ปรากฏการณ์แห่งการมองเห็นอนาคตนั้นมีอยู่ในตัวทุกคน อดีตเท่านั้นที่จะกำหนดอนาคตของคุณ การมองผู้คน

อดีตไม่เท่ากับอนาคต- นี่คือคำพูดโปรดของ Tony Robbins

น่าเสียดายที่เขาคิดผิด

ฉันเข้าใจเจตนาของโทนี่เมื่อเขาพูดแบบนี้ ข้อความนี้เกี่ยวข้องกับการขาย แต่โดยทั่วไปเขาหมายความว่าผู้คนมีพลังในการยุติอดีตและสร้างอนาคตใหม่ โดยรวมแล้วเป็นอย่างนี้ คำพูดเชิงบวกและหลายคนกำลังพยายามติดตามมัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันส่งผลเสียมากกว่าผลดี มันทำให้ผู้คนประมาทกับการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาไม่เคยทำในชีวิต ความคิดที่ซ่อนอยู่ที่ว่าเราสามารถวิ่งหนีจากอดีตของเราได้ทำให้ผู้คนเสียเวลาไปมาก

ฉันรู้ว่าแนวคิดนี้น่าดึงดูดใจเพียงใดที่เราสามารถทำลายอดีตของเราและสร้างอนาคตที่เติมเต็มให้กับตัวเราเองได้ แต่จริงๆ แล้วผู้คนสร้างมันขึ้นมาแบบนั้นบ่อยแค่ไหน? คุณสามารถทำเช่นนี้ได้บ่อยแค่ไหน?

แล้วความจริงคืออะไร?

ความจริงก็คือการกระทำในอดีตและภาพชีวิตของคุณเป็นตัววัดที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ชีวิตในอนาคตและสิ่งนี้ไม่เพียงใช้ได้กับชีวิตเท่านั้น คนที่เฉพาะเจาะจงแต่ยังรวมถึงชีวิตของทีมงาน บริษัท เทคโนโลยี องค์กรทางการเมือง และสถาบันอื่น ๆ ของชีวิต แม้ว่าเมื่อไหร่ก็ตาม เรากำลังพูดถึงเกี่ยวกับการเติบโตส่วนบุคคลของบุคคลและชีวิตที่มีสติเกี่ยวกับความตั้งใจและเป้าหมายทั้งหมดอดีตจะสอดคล้องกับอนาคตเสมอ

มองย้อนกลับไปในอดีต

หากคุณต้องการรู้ว่าเส้นทางปัจจุบันของคุณจะพาคุณไปทางไหน ให้มองอดีตของคุณ นี้ วิธีที่ดีที่สุดทำนายว่าคุณกำลังจะไปที่ไหน

การมองดูอดีตของคุณเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือมากกว่าการมองดูเป้าหมายและความตั้งใจของคุณ

ถ้าฉันอยากรู้ว่าคนๆ หนึ่งจะไปทางไหนในชีวิต สิ่งแรกที่ฉันทำคือมองอดีตของเขา โดยเฉพาะอดีตล่าสุดของเขา และคาดการณ์ตามสิ่งนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องได้ยินเกี่ยวกับเป้าหมายและความตั้งใจของบุคคลนี้ด้วยซ้ำ - ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตก็เพียงพอแล้ว (ฉันจะอธิบายว่าทำไมฉันถึงพูดสิ่งนี้ในบทความ) ขอฉันดูหน่อยว่าเขาทำอะไรในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา และนั่นจะทำให้ฉันมีความคิดที่ดีว่าเขาจะอยู่ที่ไหนและเป็นใครในอีกหนึ่งปีข้างหน้า

แน่นอนว่าในชีวิตมีความบังเอิญในระดับหนึ่ง นี่เป็นเหตุการณ์สุ่มที่เราไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ บางครั้งมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น แล้วชีวิตเราก็เปลี่ยนไปในทิศทางใหม่โดยสิ้นเชิง

แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ชีวิตของเราตกเป็นเหยื่อของรูปแบบพฤติกรรมบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาว เราอาจไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้า และนอกเหนือจากสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นไปตามธรรมชาติในโลกที่คาดเดาไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่วุ่นวาย ชีวิตของเราคาดเดาได้มากกว่าที่เราจะจินตนาการได้

กินมากกว่าที่คุณสามารถจัดการได้เล็กน้อยในหนึ่งวัน แล้วไงล่ะ? อีกหนึ่งปีคุณจะอ้วนขึ้นกว่าตอนนี้มาก ผลลัพธ์ค่อนข้างคาดเดาได้เมื่อพิจารณาจากการกระทำในอดีตของคุณ

อนาคตของคุณยากนักที่จะคาดเดาจริงๆ หรือเปล่า อย่างน้อยก็ใน โครงร่างทั่วไป?

หากคุณไปเรียนมหาวิทยาลัยและเรียนวิชาเอกในสาขาที่ไม่สามารถขายได้ จะเห็นได้ง่ายว่าคุณจะต้องดิ้นรนหางานทำหลังสำเร็จการศึกษา และจริงหรือที่ว่าถ้าคุณหางานได้ มันก็จะไม่อยู่ในความสามารถพิเศษของคุณเลยใช่ไหม?

หากคุณติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่คุณให้คะแนนทั้ง 9 หรือ 10 จากคะแนนเต็ม 10 ไม่อาจคาดเดาได้หรือไม่ว่าความไม่พอใจ ความไม่พอใจ และไม่แยแสจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และความรู้สึกของคุณจะห่างไกลจากความรักและความกตัญญู

หากคุณกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพและเครียดอยู่ตลอดเวลา ยากไหมที่จะคาดเดาว่าชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรในอนาคต?

มองดูผู้คน

มาดูคนในชีวิตที่คุณรู้จักดีกันดีกว่า

คุณสามารถทำนายความน่าจะเป็นในระดับหนึ่งได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในหนึ่งปี? ลองเดาให้ดีว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนในด้านอาชีพ การเงิน สุขภาพ นิสัยประจำวัน การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ฯลฯ ?

ฉันไม่ต้องการคำทำนายที่แม่นยำจากคุณเลย เพียงวาดภาพชีวิตของเพื่อนและคนรู้จักของคุณในหนึ่งปีเป็นจังหวะกว้าง ๆ เริ่มจากคนที่คุณรู้จัก แต่ไม่ใช่คู่รัก แฟน สามีหรือภรรยาของคุณ (อย่าเลือกผู้ที่มีอนาคตที่คุณสนใจเป็นการส่วนตัว)

อาชีพหรืองานของบุคคลนี้จะเป็นอย่างไรในหนึ่งปี? คนงานหรือ ผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จ? ค่าครองชีพหรืองานด่วน บันไดอาชีพ? คนนี้รู้สึกอย่างไรกับงาน? เขาทำงานหนักแค่ไหน? เขาใช้เวลาทำงานกี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และกี่ชั่วโมงต่อปี?

รายได้ที่แท้จริงของเพื่อนของคุณต่อปีเป็นเท่าใด? ลองเดาสิ เขาประหยัดเงินเพียง $50 ต่อปีหรือเปล่า? หรือ 500? หรืออาจจะเป็นล้าน? ที่บ้านเขามีเงินเท่าไหร่? เขามีทรัพย์สินประเภทใด?

ความสัมพันธ์ของเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? เขาแต่งงานแล้วเหรอ? เขามี "ครึ่งหนึ่ง" หรือไม่? พวกเขาอยู่ด้วยกันไหม? หรือเขาเหงาและกำลังมองหาใครสักคน?

หากบุคคลนี้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา อย่ากังวลกับการคาดเดาว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์แบบใดภายในสิ้นปีนี้ มันเหมือนกับการโยนเหรียญ แค่ลองพิจารณาว่าเขาติดตามเส้นทางอะไรในความสัมพันธ์ตลอดทั้งปี ปีนี้เขาจะมีคู่ครองใหม่กี่คน และเขาจะเลือกคู่ไหน?

เขาจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสุขภาพของเขาในปีหน้า? เขาจะกินอะไร? เขาจะเล่นกีฬาอะไรถ้ามี? เขาจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น สูญเสียหรือไม่? เขาจะไดเอทหรือจะอดอาหารหรือเปล่า? นิสัยประจำวันของเขาจะเป็นอย่างไร? เมื่อไหร่เขาจะตื่น? คุณจะเข้านอนเมื่อไหร่?

เขาขี้เกียจเหรอ? หรือมีประสิทธิผลผิดปกติ? เขากระตือรือร้นหรือเฉลียวแค่ไหนในกิจกรรมของเขา? เขาจะปฏิบัติธรรมอะไรในหนึ่งปี? เขาจะไปโบสถ์เป็นประจำไหม? เขาจะนั่งสมาธิบ่อยแค่ไหน? หรือบางทีเขาจะจุดเทียนรอบห้องน้ำแล้วจะกลายเป็นโบสถ์เล็กๆ สำหรับเขา?

ด้วยวิธีนี้ คุณจะได้เห็นภาพที่สมบูรณ์ว่าชีวิตของเพื่อนของคุณจะเป็นอย่างไรในหนึ่งปี และบุคคลนี้จะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหนในการเติบโตส่วนบุคคล

ต้นกำเนิดของ "การทำนาย" ของเราเกี่ยวกับผู้คน

ดูว่าคุณตั้งสมมติฐานอย่างไร หากคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณจะคาดเดาพฤติกรรมของบุคคลนั้นในอดีตที่ผ่านมา

ในการทำนายอนาคต คุณเพียงแค่ฉายภาพอดีตของบุคคลลงไป คุณอาศัยเวกเตอร์ของการกระทำของมนุษย์ คุณยังคำนึงถึงแง่มุมเหล่านั้นที่บุคคลนั้นไม่ได้พัฒนาในชีวิตของเขาด้วย

เช่น หากคุณรู้ว่ามีคนเพิ่มรายได้ 10% ต่อปี ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปีหน้า คุณสามารถสรุปได้ว่าเขาจะทำงานที่เดียวกัน

หากใครสักคนมีความสัมพันธ์แบบเดียวกันมานานกว่า 10 ปี คุณจะถือว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์แบบเดียวกันในปีหน้า

หากบริษัทของใครบางคนลดพนักงานลงอย่างรวดเร็ว คุณจะถือว่าบุคคลที่ทำงานที่นั่นจะถูกเลิกจ้างภายในหนึ่งปี ว่างงานไปแล้ว หรือจะยังคงอยู่ในบริษัทเดิมในหนึ่งปี

หากมีคนค้างชำระหนี้และได้รับเอกสารว่ากำลังจะถูกไล่ออกจากบ้าน คุณสามารถทำนายอนาคตได้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนบ้านเป็นบ้านหรืออพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ภายในหนึ่งปี หรือแม้แต่อาศัยอยู่ในชุมชน อพาร์ทเม้น.

แน่นอนคุณอาจแย้งว่าเราต้องพิจารณาอดีตและปัจจุบันเมื่อตัดสินใจ แต่เนื่องจากปัจจุบันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เราจึงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

อดีตรวมถึงชีวิตทั้งชีวิตของคุณตั้งแต่วินาทีที่แล้วจนถึงเมื่อนานมาแล้ว และประกอบด้วยข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องการ หากคุณคิดว่าจำเป็นต้องรวมสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันในช่วงเวลานี้ ให้รอสักครู่ และตอนนี้วินาทีนี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว

หากคุณอ้างว่ารู้บางอย่างเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งๆ สิ่งนั้นก็มาจากอดีตทั้งสิ้น

เขียนการคาดเดาของคุณ

ฉันขอแนะนำให้คุณเขียนสมมติฐานบางประการเกี่ยวกับผู้คนในชีวิตของคุณ เขียนมันลงในสมุดบันทึกของคุณ จากนั้นจดบันทึกในปฏิทินสำหรับปีข้างหน้า ประมาณว่า “ดูการคาดการณ์ของคุณจากปีที่แล้ว” ถ้าคุณใช้ ปฏิทินออนไลน์การดำเนินการนี้จะใช้เวลาสักครู่ จากนั้น เมื่อคุณจำสิ่งนี้ได้ในปีต่อจากนี้ ให้ทบทวนการคาดการณ์ของคุณ พวกเขาเป็นจริงขนาดไหน?

ถ้าเกือบไม่ได้ทำผิด เป็นไปได้ยังไง? และเหตุใดการทำนายของคุณจึงแม่นยำมาก?

หากคุณผิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง ทำไม? มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นหรือเปล่า? คุณมีข้อมูลเพียงพอที่จะทำนายได้อย่างแม่นยำหรือไม่? คุณได้พูดเกินจริงหรือลดความสำคัญของปัจจัยบางอย่างลงหรือไม่?

คุณจะได้ข้อสรุปอะไรจากแบบฝึกหัดนี้เพื่อช่วยให้คุณทำนายได้แม่นยำยิ่งขึ้นในครั้งต่อไป

คุณคาดเดาได้มากกว่าที่คุณคิด

การเดาอนาคตของคนอื่นง่ายกว่าอนาคตของคุณเองมาก เมื่อเรามองชีวิตของคนอื่น อีโก้ของเราไม่ได้สนใจเขามากนัก แต่มันค่อนข้างยากที่จะมองตัวเองอย่างเป็นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราไม่ชอบทุกสิ่งในชีวิต

ไม่มีใครอยากจะคาดเดาว่าภายในหนึ่งปีพวกเขาจะต้องยึดบ้านเพื่อชำระหนี้ หรือว่าพวกเขาจะต้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 50 ปอนด์ หรือพวกเขาจะยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ที่ยากลำบากหรือไม่เป็นที่พอใจ

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะทำให้คุณต้องปิดอัตตาของคุณและ "ฟัง" ให้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่

ลองวิธีนี้: ทายสักสองสามข้อว่าคุณจะเป็นอย่างไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า แต่ใช้การคาดการณ์บนฐานข้อเท็จจริงที่ชัดเจนในช่วง 30 วันที่ผ่านมาเท่านั้น

จดบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกิน นอน ทำงาน เข้าสังคม สร้างสรรค์ ฯลฯ - แต่เฉพาะ 30 วันที่ผ่านมาเท่านั้น! รับรู้ว่าสิ่งนี้จะดำเนินต่อไปอีก 12 เดือนข้างหน้า หากคุณรู้สึกว่าช่วง 30 วันที่ผ่านมาเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับคุณ เช่น การไปเที่ยวพักผ่อนหรือการเดินทาง ให้ใช้ช่วง 90 วันที่ผ่านมา

ใช้แผนภูมินี้ทำนายชีวิตของคุณในหนึ่งปี ลองนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากรูปแบบพฤติกรรมของคุณดำเนินต่อไปในอนาคต พวกเขาจะพาคุณไปที่ไหนในหนึ่งปี?

มาตกลงกับความจริง

การตกลงกับเส้นทางที่คุณกำลังดำเนินอยู่หมายถึงความสามารถในการคาดเดาอย่างเป็นกลางว่าคุณกำลังจะไปที่ไหน พวกเขาจะกลายเป็นอะไร ด้านต่างๆชีวิตของคุณในหนึ่งปีหรือหลังจากนั้น?

