการรักษาเขาได้รวมการบำบัดด้วยวารีบำบัดนั่นคือการแช่ในอ่างเป็นเวลา 2 ชั่วโมงสองครั้งต่อสัปดาห์ อย่างไรก็ตามวารีบำบัดไม่ได้ช่วยบรรเทาโรค รถตู้ โกก้า
ดร.กาเชต์ซึ่งกำลังดูอยู่ รถตู้ Gog in Auvers ไม่ใช่แพทย์ที่มีคุณสมบัติเพียงพอ เขาอ้างว่าเมื่อ รถตู้ โกกถูกกล่าวหาว่าได้รับผลกระทบจากแสงแดดเป็นเวลานานและน้ำมันสนซึ่งเขาดื่มขณะทำงาน แต่น้ำมันสน รถตู้โกกดื่มเมื่อการโจมตีเริ่มขึ้นแล้ว เพื่อบรรเทาอาการของเขา

ภาพวาดเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นวัสดุสำหรับสมมติฐาน รถตู้ โกก้า . รูปภาพดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษของนักวิจัย "คืนแสงดาว"

.

บางคนแย้งว่าความหลงใหลในสีเขียว สีแดง และสีขาวมากเกินไปนั้นบ่งบอกถึงความตาบอดสีของศิลปิน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ทำงานเกี่ยวกับภาพนี้ รถตู้

โก๊ะ รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ภาพร่างที่ทำขึ้นระหว่างการทำงานในภาพวาดแสดงให้เห็นว่าศิลปินคำนวณอัตราส่วนของสีบนผืนผ้าใบอย่างระมัดระวังโดยพยายามให้ได้เอฟเฟกต์ที่ต้องการ วินเซนต์ตระหนักดีถึงความเป็นเอกลักษณ์ของวิธีการเขียนของเขา ซึ่งเกิดขึ้นก่อนเวลาและดังนั้นจึงไม่สามารถเข้าถึงความเข้าใจของผู้คนจำนวนมากได้
ในจดหมายถึงÉmile Bernard จาก Arles เขาเขียนว่า: "ศิลปินที่มีความคิดที่สมบูรณ์และสุดท้ายล่วงหน้าเกี่ยวกับสิ่งที่เขากำลังจะเขียนในหัวของเขาไม่สามารถภูมิใจในผลงานของเขา"


« อาการชักของเขาเป็นวัฏจักร เกิดซ้ำทุกสามเดือน ในระยะไฮโปมานิก รถตู้ โก๊ะ เริ่มทำงานอีกครั้งตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นจนพระอาทิตย์ตก วาดด้วยความปลาบปลื้มใจและแรงบันดาลใจ วันละสองหรือสามภาพ", - เขียนหมอ ดังนั้นหลายคนจึงวินิจฉัยว่าอาการป่วยของศิลปินเป็นโรคจิตคลั่งไคล้และซึมเศร้า

ตามเวอร์ชันหนึ่งสาเหตุของการตายของศิลปินคือผลการทำลายล้างของแอ็บซินท์ซึ่งเขาไม่ได้สนใจเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในคลังสินค้าที่สร้างสรรค์ ตามที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าแอ็บซินธ์นี้มีสารสกัดจากบอระเพ็ดอัลฟ่าทูโจน
สารนี้เข้าสู่ร่างกายมนุษย์แทรกซึมเข้าไปในเนื้อเยื่อประสาทรวมถึงสมองซึ่งนำไปสู่การหยุดชะงักของกระบวนการยับยั้งกระแสประสาทตามปกติกล่าวอีกนัยหนึ่ง ระบบประสาท"เบรกแตก" เป็นผลให้บุคคลมีอาการชัก ภาพหลอน และสัญญาณอื่นๆ ของพฤติกรรมทางจิต ควรสังเกตว่าอัลคาลอยด์ทูโจนไม่ได้มีอยู่เฉพาะในบอระเพ็ดเท่านั้น แต่ยังอยู่ในทูจาด้วย ซึ่งเป็นชื่อเรียกอัลคาลอยด์นี้และในพืชอื่นๆ อีกหลายชนิด กระแทกแดกดันบนหลุมฝังศพ วินเซนต์ รถตู้ โกก้า มันคือธูจาผู้อาภัพเหล่านี้ที่เติบโตซึ่งสารเสพติดทำลายศิลปินโดยสิ้นเชิง

ในรุ่นอื่น ๆ เกี่ยวกับโรค รถตู้ โกก้า ล่าสุดมีมาอีกแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่าศิลปินมักมีอาการหูอื้อ ผู้เชี่ยวชาญพบว่าปรากฏการณ์นี้มาพร้อมกับภาวะซึมเศร้าอย่างรุนแรง เฉพาะความช่วยเหลือจากนักจิตอายุรเวทเท่านั้นที่สามารถกำจัดสภาวะดังกล่าวได้ สันนิษฐานว่ามีอาการหูแว่วจากโรคมีเนียร์ และอาจมีอาการร่วมกับภาวะซึมเศร้าร่วมด้วย รถตู้ โกก้า ไปสู่ความบ้าคลั่งและการฆ่าตัวตาย

รุ่นที่คล้ายกัน: Cyclic schizophrenia - เชื่อกันว่า Nikolai Gogol, Mikalojus Čiurlionis, Alexander Dumas son, Ernest Hemingway, Albrecht Durer, Sergei Rachmaninov ได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคเดียวกัน โดยทั่วไป โรคจิตเภทสร้างโลกที่ไม่เหมือนกับที่คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ . อะไรจะจบลง คนทั่วไปหัวเราะอาจทำให้โกรธในโรคจิตเภท สิ่งที่เข้ากันไม่ได้อยู่ในหัวของเขา การเป็นศัตรูกันโดยที่เขาไม่รู้ตัว บ่อยครั้งที่เขาให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความหมายที่ผิดปกติและมักจะน่ากลัวและเชื่อว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถเข้าใจความหมายนี้ได้

โรคของแวนโก๊ะ วินเซนต์

การวินิจฉัยแยกโรค

“การวินิจฉัยของ Gachet แตกต่างจากของ Ray ซึ่งได้รับการยืนยันโดย Dr. Peyron ทั้งสองคนถือว่าโรคของ Vincent เป็นโรคลมบ้าหมูรูปแบบหนึ่ง

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา แพทย์จำนวนมากให้ความสนใจในโรคของแวนโก๊ะ บางคนเชื่อว่าเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบกระจาย บางคนเชื่อว่าเป็นโรคจิตเภท (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์ล แจสเปอร์ มีความคิดเห็นนี้) และคนอื่นๆ เชื่อว่าเป็นความเสื่อมทางจิตใจและโรคจิตตามรัฐธรรมนูญ แท้จริงแล้ว ความบ้าคลั่งของ Van Togh นั้นไม่ได้ถูกนิยามและจัดประเภทง่ายๆ ความบ้าคลั่งนี้ไม่สามารถแยกออกจากบุคลิกพิเศษ (ในความหมายที่ตรงที่สุดของคำ) ที่แวนโก๊ะเป็นได้ มีความเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับความเป็นอัจฉริยภาพ และจะต้องได้รับการตัดสินในระดับที่แนวคิดที่ยอมรับโดยทั่วไปจะสูญเสียความหมายตามปกติไปในหลายๆ ด้าน สิ่งที่กำหนดพรสวรรค์ของ Van Togh ได้กำหนดสถานการณ์ทั้งหมดของชีวิตและความเจ็บป่วยของเขา (เปอร์รุโชติ, 2516, น. 307.)

หลักฐานสนับสนุนโรคจิตเภท

"ความบกพร่องทางจิตเภท ตอนเป็นเด็กไม่มีพรสวรรค์ในการวาดภาพเป็นพิเศษ จุดเริ่มต้นของกระบวนการจิตเภทในปี พ.ศ. 2430 ก่อนหน้านี้มีการเพิ่มขึ้นทีละน้อยในการเก็บตัวและการถดถอยไปสู่คอมเพล็กซ์เด็กแรกเกิด ด้วยการเพิ่มขึ้นของโรคจิตเภทในภาพวาดของเขามีการแสดงออกและการถดถอยที่รุนแรงถึงไม้ประดับ” (Westerman-Hoistijn, 1924)

"ใครก็ตามที่อ่านคำอธิบายของ Gauguin เกี่ยวกับโรคจิตของเขาไม่น่าจะมีข้อสงสัยเกี่ยวกับโรคจิตเภท" (Winkler, 1949, p. 161.)

“การเริ่มมีอาการของโรคจิตเมื่อปลายปี พ.ศ. 2430 การวินิจฉัยมีขึ้นในฤดูใบไม้ผลิปี พ.ศ. 2431 ในช่วงคริสต์มาส พ.ศ. 2431 เขาได้รับความทุกข์ทรมานจากโรคจิตเฉียบพลัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 รูปแบบของการสร้างสรรค์มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีโรคลมบ้าหมูเนื่องจากไม่มีอาการชักกระตุกและการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพที่เฉพาะเจาะจงโดยมีความฉลาดลดลง การวินิจฉัย - โรคจิตเภท paroxysmal "(Jaspers, 1926.)

“เป็นที่ทราบกันดีว่าเกิดวิกฤตขึ้นในอาร์ลส์ในชีวิตของวินเซนต์ โดยปกติแล้ว นักเขียนชีวประวัติมักเชื่อมโยงสิ่งนี้กับการทำงานหนักเกินไป การขาดสารอาหาร การสูบบุหรี่มากเกินไป การอยู่กลางแดดเป็นเวลานาน ฯลฯ แต่จิตแพทย์ทุกคนรู้ดีว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ไม่ใช่สาเหตุของกระบวนการทางจิต อาการของโรคจิตที่สังเกตได้ใน Vincent in Arles นั้นแตกต่างจาก Borinage และ Holland ก่อนหน้านี้อยู่แล้ว การอยู่ทางตอนใต้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในคุณภาพทางชีวภาพของกระบวนการ โรคจิตเภทที่เฉื่อยชาได้รับความกระตือรือร้นและเป็นระยะมากขึ้น ขณะนั้นอยู่ในโรงพยาบาล St. Remy สำหรับผู้ป่วยทางจิต เขาวาดรูปฝูงชนหลายภาพจากหน้าต่าง ด้วยความโง่เขลาของจิตเภท เขาสวดมนต์: "ฉันเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฉันอยู่ในจิตใจของฉัน!" เขาทำจารึกแบบเดียวกันนี้ไว้บนกำแพงวอร์ด โลกตามประสบการณ์ เป็นผลโดยตรงจากการหมกมุ่นอยู่กับประสบการณ์อันเจ็บปวดของวินเซนต์ และการปลีกตัวออกจากความเป็นจริงในขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงออกถึงลักษณะดั้งเดิมของความคิดสร้างสรรค์ โดยทั่วไป ภาพวาดของเขาในครั้งล่าสุดมีความโกลาหลมาก สีหยาบขึ้น ไม่เต็มไปด้วยความตึงเครียดภายในอีกต่อไป และไม่ สว่างมากพื้นหลังของทะเลทรายมีชัย ความละเอียดอ่อนของความรู้สึกลดลงอย่างชัดเจน [ภาพวาดที่สร้างขึ้นในโรงพยาบาล] นั้นแปลกมากกว่าบิดเบี้ยวแม้ว่าเห็นได้ชัดว่ามีแนวโน้มที่จะเป็นแบบแผนการตกแต่งความแออัด การสูญเสียสภาพจิตใจและความสมบูรณ์ของภาพที่ปรากฎเช่นเดียวกับภาพวาดของผู้ป่วยโรคจิตเภท เหตุผลของเขาที่จะคิดเกี่ยวกับกระบวนการทางจิตเภท ในตอนแรกเฉื่อยชา และจากนั้นจากยุคอาร์ลส์ก็เข้าร่วมหลักสูตรที่กำหนดให้เป็น oneiroid catatonia ใน Auvers มีการเปลี่ยนแปลงของการชัก oneiroid ไปสู่สภาวะซึมเศร้า ความหลากหลายของอาการขนาดใหญ่การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มอาการยังพูดถึงโรคจิตเภท (Tselibeev หน้า)

หลักฐานสนับสนุนโรคลมชัก

“เราไม่ได้แสดงความคิดเห็นว่ามันเป็นโรคลมบ้าหมูทั่วไป จากข้อสันนิษฐานดังกล่าวคือความจริงที่ว่าเขาไม่มีอาการชักจากโรคลมชัก: ไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ในเวชระเบียนของโรงพยาบาลจิตเวชแห่งเซนต์ เรมีและในคำอธิบายส่วนตัวเกี่ยวกับอาการป่วยของเขาในจดหมายถึงธีโอน้องชายของเขา ใน สมัยใหม่ Kleist ภายใต้หัวข้อ "Episodische Dummern zustande" บรรยายถึงสภาวะของโรคที่ใกล้เคียงกับโรคลมบ้าหมู ดังนั้นสถานะของโรคลมบ้าหมูซึ่งมีความใกล้เคียงกันในหลาย ๆ ด้านกับภาพความเจ็บป่วยของเขาทำให้เราเชื่อมั่นในการวินิจฉัยโรคของแวนโก๊ะได้อย่างน่าทึ่ง อาจกล่าวได้ว่า Jaspers ถูกบังคับให้พูดสิ่งต่อไปนี้เกี่ยวกับ Van Gogh: "ด้วยการโจมตีอย่างรุนแรงของอาการป่วยทางจิตเขายังคงรักษาทัศนคติที่สำคัญอย่างเต็มที่ต่อสิ่งแวดล้อม - กับโรคจิตเภท - ปรากฏการณ์ที่ผิดปกติ" (Riize, 1927, หน้า 141 - 142)

“แวนโก๊ะป่วยเป็นโรคลมบ้าหมูแบบ somnambulistic ตามบันทึกของโรงพยาบาลในเมืองอาร์ลส์ หลักฐานเกี่ยวกับสภาพจิตใจของ Van Gogh คือ "ภาพเหมือนตนเองโดยถูกตัดหู" (Bogolepov, 1971, p. 400)

โรคจิตจากลมบ้าหมูโดยไม่มีอาการชักจากโรคลมบ้าหมู โรคลมชักแฝง. (Doiteau & Leroy, 1928, หน้า 124, 128)

"ตอนพลบค่ำรัฐใกล้เคียงกับโรคลมบ้าหมู". (Goldbladt, 1928, หน้า 67-68)

“โรคลมชักชั่วขณะ”. (มุลเลอร์ 2502 หน้า 418)

“สีเหลืองและสีส้ม ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของการมองเห็นในช่วงที่เรียกว่าออร่า ซึ่งเป็นลางสังหรณ์ของโรคลมชัก เช่นเดียวกับข้อมูลที่มีอยู่เกี่ยวกับอาการชักที่แวนโก๊ะประสบ บ่งชี้ว่าเป็นโรคลมบ้าหมู อย่างไรก็ตามจากโรคนี้แพทย์หลายคนรักษาเขาและไม่มีประโยชน์ (ฟิโลนอฟ, 1990, หน้า 3.)

หลักฐานสนับสนุนโรคอื่นๆ

"โรคจิตเภทและโรคลมบ้าหมูที่เกิดขึ้นพร้อมกัน". (Bleuler, 1911, p. 145; Bleuler, 1940, p. 68-69.)

"บุคลิกภาพแบบไซโคลทีมิกที่มีอาการซึมเศร้าและคลุ้มคลั่งเป็นครั้งคราว". (เพอร์รี 1947 หน้า 171)

". การขาดลักษณะการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพเฉพาะของโรคจิตเภทและโรคลมบ้าหมูส่วนใหญ่ทำให้การวินิจฉัยเหล่านี้น่าสงสัย งานและชีวิตของศิลปินการติดต่อของเขาบอกว่าในกรณีนี้เห็นได้ชัดว่าเรากำลังพูดถึงโรคจิตเป็นระยะ ๆ ในบุคลิกภาพที่ไม่สอดคล้องกัน (Buyanov, 1989, p. 212.)

“แวนโก๊ะต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการโรคจิตคลั่งไคล้-ซึมเศร้า โดยมีอารมณ์แปรปรวนเป็นวัฏจักร ในจดหมายบางฉบับที่ส่งถึงธีโอ พี่ชายของเขา แวนโก๊ะเขียนว่าเขาถูกกดขี่จากการเปลี่ยนผ่านอย่างฉับพลันจากความคิดสร้างสรรค์ที่พุ่งสูงขึ้นไปสู่ภาวะจิตตก ไร้ความสามารถในการทำงาน และความสิ้นหวังของมนุษย์ เพื่อสนับสนุนข้อสันนิษฐานของโรคจิตคลั่งไคล้ซึมเศร้ากระแสน้ำในกิจกรรมทางเพศของศิลปินดังที่เห็นได้จากคำสารภาพของเขาเองในจดหมายถึงธีโอน้องชายของเขา (ฟิโลนอฟ, 1990, หน้า 3.)

"โรคพิษสุราเรื้อรัง (การเสพสุรา) ที่มีความบกพร่องทางกรรมพันธุ์ต่อโรคลมบ้าหมูทางฝั่งมารดา" (วินชอน 2467 หน้า 143)

[ผู้เขียนจำนวนหนึ่งพยายามแก้ไขแนวคิดทางประวัติศาสตร์ที่ผิดพลาดที่ว่า] " สภาพผิดปกติของ Vincent van Gogh ถูกกำหนดโดยโรคลมบ้าหมูร่วมกับความวิกลจริต โรคเหล่านี้จะได้รับการวินิจฉัยในช่วงชีวิตของศิลปิน แต่ไม่มีเกณฑ์ที่แน่นอนที่แน่นอน การวิเคราะห์จดหมายส่วนตัวถึงครอบครัวและเพื่อนที่เขียนขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2427 และการฆ่าตัวตายของศิลปินในปี พ.ศ. 2433 เผยให้เห็นตัวตนของชายผู้มีสติสัมปชัญญะเต็มที่ ซึ่งได้รับความทุกข์ทรมานจากอาการบ้านหมุนรุนแรง ไร้ความสามารถ และมีอาการเวียนศีรษะซ้ำๆ ซึ่งมีอาการชัก แต่ไม่ใช่อาการชัก ศิลปินคิดว่าตัวเองป่วยด้วยโรคลมบ้าหมูอันเป็นผลมาจากความเห็นเป็นลายลักษณ์อักษรของ Dr. Peyron แพทย์จากโรงพยาบาล St. Remy (ฝรั่งเศส) ซึ่งในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2432 Van Gogh สมัครใจขังตัวเองในโรงพยาบาลด้วยโรคลมชักและ คนบ้า อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางคลินิกในจดหมายของเขาไม่ตรงกับโรคลมบ้าหมู แต่ตรงกับโรคมีเนียร์ [ผู้เขียนเน้นย้ำว่าในเวลานั้น Meniere's syndrome (โรคเขาวงกต) ยังไม่เป็นที่รู้จักเพียงพอ และมักถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคลมบ้าหมู]” (Arenbergudp., 1990, p. 70.)

โรคของแวนโก๊ะแสดงออกเป็นสองส่วน ด้านต่างๆ: ในอีกด้านหนึ่งตั้งแต่วันเกิดปีที่ยี่สิบของเขาโรคจิตสองขั้วเกิดขึ้นพร้อมกับสภาวะซึมเศร้าและคลั่งไคล้สลับกันซึ่งได้รับการสนับสนุนจากความบกพร่องทางพันธุกรรมของครอบครัว ในทางกลับกัน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 เป็นต้นมา มีอาการพลบค่ำและสูญเสียสติสัมปชัญญะโดยสิ้นเชิง มีอาการประสาทหลอนทางการได้ยินและเห็นภาพ ก้าวร้าว ถึงขั้นวิกลจริตรุนแรงและทำร้ายตนเอง อารมณ์ซึมเศร้าและความรู้สึกหวาดกลัว เพิ่มอันตรายต่อการฆ่าตัวตายและสมบูรณ์แบบ ความชัดเจนของจิตใจ - ทั้งหมดนี้เป็นอาการของโรคลมชักกลีบขมับบางส่วนที่มีสัญญาณของโรคลมบ้าหมูในสมองส่วนลิมบิก” (Neumayr, 1997a, p. 401.)

“ปัจจุบันยังมีหลายอย่างที่ยังไม่ชัดเจนและเป็นที่ถกเถียงกันในพยาธิสภาพของบุคลิกภาพแบบไบโอเนกาทีฟที่รุนแรงนี้ เราสามารถถือว่าการยั่วยุซิฟิลิสของโรคจิตเภทแบบโรคจิตเภท ความคิดสร้างสรรค์ที่ร้อนแรงของเขาเทียบได้กับประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นของสมองก่อนที่จะเริ่มมีอาการซิฟิลิสในสมอง เช่นเดียวกับกรณีของ Nietzsche, Maupassant, Schumann แวนโก๊ะนำเสนอ ตัวอย่างที่ดีความสามารถปานกลางต้องขอบคุณโรคจิตที่กลายเป็นอัจฉริยะที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล (Lange-Eich-baum and Kurth, 1967, p. 373.)

". โรคจิตเกิดขึ้นเมื่อการใช้งาน "รูปแบบใหม่" อย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อเริ่มต้นขึ้น! ["โรคจิตเภทไม่ได้นำอะไรมาอย่างแน่นอน" ใหม่ แต่ก็มุ่งไปสู่กองกำลังที่มีอยู่ มีบางอย่างเกิดขึ้นที่สอดคล้องกับแรงบันดาลใจเริ่มต้น แต่จะไม่เกิดขึ้นเลยหากไม่มีโรคจิต , 2542, น. 209.)

“วาดภาพอันชาญฉลาดโดยแวนโก๊ะในระหว่างการโจมตี และความลับหลักของอัจฉริยะของเขาคือความบริสุทธิ์ที่ไม่ธรรมดาของจิตสำนึกและการสร้างสรรค์พิเศษที่เพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากความเจ็บป่วยระหว่างการโจมตี F.M. ยังเขียนเกี่ยวกับสภาวะจิตสำนึกพิเศษนี้ด้วย Dostoevsky ซึ่งครั้งหนึ่งเคยได้รับความทุกข์ทรมานจากการโจมตีทางจิตลึกลับที่คล้ายคลึงกัน (คันดีบา, 1998, น..)

[จดหมายถึงพี่ชาย Theo ลงวันที่ 09/10/1889] “เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของฉัน ฉันคิดถึงศิลปินคนอื่นๆ อีกหลายคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานเช่นกัน สถานะนี้ไม่รบกวนการวาดภาพและในกรณีนี้ก็เหมือนกับว่าไม่มีความเจ็บป่วยเลย (แวนโก๊ะ 2537 เล่ม 2 หน้า 233)

ความอุดมสมบูรณ์ของวัสดุทางพยาธิสภาพพร้อมการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงที่อ้างถึงทำให้ความคิดเห็นใด ๆ โดยคอมไพเลอร์ซ้ำซ้อน การอภิปรายเกี่ยวกับการวินิจฉัย Vincent van Gogh อาจยังคงดำเนินต่อไป แต่ไม่มีใครสงสัยว่าความผิดปกติทางจิตของเขาส่งผลกระทบต่อทั้งเนื้อหาของความคิดสร้างสรรค์และกระบวนการสร้างสรรค์เอง นอกจากนี้ยังกำหนดชะตากรรมของเขา

Vincent van Gogh: ภาพร่างทางพยาธิวิทยา

Golenkov A.V. (เชบอคซารย์)*

โกเลนคอฟ อันเดรย์ วาซิลิเยวิช

- วิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต, ศาสตราจารย์, หัวหน้าภาควิชาจิตเวชศาสตร์และจิตวิทยาการแพทย์ของชูวัช มหาวิทยาลัยของรัฐตั้งชื่อตาม I.N. อุลยาโนวา (เชบอคซารี)

คำอธิบายประกอบ เป็นหลักตาม วรรณกรรมต่างประเทศมีการวิเคราะห์การพัฒนาและแนวทางของความผิดปกติทางจิตของ Vincent van Gogh การปรากฏตัวของพวกเขาไม่มีข้อสงสัยในหมู่ผู้เชี่ยวชาญ อย่างไรก็ตามคุณสมบัติที่ชัดเจนของสภาพจิตใจนั้นดูยากเนื่องจากลักษณะย้อนหลังของการวิเคราะห์และอิทธิพลของปัจจัยที่ซับซ้อนต่างๆ ความเป็นไปได้มากที่สุดในความเห็นของผู้เขียนบทความยังคงเป็นข้อสรุปเกี่ยวกับโรคจิตอินทรีย์ที่มีอารมณ์ของศิลปินว่าเป็นรูปแบบผิดปกติของโรคจิตคลั่งไคล้และซึมเศร้าที่มีหลักสูตรสองขั้วอย่างต่อเนื่อง ลักษณะทางคลินิกได้รับการยืนยันจากการเปลี่ยนแปลงของสารอินทรีย์ในสมอง รูปแบบการพัฒนาและการพยากรณ์โรค ในบรรดาปัจจัยทางสมุฏฐาน มีปัจจัยที่หลากหลาย: พันธุกรรม ทั่วไป เป็นพิษ ระบบไหลเวียนโลหิต เมตาบอลิซึม และภาวะทุพโภชนาการ ปัจจัยจูงใจมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสิ่งยั่วยุ (สังคมและจิตวิทยา) ดังนั้นความผิดปกติจึงดำเนินไปอย่างไม่เอื้ออำนวยและก้าวหน้า ความคิดเกี่ยวกับความตาย ความตั้งใจฆ่าตัวตาย และความพยายามสามารถติดตามได้ตลอดการเจ็บป่วย แรงจูงใจของการ "ประท้วง ร้องขอความช่วยเหลือ" จะถูกแทนที่ด้วยการตัดสินใจแน่วแน่ที่จะตาย การฆ่าตัวตายของ Van Gogh ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันสอดคล้องกับภาพทางคลินิกของความผิดปกติทางจิตของเขา

คำสำคัญ: วินเซนต์ แวนโก๊ะ ความผิดปกติทางจิต การฆ่าตัวตาย พยาธิสภาพ

“แทนที่จะตกอยู่ในความสิ้นหวัง

ฉันเลือกความเศร้าโศกที่ใช้งานอยู่...