เพื่อที่จะคาดเดาได้อย่างแม่นยำ คุณไม่สามารถมองไปที่เป้าหมายหรือความตั้งใจของคุณได้ ความตั้งใจและเป้าหมายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับแรงบันดาลใจในอนาคตของคุณ

ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในการพิจารณาคดีของคณะลูกขุนที่พยายามจะตัดสินใจโดยอิงจากข้อเท็จจริง เป้าหมายและความตั้งใจจะไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับคุณเพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริง พวกเขาเป็นเพียงความคิดเห็นหรือการคาดเดาว่าสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่การจะพยากรณ์ให้แม่นต้องมองอดีตและเฉพาะอดีตเท่านั้น

คุณอาจไม่อยากได้ยินสิ่งนี้จริงๆ แต่ฉันแจ้งให้คุณทราบ

หากคุณอารมณ์เสียมากเกินไปเกี่ยวกับการคาดเดาของคุณ (ไม่ว่าอารมณ์ของคุณจะเป็นบวกหรือลบ) ให้หยุดและหยุดพัก การคาดการณ์ในอนาคตของเราต้องใช้การคิดอย่างมีตรรกะและสมองซีกซ้าย นี่ไม่ใช่เวลาหรือสถานที่สำหรับการตัดสินทางอารมณ์หรือไร้เหตุผล เพียงแกล้งทำเป็นภูเขาไฟหรือหุ่นยนต์สำหรับตัวคุณเอง

ทบทวนคำถามที่ฉันถามคุณข้างต้นเกี่ยวกับเพื่อนของคุณ ("การมองดูผู้อื่น") ตอนนี้ถามคำถามเดียวกันกับตัวคุณเอง อ้างอิงถึงอดีตล่าสุดของคุณเพื่อทำนายอนาคต (30-90 วันที่ผ่านมา)

ลองนึกภาพสักครู่ว่าคุณเป็นมิสเตอร์ซูเปอร์แมนหรือมิสเตอร์อินฟอร์เมชั่น แล้วลองดูว่าบุคลิกภาพของคุณจะเป็นอย่างไรในหนึ่งปี โดยพิจารณาจากอาชีพ การเงิน ความสัมพันธ์ สุขภาพ นิสัยประจำวัน การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ฯลฯ ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับทุกคน พื้นที่สำคัญของชีวิตของคุณ

จากนั้นทำแบบเดียวกันกับ “คำทำนาย” ที่คุณจดลงในสมุดบันทึก และทำเครื่องหมายปฏิทินของคุณในอีกหนึ่งปีต่อมาเพื่อเปรียบเทียบ และอย่ากลอกตาอย่างสัมผัส :)

คุณต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการทำแบบฝึกหัดนี้ให้เสร็จสิ้น? เวลาจะไหลตามปกติ แต่ในหนึ่งปีข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณมาก บางทีคุณอาจจะรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นเครื่องหมายสำคัญในปฏิทินในหนึ่งปีและพบว่าในบันทึกย่อของคุณเป็นของขวัญอันมีค่าสำหรับการเติบโตภายในของคุณ? หรือบางทีคุณอาจจะยอมรับทุกสิ่งที่เขียนไว้?

มึนเมากับภาพลวงตา

เมื่อคุณเรียนรู้จากอดีต คุณจะค้นพบรูปแบบบางอย่างที่ซ้ำรอยในชีวิตของคุณ หลายคนไม่ได้ผลสำหรับคุณ จากประวัติของคุณเอง ผลลัพธ์ที่ได้ก็แย่อย่างคาดเดาได้ แต่เราลืมทุกสิ่งอย่างง่ายดายและทำผิดซ้ำซาก!

หนึ่งในรูปแบบที่เกิดซ้ำ (สถานการณ์ชีวิต) ที่ฉันสังเกตเห็นในอดีตคือสิ่งที่ฉันเรียกว่าแนวทางที่ไม่ประมาทในการพัฒนาการเติบโตส่วนบุคคล

นี่คือเวลาที่ใครบางคนเริ่มกระตือรือร้นเมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาจะเกิดขึ้นในชีวิต และเขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่พลุ่งพล่าน - บางทีอะดรีนาลีน... หรือบางครั้งคาเฟอีน - และตัดสินใจแล้วว่าทุกอย่างจะออกมาเย็นกว่าเดิมอย่างสิ้นเชิง และเขาก็มักจะเชื่อเช่นนั้น คนเหล่านี้ตัดสินใจใหม่และเริ่มทำสิ่งใหม่ แต่การกระทำของพวกเขาไม่สอดคล้องกันและวุ่นวาย

การกระทำส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และไม่ได้ไปไกลกว่านิสัยเดิม

ตัวอย่างเช่น พวกเขาบอกคนอื่นว่าพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลง และถึงกับขอคำแนะนำในการเริ่มต้น แต่พวกเขาไม่ได้ไปไกลกว่านี้อีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าความตื่นเต้นจากโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิตนั้นเป็นเพียงความตื่นเต้น แต่บุคคลนั้นถูกดูดกลับเข้าสู่กรอบของการกระทำที่เป็นนิสัย และไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้น

หากคุณมองดูอดีตของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณจดบันทึก คุณจะเห็นตัวเองกำลังเดินเป็นวงกลมรูปแบบซ้ำๆ ควบคู่ไปกับผลที่ตามมาทั้งหมดที่มาพร้อมกับมัน ด้วยความรู้นี้ คุณสามารถปฏิเสธกลยุทธ์ดังกล่าวได้อย่างมีสติ เช่นเดียวกับนิสัยอื่นๆ ที่คุณมีที่ไม่เคยสร้างผลลัพธ์

คุณจะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในอนาคตอย่างแน่นอน แนวทางของคุณไม่ได้ผลในอดีต ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยว่าแนวทางเหล่านี้จะได้ผลในอนาคต หากคุณทำซ้ำ คุณจะได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกับครั้งก่อนหน้า

จดบันทึก - วิธีที่สวยงามรับรู้รูปแบบที่ซ้ำกันและไม่ปฏิบัติตามอีกต่อไป มิฉะนั้น มันง่ายเกินไปที่จะลืมเกี่ยวกับแนวโน้มของคุณที่จะทำเช่นนี้ และถูกหลอกอีกครั้งด้วยภาพลวงตาว่ามีบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง

แผนการอื่นใดในอดีตของคุณไม่ได้ผล? อันไหนช่วยคุณได้?

คุณเคยประสบกับความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อใด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

คุณสามารถทำสิ่งเดียวกันกับที่ช่วยคุณในวันนี้ได้หรือไม่?

เปลี่ยนอดีต - เปลี่ยนการคาดการณ์สำหรับอนาคต

ข้อเสนอแนะถัดไปของฉันอาจฟังดูแปลกเล็กน้อย แต่ฉันอยากให้คุณมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับวิธีสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน แทนที่จะพยายามเปลี่ยนปัจจุบันหรืออนาคต ให้มุ่งความสนใจไปที่การเปลี่ยนแปลงอดีต กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากคุณต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งในชีวิต ให้นำหลักฐานการเปลี่ยนแปลงจากอดีตมาด้วย วิธีเดียวที่จะทำสิ่งนี้ได้คือการกระทำในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่แค่การกระทำเท่านั้น หากคุณทำอะไรที่ไม่เต็มใจดังที่อธิบายไว้แล้วเกี่ยวกับ "การกระทำที่เป็นภาพลวงตา" แล้วคุณจะนำอะไรมาสู่อดีตของคุณจริงๆ?

ไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เราสามารถพูดได้ว่าคุณกำลังนำความล้มเหลวหรือแม้แต่ความโง่เขลามาสู่อดีตเมื่อคุณทำซ้ำกลยุทธ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และสิ่งนี้นำไปสู่การนำอดีตที่ไม่ประสบความสำเร็จไปสู่อนาคต

แต่คุณต้องปลูกฝังรูปแบบหนึ่งของความคงทนให้กับอดีตแทน สร้างรูปแบบพฤติกรรมใหม่ แล้วอดีตที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่จะเปลี่ยนสมมติฐานของคุณเกี่ยวกับอนาคต

อย่างที่ฉันบอกไป นี่อาจดูเหมือนเป็นวิธีการมองสิ่งต่าง ๆ ที่แปลก แต่มันจะบังคับให้คุณคิดในรูปแบบใหม่ และนั่นคือสิ่งที่เราต้องการ

คุณต้องดำเนินการอะไรบ้างเพื่อปลูกฝังห่วงโซ่ความสม่ำเสมอใหม่ในอดีตของคุณ เพื่อที่คุณจะได้มั่นใจมากขึ้นในการทำนายอนาคตของคุณ

คุณจะเดาได้อย่างไร การกระทำที่ดีที่สุดคือสิ่งที่คุณทำเป็นประจำและสามารถทำต่อเนื่องได้อย่างน้อยหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำที่เราคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตที่เป็นไปได้ของผู้อื่น

ผู้ชายคนนี้กินอะไร? เขาเดทกับใคร? เขาไปทำงานที่ไหน? จำนวนเงินที่เขาซื้อคือเท่าไร? เขาใช้เวลาช่วงเช้าวันอาทิตย์อย่างไร?

การกระทำทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าเขากำลังจะไปที่ไหน บ่งบอกถึงทิศทางของชีวิต เหล่านี้คือนิสัย

การกระทำที่แท้จริงไม่ใช่แค่การคิด

คุณจะมีวิธีทำนายความสำเร็จแทนที่จะเป็นความล้มเหลวได้เมื่อคุณสร้างนิสัยใหม่ๆ ให้กับตัวเองแล้ว แต่จนกว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น การคาดการณ์หลักของคุณสำหรับอนาคตคือการที่คุณขาดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม หากคุณไม่เคยทำเช่นนี้ เป้าหมายและความตั้งใจของคุณก็จะอยู่เฉยๆ พวกเขาอาจจะไม่มีวันเป็นจริง

นิสัยเหล่านี้อาจเป็นวิธีคิดแบบใหม่แต่ถ้ามีความหมายก็จะพัฒนาไปสู่พฤติกรรมรูปแบบใหม่อย่างแน่นอน การไม่มีการกระทำใหม่ๆ หมายความว่าไม่มีโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต หากต้องการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องสร้างหลักฐาน และนี่ก็เท่ากับนิสัยใหม่ในชีวิต การไม่มีนิสัยใหม่เท่ากับการไม่มีการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานเกี่ยวกับอนาคต

การเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ได้เทียบกับสมมติฐานที่มีความผันผวน

ตอนนี้คุณสามารถสรุปได้ว่านิสัยชีวิตที่มีอยู่ของคุณเป็นประโยชน์ต่อคุณเป็นอย่างดี บางทีสมมติฐานของคุณเกี่ยวกับอนาคตอาจเป็นไปในเชิงบวก และคุณคาดหวังการคาดการณ์เชิงบวกแบบเดียวกันในอนาคต นี่เป็นสถานการณ์ที่ดี ฉันเองก็ดีใจกับสถานการณ์นี้ในหลายด้านของชีวิต เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นว่าถ้าฉันทำสิ่งที่ฉันทำตอนนี้ ชีวิตของฉันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกด้าน

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ได้ดี และสถานการณ์ดังกล่าวนั้นง่ายต่อการจัดการ เพราะหากคุณเพียงแค่รักษา "สถานะที่เป็นอยู่" ไว้ในนิสัยของคุณ คุณก็ทำได้ดี

อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ เราจะเน้นไปที่สถานการณ์ที่คุณไม่ชอบอนาคต คุณไม่ชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง บางทีสมมติฐานของคุณอาจเป็นลบหรือเป็นกลาง หรือเพียงแค่ไม่เป็นบวกเพียงพอสำหรับคุณ ในกรณีนี้ คุณต้องการเปลี่ยนแปลง

อย่าโกหกตัวเองหรือพูดเกินจริงถึงสิ่งที่นิสัยที่แท้จริงของคุณกำลังพาคุณไป จำไว้ว่า เราต้องการทั้งหมดนี้เพื่ออนาคตของเราเอง

ขอย้ำอีกครั้งว่าลืมความตั้งใจของคุณและมุ่งเน้นไปที่การทำนายอนาคตโดยอาศัยความน่าเชื่อถือ ข้อมูลที่ผ่านมา. อย่าคิดว่าคุณจะเพิ่มรายได้ต่อปีเป็นสองเท่าในปีนี้หากเพิ่มขึ้นเพียง 10% ในปีที่แล้ว

หากคุณไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้โดยประมาณ วิธีเดียวที่จะเปลี่ยนสมมติฐานโดยไม่เปลี่ยนความแม่นยำคือเปลี่ยนอดีต อาจจะต้องใช้เวลาแต่ก็ค่อนข้างเป็นไปได้ คุณสามารถเปลี่ยนอดีตได้ด้วยการแนะนำนิสัยชีวิตใหม่หรือเปลี่ยนนิสัยที่มีอยู่

แต่ทุกอย่างในชีวิตคุณจะเหมือนเดิมจนกว่าคุณจะเลิกนิสัยเก่าและหานิสัยใหม่มาแทนที่ นี่คือจุดที่คุณต้องใช้ความพยายามในการพัฒนาการเติบโตส่วนบุคคล

มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณ และเริ่มปลูกฝังรูปแบบใหม่ในชีวิตของคุณ และนำมันมาสู่ปัจจุบัน (ซึ่งจะกลายเป็นอดีตทันที) หากคุณไม่ทำเช่นนี้ สมมติฐานที่ซื่อสัตย์ของคุณจะไม่เปลี่ยนแปลง และคุณยังจะเดินตามเส้นทางของอดีตอีกด้วย

เลิกกับอดีต

ดูองค์ประกอบในอดีตที่เป็นตัวกำหนดการคาดการณ์ของคุณ นิสัยอะไรทำให้คุณทำนายอนาคตในทางลบ?

คุณอยู่ข้างๆ ตัวเองเมื่อคิดถึงนิสัยการกินหรือการนอนหลับของคุณหรือไม่? คุณหงุดหงิดกับนิสัยความสัมพันธ์ของคุณหรือไม่?

คุณได้ผลลัพธ์อะไรจากการทำงานในแต่ละวัน? การปฏิบัติทางจิตวิญญาณของคุณอยู่ที่ไหน? คุณใช้จ่ายเงินอย่างไม่ระมัดระวังหรือเปล่า?

การเปลี่ยนนิสัยอาจเป็นเรื่องยาก แต่วิธีที่ดีในการเริ่มต้นคือวิธี 30 วัน

หากคุณต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จริงจัง คุณมักจะคิดถึงการทำลายอดีต ทำลายรูปแบบในอดีตเหล่านี้ให้ล้าสมัย

สร้างการตัดการเชื่อมต่อจากอดีตโดยสมบูรณ์ในทันที เพื่อให้การคาดการณ์ในอดีตของคุณไม่มีความถูกต้อง... แม้ว่าจะหมายถึงการแลกเปลี่ยนความสะดวกสบายของความแน่นอนกับความรู้สึกไม่สบายของสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ก็ตาม เช่น ยุติความสัมพันธ์ที่สิ้นเปลืองพลังงานซึ่งสร้างทัศนคติเชิงลบมากเกินไป

กำจัดเพื่อนที่เกียจคร้านออกไปจากชีวิตของคุณ และเริ่มผูกมิตรกับผู้คนที่กระตือรือร้นและเป็นระเบียบมากที่สุด รู้สึกอิสระที่จะย้ายไปยังเมืองที่มีโอกาสทางการเงินและอาชีพที่ยอดเยี่ยม

หยุดกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพและเสนอเงิน 100 ดอลลาร์ให้กับใครก็ตามที่จับได้ว่าคุณทานอาหารเหล่านั้นในปีหน้า

ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไปอีก 30 วันข้างหน้าได้ หากคุณไม่สามารถหยุดอดีตด้วยการหยุดมันได้ มันก็จะกลายเป็นอนาคตของคุณอย่างแน่นอน

หากต้องการเปลี่ยนอนาคตให้เปลี่ยนอดีต

ลองพิจารณา 2 สถานการณ์ บิลและเท็ดต่างก็อยากเขียนหนังสือกันในตอนท้าย ปีหน้า. พวกเขาไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน

บิลไม่มีนิสัยชอบเขียนอะไรบางอย่างทุกวัน แต่เขามีเป้าหมายที่ชัดเจน เขารู้ว่าเขาต้องการเขียนหนังสือประเภทไหน เมื่อมีคนถามเขาว่าเขาทำงานอะไร เขาบอกว่ากำลังเขียนหนังสืออยู่ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคิดถึงหนังสือของเขาในช่วง 30 วันที่ผ่านมา เขายังร่างไอเดียบางอย่างให้เธอด้วยซ้ำ แต่เขาทำมันตามอารมณ์ของเขา

เท็ดไม่มีเป้าหมายหรือความตั้งใจเฉพาะในการเขียนหนังสือ เขาไม่ได้บอกใครว่าเขาเขียนมัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีบทอะไรอยู่ในนั้น แต่ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา เขาตื่นนอนเวลา 5.00 น. ทุกเช้า และทำงานจนถึง 7.00 น. ก่อนอาหารเช้า

เขาผลิตเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ประมาณ 2 หน้าต่อวัน เขาแค่ทำงานหนังสือของเขาตลอดเวลาก็แค่นั้นแหละ เขาทำเช่นนี้เป็นประจำและไม่ล้มเหลว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเขาที่จะทำให้เขาเสียสมาธิจากนิสัยนี้

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อ่านหนังสือจบภายในสิ้นปี คุณคิดว่าใคร?

วิธีการของใครที่ช่วยผลิตหนังสือให้เสร็จภายในหนึ่งปี?

คุณจะจัดการกับเรื่องดังกล่าวในชีวิตของคุณอย่างไร? และแนวทางของคุณทำงานอย่างไร?

ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของคุณสามารถคาดเดาได้หรือไม่?

เป้าหมายและสมมติฐาน

ตอนนี้อย่าเข้าใจฉันผิด เป้าหมายและความตั้งใจน่าทึ่งมาก การมีความคิดที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรต่อไปเป็นสิ่งสำคัญ แต่การตัดสินใจเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น

ถ้านั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำ ฉันคงทำได้แค่ทำนายความสำเร็จและความธรรมดาเท่านั้น ฉันเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วว่ารูปแบบดังกล่าวเกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนอย่างไร และผลลัพธ์ก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้เสมอ

คุณต้องคาดการณ์เป้าหมายและความตั้งใจของคุณในอดีตอย่างแม่นยำเพื่อสร้างสถานการณ์ที่ยืนยันว่าการคาดการณ์ของคุณเกี่ยวกับอนาคตนั้นแม่นยำ ด้วยวิธีนี้คุณจะเปลี่ยนหลักสูตรปกติของคุณ

การตั้งเป้าหมายใหม่ก็เหมือนกับการตั้งเป้าหมาย หลักสูตรใหม่ที่หางเสือเรือ

สร้างนิสัยใหม่ของการกระทำที่บอกว่า "เข้าร่วม! มีส่วนร่วม! ลงมือทำ!" มิฉะนั้น เรือแห่งชีวิตของคุณจะไม่มีวันแล่น...

เป็นไปได้ไหมที่จะเรียนรู้ที่จะทำนายอนาคต? ใช่อย่างแน่นอน! เรียนรู้เทคนิคอันน่าทึ่งสำหรับการเดินทางสู่อนาคต!

การเดินทางไปสู่อนาคตดึงดูดผู้คนมากมาย ผู้คนมักจะมองไปข้างหน้า ก้าวข้ามขีดจำกัด รู้ว่าเหตุการณ์จะพัฒนาไปอย่างไร และความปรารถนานี้เป็นลักษณะเฉพาะของผู้คนตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์

ล่าสุด การวิจัยทางวิทยาศาสตร์เมื่อรวมกับความรู้ลึกลับโบราณ พวกเขากล่าวว่ามีเพียงช่วงเวลา "ที่นี่และตอนนี้" เท่านั้นที่อนาคตและอดีตก็อยู่ในขณะนี้ด้วย!

และมีโอกาสที่จะมองเห็นอนาคตอย่างมีสติ!

ด้วยความช่วยเหลือจากสิ่งที่อธิบายไว้ในบทความนี้ คุณจะสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นและรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

คุณสามารถรับข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของคุณและเกี่ยวกับโลกทั้งใบ และนี่เป็นการเปิดโอกาสที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงสำหรับการเติบโตและความเป็นอยู่ที่ดีของคุณ!

ข้อกำหนดหลัก: สภาวะจิตสำนึกพิเศษ!

เพื่อที่จะมองเห็นอนาคต คุณต้องก้าวข้ามกาลเวลา! ซึ่งสามารถทำได้โดยการเข้าสู่สภาวะจิตสำนึกพิเศษ

ผู้คนอยู่ในนั้นทุกวันโดยไม่รู้ตัว สิ่งนี้จะปรากฏชัดที่สุดขณะหลับและทันทีหลังจากตื่นนอน เมื่อจิตใจอยู่ในภวังค์ (การทำสมาธิ²) งานของบุคคลคือการเรียนรู้ที่จะทำให้เกิดสภาวะนี้ในตัวเองเรียกว่าสภาวะของช่องว่างอย่างมีสติ

บนเว็บไซต์ของเราคุณจะพบเทคนิคต่าง ๆ ในการเรียนรู้ที่จะเข้าสู่สภาวะสติอื่น ๆ วิธีหนึ่งระบุไว้ในบันทึกย่อของบทความนี้

สถานะของช่องว่างสามารถเรียกได้ว่าเป็นความมึนงงลึกซึ่งได้รับการพัฒนาผ่านการฝึกอบรมเป็นประจำ

เทคนิคทำนายอนาคต!

1. ผู้ฝึกนั่งลง นั่งในท่าที่สบายแล้วหลับตา

ห้องที่จะจัดอบรมควรเงียบสงบ ไม่ควรมีใครหันเหความสนใจจากบทเรียน

2. บุคคลเริ่มผ่อนคลายกล้ามเนื้อของร่างกายโดยให้ความสนใจกับกลุ่มกล้ามเนื้อแต่ละกลุ่มตั้งแต่หัวจรดเท้า

3. จิตใจจะค่อยๆ ผ่อนคลายตามร่างกาย ผู้ปฏิบัติจะเข้าสู่สภาวะสมาธิอันบางเบา หน้าที่ของเขาคือเจาะลึกลงไปอีก

4. เขาเริ่มมีสมาธิ³ในการหายใจของเขา: โดยไม่รบกวนกระบวนการเขาเพียงสังเกตว่าการหายใจเข้าและหายใจออกเกิดขึ้นอย่างไรรู้สึกถึงทุกการเคลื่อนไหว

5. ผู้ฝึกจะค่อยๆ หลับไป ต้องตั้งสติ ไม่หลับ (โดยต้องตั้งสมาธิที่การหายใจ) จะค่อยๆ เข้าสู่สภาวะระหว่างนั้น

6. บุคคลหันจิตใจไปทางซ้ายแล้วเข้าสู่หมอกหนาทึบที่ซ่อนอนาคต

6. เมื่อเข้าสู่กลุ่มเมฆหมอกแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเห็นว่าประกอบด้วยเหตุการณ์และลำดับเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย ที่นี่คุณต้องระบุคำถามของคุณทางจิตใจ ออกเสียงชัดเจนและหนักแน่นว่า “ฉันอยากรู้ว่า...”

๗. เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง หมอกแห่งกาลเวลาก็เริ่มแปรเปลี่ยน ห่างไป จนเมื่อถึงจุดหนึ่งผู้ปฏิบัติจะมองเห็นได้ เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้

8. เมื่อบุคคลพบทุกสิ่งที่จำเป็นเขาจะขอบคุณเวลาที่ให้ความช่วยเหลือและขอให้เขากลับสู่สภาวะตื่นตัวตามปกติ

9. เมฆหมอกจะเริ่มหนาขึ้นรอบๆ ผู้ฝึกหัด ที่นี่คุณต้องเลี้ยวขวาแล้วเดินหน้ากลับสู่ปัจจุบัน

10. บุคคลสร้างความตั้งใจที่จะกลับคืนสู่ตัวเองหายใจเข้าลึก ๆ เล็กน้อย หลังจากนับถึงห้าแล้ว ให้เริ่มสัมผัสร่างกายของคุณอีกครั้ง

ความลับของรัฐช่องว่าง!

สถานะของระหว่างนั้นอยู่ในระดับที่ลึกมาก

ที่นี่คุณสามารถเดินทางข้ามเวลาและเข้าสู่สภาวะการทำสมาธิแบบลึกซึ้ง คำอธิษฐานที่กล่าวไว้ในสถานะนี้จะได้ยินโดยผู้สร้างอย่างแน่นอน ปรมาจารย์ที่แท้จริงอยู่ในระดับนี้และสามารถคาดการณ์อนาคตได้!

เพื่อที่จะเชี่ยวชาญเทคนิคที่อธิบายไว้ คุณต้องอดทนและฝึกฝนเป็นประจำทุกวันเป็นเวลาหลายเดือน ความสำเร็จขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความสามารถในการมีสมาธิและเข้าสู่การทำสมาธิ ผ่อนคลาย และจัดการอารมณ์

สิ่งที่สำคัญที่สุด: เพื่อจับสถานะของช่องว่าง! นี่จะเป็นความก้าวหน้าเชิงคุณภาพในการพัฒนาตนเองของคุณ โดยให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์!

การปฏิบัตินี้จะเชื่อมโยงคุณกับจิตสำนึกแห่งจักรวาล ซึ่งจะช่วยเพิ่มความคุ้มครองให้กับคุณและคนที่คุณรัก ขอแนะนำให้หันไปหาจิตสำนึกแห่งจักรวาลทุกเช้า ขอบคุณ และขอให้นำทางชีวิตของคุณไปตามเส้นทางที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด

หมายเหตุและบทความนำเสนอเพื่อความเข้าใจเนื้อหาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

¹ ความลึกลับคือองค์ความรู้ ข้อมูลที่ไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับผู้ที่ไม่ได้ฝึกหัด ผู้คนที่ไม่มีความรู้ในคำสอนลึกลับ วิธีพิเศษในการรับรู้ความเป็นจริงซึ่งมีเนื้อหาที่เป็นความลับและการแสดงออกใน "การปฏิบัติทางจิต" (วิกิพีเดีย)

² การทำสมาธิเป็นการออกกำลังกายทางจิตประเภทหนึ่งที่ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ศาสนา หรือสุขภาพ หรือสภาวะทางจิตพิเศษที่เกิดขึ้นจากการออกกำลังกายเหล่านี้ (หรือด้วยเหตุผลอื่น) (

การคาดการณ์ อดีตปัจจุบันอนาคต

ไม่มีอะไรที่เป็นมนุษย์ในคนมากไปกว่าความจำเป็นในการเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน

เฟดอร์ ทอยชอฟ

การทำงานของสนามเหตุผลของบุคคลในการสร้างพลังงานทางจิตทำให้บุคคลมีคุณสมบัติและความสามารถทางจิต แต่นี่ไม่ใช่ฟังก์ชันเดียวของฟิลด์นี้ สนามอัจฉริยะที่พัฒนาแล้วสามารถขยายขอบเขตคุณสมบัติและความสามารถของแต่ละบุคคลได้ ทำให้เขาสามารถโต้ตอบกับสนามพลังงานอื่น ๆ ในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกได้ ความสามารถทางจิต. บุคลิกภาพดังกล่าวถูกจัดอยู่ในประเภทผู้ทำนายและผู้มีญาณทิพย์ โดยการวิเคราะห์ความเป็นจริงโดยรอบ พวกเขาสามารถเห็นภาพของอดีตและอนาคต ทำนายเหตุการณ์บางอย่างได้ ยุคประวัติศาสตร์ทำนายการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและภัยพิบัติ

ความสามารถในการทำนายเหตุการณ์ ดูอดีต และวิเคราะห์ปัจจุบันนั้นขึ้นอยู่กับกลไกปฏิสัมพันธ์ของสนามพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ของสาขานำไปสู่การแลกเปลี่ยนข้อมูล ข้อมูลไม่สามารถเป็นพาหะของความว่างเปล่าสำหรับบุคคลได้มันถูกสร้างขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ของสนามพลังงานและเป็นแรงจูงใจสำหรับการกระทำหรือการโต้ตอบโดยเฉพาะ ข้อมูลสามารถส่งได้ทั้งในระดับกายภาพและระดับพลังงาน

ข้อมูลสามารถส่งผ่านได้ในระดับการสัมผัสทางกาย ภาพ การสนทนา สัญลักษณ์ จิตใจ จิตใจ และอื่นๆ อาจอยู่ในคุณลักษณะและสิ่งประดิษฐ์ของการดำรงอยู่ ผู้ให้บริการข้อมูลอาจเป็นวัตถุทางกายภาพที่มีต้นกำเนิดจากธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ได้แก่ วัตถุอวกาศ ทะเลและมหาสมุทร ดินและภูเขา หินและบรรยากาศ เมฆและภูเขาไฟ โดยทั่วไปแล้วทุกสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นโดยองค์ประกอบของธรรมชาติ วัตถุทางกายภาพแต่ละชิ้น ไม่ว่าจะเป็นของประดิษฐ์หรือจากธรรมชาติ ต่างก็มีสนามพลังงานของตัวเอง

โดยรวมแล้ว ผู้ให้บริการข้อมูลเหล่านี้ก่อตัวเป็นเขตข้อมูลระดับโลกของอารยธรรมมนุษย์ ภายในสาขามนุษยชาติทั่วโลก มีธนาคารข้อมูลจำนวนมากที่นำข้อมูลเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของมนุษยชาติ ธนาคารข้อมูลในยุคปัจจุบันประกอบด้วยคุณลักษณะและสิ่งประดิษฐ์ของการดำรงอยู่ในสังคม ขนาดการดำเนินงานในสังคม คุณค่าทางวัฒนธรรมและผลรวมของศักยภาพด้านพลังงานของทุกคนที่อาศัยอยู่บนโลกปัจจุบัน ในทุกสถานการณ์ที่เป็นไปได้ การวิเคราะห์ข้อมูลจากธนาคารข้อมูลนี้สามารถให้สถานการณ์ที่แม่นยำมากสำหรับการพัฒนาเหตุการณ์ในชีวิตของบุคคลหรือสังคม ธนาคารข้อมูลนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับปัจจุบัน!