หวัง มุ่งมั่น แสวงหา…”

วินเซนต์ แวนโก๊ะ [ท. ๑. ส. ๑๐๘. ๒]

Vincent van Gogh () - ศิลปินชาวดัตช์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกซึ่งเป็นตัวแทนของลัทธิหลังอิมเพรสชั่นนิสต์อย่างที่คุณทราบได้รับความทุกข์ทรมานจากความผิดปกติทางจิตและเป็นเวลานานในโรงพยาบาลจิตเวช ในวรรณกรรม การอภิปรายเกี่ยวกับแง่มุมต่างๆ ของหัวข้อนี้ ตลอดจนอิทธิพลที่มีต่องานศิลปะยังไม่หยุดจนถึงทุกวันนี้ ความสนใจมากมายถูกครอบครองโดยการอภิปรายถึงสาเหตุของการฆ่าตัวตายของศิลปิน งานส่วนใหญ่เผยแพร่เป็นภาษาต่างประเทศซึ่งทำให้ผู้เชี่ยวชาญในประเทศทำความคุ้นเคยกับพวกเขาได้ยาก ดังนั้น ในแง่หนึ่ง เราพยายามให้ผู้อ่านรู้จักข้อเท็จจริงที่ไม่คุ้นเคยจากชีวิตและประวัติความเจ็บป่วยของแวนโก๊ะ ในทางกลับกัน การตัดสินวินิจฉัยของแพทย์เฉพาะทางต่างๆ เพื่อสรุปและเสนอความเห็นของเราเองเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ อยู่ระหว่างการอภิปราย พื้นฐานสำหรับการศึกษานี้คือจดหมายของแวนโก๊ะ ผลงานที่โดดเด่นบน. Dmitrieva และ A. Perryusho ตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซียและบทความต่างประเทศมากมาย ในขั้นต้นใช้วัสดุของ I. Stone (I. Stone. Lust for Life: The Tale of Vincent Van Gogh / แปลจากภาษาอังกฤษโดย N. Bannikov - St. Petersburg: North-West, 1993. - 511 p.) แต่เราถือว่าซ้ำซ้อนและถูกตัดออกจากข้อความสุดท้ายของบทความ

ประวัติชีวิตโดยย่อ. แม่ของ Vincent อายุ 34 ปีแรกเกิด ลูกคนแรกเสียชีวิตเมื่อปีที่แล้ว 6 สัปดาห์หลังคลอด ความไม่สมมาตรของใบหน้าความไม่สมดุลของกะโหลกศีรษะและลักษณะเฉพาะของอารมณ์ (อารมณ์ความรู้สึกที่สำคัญ) ทำให้นักวิทยาศาสตร์บางคน (Gastout) แนะนำว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากการคลอด อาการปวดหัวบ่อยๆ ตั้งแต่วัยเด็กสามารถเป็นพยานถึงสิ่งนี้ได้เช่นกัน

วินเซนต์เติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่เงียบขรึมและบูดบึ้ง รังเกียจน้องชายและน้องสาวของเขา ไม่มีส่วนร่วมในเกมของเด็ก เนื่องจาก "การโจมตีด้วยความโกรธ" เด็ก ๆ จึงกลัวเขา ฉันเลือกความบันเทิงที่ฉันสามารถเกษียณได้ เขาชอบเดินเตร็ดเตร่ตามลำพังรอบนอกเมือง ที่เขาเก็บพืชและแมลง ไปเยี่ยมสุสานที่พี่ชายของเขาพักอยู่ ฉันพัฒนาความหลงใหลในการอ่านตั้งแต่เนิ่นๆ ยิ่งไปกว่านั้น เขาอ่านทุกอย่างติดต่อกัน "ตั้งแต่นวนิยายไปจนถึงหนังสือปรัชญาและเทววิทยา"

จนกระทั่งอายุ 11 ปี ฉันไปโรงเรียนในท้องถิ่น เขาแตกต่างจากเพื่อนร่วมชั้นในนิสัยที่แน่วแน่ ไม่เชื่อฟัง ยากและขัดแย้ง “ไม่ต้องการยอมจำนนต่อระเบียบวินัยใด ๆ เขาแสดงความไม่สงบและประพฤติตนอย่างท้าทายกับเพื่อนนักเรียนจนศิษยาภิบาล (พ่อ) ต้องพาเขาออกจากโรงเรียน” ตั้งแต่อายุ 12 ถึง 14 ปีเขาเรียนที่โรงเรียนประจำในเมืองเล็ก ๆ ของ Zevenbergen จากนั้นอีกปีครึ่งถึงสองปี - ใน มัธยมพระเจ้าวิลเฮล์มที่ 2 ในทิลเบิร์ก เมื่ออายุ 15 ปี (พ.ศ. 2411) แวนโก๊ะออกจากการศึกษา เป็นที่ทราบกันดีว่า "เขาทะเลาะกับพ่อแม่เป็นระยะ ๆ "

ในปี พ.ศ. 2412 (อายุ 16 ปี) เขาไปทำงานที่สาขากรุงเฮกของบริษัท Goupil & Co ในฐานะตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะฝึกหัด ซึ่งเขาทำงานเป็นเวลาสี่ปี ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2416 (อายุ 20 ปี) เขาย้ายไปที่สาขาลอนดอน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม เขาตกหลุมรักเออร์ซูลา เลอเออร์อย่างไม่สมหวัง

ในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2418 เขาย้ายไปปารีส เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2419 เขาได้รับการระงับจากผู้จัดการของสำนักงานเนื่องจากละเมิดวินัยแรงงาน จากนี้จนถึงเดือนธันวาคม พ.ศ. 2419 เขาทำงานในอังกฤษในตำแหน่งผู้ช่วยครูในหอพักของ Mr. Stock ในเดือนมกราคมถึงเมษายน พ.ศ. 2420 เขาทำงานในฮอลแลนด์ในฐานะผู้ขายหนังสือ พฤษภาคม พ.ศ. 2420 ถึง กรกฎาคม พ.ศ. 2421 เตรียมเข้าคณะศาสนศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เขาเข้าโรงเรียนมิชชันนารีซึ่งเขาเรียนเป็นเวลาสามเดือน ในเวลาเดียวกันเขาเริ่มวาด (อายุ 27 ปี) ในตอนท้ายของโรงเรียนเขาถูกปฏิเสธตำแหน่งและถูกส่งไปที่ เมืองเหมืองแร่ Borinage (พฤศจิกายน 1878 - พฤศจิกายน 1880) ซึ่งเขาทำหน้าที่เป็นนักเทศน์ ในระหว่างการตรวจสอบ ฟานก็อกฮ์ถูกปลดจากกรรมาธิการของ Evangelical Society เนื่องจาก "ความกระตือรือร้นมากเกินไปอย่างน่าเสียดาย" และขาดคุณสมบัติเช่น "สามัญสำนึกและความพอประมาณ ซึ่งจำเป็นมากสำหรับมิชชันนารีที่ดี" เขากลับไปหาพ่อแม่ของเขาใน Etten ซึ่งเขาพักอยู่แปดเดือน (เมษายน - ธันวาคม พ.ศ. 2424) หลังจากทะเลาะกับพ่ออีกครั้ง เขาก็ออกเดินทางไปกรุงเฮกในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2424 อาศัยอยู่ที่นั่นเป็นเวลาสองปีกับโสเภณีซินและลูก ๆ ของเธอ จากนั้นเขาก็ย้ายไปที่ Nuenen ซึ่งเขาวาดภาพประมาณ 240 ภาพและวาดภาพประมาณ 180 ภาพ เขาเรียนที่โรงเรียนวิจิตรศิลป์ในแอนต์เวิร์ป (พ.ศ. 2428 - มีนาคม พ.ศ. 2429) จากนั้นย้ายไปปารีส (พ.ศ. 2429 - กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2431) ที่นั่นเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนเอกชน ทำความคุ้นเคยกับศิลปะของอิมเพรสชั่นนิสต์ ศึกษาเทคนิคการแกะสลักแบบญี่ปุ่นและ "ผืนผ้าใบสังเคราะห์ของ P. Gauguin" ภาพเหมือนตนเองของ Van Gogh มากกว่า 20 ภาพรอดชีวิตจากยุคปารีส ในปี อาศัยอยู่ใน Arles (ฝรั่งเศส) ใน 14 เดือน เขาสร้างภาพเขียนประมาณ 200 ภาพ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึง 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2432 โดยหยุดพักสั้น ๆ เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชของ Saint-Remy-de-Provence และ Auvers-sur-Oise ในช่วงเวลานี้เขาวาดภาพ 70 ภาพ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2433 เขาฆ่าตัวตาย: เขายิงตัวเองที่หน้าอกด้วยปืนพก 29 กรกฎาคม 2433 เสียชีวิต

ประวัติของโรค น้องสาวของแม่และญาติคนอื่นๆ ของเธอต้องทนทุกข์ทรมานจาก "โรคลมบ้าหมู" พี่น้องที่อายุน้อยกว่าของ Vincent ถูกพบว่าป่วยทางจิตด้วย: Theo มีความผิดปกติทางจิตเนื่องจากโรคไต (uremia) ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน ตามแหล่งอื่น ๆ เขาได้รับความทุกข์ทรมานจากภาวะสมองเสื่อมซึ่งเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของเขา Gornelis (Gornelis) หลังจากการแต่งงานที่ไม่ประสบความสำเร็จได้รับคัดเลือกให้เป็นอาสาสมัครในกองทัพของชาวบัวร์ใน แอฟริกาใต้เพื่อตายในสนามรบ (ต้องการฆ่าตัวตาย); ที่สุด น้องสาว- วิลเฮลมินา (วิลเฮลมินา) - เมื่ออายุ 35 ปี เธอล้มป่วยด้วยโรคจิตเภท เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชเป็นระยะ เสียชีวิตที่นั่นเมื่ออายุ 79 ปี

ตั้งแต่เด็กเขามีอาการปวดหัว มีข้อเสนอแนะว่า "การมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่องของพ่อในพิธีศพสะท้อนให้เห็นในตัวเด็กที่น่าประทับใจ และส่วนนี้อธิบายถึงแนวโน้มของเขาที่จะเศร้าโศกและความคิดเกี่ยวกับชีวิตและความตาย" ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2415 (อายุ 19 ปี) เขาเริ่มติดต่อกับธีโอน้องชายของเขา (อายุ 15 ปี) ในจดหมายของช่วงเวลานั้นมีคำพูดซ้ำ ๆ ซ้ำ ๆ ว่า "ฉันเศร้า แต่มีความสุขเสมอ" และ "... แสวงหาความสุขและแสงสว่างในความเศร้าโศก"

เขาประสบภาวะซึมเศร้าค่อนข้างลึกครั้งแรกเมื่ออายุ 20 ปีหลังจากการประกาศความรักไม่สำเร็จ เป็นเวลาหลายเดือน เขายังคงสิ้นหวัง ปลีกตัวจากการติดต่อทางสังคม และติดต่อกับครอบครัวเพียงเล็กน้อย “อดีตพนักงานที่เป็นแบบอย่างดูเหมือนจะถูกแทนที่ ตามที่ผู้เห็นเหตุการณ์กล่าวว่าเขามืดมน หงุดหงิด ... จมดิ่งสู่ความสิ้นหวัง ... อ้างว้าง ในการเทศนาครั้งแรก (พ.ศ. 2419) เขาได้พัฒนาแนวคิดเรื่อง "การหลอมรวมความเศร้ากับความสุขในหัวใจมนุษย์"; ว่า "... ความทุกข์นั้นสูงกว่าความสุข แต่ความยินดีและความหวังย่อมผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของความเศร้าโศก" บางครั้งเขามีความคิดที่จะฆ่าตัวตาย: "ฉันทานอาหารเช้าพร้อมขนมปังแห้งหนึ่งชิ้นและเบียร์หนึ่งแก้ว - Dickens แนะนำวิธีการรักษานี้ให้กับทุกคนที่พยายามฆ่าตัวตายเพื่อให้หันเหจากความตั้งใจชั่วขณะหนึ่ง "