อย่ามองข้ามความจริงที่ว่าชีวิตของทุกคนบนโลกของเรานั้นเป็นส่วนที่มองไม่เห็นของสสารรุ่นต่อๆ ไป นั่นก็คือพลังงานของจิตใจ มันสะสมอยู่ในวงโคจรใกล้โลกและประวัติศาสตร์ของมนุษย์นับหมื่นปี เริ่มตั้งแต่อดัมคนแรก มันถูกแปรสภาพเป็นกระแสพลังงานอันทรงพลังที่กระทำบนพื้นผิวโลก เช่น กระแสอากาศ หรือมหาสมุทร กระแสน้ำ ทุกความคิดของมนุษย์ ทุกการกระทำของมนุษย์ถูกสร้างขึ้นจากสนามเหตุผลของแต่ละบุคคล และทิ้งร่องรอยไว้ในสนามนี้ ซึ่งเราสามารถเรียกธนาคารข้อมูลของประวัติศาสตร์มนุษย์ได้อย่างถูกต้อง ธนาคารข้อมูลนี้นำข้อมูลเกี่ยวกับอดีต!

แต่เหนือสิ่งอื่นใด สนามอัจฉริยะของจักรวาลเองก็ทำงานอยู่ ธนาคารข้อมูลนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ในอนาคตมนุษยชาติ. ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละบุคคลและสังคม กระบวนการปรับเปลี่ยนประวัติศาสตร์ในอนาคตของมนุษยชาติจึงเกิดขึ้น พื้นที่ของจักรวาลช่วยให้มนุษยชาติได้สัมผัสกับสถานการณ์ที่เป็นไปได้ทั้งหมดสำหรับการพัฒนาเชิงลบของสังคม เมื่อต้องผ่านจุดเบ้าหลอมของสถานการณ์การพัฒนาเชิงลบที่เป็นไปได้ทั้งหมด มนุษยชาติจึงสามารถค้นพบสถานการณ์ที่แท้จริงเพียงแห่งเดียว ซึ่งจะไม่ขัดแย้งกับโลกที่สร้างขึ้นอย่างกลมกลืน ธนาคารข้อมูลนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับอนาคต!

ข้อมูลอารยธรรมมนุษย์ทั่วโลกเป็นแบบจำลองหลายชั้นของศักยภาพพลังงานอัจฉริยะประเภทต่างๆ สาขาเหตุผลของแต่ละบุคคล ซึ่งขึ้นอยู่กับคุณสมบัติและความสามารถบางประการ มีความสามารถในการโต้ตอบกับสาขาข้อมูลระดับโลกได้หลายระดับ และอ่านข้อมูลเกี่ยวกับทั้งปัจจุบัน อดีต และอนาคตของบุคคลและสังคมได้

ตัวอย่างเช่น ปฏิสัมพันธ์ของสนามอัจฉริยะของบุคคลกับธนาคารข้อมูลในปัจจุบันช่วยให้แต่ละบุคคลสามารถทำนายเหตุการณ์หนึ่งหรือเหตุการณ์อื่นในชีวิตเพื่อวิเคราะห์บางอย่างได้โดยขึ้นอยู่กับการเพิ่มคำศัพท์บางคำ ปรากฏการณ์ทางสังคมโดยที่ผลลัพธ์ที่คาดหวังจะใกล้เคียงหรือตรงกับผลลัพธ์ที่แท้จริงมาก วิธีการทำนายนี้มักดำเนินการในระดับจิตสำนึก แม้ว่าการทำนายเหตุการณ์ในระดับจิตใต้สำนึกอย่างแม่นยำจะไม่ใช่เรื่องแปลกก็ตาม ในกรณีนี้เป็นภาพที่เกิดจากชีวิตในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต ซึ่งยังคงต้องตีความตามพัฒนาการบุคลิกภาพของมนุษย์แต่ละบุคคล

แม้ว่าการทำนายปัจจุบันจะยากอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ก็ยากยิ่งกว่าในการทำนายเหตุการณ์ในอนาคต เพราะแต่ละวันใหม่ เฉดสีและแง่มุมใหม่ๆ ของยุคปัจจุบันคืบคลานเข้าสู่ลำดับของเหตุการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งเปลี่ยนองค์ประกอบทางประวัติศาสตร์ในการมองเห็น และวิถีทางที่มองไม่เห็น ในเรื่องนี้ คำพูดของนักตรรกศาสตร์โซเวียตและรัสเซีย นักปรัชญาสังคม และนักวิจารณ์ระบบทุนนิยมโลกอย่าง Alexander Zinoviev ฟังดูมีความเกี่ยวข้องมาก: “อนาคตไม่สามารถคาดเดาได้ แต่สามารถวางแผนได้ ประวัติศาสตร์คือความปรารถนาที่จะสอดคล้องกับแผนในระดับหนึ่งและรูปแบบหนึ่ง ปัญหาไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้น แต่คือสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้แน่ใจว่าประวัติศาสตร์เป็นไปตามเส้นทางที่เราปรารถนา นี่เป็นแนวทางในการดำเนินการ ไม่ใช่การคาดการณ์” ดูเหมือนสมเหตุสมผล - คุณสามารถวางแผนอนาคตโดยการเปรียบเทียบผลลัพธ์ของปัจจุบันและอดีตเพื่อเข้าใจพลวัตของการพัฒนามนุษย์และทำนายผลลัพธ์ที่วางแผนไว้ของอนาคต ในกรณีนี้ สามารถหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาด โศกนาฏกรรม และภัยพิบัติมากมายได้!

แต่ผลของการวางแผนของมนุษย์โดยปราศจากความรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์ที่แท้จริง กลับนำความเดือดร้อนมาสู่ประชาชน น่าเสียดายที่ในโลกของความเป็นจริงที่บิดเบี้ยว ประวัติศาสตร์เองก็รับใช้มนุษยชาติ เช่นเดียวกับที่ทหารราบรับใช้ในห้องรับแขกของปรมาจารย์ อาศัยอดีตที่บิดเบี้ยว อาศัยปัจจุบันที่เลวร้าย เป็นไปไม่ได้ที่จะวางแผนอนาคตโดยไม่ผิดพลาด ในเรื่องนี้ คำพูดของนักเขียนร้อยแก้วและนักเขียนเรียงความชาวรัสเซีย Boris Didenko นั้นเป็นเรื่องจริง: “มนุษยชาติควรละอายใจกับประวัติศาสตร์ในอดีต เช่นเดียวกับที่พวกเขาละอายใจกับการต่อสู้อย่างเมามันอย่างบ้าคลั่งเมื่อวานนี้ด้วยการฆ่าพี่น้อง จำเป็นต้องลบประวัติศาสตร์ออกจากฐานของวิทยาศาสตร์และศึกษาเหมือนประวัติศาสตร์ของโรค”

ประวัติศาสตร์ของการรุ่งเรืองและการล่มสลายของจักรวรรดิอ้างว่าไม่มีแผนการอันชาญฉลาด แม้แต่ความปรารถนาดีใดๆ ที่สามารถสร้างอนาคตที่มีความสุขโดยมีอดีตที่บิดเบี้ยวเป็นตัวส่วนและปัจจุบันเชิงลบเป็นตัวเศษ! ในขณะเดียวกัน, เรื่องจริงมีอยู่ในสาขาระดับโลกของมนุษยชาติ ในธนาคารข้อมูลทางประวัติศาสตร์ - มีความเป็นกลางและเป็นกลาง คนทันสมัยขาดโอกาสในการวิเคราะห์บทเรียนในอดีตเพราะเขาไม่มีความสามารถในการโต้ตอบกับสาขาข้อมูลระดับโลกของมนุษยชาติในระดับจิตสำนึก และที่นี่มีบทบาทแยกต่างหากสงวนไว้สำหรับคนสายพันธุ์พิเศษที่มีความสามารถพิเศษ พวกเขามีคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ - ในการโต้ตอบกับสาขาประวัติศาสตร์ของจักรวาลในระดับจิตใต้สำนึก บุคลิกดังกล่าว ได้แก่ นอสตราดามุสหรือแวนก้า

เราสามารถสรุปได้ว่าในกรณีนี้ การพัฒนาที่ครอบคลุมบุคลิกภาพของมนุษย์ ในพื้นที่ทางสังคมที่ได้รับการพัฒนาในเชิงบวก บุคคลจะสามารถโต้ตอบกับสาขาประวัติศาสตร์ของจักรวาลได้ในระดับจิตสำนึก แต่บุคคลเช่นนั้นและสังคมเช่นนี้ไม่มีอยู่จริง ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตหรือไม่ จิตสำนึกทางสังคมไม่ใช่หัวรถจักรที่สามารถชะลอความเร็วหรือหมุนได้ เขารีบไปตามเส้นทางหนึ่งที่ผู้สร้างรู้จัก และเส้นทางนี้อาจจะเป็นเส้นทางสุดท้ายสำหรับอารยธรรมของมนุษย์ ในการโต้ตอบกับธนาคารข้อมูลแห่งประวัติศาสตร์ของมนุษย์จำเป็นต้องมีการพัฒนาจิตใจมนุษย์เป็นพิเศษ แต่ในยุคของเรา หลักการทางสังคมเป็นปัจจัยยับยั้ง

หากเรากำลังพูดถึง Vanga เราต้องคำนึงว่าของขวัญที่เปิดเผยอย่างกะทันหันนั้นเกิดขึ้นอันเป็นผลมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติซึ่งทำให้เธอมองไม่เห็น แต่ทำให้เธอสามารถทำนายได้! เป็นไปได้มากว่าส่วนหนึ่งหรือส่วนหนึ่งของเปลือกสมองของสมองมนุษย์เนื่องจากการยับยั้งบางส่วนและการกระตุ้นของพื้นที่อื่น ๆ ในท้องถิ่นทำให้ความสามารถของสนามอัจฉริยะของแต่ละบุคคลเปลี่ยนแปลงไปในทันใดทำให้เขาสามารถได้รับประโยชน์สูงสุด ในทางที่ไม่คาดคิดเข้าสู่การโต้ตอบกับธนาคารข้อมูลแห่งประวัติศาสตร์มนุษย์ เรื่องราวที่คล้ายกันเกิดขึ้นเป็นระยะ

ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ยังมีการเกิดของบุคคลที่สามารถโต้ตอบกับสาขาข้อมูลระดับโลกของมนุษยชาติได้ในหลายระดับ เริ่มตั้งแต่ธนาคารข้อมูลในปัจจุบัน ธนาคารข้อมูลของประวัติศาสตร์มนุษย์ และธนาคารข้อมูลของ จักรวาลในระดับจิตสำนึก สำหรับบุคลิกดังกล่าว เราสามารถรวมผู้เผยพระวจนะ เช่น โซโรอัสเตอร์ พระพุทธเจ้า พระเยซู โมเสส โมฮัมเหม็ด ตลอดจนขงจื๊อและเล่าจื๊อ เราอาจรวมบุตรที่พิเศษของมนุษยชาติไว้ด้วย ถ้าเมื่อหลายหมื่นปีก่อนมนุษยชาติรู้จักการเขียนอยู่แล้ว น่าเสียดายที่ไม่มีแหล่งข้อมูลใดที่สามารถพิสูจน์ข้อสรุปนี้ได้ แม้ว่าจานสีทางศาสนาทั้งหมดจะชี้ไปที่แหล่งที่มาหลักแห่งเดียวของต้นกำเนิดของความศรัทธา บางทีร่องรอยของแหล่งกำเนิดดั้งเดิมนั้นไม่เพียงตั้งอยู่ในด้านประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเท่านั้น แต่ยังฝังรากลึกอยู่ในจิตวิญญาณมนุษย์ซึ่งแม้จะมียุคสมัยและการผจญภัยที่โชคร้ายของประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่ก็ยังเชื่อมโยงแก่นแท้ของมนุษย์เข้ากับพลังที่ให้ กำเนิดมัน

การทำนายเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติไม่เพียงมาจากผู้เผยพระวจนะเท่านั้นเพื่อเป็นการเตือน แต่ยังมาจากผู้มีญาณทิพย์และผู้ทำนายด้วยเป็นการทำนายเหตุการณ์ พวกเขาอธิบายภาพ Apocalypse ในอนาคตอย่างชัดเจนและเป็นความจริง ดังที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้ว่านี่จะเป็นภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อม หรือการมาถึงของกลุ่มต่อต้านพระเจ้า ซึ่งสัญญาไว้โดยศาสนาต่างๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด ท้ายที่สุดแล้ว เป็นครั้งแรกที่แนวคิดเรื่องวันสิ้นโลกแสดงออกมาใน "คัมภีร์ของศาสนาคริสต์" ซึ่งเป็นข้อความสุดท้ายของคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ ตามข้อความนี้ การสิ้นสุดของโลกจะเกิดขึ้นในไม่ช้าหลังจากการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเจ้า ผู้ทรงจะเอาชนะพลังแห่งความชั่วร้ายและดำเนินการพิพากษาครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นภัยพิบัติโลกก็จะปะทุขึ้น

ในศตวรรษที่ 16 แม้แต่นอสตราดามุสก็ทำนายเรื่องร้ายแรง ภัยพิบัติทางธรรมชาติก่อนเกิดเพลิงไหม้โลกครั้งใหญ่ที่จะเริ่มขึ้นภายในปี พ.ศ. 2543 ผู้ทำนายกล่าวถึงน้ำท่วม ความแห้งแล้ง และภัยพิบัติอื่นๆ คำทำนายที่เป็นลางไม่ดีของผู้ทำนายชาวฝรั่งเศสนั้นดูไม่น่าอัศจรรย์หากคุณจำคลังอาวุธนิวเคลียร์ที่มนุษยชาติมีอยู่ในปัจจุบันไม่ได้วิธีการสลายลูกเห็บและเมฆฝนและทำให้เกิดแผ่นดินไหว ผู้ทำนายหลายคนทำนายการระบาดของสงครามโลกครั้งที่ 3 ในปี 2000 ตัวอย่างเช่น เฮเลนา โรริช ผู้เผยพระวจนะชาวรัสเซียผู้โด่งดังที่สุดได้กล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าวันสิ้นโลกจะมาถึงในปลายศตวรรษที่ 20 ซึ่งตามคำพูดของเธอเองจะไม่มีวันสิ้นสุด ผู้มีญาณทิพย์ผู้โด่งดังแห่งศตวรรษที่ 20 - Alois Irlmayer ผู้ทำนายชาวเยอรมันและ Eduard Mayer ชาวสวิส - อ้างซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าพระเจ้าทรงส่งนิมิตโดยละเอียดเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สามมาให้พวกเขา ทั้งสองมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าสงครามจะเริ่มประมาณเดือนธันวาคม (อย่างไรก็ตาม แต่ละครั้งที่เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อหิมะตก)