เขามาถึงที่ทำงานในร้านหนังสือใน Dordrecht (ฮอลแลนด์ตอนใต้) โดยสวม "ชุดเควกเกอร์" (อายุ 23 ปี) ซึ่งทำให้พนักงานสับสน คนรอบข้างถือว่า Vincent "เป็นคนนอกรีต" "เยาะเย้ยเขา" เขาไม่แสดงความกระตือรือร้นในการค้า สนใจแต่เนื้อหาในหนังสือ ดำเนินชีวิตแบบนักพรต แม้แต่น้องสาวของเขาเองก็เขียนว่า "เขามึนงงกับความกตัญญู ... " ในช่วงเวลาเดียวกัน (อายุ 24 ปี) เขามาตอนกลางคืนด้วยการเดินเท้าจาก Etten ไปยังสุสาน Zundert เพื่อพบกับพระอาทิตย์ขึ้นที่นั่น ในช่วงที่ป่วยเขามักจะนึกถึงเหตุการณ์ในวัยเด็ก สุสาน ไปจนถึงรังนกกางเขนบนต้นกระถินสูงใกล้สุสาน ในฤดูใบไม้ผลิ เขาได้ทำการรณรงค์ทางไกลจาก Borinage ไปยังจังหวัด Pas de Calais ของฝรั่งเศส (ซึ่งหนึ่งในศิลปินที่เขาเคารพ Jules Breton อาศัยอยู่) “ระหว่างทาง Vincent ใช้เวลาทั้งคืนในกองหญ้าหรือในเกวียนร้าง แลกเปลี่ยนภาพวาดของเขากับขนมปัง การออกธุดงค์ทำให้มีพละกำลังกลับคืนมา

ในขณะที่เข้าเรียนในโรงเรียนมิชชันนารีและรับใช้เป็นนักเทศน์ “ไม่สนใจรูปร่างหน้าตาของเขาเลย แต่งตัวไปตามยถากรรม… ทุกข์ทรมานจากความทรงจำอันเลวร้ายที่ทำให้เขาจำเนื้อหาคำเทศนาได้ยาก… อดนอนและน้ำหนักลด… ประหม่าด้วย ความโกรธที่ระเบิดออกมา… ผู้ชายนอกรีตที่ระเบิดความโกรธอย่างฉับพลัน… แจกจ่ายเสื้อผ้าและเงินทั้งหมดของฉันให้กับคนยากจนในฐานะนักเทศน์ใน Wama” เวลาส่วนใหญ่ที่เขาเดินเท้าเปล่าคือ "ไม่เหมือนคนอื่น" บน. Dmitrieva ในเอกสารของเธออธิบายว่า Vincent ใน Borinage (1879) จงใจเดินเท้าเปล่าจงใจทาหน้าด้วยถ่านหินและเกือบพยายามชุบชีวิตคนตาย แต่ไม่มีความโง่เขลาในพฤติกรรมของเขา มิฉะนั้นคนงานเหมืองแทบจะไม่ไว้ใจเขาเลย ... . ไม่ทราบว่าเป็นเช่นนั้นหรือไม่ แต่คนรอบข้างเยาะเย้ยเขา เรียกเขาว่าได้รับพรจากความสูงส่งมากเกินไป พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ... บางครั้งเขาถูกครอบงำด้วย "ความปรารถนาอันสิ้นหวัง" แต่บางครั้งเขาก็ถูก .. ชาวบ้านหลายคนมองว่าเขาเป็นคนบ้า ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่กินไม่นอน เขาสละทุกสิ่งที่เขามีมานานแล้วในช่วงที่ไข้รากสาดใหญ่ระบาด

ทุกคนที่ได้พบกับ Vincent ต่างก็หลงไหลในความเศร้าของเขา "ความเศร้าที่น่าสะพรึงกลัว" ในจดหมาย (พ.ศ. 2423) ถึงธีโอ น้องชายของเขา วินเซนต์ยอมรับว่าเขาเป็น "คนที่มีความปรารถนาดี มีความสามารถและมีแนวโน้มที่จะกระทำการโดยประมาทไม่มากก็น้อย" ซึ่งต่อมาเขาได้สำนึกผิด คนรอบข้างมองว่าเขาเป็น “แทนที่จะยอมแพ้ต่อความสิ้นหวัง ฉันเลือกเส้นทางแห่งความโศกเศร้าอย่างแข็งขัน เท่าที่ฉันจะสามารถทำได้ หรืออีกนัยหนึ่งคือ ฉันชอบความเศร้าที่เต็มไปด้วยความหวัง แรงบันดาลใจ และการค้นหามากกว่าความเศร้าที่หม่นหมอง เฉื่อยชา และโดดเดี่ยว”

ในวรรณคดีที่มีอยู่ทั้งหมดเกี่ยวกับแวนโก๊ะมีการอธิบายถึงพฤติกรรมที่ไม่เพียงพอของเขา: เขาแนะนำพ่อแม่ของเจ้าสาว: "... ตราบใดที่ฉันจับมือไฟของตะเกียงนี้ให้ Kee (เจ้าสาว ลูกพี่ลูกน้อง, ลูกสาวของศิษยาภิบาล Stricker) อยู่ที่นี่และฟังฉันเป็นเวลาหลายนาที! ฉันไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว! และต่อหน้าพ่อแม่ที่หวาดกลัว เขาก็ยื่นมือเข้าไปในกองไฟทันที ร่องรอยของรอยไหม้ที่มือนั้นตกเป็นประเด็นซุบซิบกันมานาน ชาวเมืองเอตเทนเรียกวินเซนต์ว่าเป็นคนเกียจคร้านและเป็นคนเสเพล พ่อของเขาคิดว่าเขาเป็นคนไร้ค่า กล่าวหาว่าเขาผิดศีลธรรมเพราะเขาตกหลุมรักลูกพี่ลูกน้องและเลิกไปโบสถ์ ศิษยาภิบาลถึงกับ "เริ่มพูดถึงการตั้งผู้ปกครองเหนือลูกชายของเขา เกี่ยวกับการลิดรอนสิทธิพลเมืองของเขาเนื่องจากความวิกลจริตของเขา"

Van Gogh ได้รับความทุกข์ทรมานจากความผิดปกติของการนอนด้วยการตื่นเช้า เป็นที่ทราบกันว่าทันทีที่เขาตื่นขึ้นเขาก็เริ่มวาดภาพเพื่อปรับปรุงสภาพของเขาทันที จดหมายยังคงรักษาประสบการณ์ของการเจ็บป่วยในช่วงเวลานั้น: "... ชีวิตช่างน่าเศร้าเหลือเกิน! ถึงกระนั้นฉันก็ยอมจำนนต่อพลังแห่งความเศร้าไม่ได้ฉันต้องหาทางออกฉันต้องทำงาน ... " “...เพื่อแก้ไข ฉันต้องทำงานหนัก เมื่อภาพลวงตาทั้งหมดหายไป การทำงานก็เป็นสิ่งจำเป็น และหนึ่งในความสุขไม่กี่อย่างที่เหลืออยู่ การทำงานจึงทำให้จิตใจสงบ ... ".

วินเซนต์ถูกดูหมิ่นและปฏิบัติอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชาวหมู่บ้านหัวเราะเยาะเขาเมื่อปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวของ "ชายสกปรก" ผู้แพ้คนนี้ .

เขาทนทุกข์กับการตายของพ่ออย่างยากลำบาก: “สำหรับฉันการตายยังง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่ การตายนั้นยาก แต่การมีชีวิตอยู่นั้นยากยิ่งกว่า ท่ามกลางแนวคิดกล่าวหาตนเองและการดูถูกตนเอง เขาสละส่วนหนึ่งของมรดก

สุขภาพของเขาบั่นทอนด้วยความลำบาก (เขานั่งบนขนมปังแผ่นเดียวและสูบบุหรี่จัดเพื่อหลอกความหิว) ... ทีละซี่ ฟันหัก 12 ซี่ ระบบย่อยอาหารปั่นป่วน ไอ อาเจียน "ฉันกลายเป็นชายชราอย่างรวดเร็ว - เหี่ยวเฉา, มีเครา, ไม่มีฟัน - นี่อายุ 34 ปีแล้ว"

เขาแทบไม่กินอะไรเลย แต่ดื่มกาแฟและแอลกอฮอล์เล็กน้อย เขาติดเหล้าแอ็บซินท์กับเครื่องดื่มที่มีเมฆมากและมีพิษ ... เป็นเวลาสี่วันติดต่อกันที่เขาดื่มแต่กาแฟ - 23 แก้ว บ่อยครั้งที่เขานั่งบนขนมปังก้อนเดียว ... Vincent อยู่ในสภาพวิตกกังวลซึ่งตอนนี้ไม่ค่อยปล่อยเขาไป - ไม่ได้รับความสงบสุข

กับหนึ่งในศิลปินชาวสกอต Alexander Reed เขามีความคิดที่จะฆ่าตัวตายด้วยกัน

ภาวะพาร็อกซีสมอลมีอาการสยองขวัญอย่างกะทันหัน ความรู้สึกเฉพาะบริเวณลิ้นปี่ ความผันผวนของความรู้สึกตัวปรากฏขึ้นที่แวนโก๊ะในปารีส () ขณะดื่มแอ็บซินท์ มีหลักฐานของอาการกระตุกเริ่มต้นเป็นระยะๆ ในมือ ตาที่ประหลาดใจและจ้องมอง พร้อมด้วยช่วงสติที่สับสนและความจำเสื่อม ในช่วงเวลานั้น เขา "มีอาการวิงเวียนศีรษะและฝันร้ายอยู่เสมอ..."

แวนโก๊ะมักสลับช่วงเวลาแห่งความปรารถนาในความสันโดษและความเงียบกับช่วงเวลาที่เขาสนใจชีวิตในเมืองและฝูงชนที่ผสมผเส จากนั้นเหนื่อยเขาปรารถนาที่จะจมดิ่งสู่ความเงียบงันอีกครั้งและจากนั้นก็เริ่มโหยหาการอัดฉีดที่น่าตื่นเต้นของเมืองอีกครั้ง ... . “เขาเคยเป็นคนเงียบมาก จากนั้นก็ดื้อด้านเสียงดังและช่างพูด” ความปั่นป่วนที่เพิ่มขึ้นซึ่งแสดงออกถึงแนวโน้มที่จะโต้เถียงกันเสียงดังและแม้แต่การทะเลาะวิวาทเป็นผลมาจากแอ็บซินท์ซึ่ง Van Gogh เริ่มใช้ในทางที่ผิดในปารีสในขณะที่เขาไม่เคยติดเหล้ามาก่อน

Vincent นั้นแย่เป็นพิเศษในฤดูหนาว จากนั้นเขาก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า จากนั้นก็ปล่อยอารมณ์โกรธอย่างคาดไม่ถึง ทุกๆ วันจะกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดและไม่อดทนมากขึ้น 20 เมษายน -“ ความตื่นเต้นของสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง - เขารู้สึกอ่อนแออีกครั้ง ฤดูร้อนเป็นฤดูโปรดของเขา แต่ถึงอย่างนั้น: "... เขามักจะรู้สึกหดหู่ใจ ไม่สามารถต้านทานความเศร้าโศกสีดำ - โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่มีเมฆมากฝนตก"

ความคิดเกี่ยวกับหน้าที่มักทำให้วินเซนต์หดหู่ใจ เขาหวนคืนสู่ความคิดที่เจ็บปวดว่าเขาจะไม่คืนเงินที่ใช้ไปให้กับพี่ชายของเขา: “เป็นโอกาสที่ค่อนข้างน่าเศร้าที่จะย้ำกับตัวเองว่าบางทีภาพวาดของฉันอาจไม่มีค่าใดๆ เลย”

ในตอนท้ายของปี 1888 Van Gogh อาศัยและทำงานร่วมกับ Gauguin เป็นเวลาสองเดือน ในตอนเย็นพวกเขาไปซ่องโสเภณีและร้านกาแฟเป็นประจำซึ่งพวกเขามักจะสั่งแอ๊บซินท์ เบื้องหลังการบริโภคของเขา Van Gogh พัฒนาภาพหลอนที่ทำให้เกิดการทะเลาะกับ Gauguin และ "โกรธตัวเอง" อันเป็นผลมาจากการที่เขาตัดหูซ้ายใส่ซองและมอบให้โสเภณี หลังจากนั้นเขาก็ผล็อยหลับไปค่อนข้างสนิท หลังจากนั้นก็จำลองสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาด้วยความยากลำบาก เหตุการณ์ที่น่าทึ่ง.

เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลจิตเวชด้วยอาการ "วิกลจริตขั้นรุนแรง" เขาถูกจัดให้อยู่ในห้องกักกัน: เขากระทืบเท้า เขามีอาการประสาทหลอนทางการได้ยินและการมองเห็น ผู้เข้ารับการฝึกอบรม Ray เข้าเงื่อนไขว่าเป็นโรคลมบ้าหมูรูปแบบพิเศษ (Dr. Jurpar ยืนยัน: "วิกลจริตรุนแรงร่วมกับอาการเพ้อทั่วไป" หน้า 278) “สองวันต่อมา ในวันที่ 1 มกราคม วินเซนต์รู้สึกตัวเต็มที่แล้ว ในตอนแรกเขาจำการโจมตีของเขาไม่ได้ เขาค่อยๆ เริ่มตระหนักว่าภัยพิบัติได้เกิดขึ้นในชีวิตของเขา

01/07/1889 Vincent ออกจากโรงพยาบาลในที่สุด “เขาเป็นโรคซึมเศร้า ไม่สามารถเขียนจดหมายถึงธีโอได้หลายวัน ในตอนกลางคืน เขามีอาการนอนไม่หลับและฝันร้ายแปลกๆ ซึ่งเขาซ่อนตัวจากดร. เรย์ เขากลัวที่จะนอนคนเดียวไม่แน่ใจว่าเขาจะหลับได้ เขาโรยการบูรบนที่นอนอย่างไม่เห็นแก่ตัว โปรยไปทั่วห้อง

สภาพจิตใจค่อนข้างไม่คงที่ อารมณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในช่วงเวลาสั้น ๆ “ตื่นเต้นเป็นไข้ ภาวะจิตใจหดหู่ ความกระตือรือร้นครั้งใหม่และพังทลายอีกครั้ง จากนั้นดูเหมือนว่าพวกเขาต้องการวางยาพิษเขา เมื่อต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2432 จิตใจของเขาก็ขุ่นมัวอีกครั้ง ...

ข้อมูลเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตของ Van Gogh กำลังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในหมู่ชาวเมือง Arles รอบตัวเขาถูกรังแกเหยียดหยามอย่างต่อเนื่อง: "สัมผัส" ตะโกนตามหลังเขาแล้วขว้างก้อนหิน ... เขาเดินในหมวกขนสัตว์สวมเสื้อผ้าที่เปื้อนสีสวมเสื้อโค้ทอุ่น ๆ และผ้าผูกคอท่ามกลางความร้อน ... [S. 290.5]. ต่อมา ผู้อยู่อาศัยได้เขียนคำร้องถึงนายกเทศมนตรีของเมือง โดยเรียกร้องให้ส่งแวนโก๊ะไปโรงพยาบาลจิตเวช ในพื้นหลังของการรักษาจะสังเกตเห็นการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น "ความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งเป็นภาระแก่จิตวิญญาณของเขา" บางครั้งเขา "ถูกปกคลุมด้วยความปรารถนาแปลกๆ ที่ไร้สาเหตุ และบางครั้งก็รู้สึกว่างเปล่าและอ่อนล้าในสมอง"

พ.ศ. 2433 "ถ้าไม่ใช่เพราะมิตรภาพของคุณ ฉันคงฆ่าตัวตายโดยไม่เสียใจ และขี้ขลาดอย่างที่ฉันเป็น ฉันคงยุติมันไปแล้ว" การฆ่าตัวตายคือ "การระบาย" ซึ่ง "ทำให้เราประท้วงได้" เขาเขียนจดหมายถึงพี่ชายของเขา

A. Perruchot อธิบายการโจมตีของโรคด้วยวิธีนี้: "Vincent ปัดแปรงบนผืนผ้าใบและทันใดนั้นนิ้วของเขาก็เป็นตะคริว ตาของเขาก็พร่ามัวและเขาก็ฟาดอย่างแรง" ... เป็นเวลา 3 สัปดาห์ จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม จิตใจของเขาก็ไม่หวนกลับไปหาวินเซนต์ ในช่วงเวลาที่มีการจู่โจมอย่างเฉียบพลันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขากรีดร้อง ต่อสู้กลับ กรีดร้องอย่างสุดขีดจนคอกระตุกและไม่สามารถกินอาหารได้ เขามีอาการประสาทหลอนทางศาสนา” อาการชักจะเกิดขึ้นทุกๆ 2-3 เดือน

20.02 น. อาการชักที่น่ากลัวอีกครั้ง - อาการชักที่รุนแรงที่ยาวนานที่สุดถูกแทนที่ด้วยอาการซึมเศร้าอย่างรุนแรง ... ในช่วงครึ่งแรกของเดือนเมษายนเท่านั้นที่อาการเพ้อของผู้ป่วยลดลงเริ่มปรากฏขึ้นจากอาการมึนงงอย่างรุนแรงที่มาพร้อมกับอาการป่วย ...

เมื่ออาการแย่ลง ฟานก็อกฮ์ก็หุนหันพลันแล่น กระสับกระส่าย อาจตีพัศดีหรือพยายามฆ่าตัวตาย ในตอนหนึ่งดูเหมือนว่าฝูงชนกำลังไล่ตามเขาตำรวจกำลังไล่ตามเขา ... เขาพยายามวางยาพิษด้วยสีจากหลอดและได้รับยาแก้พิษ .... ในช่วงที่อาการหลงผิดและอาการประสาทหลอนลดลง ความหดหู่ใจจะเกิดขึ้นก่อนด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว ความคิดที่กล่าวหาตนเอง การดูถูกตนเอง และความคิดฆ่าตัวตาย: “อยู่คนเดียวโดยสิ้นเชิง! วิญญาณถูกทรมานด้วยความโหยหา ด้วยความสิ้นหวัง เขาคว้าแปรงอีกครั้ง

การฆ่าตัวตายของ Van Gogh เป็นการกระทำโดยเจตนาและเตรียมการ เขาหยิบปืนพกจากเพื่อนโดยอ้างว่าล่าอีกาพกติดตัวไปหลายวัน “Vincent เดินอย่างมืดมน กระวนกระวาย” เขายอมรับกับเจ้าของโรงแรมว่าเขาไม่สามารถทนได้อีกแล้ว เขาไม่มีแรงที่จะมีชีวิตอยู่ การโจมตีของ "ความปรารถนาที่สิ้นหวัง" อีกอย่างหนึ่งก็คือ ฟางเส้นสุดท้ายซึ่งนำไปสู่การดำเนินการตามแผนฆ่าตัวตาย

ความคิดสร้างสรรค์และความผิดปกติทางจิต Van Gogh เป็นของนักประวัติศาสตร์ศิลปะในฐานะนักโพสต์อิมเพรสชั่นนิสต์ ทิศทางนี้ซึ่งปรากฏในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 ของศตวรรษที่ XIX แทนที่อิมเพรสชันนิสต์ (จากความประทับใจของฝรั่งเศส - ความประทับใจ) ในสหภาพโซเวียต พจนานุกรมสารานุกรมว่ากันว่า “ฉันรับเอาความบริสุทธิ์และความดังของสีมาจากลัทธิอิมเพรสชั่นนิสม์ ลัทธิหลังอิมเพรสชันนิสม์ต่อต้านมันด้วยการค้นหาจุดเริ่มต้นที่ถาวรของการดำรงอยู่ วัตถุและจิตวิญญาณที่มั่นคง การสรุปวิธีการวาดภาพสังเคราะห์ ความสนใจที่เพิ่มขึ้นในด้านปรัชญาและสัญลักษณ์ ในเทคนิคการตกแต่ง ลีลา และเป็นทางการ” .

Van Gogh กลายเป็นศิลปินเมื่ออายุ 27 ปีหลังจากเริ่มมีอาการทางจิต สถานะซึมเศร้า (อารมณ์) ปรากฏให้เห็นในชื่อเรื่องและเนื้อเรื่องของผลงานของเขา (รูปที่ 1-4) "ความเศร้าโศก" "ชายชราผู้โศกเศร้า" "หญิงร้องไห้" "ความเศร้าโศก" ฯลฯ - ตามที่วินเซนต์เรียกผลงานของเขา - ซึ่งเป็นศูนย์รวมของความไร้ความสุขและความเศร้าโศก ภาพวาด "ความเศร้าโศก" ดังต่อไปนี้จากข้อความในจดหมายของแวนโก๊ะถึงธีโอน้องชายของเขา "... ตัวเลขที่ดีที่สุดที่ฉันวาดดังนั้นฉันจึงตัดสินใจส่งให้คุณ ...... ฉันไม่ได้ ละอายใจที่จะแสดงให้คุณเห็นความเศร้าโศกเล็กน้อย ฉันอยากจะพูดแบบนี้เหมือนในหนังสือของมิเชลเลต:

มีแต่ความว่างเปล่าในหัวใจ

ซึ่งไม่มีอะไรมาเติมเต็มได้"

วาดโดยแวนโก๊ะ [โดย 5]

ความเศร้าโศก. พฤศจิกายน พ.ศ. 2425 ชายชราผู้โศกเศร้า พฤษภาคม 1890

ผู้หญิงร้องไห้ มีนาคม-เมษายน 2426 ผู้หญิงสวมหมวกแก๊ป พ.ศ. 2426

ผลงานของเขาโดดเด่นด้วย "อารมณ์ที่เร่าร้อน" "การรับรู้ชีวิตที่น่าทึ่งอย่างเฉียบพลัน" พวกเขายังคงอยู่ใน "ระดับมืดมน" (ครึ่งแรกของทศวรรษที่ 80 ของศตวรรษที่ XIX); ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2431 - "รุนแรงอย่างเจ็บปวด ท่าทางที่แสดงออกอย่างสุดขีด สร้างขึ้นจากสีที่ตัดกัน จังหวะที่เร่งรีบ บนไดนามิกที่อิสระของฝีแปรงสีซีดขาว" . วินเซนต์ยังทำงานเกี่ยวกับหุ่นนิ่งอีกด้วย เขาวาดหัวกะโหลกด้วยซิการ์ ภาพลางร้าย แต่งแต้มสีสันด้วยการประชดประชันที่น่ากลัว การท้าความตายที่แท้จริง ภาพโปรยปรายด้วยความสนุกที่แทบจะเป็นซาตาน ... ". Cezanne (1886) มองไปที่พวกเขา ทิวทัศน์และภาพบุคคลของ Van Gogh สั่นศีรษะและอุทานว่า: "โดยพระเจ้า นี่คือภาพวาดของคนบ้า!" . ผู้ร่วมสมัยของภาพวาดของเขารู้สึกผิดหวังและถูกเยาะเย้ย: "โทนสีเทาเย็น ๆ เหล่านี้ซึ่งถือว่าได้รับการขัดเกลาแม้ว่าในความเป็นจริงแล้วพวกเขาจะแบนราบไม่น่าสนใจและไร้เดียงสาไร้เดียงสา" . ไม่น่าแปลกใจที่เขาถูกดึงดูดด้วยสีที่ตัดกัน - เขารู้วิธีสัมผัสความกลมกลืนที่แปลกประหลาดของความแตกต่างทางจิตวิญญาณ: ความสุข - ความทุกข์; ความสงบ - ​​ความตึงเครียด ปลอบใจ-ดราม่า. ผืนผ้าที่ดีที่สุดของเขามีทั้งความเร้าใจและรื่นเริง” N.A. ดมิทรีวา**.