นักวิทยาศาสตร์ชาวไบแซนไทน์ I. Chrysostomos ได้เขียนหนังสือพยากรณ์ชื่อ "Apocalypse" ในปี 395 ในนั้นเขากล่าวว่าประมาณปลายศตวรรษที่ 20 การรบกวนอย่างรุนแรงในความสมดุลทางนิเวศวิทยาและธรณีวิทยาจะเกิดขึ้นบนโลกของเรา หลังจากนั้นมันจะเปลี่ยนความเอียงของแกนหมุนของมัน จากนั้นยุคที่สงบสุขก็จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง การสิ้นสุดของโลกตาม Chrysostom จะมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของน้ำและอากาศซึ่งจะนำไปสู่การทำลายล้างตัวแทนครึ่งหนึ่งของสัตว์โลก ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็จะตายเช่นกัน: พวกเขาจะไม่สามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้ แผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดจะกลายเป็นเรื่องธรรมดา แมกม่าจะพุ่งขึ้นสู่ผิวโลก

คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการสิ้นสุดของโลก เช่น "การเปิดเผย" ของยอห์นนักศาสนศาสตร์ กลายเป็นประเด็นถกเถียงและถกเถียงกันมานานกว่าสองพันปี เขาไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามเกี่ยวกับวันที่หรือรายละเอียดอื่น ๆ ของภัยพิบัติทั่วโลกบนโลก แต่ภาพการทำลายล้างของโลกนั้นปรากฎใน "Apocalypse" ค่อนข้างชัดเจน: "และดวงอาทิตย์ก็มืดมิดเหมือนผ้ากระสอบและ ดวงจันทร์กลายเป็นเหมือนเลือด และดวงดาวในท้องฟ้าก็ตกลงสู่พื้นโลกเหมือนต้นมะเดื่อที่ถูกเขย่า ลมแรงทรงหยอดผลมะเดื่อที่ยังไม่สุก และท้องฟ้าก็หายไปม้วนงอเหมือนม้วนหนังสือ และภูเขาและเกาะทุกแห่งก็ย้ายออกจากที่ของตน” คำถามเกี่ยวกับวันที่แน่นอนของเหตุการณ์เลวร้ายที่ยอห์นนักศาสนศาสตร์เห็นนำไปสู่การเกิดขึ้นของสถานการณ์ต่างๆ มากมายสำหรับการสิ้นสุดของโลก หนึ่งใน ตัวอย่างล่าสุดเกี่ยวข้องกับปฏิทินของชาวมายันซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในปี 2555 เนื่องจากผลการทำลายล้างของดวงอาทิตย์

อย่างไรก็ตาม ธีมของ "Apocalypse" เช่น "Doomsday" เช่น "The End of the World" ไม่สามารถทำให้อากาศตกตะลึงได้ง่ายๆ ไม่เพียงแต่ศาสนาเท่านั้นที่ถกเถียงกันอย่างถึงพริกถึงหัวข้อวันสิ้นโลก แต่ยังรวมถึงวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งให้ตัวอย่างที่น่าเชื่อถือของการพัฒนาเชิงลบของมนุษยชาติ โดยที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และกิจกรรมอื่น ๆ สามารถเป็นแหล่งของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ชีวภาพ ธรรมชาติ และอื่นๆ ภัยพิบัติ มีข้อมูลมากมายมหาศาลจากแหล่งข้อมูลทุกประเภทที่นำข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับอนาคตของมนุษยชาติมาสู่ยุคปัจจุบัน

แต่อนาคตก็ไม่รีบร้อนที่จะเปิดเผยความลับแก่คนรุ่นเดียวกัน “อนาคตดำเนินไปอย่างเชื่องช้าอย่างสง่างาม อดีตยืนหยัดในความเงียบงัน และปัจจุบันบินไปราวกับลมบ้าหมู” อาเธอร์ โชเปนเฮาเออร์ นักปรัชญาชาวเยอรมัน ตั้งข้อสังเกต คำพูดของ Arthur Schopenhauer ยืนยันความคิดเกี่ยวกับโครงสร้างหลายชั้นของโลกซึ่งมนุษย์เองแสดงให้เราเห็นตัวอย่างของโครงสร้างหลายระดับของสสาร ท้ายที่สุดแล้ว ร่างกายมนุษย์ซึ่งมีเอกราชแบบองค์รวมนั้นมีหลายชั้น ตั้งแต่เนื้อเยื่อกระดูก เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อ และลงท้ายด้วยของเหลว เนื้อเยื่อกระดูกเปราะบางและแข็งแรงกระบวนการก่อตัวตลอดจนการทำลายล้างนั้นต้องใช้เวลามาก เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นและเป็นพลาสติกมากกว่ามากในขณะที่ของเหลวนั้นรวดเร็วและชั่วคราว

ภายในธรรมชาติของมนุษย์ เราพบคุณสมบัติและความสามารถมากมายที่สะท้อนถึงคุณลักษณะสำคัญของสสาร นอกจากนี้ยังมีความเข้มข้นในการจัดการอวัยวะและระบบต่าง ๆ ของร่างกายหลายระดับโดยกำหนดคุณสมบัติและความสามารถที่เหมาะสมของบุคคล เซลล์สิ่งมีชีวิต อวัยวะ และระบบต่างๆ ของร่างกาย ส่วนกลาง ระบบประสาทและสมอง เช่นเดียวกับเปลือกสมองและสนามเหตุผลของมนุษย์ ซึ่งเป็นที่กำเนิดพลังงานของจิตใจ ซึ่งวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่รู้จัก ร่างกายมนุษย์มีตราประทับของเวลาอยู่ในตัวมันเอง ซึ่งไม่เพียงแต่มีข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งที่มาดั้งเดิมเท่านั้น หรืออีกนัยหนึ่งคือเกี่ยวกับอดีต แต่ยังรวมถึงปัจจุบันและอนาคตด้วย!

ส่วนหนึ่ง การดำรงอยู่ของสาขาประวัติศาสตร์ได้รับการพิสูจน์ด้วยคำพูดของ Vanga เอง เมื่อถูกถามว่าเธอได้รับข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้อย่างไร เธอตอบว่า “ข้อมูลเหล่านั้นมาด้วยตัวเอง สำหรับพวกเขาแล้ว ฉันคือประตูสู่โลกนี้” บางครั้งข้อความของเธอมีความสอดคล้องกันของสูตรทางคณิตศาสตร์ ตัวอย่างเช่นสิ่งนี้:“ เมื่อมีคนยืนอยู่ต่อหน้าฉันผู้เป็นที่รักซึ่งเสียชีวิตไปแล้วทั้งหมดก็มารวมตัวกันรอบตัวเขา พวกเขาถามคำถามฉันเองและตอบคำถามของฉันด้วยความเต็มใจ สิ่งที่ฉันได้ยินจากพวกเขา ฉันส่งต่อไปยังคนเป็น” คำตอบของ Vanga ยืนยันความถูกต้องของทฤษฎีที่ถูกหยิบยกขึ้นมาว่าชีวิตมนุษย์ไม่ได้จบลงด้วยการตายของบุคคลด้วยการจากไปอีกโลกหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการตายของบุคคลนั้นไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นชีวิต แต่ก็ไม่ใช่ความตายอย่างแน่นอน! นี่คือสถานะพลังงานที่แตกต่างซึ่งไม่สามารถอธิบายได้ด้วยศาสนาโลกหรือวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

เราสามารถสันนิษฐานได้ว่าภายในขอบเขตวงโคจรใกล้โลกนั้น มีศักยภาพของพลังงานเกิดขึ้น ซึ่งก่อให้เกิดฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของสาขาข้อมูลทั่วโลกของมนุษยชาติ เราจะไม่เข้าใจผิดหากเราสันนิษฐานว่ามันประกอบด้วยองค์ประกอบเชิงบวกของพลังงานที่สะสมอยู่ภายในขอบเขตวงโคจรใกล้โลกตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ สารนี้ถูกจัดเรียงในระดับย่อยอะตอม ในกรณีนี้ คำถามเกิดขึ้น: ศักยภาพของพลังงานเชิงลบจะไปอยู่ที่ไหน? เราสามารถสรุปได้ว่าศักยภาพด้านพลังงานนี้กลับคืนสู่มนุษยชาติ พลังงานส่วนหนึ่งถูกเปลี่ยนให้เป็นคุณลักษณะและสิ่งประดิษฐ์ของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ส่วนหนึ่งแสดงให้เห็นในระดับคุณค่าทางวัฒนธรรม ในขณะที่ส่วนหลักสะสมในคุณภาพและความสามารถของแต่ละบุคคล มนุษยชาติ น่าอัศจรรย์มากมีส่วนร่วมในกระบวนการแลกเปลี่ยนพลังงานที่ซับซ้อนที่สุด

ความคิดของมนุษย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าความสามารถของสนามเหตุผลของบุคคลในการสร้างพลังงานทางจิต และถ้ามันไม่ขัดแย้งกับโลกที่สร้างขึ้นอย่างกลมกลืน มันก็จะสะสมภายในวงโคจรใกล้โลกเป็นสสารพลังบางอย่าง และถ้าบนโลกนี้ผู้คนถูกแบ่งแยกตามสัญชาติ แบ่งออกเป็นญาติ พ่อและแม่ พี่น้อง ดังนั้นในเนื้อหานี้ พลังของจิตใจแสดงถึงสภาวะองค์รวมที่แน่นอน

มันเกิดขึ้นค่อนข้างแตกต่างกับองค์ประกอบของพลังงานอัจฉริยะซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาที่อ่อนแอ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพลังงานด้านลบ จิตใจของมนุษย์. มันเกิดขึ้นจากความเกียจคร้าน ความกลัว และความชั่วร้ายของมนุษย์ กลไกของจักรวาลไม่อนุญาตให้มีการสะสมพลังงานเชิงลบในวงโคจรใกล้โลก บางครั้งเมื่อเดินทางอยู่ในวงโคจรใกล้โลก มันจะกลับคืนสู่มนุษยชาติผ่านกลไกการแลกเปลี่ยนพลังงานที่ซับซ้อน

เนื่องจากธรรมชาติและสาระสำคัญของมนุษย์มนุษย์จึงเป็นภาชนะหรือแหล่งกักเก็บสำหรับการดูดซับพลังงานอันชาญฉลาด สนามอัจฉริยะของเขาเปรียบได้กับฟองน้ำซึ่งมีความสามารถในการดูดซับพลังงานอิสระของจิตใจที่อยู่รอบ ๆ เปลี่ยนให้เป็นคุณสมบัติและความสามารถของแต่ละบุคคล ปริมาณพลังงานเชิงลบที่ล่องลอยอย่างอิสระภายในวงโคจรของโลกจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการพัฒนาทางเทคโนโลยีและวัฒนธรรมของสังคม ซึ่งยิ่งก้าวร้าวมากขึ้นสำหรับโลกแห่งความสามัคคีที่อยู่รอบตัวมนุษย์

ข้อพิสูจน์ของข้อเท็จจริงนี้คือจำนวนการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่เพิ่มขึ้นบาดแผลทางจิตใจและจิตใจของสมองความอุดมสมบูรณ์ของโรคและโรคที่มีมา แต่กำเนิด - ทั้งหมดนี้คือการกระทำของกลไกที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแก่นแท้ของมนุษย์ - เพื่อเป็นแหล่งกักเก็บสำหรับทุกประเภท ศักยภาพด้านพลังงาน เป็นไปไม่ได้ที่บุคคลจะปกป้องตนเองจากการพ่ายแพ้ของศักยภาพเชิงลบของพลังงานในระบบพิกัดที่ซึ่งความชั่วร้ายของมนุษย์ครอบงำอยู่

แต่มีความเป็นไปได้ที่จะจำกัดความอิ่มตัวของวงโคจรใกล้โลกที่มีศักยภาพพลังงานเชิงลบจากนั้นจึงกำจัดความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นโดยสิ้นเชิง กุญแจสำคัญในการแก้ปัญหานี้อยู่ที่มนุษย์และในสังคมมนุษย์ งานนี้ไม่สามารถแก้ไขได้ในชั่วข้ามคืน - ด้วยความพยายามง่ายๆ มนุษยชาติทั้งปวงจะต้องใช้ความพยายามอย่างอุตสาหะเป็นเวลาหลายร้อยปี เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ที่จะกำจัดภัยคุกคามที่เกิดจากศักยภาพด้านลบของพลังงาน ทั้งต่อตัวบุคคลและสังคมมนุษย์ และต่อโลกที่สร้างขึ้นอย่างกลมกลืน

น่าเสียดายที่คนๆ หนึ่งกลายเป็นคนคิดลบไม่ใช่ด้วยความตั้งใจของเขาเอง และไม่ใช่ด้วยความตั้งใจของเขาในฐานะเครื่องมือเดียวของเขา องค์กรสาธารณะคือการบ่มเพาะความกลัว แต่อาศัยเพียงความกลัว มนุษยชาติจึงสามารถประดิษฐ์กฎที่จำกัดความชั่วร้ายได้เท่านั้น แต่ไม่ได้สร้างความดี

ปริมาณพลังงานเชิงลบที่สะสมอยู่ในวงโคจรของโลกเมื่อนานมาแล้วก็เพียงพอที่จะทำลายอารยธรรมของมนุษย์ได้ สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าจำนวนวิญญาณมนุษย์ที่เกิดขึ้นใหม่สามารถดูดซับศักยภาพด้านลบของพลังงานได้ ผู้คนกลายเป็นภาชนะที่ความชั่วร้ายซ่อนตัวอยู่และอยู่ภายใต้การควบคุมของสังคม ซึ่งด้วยการปลูกฝังความกลัว ยังสามารถยับยั้งมันได้ แต่หากมีพลังงานด้านลบมากเกินกว่าที่มนุษยชาติจะย่อยได้ การเริ่มต้นของวันสิ้นโลกก็จะหลีกเลี่ยงไม่ได้ คนรุ่นใหม่แต่ละคนดูดซับศักยภาพด้านลบของพลังงานอีกส่วนหนึ่ง ดูดซับและแสดงออกมาในคุณสมบัติและความสามารถของแต่ละบุคคล โดยไม่ต้องพยายามแก้ไขมัน

ในเรื่องนี้หัวข้อของ "พันล้านทองคำ" ฟังดูน่าสงสัยมากเพราะศักยภาพเชิงลบของพลังงานจะบดขยี้พันล้านนี้โดยเปลี่ยนดาวเคราะห์ให้กลายเป็นเมฆหรือฝุ่น มนุษยชาติควรมีทัศนคติที่แตกต่างกันต่อการลงโทษนักโทษ เช่นเดียวกับโทษประหารชีวิตสำหรับอาชญากร การฆ่าบุคคล แม้ว่าจะกระทำเพื่อเป็นการแก้แค้น แต่จะปล่อยพลังงานด้านลบอีกส่วนหนึ่งออกจากแหล่งกักเก็บ นั่นก็คือร่างกายมนุษย์ ซึ่งจะถูกส่งกลับคืนสู่จักรวาล แต่ พลังงานเชิงลบไม่สามารถสะสมได้ในวงโคจรใกล้โลก ศักย์พลังงานนี้ค้นหาแหล่งกักเก็บใหม่ และพบอีกครั้งและครอบงำคุณสมบัติและความสามารถของบุคลิกภาพใหม่อีกครั้ง

สำคัญสำหรับ วันนี้เป็นการลงโทษผู้กระทำผิดที่ไม่รวมถึงโทษประหารชีวิต การรักษาชีวิตของแม้แต่วายร้ายฉาวโฉ่ก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ไม่ใช่การลงโทษ แต่การแก้ไขคนวายร้ายเมื่อคุณสมบัติและความสามารถของบุคคลตรงข้ามกับเขาโดยตรง ชีวิตที่ผ่านมาเมื่อสนามอัจฉริยะของเขาสร้างศักยภาพเชิงบวกของพลังงานโดยเฉพาะ มันมีความหมายต่อจักรวาลมากกว่าบุคคลที่การเชื่อฟังถูกจำกัดโดยกฎของรัฐและกฎศีลธรรมสาธารณะ น่าเสียดายที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไม่สามารถจดจำกรณีดังกล่าวได้ และหากเกิดขึ้นก็เป็นเพียงในนิยายเท่านั้น

ไม่เพียงแต่บุคคลจะก่ออาชญากรรมเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสังคมด้วย ซึ่งภายใต้เงื่อนไขของความเป็นจริงที่บิดเบี้ยว ทำให้บุคคลไม่มีโอกาสต่อต้านความชั่วร้ายและป้องกันไม่ให้บุคคลพัฒนาตนเอง การปรับปรุงของบุคคลจะต้องเกิดขึ้นในความคิดของเขาซึ่งคูณด้วยการกระทำและการกระทำที่ดี จำเป็นและต้องไม่เพียงแต่ใช้ตัวบุคคลในการแก้ไขแก่นแท้ของตนเท่านั้น แต่ยังต้องบังคับสังคมให้รับใช้บุคคลที่มีความคิดเชิงบวก มีความคิดดี และฉลาดด้วย และจนกระทั่งสิ่งนี้เกิดขึ้น มนุษยชาติก็ถูกคุกคามโดย Apocalypse

แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับศักยภาพเชิงบวกของพลังงาน? เรายังไม่รู้ว่ามันจะเป็นพอร์ทัลกาลอวกาศหรือกระแสอนุภาคที่สามารถครอบคลุมระยะทางขนาดมหึมาได้ในพริบตา แต่เรารู้อย่างชัดเจน - ไม่มีชีวิตมนุษย์ที่มีความหมายแม้แต่ชีวิตเดียวที่ได้ออกจากโลกมนุษย์ไปโดยปราศจาก ติดตาม - มีอนุภาคอย่างน้อยหนึ่งอนุภาคยังคงอยู่ในขอบเขตวงโคจรใกล้โลก พลังงานส่วนบวกที่สะท้อนอยู่ในความคิดของมนุษย์เป็นพื้นฐานสำหรับการสร้างจักรวาลใหม่ ในระบบพิกัดนี้ ไม่มีชีวิตมนุษย์สักคนเดียวที่สามารถหายไปจากการไม่มีตัวตนได้ เพราะว่าการไม่มีตัวตนนั้นไม่มีอยู่จริงจนกว่าจะเกิดการทำลายล้างสสาร และเนื่องจากวันสิ้นโลกยังไม่มา จึงมีเหตุผลทุกประการที่จะสรุปได้ว่าความคิดของมนุษย์ทุกคนในประวัติศาสตร์อันยาวนานของมนุษยชาติ และด้วยเหตุนี้บุคลิกภาพของมนุษย์ทุกคนจึงไม่ได้จมลงในทิศทางที่ไม่รู้จัก ทุกอนุภาคของพลังบวกคือการเกิดใหม่ของมนุษยชาติในมิติใหม่และในจักรวาลใหม่ หน้าที่ของผู้เกิดมาทุกคนไม่เพียงแต่ต้องรู้สิ่งนี้เท่านั้น แต่ยังใช้ความเข้มแข็งของจิตวิญญาณ คุณสมบัติและความสามารถ ความรู้และทักษะของเขาไปในทิศทางของการพัฒนาเชิงบวกของแต่ละบุคคลและสังคม เพื่อที่จะไม่ประหยัด มีเพียงบรรพบุรุษของเขาและตัวเขาเองจากการถูกลืมเลือน แต่ยังรวมถึงคนรุ่นต่อ ๆ ไปด้วย!

งานนี้ถูกซ่อนไว้ด้วยความรู้และทักษะเท็จเกี่ยวกับเป้าหมายและวัตถุประสงค์ ชีวิตมนุษย์. ความอิ่มตัวอันไม่มีที่สิ้นสุดของจิตวิญญาณมนุษย์ที่เพิ่งเกิดใหม่ที่มีศักยภาพด้านลบของพลังงานนั้นเป็นไปไม่ได้หากเพียงเพราะอัตราการเกิดได้ลดลงแล้วในประเทศที่พัฒนาแล้วทางเศรษฐกิจหลายแห่ง มนุษยชาติกำลังเสื่อมถอยลง และความพินาศของอารยธรรมมนุษย์อาจไม่สามารถกลับคืนสภาพเดิมได้ คำพูดคำจา = 95ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2300 การกำเนิดของบุคคลที่มีการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมและข้อความที่ฝังลึกเพื่อทำลายโลกแห่งความสามัคคีที่ล้อมรอบเราจะสร้างภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ที่ปลอดภัยของจักรวาลนั่นเอง แต่สถานการณ์นี้ถูกแยกออกด้วยเหตุผลง่ายๆ เนื่องจากจักรวาลมีกลไกการป้องกันที่จะเริ่มเมื่อถึงมวลวิกฤติ

สนามจักรวาลทั่วโลกจะริเริ่มกลไกในการอนุรักษ์สสารซึ่งจะทำลายธรรมชาติของอารยธรรมมนุษย์โดยสิ้นเชิง การสร้าง "หลุมดำ" จะเริ่มขึ้น - การกระทำที่จะรักษาพลังงานของธรรมชาติและพลังงานแห่งเหตุผลสำหรับจักรวาลใหม่ นี่จะเป็นวันสิ้นโลกที่แท้จริงสำหรับมนุษยชาติ สถานการณ์อื่นๆ ทั้งหมดที่แสดงให้เราเห็นภาพของภัยพิบัติทางธรรมชาติ จักรวาล หรือสังคม ไม่เกี่ยวข้องกับ Doomsday หรือ Apocalypse! จุดจบที่แท้จริงของโลกจะมาพร้อมกับการหายสาบสูญของอารยธรรมมนุษย์ทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ของเรา ความอุดมสมบูรณ์ของสายพันธุ์และรูปแบบชีวิตมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ ตัวมนุษย์เองและสังคมมนุษย์ จะไม่มีร่องรอยของอารยธรรมที่สร้างศักยภาพด้านพลังงานเชิงลบในจักรวาล ศักยภาพด้านพลังงานเชิงบวกที่เกิดขึ้นในช่วงประวัติศาสตร์อันสั้นของมนุษยชาติจะคงอยู่ในจักรวาลใหม่ จะเป็นเพียงสุญญากาศหรือดาวเคราะห์ที่สิ่งมีชีวิตจะเกิดขึ้นเรายังไม่รู้ เราสามารถสันนิษฐานได้ว่าพลังงานนี้จะกลายเป็นพื้นฐานของสสารใหม่และจักรวาลใหม่

สถานการณ์ของการทดลองในอนาคต การทำนายลางร้ายเรื่องวันสิ้นโลก ไม่ใช่แค่อากาศร้อนเท่านั้น พวกเขาพูดโดยบุคคลพิเศษ ซึ่งพิสูจน์ความสามารถของศาสดาพยากรณ์ในการโต้ตอบกับสาขาทั่วโลกของมนุษยชาติในระดับของสาขาอัจฉริยะของตนเองและในสาขาของจักรวาล สถานการณ์เดียวกันนี้อาจเป็นพื้นฐานสำหรับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนว่าการกำเนิดของศาสดาพยากรณ์นั้นเริ่มต้นจากส่วนลึกของอวกาศสากล จักรวาลได้สร้างเงื่อนไขที่เหมาะสมสำหรับการกำเนิดของศาสดาพยากรณ์ ซึ่งริเริ่มเงื่อนไขที่จำเป็นทั้งหมดสำหรับการกำเนิดของบุคคลที่มีคุณสมบัติและความสามารถเฉพาะตัว ท้ายที่สุดการปรากฏตัวของผู้เผยพระวจนะนั้นเต็มไปด้วยตำนานและตำนานซึ่งปรากฏการณ์ของจักรวาลมีบทบาทสำคัญในการกำเนิดและกิจกรรมการทำนายของพวกเขา

แต่แสดงความสามารถพิเศษในการทำนายอนาคตความสามารถในการให้ ลักษณะที่แท้จริงทั้งในอดีตและปัจจุบัน ศาสดาพยากรณ์ทุกคนแสดงท่าทีหมดหนทางในการวิเคราะห์เหตุการณ์ปัจจุบันโดยไม่มีข้อยกเว้น เรื่องนี้เป็นกรณีของพระเยซูเจ้าเมื่อผู้แทนเองและพวกมหาปุโรหิตส่งพระองค์ไปยังกลโกธาด้วยสติที่ถูกต้อง เรื่องนี้เป็นกรณีของพระมูฮัมหมัดที่ซ่อนตัวจากผู้ข่มเหงเขาจากมักกะฮ์ในเมดินา นี่เป็นกรณีของโมเสสที่ถูกขับไล่ออกจาก อียิปต์โดยฟาโรห์เอง

เห็นได้ชัดว่าสนามแห่งจักรวาลไม่ทางใดก็ทางหนึ่งกำลังพยายามยับยั้งการพัฒนาเชิงลบของอารยธรรมมนุษย์ส่งเสริมการกำเนิดของบุคคลที่สนามอัจฉริยะสามารถโต้ตอบผ่านสนามข้อมูลของอารยธรรมกับสนามของจักรวาล . แต่ดังที่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็น ผู้เผยพระวจนะได้เปิดเผยคุณสมบัติอันน่าอัศจรรย์ ซึ่งบ่งชี้ว่าขาดการวิเคราะห์ข้อมูลที่มาจากสาขาที่แท้จริงของมนุษยชาติโดยสิ้นเชิง “ผู้แสวงหาไขว่คว้าอนาคตและทิ้งปัจจุบันไปจากมือของเขา” วิลเฮล์ม ฟิชเชอร์ นักแสดงชาวออสเตรียสรุป สูตรนี้แสดงให้เห็นชีวิตของบุคคลพิเศษอย่างสมบูรณ์แบบซึ่งกลายมาเป็นศาสดาพยากรณ์ตามความประสงค์แห่งโชคชะตา “โชคชะตาไม่ได้เปิดประตูใดๆ โดยไม่ล็อคประตูอีกบานไปพร้อมๆ กัน” วิกเตอร์ อูโก นักประพันธ์ กวี และนักเขียนบทละครชาวฝรั่งเศสกล่าว เมื่อเปิดประตูสู่อดีตและอนาคตของมนุษยชาติ โชคชะตาก็ปิดประตูแห่งปัจจุบัน เปลี่ยนชีวิตของศาสดาพยากรณ์ให้กลายเป็นชีวิตที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและความทุกข์ทรมาน อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่ผู้เผยพระวจนะเท่านั้นที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ แต่ยังรวมไปถึงกลุ่มบุคคลที่นิยมเรียกว่านักดูลายมือ ผู้มีญาณทิพย์ หมอดู ผู้พยากรณ์ และผู้ทำนายด้วย

หากส่วนหนึ่งของศักยภาพพลังงานเชิงลบกลับคืนสู่มนุษยชาติ เราจำเป็นต้องวิเคราะห์การกระทำของกลไกนี้ เป็นไปได้มากว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นในครรภ์ การก่อตัวของธรรมชาติและแก่นแท้ของบุคคลในอนาคตเกิดขึ้นภายใต้อิทธิพลของพลังภายในร่างกายของแม่และยังทำหน้าที่นอกร่างกายของเธอด้วย หากธรรมชาติของมารดาตลอดจนแก่นแท้ของเธอไม่ถูกภาระด้วยคุณธรรมและศีลธรรม สนามแห่งเหตุผลที่กำลังจะเกิดขึ้น ผู้ชายตัวเล็ก ๆปราศจากการคุ้มครองของมารดา กลายเป็นเป้าหมายของศักยภาพด้านลบของพลังงาน ศักยภาพของพลังงานนี้จะแทรกซึมทั้งธรรมชาติและแก่นแท้ของบุคคลในอนาคตโดยไม่ต้องเผชิญกับการต่อต้าน

สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่ความผิดปกติทางพันธุกรรม ความเสียหายต่อจิตใจและจิตใจต่อสมองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคุณสมบัติและความสามารถของจิตใจที่ในอนาคตอาจแสดงออกมาในอาชญากรรมที่เลวร้ายที่สุดต่อบุคคลและสังคม ร่องรอยของเหตุการณ์เชิงลบที่กำลังจะเกิดขึ้นสามารถถูกเข้ารหัสภายในร่างกายมนุษย์ได้ เช่น ตามแนวแขน ในม่านตา ในโครงสร้างของแขนขา ในพื้นที่อื่นๆ จำนวนมากของร่างกายมนุษย์ บ่อยครั้งที่สัญญาณบนเส้นมือมนุษย์หรือในส่วนอื่น ๆ ของร่างกายมนุษย์มีข้อมูลเกี่ยวกับอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของบุคคล เส้นบนฝ่ามือของมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากการรวมตัวกันของสนามพลังงานที่หลากหลาย โดยเริ่มจากสนามของจักรวาลและสิ้นสุดด้วยสนามของเวลาปัจจุบันในครรภ์

ความเชื่อมโยงของเส้นกับลักษณะนิสัยและชีวิตในอนาคตของบุคคลนั้นมีหลักฐานจากงานเขียนเกี่ยวกับวิชาดูเส้นลายมือโบราณ ข้อโต้แย้งเหล่านี้ได้รับการยืนยันในการวิจัยสมัยใหม่ นักวิทยาศาสตร์พบว่าปลายประสาทหลายร้อยเส้นที่อยู่ในฝ่ามือนั้นสัมผัสกับสมองอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจึงสันนิษฐานได้ว่าหากการตีความที่ถูกต้อง เส้นของมือสามารถกลายเป็นกระจกสะท้อนลักษณะนิสัยของมนุษย์ได้ และการวิเคราะห์เหตุการณ์จริงนำไปสู่ชะตากรรมของเขาตั้งแต่ตัวละครมนุษย์ซึ่งนักดูลายมือที่มีความสามารถสามารถเป็นพื้นฐานของการทำนายอย่างใดอย่างหนึ่งได้