หลังจากไปเยือนปารีสและอิทธิพลของอิมเพรสชันนิสต์ จานสีในภาพวาดของเขาก็เปลี่ยนไป เขาขับไล่โทนสีเข้มออกจากจานสีของเขาอย่างสมบูรณ์ ดังที่ N. Smirnov เขียน ( Afterword) มันมีสีหลักสองสี - สีเหลืองและสีน้ำเงิน อย่างแรกคือจากมะนาวซีดเป็นส้มสดใส ประทับอยู่ในพระดำริด้วยแนวคิดเรื่อง "ชีวิต" ประการที่สอง - จากสีน้ำเงินถึงเกือบดำแสดงถึง อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์บางคนอธิบายการเปลี่ยนแปลงของจานสีที่มีสีเหลืองเด่นเป็นแซนโทปเซีย (ความบกพร่องทางสายตาเมื่อวัตถุปรากฏเป็นสีเหลือง) อันเป็นผลมาจากการเป็นพิษด้วยดิจิทาลิส (ฟอกซ์กลอส) และ/หรือแซนโทนิน P. Lanthony ตีความลักษณะเฉพาะสองประการในภาพวาดของ Van Gogh ดังนี้ รัศมีสีกำหนดโดยโรคต้อหินของศิลปิน และลักษณะเด่นของสีเหลืองกำหนดโดย digitalis xanthopsia

บน. Dmitrieva ชี้ให้เห็นว่าประชาชนส่วนหนึ่งมองว่าแวนโก๊ะเป็นศิลปินที่ "แปลก" "หมกมุ่น" "ลึกลับ" "มีวิสัยทัศน์" เพียงด้านเดียว บางทีการประเมินเหล่านี้อาจสะท้อนถึงความรู้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับความผิดปกติทางจิตและการฆ่าตัวตายของเขา

การวินิจฉัยทางจิตเวช (การแพทย์)

การวินิจฉัยของแพทย์จำนวนมากมีความคลุมเครือและแปรปรวนมากถึง 30 โรคที่แตกต่างกัน ทำความคุ้นเคยกับพวกเขาเราสามารถพูดได้ว่ามีการพูดคุยกันเกือบทั้งหมดของจิตเวชศาสตร์ส่วนตัว: ความผิดปกติของการปรับตัว, ความผิดปกติทางจิตแนวชายแดนที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นกลุ่มอาการทางจิต, โรคลมชักที่มีความผิดปกติทางอารมณ์และโรคจิต, ความผิดปกติทางอารมณ์, โรคจิตไซโคลลอยด์, ความผิดปกติทางอินทรีย์ ท่ามกลางการวินิจฉัยอื่นๆ ได้แก่: เยื่อหุ้มสมองอักเสบแบบกระจาย โรคจิตเภท ความเสื่อมทางจิตและโรคจิตตามรัฐธรรมนูญ โรคพิษสุราเรื้อรัง ตามที่ 21] และอื่น ๆ นักจิตวิเคราะห์เสนอการตีความความผิดปกติทางจิตของตนเองและอาการแสดงของแต่ละคนในรูปแบบของการทำร้ายตัวเองที่เรียกว่ากลุ่มอาการแวนโก๊ะ

E. van Meekeren (2000) เชื่อว่า Van Gogh ในช่วงชีวิตที่ยาวนานของเขาแสดงอาการที่เรียกว่าความผิดปกติของเส้นเขตแดน (บุคลิกภาพ) (เส้นเขตแดน = ความผิดปกติทางบุคลิกภาพ): ความหุนหันพลันแล่น อารมณ์แปรปรวน ความรู้สึก (กลัว) ของการถูกทอดทิ้ง ตนเอง พฤติกรรมที่เป็นอันตราย อิทธิพลของความบกพร่องทางพันธุกรรมทางจิตเวช ร่วมกับภาวะทุพโภชนาการ ความมึนเมา และความอ่อนเพลีย อาจมีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของความผิดปกติทางจิตที่เป็นแนวเขตแดนไปสู่กลุ่มอาการทางจิตประสาทที่มีส่วนประกอบของอาการทางจิตและชัก

มีผลงานมากมายที่เป็นพยานถึงโรคลมบ้าหมูของแวนโก๊ะ แต่ความผิดปกติทางจิตไม่ได้ถูกกล่าวถึงในผลงานเหล่านั้น หรือถือเป็นพยาธิสภาพที่แยกจากกัน ในขณะเดียวกันตามความเห็นที่เชื่อถือได้ของ Gasteau พื้นฐานของความผิดปกติทางจิตคือโรคลมบ้าหมู fronto-parietal ซึ่งกระตุ้นโดยการบริโภคแอ็บซินท์และความเสียหายต่อระบบลิมบิกของสมองในระยะแรก

อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งข้อสรุปการวินิจฉัยที่พบบ่อยที่สุด - โรคลมบ้าหมู - ก็ยังถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการตั้งสมมติฐานที่น่าสนใจว่าแวนโก๊ะป่วยด้วยโรคเมเนียร์ (โรคทางหูชั้นใน) ไม่ใช่โรคลมบ้าหมู ดังที่คุณทราบสำหรับคลินิกของโรคนี้อาการวิงเวียนศีรษะมีลักษณะเฉพาะซึ่งมักเกิดขึ้นจากผู้ป่วย เนื่องจากโรคของ Meniere ได้รับการอธิบายหลังจากการเสียชีวิตของ Van Gogh เท่านั้น ผู้เขียนจึงพิจารณาการวินิจฉัยโรคลมบ้าหมูในศิลปินโดยอิงจากการวิเคราะห์จดหมายและคลินิก เจบี Hughes ปฏิเสธไม่เพียงแค่โรคลมบ้าหมูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงโรคของ Meniere ด้วย ซึ่งเอนเอียงไปทางคุณสมบัติของ Geschwind's syndrome ซึ่งมักจะอยู่ร่วมกับโรคลมบ้าหมูส่วนหน้า-ข้างขม่อม การตัดสินใจนี้ได้รับการยืนยันโดยปราศจากอาการชักที่เกิดขึ้นเอง เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาการชักนั้นปรากฏบนพื้นหลังของภาวะทุพโภชนาการเรื้อรังและโรคพิษสุราเรื้อรัง ด้วยการใช้แอ็บซินท์ในปริมาณมากทำให้เกิดอาการชักโดยทั่วไป

ความคิดเห็นเกี่ยวกับพิษตะกั่วที่มีอยู่ในสีน้ำมันและสารพิษอื่น ๆ นั้นแปลกประหลาดมาก ลักษณะการร้องเรียนที่พบในจดหมายถึงธีโอพี่ชายของเขานั้นได้รับ ซึ่งทำให้เราสามารถพูดถึงโรคสมองอักเสบจากพิษต่อระบบประสาทและการฆ่าตัวตายอันเป็นอิทธิพลของลัทธิดาวเสาร์ สารพิษอื่นๆ ที่กล่าวถึง ได้แก่ โบรไมด์ การบูร น้ำมันจากแอ็บซินท์ คอนญัก (แอ็บซินธ์) นิโคติน และน้ำมันสน ผลที่ตามมาของความมึนเมาเรื้อรังอาจเป็นการวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตที่เกิดจากสมองเสียหายหรือโรคทางร่างกาย (ฉ.06) หรือความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบอินทรีย์ (ฉ.07, ICD-10)

R.H. Rahe (1990) แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของความเครียดทางจิตสังคมในการพัฒนาความผิดปกติของการปรับตัว ผู้เขียนยืนยันมุมมองของเขาด้วยแผนภาพชีวิตพร้อมลำดับเหตุการณ์เฉพาะที่มาพร้อมกับการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมของโรค เหตุการณ์ที่ทำให้เกิดโรคมากที่สุดอาจเป็นความอัปยศของโรคทางจิต เช่นเดียวกับที่แสดงให้เห็นในคำอธิบายชีวิตของศิลปิน ตลอดชีวิตอันสั้นของเขา เขาได้รับอิทธิพลจากครอบครัวและการตีตราทางสังคม ซึ่งอันที่จริงแล้วเป็นผู้ที่ถูกขับไล่ออกจากสังคม

นักเขียนบางคนรวมถึง K. Jaspers วินิจฉัยว่าศิลปินเป็นโรคจิตเภทแบบหวาดระแวง อย่างไรก็ตามการไม่มีอาการหลัก (พื้นฐาน) ของโรคนี้และการปรากฏตัวของโรคจิตที่มีสติสัมปชัญญะและการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ทำให้เป็นที่น่าสงสัย Neurosyphilis สามารถถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่คล้ายกัน: ขาดข้อมูลเกี่ยวกับการติดเชื้อและคลินิกที่มีลักษณะเฉพาะ

แวนโก๊ะมีอาการซึมเศร้าเป็นเวลานานโดยมีช่วง (hypo) คลุ้มคลั่ง อาชีพของเขาในฐานะผู้เผยแพร่ศาสนาสิ้นสุดลงเมื่อเกิด "ความบ้าคลั่งทางศาสนาที่เห็นแก่ผู้อื่น" โรคไบโพลาร์มาพร้อมกับช่วงเวลาที่มีพลัง ความกระตือรือร้น และผลผลิตสูงมาก ตามมาด้วยอาการซึมเศร้า ซึ่งพบได้บ่อยในหมู่นักเขียนและศิลปิน ความหดหู่ที่ฝังลึกในช่วงชีวิตของเขาในปารีสเป็นปัจจัยในการเริ่มต้นของการใช้แอ็บซินท์ ซึ่งทำให้เขาป่วยหนักเป็นครั้งที่สอง นั่นคือโรคลมบ้าหมู แวนโก๊ะมีอาการชักหลังจากดื่มแอ็บซินท์เท่านั้น ซึ่งจะเพิ่มกิจกรรมการจับกุม อาการชักเป็นบางส่วน ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นโรคลมชักแฝงอยู่ ซึ่งอาจอยู่ในบริเวณ mesotemporal พวกเขามีส่วนทำให้เกิดโรค interictal dysphoric เช่นเดียวกับอาการทางจิตที่มีความจำเสื่อมถาวร การฆ่าตัวตายของ Van Gogh อาจเป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจทำให้อาการผิดปกติทางอารมณ์รุนแรงขึ้น

สมมติฐานที่น่าดึงดูดอย่างยิ่งคือมุมมองเกี่ยวกับโรคจิตไซโคลิดในความเข้าใจของ Kleist-Leonhard มันเป็นเรื่องของเกี่ยวกับโรคจิตจากภายนอกที่ผิดปกติระดับกลาง บางอย่างระหว่างโรคจิตเภทกับโรคจิตคลั่งไคล้ซึมเศร้า สิ่งนี้สามารถสนับสนุนโดยภาพทางคลินิกที่สอดคล้องกันของความผิดปกติทางจิตของ Van Gogh ("autochthonous lability") ลักษณะตามรัฐธรรมนูญและการพยากรณ์โรคที่ดี (ไม่มีข้อบกพร่องทางจิต)

อิทธิพลของความเจ็บป่วยของพี่ชาย Theo ต่อการฆ่าตัวตายของ Van Gogh นั้นน่าสนใจมาก ตามเอกสารสำคัญของศูนย์จิตเวชในอูเทรคต์ ธีโอ ฟาน โก๊ะได้รับความทุกข์ทรมานจากภาวะสมองเสื่อมเป็นอัมพาต ซึ่งอาการดังกล่าวเกิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2429 การลุกลามอย่างรวดเร็วในปี พ.ศ. 2433 ระหว่างที่วินเซนต์ไปเยี่ยมพี่ชายของเขาในปารีสอาจเป็นแรงจูงใจที่ชี้ขาดสำหรับ การฆ่าตัวตายของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่

E. van Meekeren พิจารณาสาเหตุของการฆ่าตัวตายของ Van Gogh คือความเครียด (ความโดดเดี่ยวทางสังคม สถานะของผู้ป่วยทางจิตที่มีการพยากรณ์โรคไม่ดี) ความมึนเมาที่เกิดจากการรักษาโรคทางจิต และความเจ็บป่วยของพี่ชายของ Theo

บทสรุป. ในความเห็นของเราที่น่าเชื่อถือที่สุดคือข้อสรุปเกี่ยวกับโรคจิตอินทรีย์ทางอารมณ์ในความเข้าใจของ T.Ya ควิลิวิตสกี (1959) เรียกอีกอย่างว่ารูปแบบผิดปกติของโรคจิตคลั่งไคล้ซึมเศร้า ความผิดปกติทางจิตนั้นมีลักษณะเป็นไบโพลาร์อย่างต่อเนื่องในรูปแบบของจังหวะช่วงสั้น ๆ (รอบเร็ว) ในเวลาเดียวกันการอยู่ร่วมกันของภาวะซึมเศร้าและภาวะคลั่งไคล้กับความผิดปกติของจิตสำนึกไม่เพียง แต่ถูกปฏิเสธ แต่ยังอนุญาต การเพิ่มความถี่ของการโจมตีของโรค การปรากฏตัวของอาการทางระบบประสาทกระจาย ลักษณะทางคลินิกได้รับการยืนยันจากการเปลี่ยนแปลงของสารอินทรีย์ในสมองที่เกี่ยวข้องกับระยะมดลูกและระยะการคลอด หรือช่วงปฐมวัย ที่นี่เป็นการเหมาะสมที่จะระลึกถึงปรากฏการณ์ (สมมติฐาน) ของ J. Ballenger, R. Post (1978, 1980) - amygdala ที่จุดไฟ ("จุดระเบิด") ในการเกิดความผิดปกติทางอารมณ์ พิษ (ความผิดปกติของการเผาผลาญและการไหลเวียนโลหิตและภาวะทุพโภชนาการ) และการระคายเคือง (ปัจจัย) อื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสมอง (ระบบลิมบิกและอะมิกดาลาคอมเพล็กซ์) นำไปสู่การปลดปล่อยซึ่งแสดงออกในรูปแบบของอาการชักและ / หรืออาการทางอารมณ์ ในกรณีของแวนโก๊ะ เราอาจพูดถึงการเพิ่มขึ้นของความผิดปกติทางร่างกาย ความผิดปกติทางจิตที่ค่อยๆ ลุกลาม การเปลี่ยนจากอารมณ์ความรู้สึกไปสู่อาการชักกระตุกและประสาทหลอน-ประสาทหลอน บางครั้งก็อนุญาตให้สันนิษฐานได้ว่ามีสถานะผสม - การอยู่ร่วมกันของภาวะซึมเศร้าและความบ้าคลั่ง (การระคายเคือง, ความเร้าอารมณ์ด้วยผลกระทบของความเศร้าโศก; "ภาวะซึมเศร้าวิตกกังวล", "ภาวะซึมเศร้ายิ้ม (แดกดัน)") ในช่วงชีวิตของชาวปารีสเมื่อสัมผัสกับพื้นหลังของการดื่มแอลกอฮอล์ (แอ็บซินท์, คอนญัก, ฯลฯ ) โทนิคกระตุกด้วยความผันผวนของสติปรากฏขึ้นครั้งแรกเราไม่สามารถแยก "raush-mania (ภาวะซึมเศร้า) - การรวมกันของสภาวะคลั่งไคล้ (ซึมเศร้า) ด้วยความมีสติสัมปชัญญะ ความผิดปกติทางจิตมีความคืบหน้า ทำให้ยากขึ้นเรื่อย ๆ และในบางครั้งทำให้กระบวนการสร้างสรรค์งานศิลปะเป็นไปไม่ได้ โอกาสสุดท้ายที่จะยึดชีวิต ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม หลีกหนีจากปัญหามากมายที่แก้ไขไม่ได้ (“... ฉัน จะไม่มีวันไปถึงความสูงเหล่านั้นซึ่งโรคร้ายทำลายฉัน ... ")

การวินิจฉัยโรคลมชักที่มีความผิดปกติทางอารมณ์และโรคจิตไม่น่าเป็นไปได้ นี่อาจเป็นหลักฐานจากการโจมตีในช่วงปลายของโรคลักษณะของอาการชักกับพื้นหลังของความมึนเมาและการใช้แอ็บซินท์ *** ความหลากหลายของอาการและความผิดปกติ ยิ่งกว่านั้น บุคลิกลักษณะของโรคลมบ้าหมูไม่เปลี่ยนแปลง (สำหรับภรรยาของน้องชาย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็น "ชายรูปร่างกำยำ ไหล่กว้าง" ด้วย "สีหน้าร่าเริงและผิวพรรณผ่องใส" "ซึ่งรูปร่างหน้าตาทั้งหมดอาจรู้สึกดื้อรั้น" ). บน. Dmitriev อธิบายลักษณะของ Van Gogh ในลักษณะนี้: "... โดยทั่วไปจะถ่อมตัวและอดทนต่อข้อบกพร่องของมนุษย์โดยไม่ให้อภัย"

มุมมองของเราคือการฆ่าตัวตายของ Van Gogh เข้ากับภาพทางคลินิกของความผิดปกติทางจิตของเขา ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ท่ามกลางอารมณ์หดหู่ใจ เขามักจะนึกถึงความตายของตัวเองและพยายามฆ่าตัวตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า พฤติกรรมการฆ่าตัวตายของ Van Gogh เช่น ความผิดปกติทางจิต ก็ขึ้นอยู่กับพลวัตที่ไม่เอื้ออำนวยเช่นกัน ความคิดฆ่าตัวตาย แผนการจะเปลี่ยนเป็นความตั้งใจและการกระทำฆ่าตัวตายอย่างต่อเนื่อง พฤติกรรมฆ่าตัวตายประเภทประท้วงถูกแทนที่ด้วยพฤติกรรมฆ่าตัวตายประเภทปฏิเสธที่จะมีชีวิตอยู่ ศิลปินที่ผิดหวังในศรัทธา (“... ฉันพบว่าระบบการบูชาทั้งหมดนี้น่าขยะแขยง” **** ...) สูญเสียการปฏิเสธทางศาสนาในการฆ่าตัวตาย ไม่กลัวที่จะหารือเกี่ยวกับความเป็นไปได้นี้กับพี่ชายและคนรอบข้าง เพื่อฟักแผนสำหรับการนำไปปฏิบัติ ชีวิตให้เหตุผลมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อเสริมสร้างแนวคิดเกี่ยวกับความสิ้นหวังและความไร้ความหมายของการดำรงอยู่ต่อไปของพวกเขา ความพยายามครั้งสุดท้ายซึ่งจบลงด้วยความตาย - ผลของการตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะตายนั้นเกิดขึ้นที่จุดสูงสุดของสภาวะซึมเศร้าและสุญญากาศที่มีอยู่

วรรณกรรม

* ข้อความของสิ่งพิมพ์เป็นบทความฉบับแก้ไขเพิ่มเติม: Golenkov A.V. ความผิดปกติทางจิตของ Vincent Van Gogh: การทบทวนความคิดเห็นของแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ // Bulletin of Psychiatry and Psychology of Chuvashia, 2009. - No. 5. - กับ..

*** ตามคำจำกัดความของผู้เชี่ยวชาญของ WHO โรคลมชักมีลักษณะอาการชักแบบไม่ได้กระตุ้น

**** พิจารณาจากตัวอักษร แวนโก๊ะได้แบ่งปันมุมมองมากมายของ L.N. ตอลสตอยกับศาสนา

Golenkov A.V. Vincent van Gogh: ภาพร่างทางพยาธิวิทยา [ทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์] // จิตวิทยาการแพทย์ในรัสเซีย: อิเล็กตรอน ทางวิทยาศาสตร์ นิตยสาร 2554 N 1. URL: http://medpsy.ru (เข้าถึง: hh.mm.yyyy)

องค์ประกอบทั้งหมดของคำอธิบายมีความจำเป็นและเป็นไปตาม GOST R 7.0 "การอ้างอิงบรรณานุกรม" (มีผลบังคับใช้เมื่อ 01.01.2009) วันที่เข้าถึง [ในรูปแบบวัน-เดือน-ปี = hh.mm.yyyy] - วันที่ที่คุณเข้าถึงเอกสารและพร้อมใช้งาน

วินเซนต์ แวน โก๊ะ: ว่าด้วยประสบการณ์การเป็นโรคทางจิต

Vincent van Gogh เป็นหนึ่งในศิลปินที่ผู้เชี่ยวชาญจัดประเภทเป็นเอกฉันท์ว่าเป็นศิลปินที่ป่วยทางจิต ในโอกาสนี้มีงานเขียนจำนวนมากซึ่งผู้เขียนเป็นจิตแพทย์และนักจิตวิเคราะห์ นักประวัติศาสตร์ศิลปะและนักวัฒนธรรมศาสตร์ และแม้แต่วิกิพีเดีย เมื่อถูกถามถึง "ศิลปินที่ป่วยทางจิต" ก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเขา

นักวิจัยถกเถียงกันเกี่ยวกับการวินิจฉัย โดยบ่งชี้ว่าแวนโก๊ะมีโรคไบโพลาร์ โรคจิตเภท หรือโรคลมบ้าหมูที่กำเริบขึ้นจากการใช้แอลกอฮอล์ในทางที่ผิด แต่การวินิจฉัยทั้งหมดนี้เป็นเพียงการตีความข้อความเฉพาะกลุ่มที่เขียนโดย Vincent van Gogh เอง

1. มีศิลปินไม่กี่คนที่หยิบปากกาขึ้นมา ทิ้งข้อสังเกต สมุดบันทึก จดหมาย ไว้ให้เรา ซึ่งมีความหมายเทียบได้กับผลงานของพวกเขาในด้านการวาดภาพ

2. แต่จดหมายของฟานก็อกฮ์นั้นน่าทึ่ง ไม่เหมือนเอกสารใดๆ มีความยาวหลายร้อยหน้า มันเป็นบทสนทนากับผู้รับจดหมาย แต่ยังรวมถึงตัวเขาเอง พระเจ้า และโลกด้วย

3. โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางและผู้แปล Vincent van Gogh เองก็พูดถึงประสบการณ์ของเขาในการประสบกับความผิดปกติทางจิต โดยนำเสนอผู้อ่านของเขาว่าเป็นคนที่น่าทึ่ง มีความคิด ทำงานหนัก และอ่อนไหวมาก ซึ่งระหว่างการป่วยหนักนั้นมีสุขภาพดีขึ้นมาก มากกว่าล่ามและนักวินิจฉัยส่วนใหญ่ของเขา

4. เรื่องราวอันน่าสะเทือนใจของศิลปินเกี่ยวกับประสบการณ์การประสบกับความผิดปกติทางจิตเริ่มขึ้นในวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2432 ในจดหมายที่ส่งถึงธีโอ พี่ชายของเขา จากโรงพยาบาลจิตเวชในเมืองอาร์ลส์ของฝรั่งเศส ซึ่งวินเซนต์จบลงหลังจากบ่อน้ำ - เหตุการณ์ที่ทราบโดยหูของเขาถูกตัดออก

5. “เพื่อขจัดความกลัวทั้งหมดของคุณเกี่ยวกับฉัน ฉันเขียนถึงคุณสองสามคำจากสำนักงานของดร. เรย์ ซึ่งคุ้นเคยกับคุณอยู่แล้ว ซึ่งกำลังฝึกงานอยู่ในโรงพยาบาลท้องถิ่น ฉันจะอยู่ในนั้นอีกสองหรือสามวันหลังจากนั้นฉันคาดว่าจะกลับบ้านอย่างปลอดภัย ฉันถามคุณสิ่งหนึ่ง - ไม่ต้องกังวลมิฉะนั้นมันจะกลายเป็นแหล่งที่มาของความตื่นเต้นที่ไม่จำเป็นสำหรับฉัน

6. อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือที่คุณ Rey มอบให้กับ Van Gogh ในช่วงที่เจ็บป่วย ศิลปินวาดภาพเหมือนของเขา ผู้ร่วมสมัยอ้างว่าภาพเหมือนคล้ายกับนางแบบมาก แต่ Felix Rey ไม่สนใจงานศิลปะ ภาพวาดของแวนโก๊ะอยู่ในห้องใต้หลังคา จากนั้นสักพักพวกเขาก็ปิดรูในเล้าไก่ และในปี 1900 (10 ปีหลังจากการเสียชีวิตของศิลปิน) เท่านั้นที่พบภาพวาดในบ้านของดร. งานนี้ได้มาจากนักสะสมชาวรัสเซียชื่อดัง Sergei Shchukin และเก็บไว้ในคอลเล็กชั่นส่วนตัวของเขาจนถึงปี 1918 นักสะสมทิ้งภาพวาดไว้ที่บ้านเพื่อไปตรวจคนเข้าเมืองดังนั้นมันจึงจบลงที่คอลเลกชันของพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งรัฐ พุชกินในมอสโก

7. หลังจากการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลครั้งแรก Vincent van Gogh จะเขียนถึง Theo น้องชายของเขา: "ฉันขอยืนยันว่าช่วงเวลาสองสามวันที่ฉันอยู่ในโรงพยาบาลกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ชีวิตควรเรียนรู้จากคนป่วย ฉันหวังว่าจะไม่มีอะไรพิเศษเกิดขึ้นกับฉัน เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นกับศิลปิน ฉันพบสุริยุปราคาชั่วคราวพร้อมกับอุณหภูมิสูงและการสูญเสียเลือดจำนวนมากเนื่องจากหลอดเลือดแดงถูกตัด แต่ความอยากอาหารของฉันกลับคืนมาในทันที การย่อยอาหารของฉันดี เลือดที่เสียไปถูกเติมเต็มทุกวัน และหัวของฉันก็ทำงานชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

8. ในจดหมายถึงธีโอน้องชายของเขา ลงวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2432 วินเซนต์ แวน โก๊ะได้เสนอคำตอบสำหรับคำถามที่หลายคนสนใจเกี่ยวกับความเชื่อมโยงระหว่างอัจฉริยะกับความวิกลจริต ศิลปะและจิตเวช: “ฉันจะไม่พูดว่าเราเป็นศิลปิน สุขภาพจิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งฉันจะไม่พูดเรื่องนี้เกี่ยวกับตัวเอง - ฉันอิ่มตัวด้วยความบ้าคลั่งจนถึงไขกระดูก แต่ฉันพูดและยืนยันว่าเรามียาแก้พิษและยาดังกล่าวอยู่ในการกำจัดซึ่งถ้าเราแสดงความปรารถนาดีเพียงเล็กน้อยก็จะแข็งแกร่งกว่าโรคมาก

9. เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2432 วินเซนต์ แวน โก๊ะได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสงสัยเกี่ยวกับชาวเมืองอาร์ลส์ - ไม่ ไม่ใช่ผู้ป่วยของโรงพยาบาลจิตเวชในท้องถิ่น แต่เป็นประชาชนทั่วไป: "ฉันต้องบอกว่าเพื่อนบ้านใจดีเป็นพิเศษ ฉัน: ที่นี่ทุกคนทนทุกข์ทรมานจากบางสิ่งบางอย่าง - เป็นไข้บางคนมีอาการประสาทหลอนบางคนมีอาการวิกลจริต ดังนั้นทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างสมบูรณ์ในฐานะสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน ... อย่างไรก็ตามไม่ควรสันนิษฐานว่าฉันแข็งแรงสมบูรณ์ คนในท้องถิ่นที่ป่วยด้วยโรคเดียวกันบอกความจริงทั้งหมดแก่ฉัน: ผู้ป่วยสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวัยชรา แต่เขาจะมีช่วงเวลาแห่งคราสเสมอ เพราะฉะนั้นอย่ามารับรองว่าจะไม่ป่วยเลยหรือจะไม่ป่วยอีก