แม้ว่าข้อเท็จจริงที่ว่าการถกเถียงเกี่ยวกับความสามารถของหมอดูและผู้พยากรณ์ยังคงไม่หยุดหย่อน แต่เราต้องยอมรับว่าคุณลักษณะหลายอย่างของตัวละครมนุษย์นั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่นเดียวกับเส้นที่เป็นเอกลักษณ์บนฝ่ามือ เช่นเดียวกับโครงสร้างของม่านตา ลายนิ้วมือและคุณสมบัติอื่น ๆ ของร่างกายและลักษณะของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง เราสามารถสรุปได้ว่าเครื่องหมายบนร่างกายมนุษย์สามารถถูกทิ้งไว้โดยศักยภาพด้านลบของพลังงานเท่านั้น เปรียบเสมือนอนุมูลอิสระที่แสวงหาที่หลบภัยในแหล่งน้ำแห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นร่างกายมนุษย์หรือจิตใจของมนุษย์ และทิ้งร่องรอยของการมีอยู่ไว้

หมอดู นักดูลายมือ หรือผู้มีญาณทิพย์ไม่สามารถมองเห็นจุดเริ่มต้นเชิงบวกในชีวิตของบุคคลได้ ชะตากรรมของพวกเขาคือการเห็นด้านลบของชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ความปรารถนาที่จะมั่งคั่ง ความสุข การค้นหาคู่หมั้นหรือผู้เป็นที่รัก ตลอดจนแรงบันดาลใจอื่นๆ มากมายเกี่ยวกับบุคลิกภาพของมนุษย์ ยืนยันการมีอยู่ของหลักการครอบครองและการบริโภคที่ต่ำในวัฒนธรรมของมนุษย์ และไม่ใช่ชะตากรรมของมนุษย์ที่แท้จริง ด้วยเหตุนี้ ตราบใดที่บุคคลหนึ่งสนองความอยากรู้อยากเห็นของเขาโดยหันไปพึ่งหมอดูและนักดูลายมือ สถานการณ์ Apocalypse สำหรับสังคมมนุษย์ทั้งหมดก็ยังคงอยู่

แม้ว่าหมอดูจะสามารถทำนายเหตุการณ์นี้หรือเหตุการณ์นั้นในชีวิตของคน ๆ หนึ่งหรือคนนั้นได้อย่างนาทีต่อนาที แต่พวกเขาเองก็ไม่สามารถอธิบายการทำงานของกลไกได้ บ่อยครั้งที่ภาพชีวิตในอนาคตของพวกเขาปรากฏในระดับจิตใต้สำนึก เหมือนกับภาพที่เกิดขึ้นพร้อมกันจากแหล่งข้อมูลหลายแห่ง ข้อมูลหลักข้อมูล – บุคคลที่อยากรู้เกี่ยวกับอนาคตของเขาเอง แหล่งข้อมูลถัดไปคือธนาคารข้อมูลในปัจจุบันซึ่งประกอบด้วยคุณลักษณะโดยรอบและสิ่งประดิษฐ์ของการดำรงอยู่ ขนาดของคุณค่าทางวัฒนธรรม และสภาพจิตใจโดยรวมของทุกคนที่อยู่รอบ ๆ หมอดู สิ่งต่อไปนี้คือธนาคารข้อมูลที่รวบรวมข้อมูลจากสาขาปัจจุบันและประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งสามารถพกพาข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เป็นไปได้สำหรับชีวิตในอนาคต

หมอดูและผู้ทำนายที่มีความสามารถมากที่สุดสามารถโต้ตอบกับธนาคารข้อมูลในยุคปัจจุบันได้เช่นเดียวกับธนาคารข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของบุคคลทั้งในระดับจิตสำนึกและในระดับจิตใต้สำนึก ด้วยคุณสมบัติอันเป็นเอกลักษณ์ของสาขาอัจฉริยะของตนเอง พวกเขาสามารถทำนายอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้ แต่ความสามารถของสนามอัจฉริยะของพวกเขานั้นถูกจำกัดด้วยสนามของจักรวาลเอง ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถมองเห็นชีวิตของแต่ละบุคคลและไม่เห็นเส้นทางของมนุษยชาติ พวกเขาเปลี่ยนคุณสมบัติและความสามารถของตนให้เป็นงานฝีมือที่ไม่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของมนุษย์ที่แท้จริง พวกเขาเห็นคนไม่จริงในพื้นที่ที่ไม่จริงและเข้าใกล้ของขวัญของพวกเขาอย่างมีเหตุผลตามหลักการพื้นฐานของชีวิตมนุษย์ - การครอบครองต่ำและการบริโภคต่ำ

การอ่านข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นทรัพย์สินของสสารในรูปแบบสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติและความสามารถ ดังนั้นไม่เพียงแต่หมอดูและผู้ทำนายเท่านั้นที่สามารถทำนายเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตของบุคคลหรือสังคมได้ แต่ยังรวมถึงสัตว์ด้วย พฤติกรรมแปลกๆสัตว์ต่างๆ ก่อนเกิดแผ่นดินไหวมีการบันทึกไว้ในสมัยโบราณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ที่ภัยพิบัติดังกล่าวถือเป็นสิ่งที่คุ้นเคย เช่น ในประเทศจีน ผู้อยู่อาศัยในรัฐนี้ตระหนักถึงแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในปี 1975 เป็นเวลานานก่อนจะได้รับคำเตือนจากนักแผ่นดินไหววิทยาจากทั่วโลก ประชากรในท้องถิ่นได้เรียนรู้เกี่ยวกับความหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นก่อนเกิดแผ่นดินไหว เนื่องจากมีงูจำนวนมากปรากฏขึ้นบนพื้นผิวโลก ซึ่งมักจะจำศีลในช่วงเวลานี้ของปี ผู้เห็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวในเมืองอาชกาบัต ทาชเคนต์ อัลมาตีเป็นพยานถึงพฤติกรรมที่ไม่สงบอย่างยิ่งของนกก่อนเกิดภัยพิบัติ

ในปี 1948 ที่เมืองอาชกาบัต ก่อนเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ผู้เฒ่าหลายคนมาพบตัวแทนของรัฐบาลเมือง พวกเขาประกาศความจำเป็นในการอพยพประชาชนทันทีเนื่องจากคาดว่าจะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง เมื่อเจ้าหน้าที่ถามว่าอะไรเป็นพื้นฐานของคำกล่าวเชิงหมวดหมู่ดังกล่าว ผู้เฒ่าตอบว่าการสังเกตสัตว์ช่วยให้พวกเขาเรียนรู้เกี่ยวกับภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น: งูและกิ้งก่าออกจากรูทันที น่าเสียดายที่คนเฒ่าเพียงแต่ถูกเยาะเย้ยโดยไม่ใส่ใจคำพูดของพวกเขาอย่างจริงจัง เมื่อแผ่นดินไหวเริ่มต้นขึ้น ประชากรในเมืองพบว่าตัวเองไม่สามารถป้องกันตนเองจากปัจจัยต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างสมบูรณ์ และจำนวนผู้เสียชีวิตก็มีมหาศาล

พฤติกรรมของสัตว์ที่แสดงความไวเป็นพิเศษต่อการมีปฏิสัมพันธ์กับสนามพลังงานยืนยันว่าภายในขอบเขตวงโคจรใกล้โลกมีสารพลังงานบางอย่างที่นำข้อมูลนี้หรือข้อมูลนั้นเกี่ยวกับภัยคุกคามต่อชีวิตของสิ่งมีชีวิต สารนี้มีแหล่งข้อมูลมากมายที่สามารถโต้ตอบกับสนามความฉลาดของมนุษย์ทั้งในระดับจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก ในระดับจิตสำนึก บุคคลสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ รวมถึงคำทำนายของนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมัน อาร์. โทมาเชค จากการวิจัยตำแหน่งของดาวเคราะห์เป็นเวลาหลายปี ระบบสุริยะ Tomashek ระบุความสัมพันธ์บางอย่างระหว่าง เทห์ฟากฟ้าและปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ จากเทคนิคนี้ Tomashek คาดการณ์การปะทุของภูเขาไฟ Pinatubo ของฟิลิปปินส์ในต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2534 เมื่อเสร็จสิ้นการวิจัยเพิ่มเติม นักวิทยาศาสตร์ยังสามารถบอกวันที่ที่แน่นอนของวันที่ 10 มิถุนายนได้

ตามที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ไว้เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2534 การปะทุของลาวาและเถ้าภูเขาไฟครั้งแรกเกิดขึ้นจากปล่องภูเขาไฟ ฐานทัพทหารคลาร์กซึ่งอยู่ห่างจากภูเขาประมาณ 18 กม. ถูกย้ายไปยังอาณาเขตของฐานทัพทหารซูบิคอย่างเร่งด่วนซึ่งอยู่ห่างจากภูเขาไฟ 50 กม. ข้อควรระวังเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น: เพียงสองวันต่อมาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังสนั่นในพื้นที่ Pinatubo ตามมาด้วยการปล่อยหินภูเขาไฟซึ่งประกอบด้วยแร่ร้อนและหลอมเหลว เถ้าและก๊าซ น่าเสียดายที่คำทำนายของผู้มีญาณทิพย์ทำให้เกิดความกลัว เช่นเดียวกับคำทำนายของนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งวัฒนธรรมมนุษย์ยุคใหม่ไม่ได้ให้คุณค่าเท่าที่ควร เมื่อความกลัวครอบงำ ก็ไม่มีที่ว่างสำหรับความรับผิดชอบ

ความกลัวทำให้ผู้คนเป็นอิสระจากความรับผิดชอบต่ออนาคตของมนุษย์และสังคมมนุษย์ เขาเรียกร้องให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ซึ่งการผิดประเวณีและความเลวทรามครอบงำ เขาคิดค้นกฎสำหรับจิตวิญญาณและร่างกาย ผูกมัดจิตวิญญาณมนุษย์ด้วยโซ่ตรวนแห่งมโนธรรมและความอับอาย ความกลัวทำให้เกิดความเชื่อโชคลางและเปลี่ยนบุคคลให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตใจอ่อนแอ บังคับให้เขายอมจำนนต่อเจตจำนงแห่งโชคชะตา แต่โชคชะตาและโชคชะตาเป็นขอบเขตของภาพลวงตาของมนุษย์ ซึ่งปลดปล่อยเจตจำนงชั่วร้ายของมนุษย์ และกักขังคุณสมบัติและความสามารถที่แท้จริงของเขา ซึ่งโลกแห่งความสามัคคีโดยรอบมอบให้เขา - ในคุก!

มนุษย์เป็นเหมือนผู้สร้าง และชะตากรรมของเขาคือการสร้างและไม่ต้องเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในเหตุการณ์ร้ายแรงและเป็นผู้ชมที่ไม่แยแส “มีเพียงสิ่งสำคัญเดียวสำหรับทุกคนในชีวิต - การปรับปรุงจิตวิญญาณของคุณ มีเพียงงานเดียวนี้เท่านั้นที่ไม่มีอุปสรรคสำหรับบุคคล และจากงานนี้เท่านั้นที่บุคคลจะรู้สึกสนุกสนานอยู่เสมอ” ลีโอ ตอลสตอย นักเขียนและนักปรัชญาชาวรัสเซีย แสดงหนทางสำหรับมวลมนุษยชาติ คำพูดของนักคิดที่เก่งกาจบ่งบอกถึงภารกิจหลักของมนุษยชาติ - พยายามที่จะปลูกฝังความดีปลูกฝังจิตใจการทำงานหนักและความขยันหมั่นเพียร ไม่เฉยเมยต่อเหตุการณ์ที่เป็นเวรเป็นกรรม ไม่ใช่การดำรงอยู่อย่างไร้ความหมาย ไม่ใช่การตัดสินใจอย่างมีเหตุผลในพื้นที่ที่ไม่เป็นจริง แต่การศึกษาคุณสมบัติที่ควรเป็นพื้นฐานของความสามัคคีที่ปลอดภัยต่อโลก - การสร้างสรรค์และความคิดสร้างสรรค์

จากหนังสือซูเปอร์แมนพูดภาษารัสเซีย ผู้เขียน คาลาชนิคอฟ แม็กซิม

ปัจจุบันและอนาคต นี่คือของเรา เรื่องจริงงานวิจัยที่ดูเกือบจะมหัศจรรย์เลยทีเดียว เรื่องราวเกี่ยวกับผู้คนที่หลงใหลในความฝันของดวงดาวตลอดกาล คนเหล่านี้คือใคร? อัจฉริยะชาวรัสเซีย? เวลาจะแสดง. สิ่งหนึ่งที่ชัดเจน - พวกเขาคือคนรุ่นเดียวกันของเรา ผู้คนที่มีเนื้อและเลือดที่ละทิ้ง

จากหนังสือ To Have or To Be ผู้เขียน ฟรอมม์ อีริช เซลิกมันน์

ที่นี่และตอนนี้ - อดีตและอนาคต การดำรงอยู่มีอยู่เฉพาะที่นี่และปัจจุบันเท่านั้น (hic et nunc) การครอบครองมีอยู่เฉพาะในเวลาเท่านั้น - ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ด้วยการวางแนวทางการครอบครองเรายึดติดกับสิ่งที่เราสะสมมาในอดีต: เงิน, ที่ดิน, ชื่อเสียง, สังคม

จากหนังสือจริยธรรมแห่งอิสรภาพ ผู้เขียน ร็อธบาร์ด เมอร์เรย์ นิวตัน

จากหนังสือ Six Systems of Indian Philosophy โดย มุลเลอร์ แม็กซ์

เวลา - ปัจจุบัน อดีต และอนาคต ปัญหาต่อไปที่ครอบงำพระโคดมคือปัญหาของเวลา - ปัจจุบัน อดีต และอนาคต ผู้คัดค้าน - และคราวนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้คัดค้านที่แท้จริงเนื่องจากเขาแสดงความคิดเห็นของชาวพุทธ - ปฏิเสธ

จากหนังสือต้นแบบและสัญลักษณ์ ผู้เขียน จุง คาร์ล กุสตาฟ

อดีตและอนาคตในจิตไร้สำนึก ดังนั้น ฉันได้สรุปหลักการบางประการที่เป็นที่มาของทัศนคติของฉันต่อปัญหาความฝัน และเนื่องจากเราต้องการสำรวจความสามารถของมนุษย์ในการสร้างสัญลักษณ์ ความฝันจึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและเข้าถึงได้