10. จากจดหมายของศิลปินถึงพี่ชายของเขาลงวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2432 เราได้เรียนรู้ว่าชาวเมือง Arles หันไปหานายกเทศมนตรีของเมืองพร้อมกับแถลงการณ์ที่ลงนามโดยชาวเมืองบางคนว่า Van Gogh ไม่มีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างอิสระ หลังจากนั้นผู้บัญชาการตำรวจสั่งให้ศิลปินเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้ง “พูดได้คำเดียวว่า เป็นเวลาหลายวันแล้วที่ฉันนั่งอยู่คนเดียวภายใต้กุญแจและกุญแจ และภายใต้การดูแลของรัฐมนตรี แม้ว่าความวิกลจริตของฉันยังไม่ได้รับการพิสูจน์และไม่สามารถพิสูจน์ได้โดยทั่วไป แน่นอน ในส่วนลึกของจิตวิญญาณของฉัน ฉันได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติเช่นนั้น เป็นที่ชัดเจนว่าฉันจะไม่ยอมให้ตัวเองไม่พอใจ: การแก้ตัวในกรณีเช่นนี้หมายถึงการสารภาพผิด

11. วันที่ 21 เมษายน วินเซนต์ ฟาน โก๊ะ เล่าให้ธีโอ น้องชายของเขาฟังถึงการตัดสินใจหลังจากออกจากโรงพยาบาล ที่จะตั้งถิ่นฐานในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิตในแซงต์-เรมีย์-เดอ-โพรวองซ์: "ฉันหวังว่ามันจะเพียงพอถ้าฉันพูดว่า ว่าฉันไม่สามารถมองหาเวิร์กช็อปใหม่และอาศัยอยู่ที่นั่นคนเดียวได้... ความสามารถในการทำงานของฉันกำลังค่อยๆ กลับคืนมา แต่ฉันกลัวว่าจะสูญเสียมันไปหากฉันเริ่มออกแรงมากเกินไป และยิ่งกว่านั้น ความรับผิดชอบทั้งหมดสำหรับ การประชุมเชิงปฏิบัติการตกที่ฉัน ... ฉันเริ่มปลอบใจตัวเองด้วยความจริงที่ว่าตอนนี้ฉันเริ่มถือว่าความบ้าเป็นโรคเดียวกับโรคอื่น ๆ "

12. Vincent van Gogh พักรักษาตัวในโรงพยาบาลจิตเวช และต่อมาอยู่ในโรงพยาบาลสำหรับผู้ป่วยทางจิต ได้รับทุนสนับสนุนจาก Theo น้องชายของศิลปิน นอกจากนี้ ธีโอดอร์ยังเลี้ยงชีพวินเซนต์มานานกว่า 10 ปี ให้เงินเป็นค่าเช่าและค่าทำงานศิลปะ สำหรับผืนผ้าใบ สี และค่าดำเนินการ “ฉันไม่รู้ว่ามีสถาบันทางการแพทย์ใดบ้างที่พวกเขายินยอมที่จะรับฉันเข้ารักษาฟรีโดยมีเงื่อนไขว่าฉันจะออกค่าใช้จ่ายเองและมอบงานทั้งหมดให้กับโรงพยาบาล นี่คือ - ฉันจะไม่พูดมาก แต่ก็ยังอยุติธรรม ถ้าฉันพบโรงพยาบาลแบบนั้น ฉันจะเข้าไปโดยไม่คัดค้าน

13. ก่อนออกจาก Arles ไปยังโรงพยาบาลบ้าที่ Saint-Remy-de-Provence Vincent van Gogh เขียนจดหมายต่อไปนี้ถึงพี่ชายของเขา: "ฉันต้องมองสิ่งต่าง ๆ อย่างมีสติ แน่นอนว่ามีศิลปินที่คลั่งไคล้มากมาย: ชีวิตทำให้พวกเขาบ้าเล็กน้อย แน่นอนถ้าฉันสามารถกลับไปทำงานได้ แต่ฉันจะยังคงประทับใจตลอดไป

14. Vincent Van Gogh ใช้เวลาหนึ่งปีในที่พักพิงของ Saint-Remy-de-Provence (ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2432 ถึงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2433) ผู้อำนวยการศูนย์พักพิงอนุญาตให้ศิลปินทำงานและจัดหาห้องแยกต่างหากสำหรับสตูดิโอ แม้จะมีอาการชักซ้ำแล้วซ้ำเล่า วินเซนต์ยังคงวาดภาพต่อไป โดยมองว่านี่เป็นวิธีเดียวในการต่อสู้กับโรคร้าย นั่นคือฉันวาดภาพ…”

15. ใน Saint-Remy-de-Provence ศิลปินวาดภาพทิวทัศน์จากหน้าต่างของสตูดิโอและสวน และเมื่อ Vincent ได้รับอนุญาตให้ออกจากที่พักพิงภายใต้การดูแล สภาพแวดล้อมของ Saint-Remy ก็ปรากฏบนผืนผ้าใบของเขาด้วย .

16. แม้จะมีอาการชักรุนแรงถึง 3 ครั้งซึ่งทำให้วินเซนต์หยุดงานไปหลายสัปดาห์ แต่ปีนี้เขาเขียนภาพวาดมากกว่า 150 ภาพ วาดภาพและสีน้ำมากกว่า 100 ภาพ

17. จากจดหมายของแวนโก๊ะถึงน้องสาวของเขา: "เป็นความจริงที่มีผู้ป่วยหนักหลายคนที่นี่ แต่ความกลัวและความขยะแขยงที่ความคลั่งไคล้ในตัวฉันก่อนหน้านี้ได้ลดลงอย่างมาก และแม้ว่าคุณจะได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงโหยหวนที่น่ากลัวอยู่ตลอดเวลา ซึ่งชวนให้นึกถึงโรงละครสัตว์ แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงก็ทำความรู้จักกันอย่างรวดเร็วและช่วยเหลือกันเมื่อมีคนใดคนหนึ่งโจมตี เมื่อฉันทำงานในสวน คนไข้ทุกคนออกมาดูสิ่งที่ฉันทำ และฉันรับรองกับคุณว่า ปฏิบัติตนอย่างละเอียดอ่อนและสุภาพกว่าพลเมืองดีของ Arles พวกเขาจะไม่ยุ่งกับฉัน เป็นไปได้ว่าฉันจะอยู่ที่นี่สักพัก ฉันไม่เคยสัมผัสความสงบเช่นที่นี่และในโรงพยาบาล Arles

18. ความปรารถนาของ Vincent van Gogh ที่จะทำงานวาดภาพต่อไปและไม่ยอมแพ้แม้จะป่วยก็ตาม ได้รับความชื่นชมอย่างจริงใจ: "ชีวิตผ่านไปและคุณไม่สามารถย้อนกลับได้ แต่ด้วยเหตุนี้ฉันจึงทำงานโดยไม่ใช้ความพยายาม: โอกาสในการทำงานก็ไม่ซ้ำซากจำเจเช่นกัน ในกรณีของฉัน - และยิ่งกว่านั้น: การโจมตีที่รุนแรงกว่าปกติสามารถทำลายฉันในฐานะศิลปินตลอดไป

19. สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตว่า Van Gogh อาจเป็นผู้อยู่อาศัยเพียงคนเดียวในศูนย์พักพิงที่ทำธุรกิจ: “การติดตามการรักษาที่ใช้ในสถาบันนี้เป็นเรื่องง่ายมากแม้ว่าคุณจะย้ายจากที่นี่ก็ตาม เพราะไม่มีอะไรทำที่นี่อย่างแน่นอน ผู้ป่วยถูกทิ้งให้กินหญ้าอย่างเกียจคร้านและปลอบใจตัวเองด้วยอาหารรสจืดและเหม็นอับในบางครั้ง

20. ปลายเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2433 ธีโอเชิญพี่ชายให้เข้ามาใกล้เขาและครอบครัวมากขึ้น ซึ่งวินเซนต์ก็ไม่ขัดข้อง หลังจากใช้เวลาสามวันกับธีโอในปารีส ศิลปินตั้งรกรากที่ Auvers-sur-Oise (หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ไกลจากปารีส) ที่นี่ Vincent ทำงานโดยไม่ยอมพักแม้แต่นาทีเดียว ทุกๆ วันจะมีงานใหม่ออกมาจากใต้แปรงของเขา ดังนั้นในช่วงสองเดือนสุดท้ายของชีวิต เขาจึงสร้างภาพวาด 70 ภาพ และภาพวาด 32 ภาพ

21. ใน Auvers-sur-Oise ศิลปินอยู่ภายใต้การดูแลของ Dr. Gachet ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและเป็นคนรักศิลปะอย่างมาก Vincent เขียนเกี่ยวกับแพทย์คนนี้: "เท่าที่ฉันเข้าใจไม่มีใครสามารถไว้วางใจ Dr. Gachet ได้ในทางใดทางหนึ่ง ในตอนแรก สำหรับฉันแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะป่วยหนักกว่าฉัน ไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นคือสิ่งต่างๆ และถ้าคนตาบอดจูงคนตาบอด เขาทั้งสองจะไม่ตกลงไปในคูน้ำหรือ?

22. ยุบ ... ในวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2433 Vincent van Gogh จะเสียชีวิตโดยยิงเข้าที่หน้าอกเขาจะเสียชีวิตต่อหน้า Dr. Gachet ที่เรียกตัว ในกระเป๋าของศิลปินพวกเขาจะพบจดหมายฉบับสุดท้ายที่ส่งถึง Theo van Gogh ซึ่งลงท้ายดังนี้: "ฉันจ่ายด้วยชีวิตของฉันสำหรับงานของฉันและมันทำให้ฉันเสียสติไปครึ่งหนึ่ง มันเป็นเรื่องจริง ... "

23. การตายของพี่ชายของเขาจะกลายเป็นหายนะสำหรับ Theodore Van Gogh: หลังจากความพยายามในการจัดนิทรรศการมรณกรรมของภาพวาดของพี่ชายของเขาไม่สำเร็จ Theo จะแสดงอาการวิกลจริตภรรยาของเขาจะตัดสินใจวางผู้ป่วยไว้ใน โรงพยาบาลจิตเวช ซึ่งเขาจะเสียชีวิตในวันที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2434

24. การทำงานร่วมกันของพี่น้องจะได้รับการชื่นชมอย่างสูงหลังเสียชีวิต และดูเหมือนว่าจะเป็นความอยุติธรรมอย่างไม่น่าเชื่อที่ไม่มีใครมีชีวิตอยู่เพื่อรอวันที่ชื่อเสียงและการยอมรับระดับโลกมาถึง Vincent van Gogh

เป็นที่นิยมในหมวดหมู่:
สาเหตุของรอยช้ำใต้ตา รอยช้ำใต้ตาชั่วนิรันดร์
สาเหตุของรอยช้ำใต้ตา รอยช้ำใต้ตาชั่วนิรันดร์
อ่าน
สาเหตุของการจลาจล: การปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงของ Peter I ดำเนินการโดยใช้กำลัง (การเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตและจังหวะชีวิต) ใหม่
สาเหตุของการลุกฮือ: การปฏิรูปและการเปลี่ยนแปลงของ Peter I ได้ดำเนินการ ...
อ่าน
โรงเรียนกองบัญชาการทหารสูงสุดคาซาน โรงเรียนรถถังสั่งการทหารระดับสูงคาซาน
Kazan Higher Military Command School คาซาน อุดมศึกษา...
อ่าน
ขั้นตอนหลักในประวัติศาสตร์ของประเทศบอลติก: การก่อตัวของประเพณีทางการเมือง สิ่งที่ใช้กับบอลติก
ขั้นตอนหลักในประวัติศาสตร์ของรัฐบอลติก: การก่อตัวของการเมือง...
อ่าน

บทความล่าสุด
ที่คั่นหนังสือ exlibris คืออะไร? มีอะไร...
อ่าน
แนวคิด การจัดการ การปฏิรูปกฎหมายและ...
อ่าน
เส้นทางจากชาว Varangians สู่ชาวกรีกและ "จากชาวกรีกสู่ชาว Varangians
อ่าน
คณะกรรมการลับของ Alexander I
อ่าน
สนธิสัญญารัสเซีย-ไบแซนไทน์ สนธิสัญญากับกรีก...
อ่าน
ความหมายและที่มาของคำ
อ่าน
การตั้งเวลาปูน
อ่าน
กองเรือแปซิฟิกและกองเรืออามูร์ใน...
อ่าน
สูงสุด