จากหนังสือเล่มที่ 16 ผู้เขียน เองเกลส์ ฟรีดริช

6. สหภาพแรงงานวิชาชีพ (สหภาพแรงงาน) อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของพวกเขา (ก) อดีตของพวกเขา ทุนเป็นพลังทางสังคมที่กระจุกตัว ในขณะที่คนงานมีเพียงเขาเท่านั้น กำลังแรงงาน. ด้วยเหตุนี้ สัญญาระหว่างทุนและแรงงานจึงไม่เกิดขึ้น

จากหนังสือความลับของอวกาศและเวลา ผู้เขียน โคมารอฟ วิกเตอร์

บทที่ 5 อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของจักรวาล A.L. นักดาราศาสตร์ฟิสิกส์ชื่อดังแห่งมอสโก เซลมานอฟเคยนิยามความเชื่อมโยงที่มีอยู่ระหว่างอดีต ปัจจุบัน และอนาคตในลักษณะนี้ “อดีตคือช่วงเวลาที่เรามีภาพลวงตาว่าเรารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน

จากหนังสือเล่ม 1 ผู้เขียน เองเกลส์ ฟรีดริช

สถานการณ์ของอังกฤษ โทมัส คาร์ไลล์ "ในอดีตและปัจจุบัน". ลอนดอน ค.ศ. 1843 (179) ในบรรดาหนังสือหนาและจุลสารบางๆ มากมายที่ปรากฏในอังกฤษเมื่อปีที่แล้วเพื่อความบันเทิงและการสอนของ "สังคมแห่งการศึกษา" ผลงานที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงงานเดียวที่

จากหนังสือบทนำสู่ปรัชญาศาสนา โดย เมอร์เรย์ ไมเคิล

2.1. อดีต ปัจจุบัน และอนาคต “นักวิทยาศาสตร์” นักเดินทางข้ามเวลาจาก Time Machine ของ H. Wells กล่าว “รู้ดีว่าเวลาเป็นเพียงพื้นที่ชนิดหนึ่ง” ในหนังสือของ Wells คำพูดนี้จบการบรรยายสั้นๆ ในร้านเสริมสวย ซึ่งในนั้น

จากหนังสือ Symbolism as a worldview (คอลเลกชัน) ผู้เขียน เบลีอันเดรย์

ปัจจุบันและอนาคตของวรรณกรรมรัสเซีย272 บางคนกล่าวว่าวรรณกรรมรัสเซียควรสะท้อนถึงชีวิต คนอื่นพูดว่า: "ไม่ ไม่ควร"; บางคนพูดว่า: "วรรณกรรมเรียกร้องให้เราสร้างชีวิต"; คนอื่นตอบ: "ไม่เขาไม่โทรมาเลย" - “วรรณกรรม - รูปแบบ

จากหนังสือความหมายและจุดประสงค์ของประวัติศาสตร์ (ชุด) ผู้เขียน แจสเปอร์ คาร์ล ธีโอดอร์

ส่วนที่สอง. ปัจจุบันและอนาคต

จากหนังสือไซเอนโทโลจี: รูปลักษณ์ใหม่ของชีวิต ผู้เขียน ฮับบาร์ด รอน ลาฟาแยตต์

อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มีกฎพื้นฐานที่ว่า ผู้ที่เป็นโรคจิตกังวลเกี่ยวกับอดีต โรคประสาทจะอยู่ได้เฉพาะในปัจจุบันเท่านั้น และผู้มีเหตุมีผลต้องกังวลเกี่ยวกับอนาคต การจำแนกประเภทนี้สามารถระบุให้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นได้หากเราตระหนักว่า โรคประสาท

จากหนังสือ An Open Secret โดย เว่ย อู๋ เว่ย

30.06.2015 22:52

อดีตไม่เท่ากับอนาคต- นี่คือคำพูดโปรดของ Tony Robbins

น่าเสียดายที่เขาคิดผิด

ฉันเข้าใจเจตนาของโทนี่เมื่อเขาพูดแบบนี้ ข้อความนี้เกี่ยวข้องกับการขาย แต่โดยทั่วไปเขาหมายความว่าผู้คนมีพลังในการยุติอดีตและสร้างอนาคตใหม่ โดยรวมแล้ว นี่เป็นข้อความเชิงบวก และหลายๆ คนก็พยายามปฏิบัติตาม แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันส่งผลเสียมากกว่าผลดี มันทำให้ผู้คนประมาทกับการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาไม่เคยทำในชีวิต ความคิดที่ซ่อนอยู่ที่ว่าเราสามารถวิ่งหนีจากอดีตของเราได้ทำให้ผู้คนเสียเวลาไปมาก

ฉันรู้ว่าแนวคิดนี้น่าดึงดูดใจเพียงใดที่เราสามารถทำลายอดีตของเราและสร้างอนาคตที่เติมเต็มให้กับตัวเราเองได้ แต่จริงๆ แล้วผู้คนสร้างมันขึ้นมาแบบนั้นบ่อยแค่ไหน? คุณสามารถทำเช่นนี้ได้บ่อยแค่ไหน?

แล้วความจริงคืออะไร?

ความจริงก็คือ การกระทำในอดีตและภาพชีวิตของคุณเป็นตัววัดชีวิตในอนาคตของคุณได้ดีที่สุด และสิ่งนี้ไม่เพียงแต่นำไปใช้กับชีวิตของแต่ละคนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงชีวิตของทีมงาน บริษัท เทคโนโลยี องค์กรทางการเมือง และอื่นๆ สถาบันแห่งชีวิต แม้ว่าจะเป็นเรื่องของการเติบโตและชีวิตที่มีสติของบุคคล เกี่ยวกับความตั้งใจและเป้าหมายทั้งหมด อดีตมักจะสอดคล้องกับอนาคตเสมอ

มองย้อนกลับไปในอดีต

หากคุณต้องการรู้ว่าเส้นทางปัจจุบันของคุณจะพาคุณไปทางไหน ให้มองอดีตของคุณ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคาดเดาว่าคุณกำลังจะไปที่ไหน

การมองดูอดีตของคุณเป็นวิธีที่น่าเชื่อถือมากกว่าการมองดูเป้าหมายและความตั้งใจของคุณ

ถ้าฉันอยากรู้ว่าคนๆ หนึ่งจะไปทางไหนในชีวิต สิ่งแรกที่ฉันทำคือมองอดีตของเขา โดยเฉพาะอดีตล่าสุดของเขา และคาดการณ์ตามสิ่งนั้น ฉันไม่จำเป็นต้องได้ยินเกี่ยวกับเป้าหมายและความตั้งใจของบุคคลนี้ด้วยซ้ำ - ข้อมูลเกี่ยวกับอดีตก็เพียงพอแล้ว (ฉันจะอธิบายว่าทำไมฉันถึงพูดสิ่งนี้ในบทความ) ขอฉันดูหน่อยว่าเขาทำอะไรในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา และนั่นจะทำให้ฉันมีความคิดที่ดีว่าเขาจะอยู่ที่ไหนและเป็นใครในอีกหนึ่งปีข้างหน้า

แน่นอนว่าในชีวิตมีความบังเอิญในระดับหนึ่ง นี่เป็นเหตุการณ์สุ่มที่เราไม่สามารถคาดเดาได้จริงๆ บางครั้งมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น แล้วชีวิตเราก็เปลี่ยนไปในทิศทางใหม่โดยสิ้นเชิง

แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ชีวิตของเราตกเป็นเหยื่อของรูปแบบพฤติกรรมบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะยาว เราอาจไม่สามารถคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันพรุ่งนี้หรือสัปดาห์หน้า และนอกเหนือจากสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นไปตามธรรมชาติในโลกที่คาดเดาไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่วุ่นวาย ชีวิตของเราคาดเดาได้มากกว่าที่เราจะจินตนาการได้

กินมากกว่าที่คุณสามารถจัดการได้เล็กน้อยในหนึ่งวัน แล้วไงล่ะ? อีกหนึ่งปีคุณจะอ้วนขึ้นกว่าตอนนี้มาก ผลลัพธ์ค่อนข้างคาดเดาได้เมื่อพิจารณาจากการกระทำในอดีตของคุณ

อนาคตของคุณเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาจริงๆ หรือเปล่า อย่างน้อยก็ในแง่ทั่วไปใช่หรือไม่?

หากคุณไปเรียนมหาวิทยาลัยและเรียนวิชาเอกในสาขาที่ไม่สามารถขายได้ จะเห็นได้ง่ายว่าคุณจะต้องดิ้นรนหางานทำหลังสำเร็จการศึกษา และจริงหรือไม่ที่ถ้าคุณหางานได้มันจะแตกต่างไปจากความเชี่ยวชาญของคุณอย่างสิ้นเชิง?

หากคุณติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่คุณให้คะแนนทั้ง 9 หรือ 10 จากคะแนนเต็ม 10 ไม่อาจคาดเดาได้หรือไม่ว่าความไม่พอใจ ความไม่พอใจ และไม่แยแสจะเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป และความรู้สึกของคุณจะห่างไกลจากความรักและความกตัญญู

หากคุณกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพและเครียดอยู่ตลอดเวลา ยากไหมที่จะคาดเดาว่าชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรในอนาคต?

มองดูผู้คน

มาดูคนในชีวิตที่คุณรู้จักดีกันดีกว่า

คุณสามารถทำนายความน่าจะเป็นในระดับหนึ่งได้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาในหนึ่งปี? ลองเดาให้ดีว่าพวกเขาจะอยู่ที่ไหนในด้านอาชีพ การเงิน สุขภาพ นิสัยประจำวัน การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ฯลฯ ?

ฉันไม่ต้องการคำทำนายที่แม่นยำจากคุณเลย เพียงวาดภาพชีวิตของเพื่อนและคนรู้จักของคุณในหนึ่งปีเป็นจังหวะกว้าง ๆ เริ่มจากคนที่คุณรู้จัก แต่ไม่ใช่คู่รัก แฟน สามีหรือภรรยาของคุณ (อย่าเลือกผู้ที่มีอนาคตที่คุณสนใจเป็นการส่วนตัว)

อาชีพหรืองานของบุคคลนี้จะเป็นอย่างไรในหนึ่งปี? คนทำงานหรือผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จ? งานที่มีค่าครองชีพหรือบันไดอาชีพความเร็วสูง? คนนี้รู้สึกอย่างไรกับงาน? เขาทำงานหนักแค่ไหน? เขาใช้เวลาทำงานกี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และกี่ชั่วโมงต่อปี?

รายได้ที่แท้จริงของเพื่อนของคุณต่อปีเป็นเท่าใด? ลองเดาสิ เขาประหยัดเงินเพียง $50 ต่อปีหรือเปล่า? หรือ 500? หรืออาจจะเป็นล้าน? ที่บ้านเขามีเงินเท่าไหร่? เขามีทรัพย์สินประเภทใด?

ความสัมพันธ์ของเขาตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? เขาแต่งงานแล้วเหรอ? เขามี "ครึ่งหนึ่ง" หรือไม่? พวกเขาอยู่ด้วยกันไหม? หรือเขาเหงาและกำลังมองหาใครสักคน?

หากบุคคลนี้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์อยู่ตลอดเวลา อย่ากังวลกับการคาดเดาว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์แบบใดภายในสิ้นปีนี้ มันเหมือนกับการโยนเหรียญ แค่ลองพิจารณาว่าเขาติดตามเส้นทางอะไรในความสัมพันธ์ตลอดทั้งปี ปีนี้เขาจะมีคู่ครองใหม่กี่คน และเขาจะเลือกคู่ไหน?

เขาจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับสุขภาพของเขาในปีหน้า? เขาจะกินอะไร? เขาจะเล่นกีฬาอะไรถ้ามี? เขาจะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น สูญเสียหรือไม่? เขาจะไดเอทหรือจะอดอาหารหรือเปล่า? นิสัยประจำวันของเขาจะเป็นอย่างไร? เมื่อไหร่เขาจะตื่น? คุณจะเข้านอนเมื่อไหร่?

เขาขี้เกียจเหรอ? หรือมีประสิทธิผลผิดปกติ? เขากระตือรือร้นหรือเฉลียวแค่ไหนในกิจกรรมของเขา? เขาจะปฏิบัติธรรมอะไรในหนึ่งปี? เขาจะไปโบสถ์เป็นประจำไหม? เขาจะนั่งสมาธิบ่อยแค่ไหน? หรือบางทีเขาจะจุดเทียนรอบห้องน้ำแล้วจะกลายเป็นโบสถ์เล็กๆ สำหรับเขา?

ด้วยวิธีนี้ คุณจะได้เห็นภาพที่สมบูรณ์ว่าชีวิตของเพื่อนของคุณจะเป็นอย่างไรในหนึ่งปี และบุคคลนี้จะก้าวหน้าไปไกลแค่ไหนในการเติบโตส่วนบุคคล

ต้นกำเนิดของ "การทำนาย" ของเราเกี่ยวกับผู้คน

ดูว่าคุณตั้งสมมติฐานอย่างไร หากคุณเป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ คุณจะคาดเดาพฤติกรรมของบุคคลนั้นในอดีตที่ผ่านมา

ในการทำนายอนาคต คุณเพียงแค่ฉายภาพอดีตของบุคคลลงไป คุณอาศัยเวกเตอร์ของการกระทำของมนุษย์ คุณยังคำนึงถึงแง่มุมเหล่านั้นที่บุคคลนั้นไม่ได้พัฒนาในชีวิตของเขาด้วย

เช่น หากคุณรู้ว่ามีคนเพิ่มรายได้ 10% ต่อปี ก็อาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งในปีหน้า คุณสามารถสรุปได้ว่าเขาจะทำงานที่เดียวกัน

หากใครสักคนมีความสัมพันธ์แบบเดียวกันมานานกว่า 10 ปี คุณจะถือว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์แบบเดียวกันในปีหน้า

หากบริษัทของใครบางคนลดพนักงานลงอย่างรวดเร็ว คุณจะถือว่าบุคคลที่ทำงานที่นั่นจะถูกเลิกจ้างภายในหนึ่งปี ว่างงานไปแล้ว หรือจะยังคงอยู่ในบริษัทเดิมในหนึ่งปี

หากมีคนค้างชำระหนี้และได้รับเอกสารว่ากำลังจะถูกไล่ออกจากบ้าน คุณสามารถทำนายอนาคตได้ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนบ้านเป็นบ้านหรืออพาร์ตเมนต์เล็ก ๆ ภายในหนึ่งปี หรือแม้แต่อาศัยอยู่ในชุมชน อพาร์ทเม้น.

แน่นอนคุณอาจแย้งว่าเราต้องพิจารณาอดีตและปัจจุบันเมื่อตัดสินใจ แต่เนื่องจากปัจจุบันเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เราจึงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

อดีตรวมถึงชีวิตทั้งชีวิตของคุณตั้งแต่วินาทีที่แล้วจนถึงเมื่อนานมาแล้ว และประกอบด้วยข้อมูลทั้งหมดที่คุณต้องการ หากคุณคิดว่าจำเป็นต้องรวมสิ่งที่อยู่ในปัจจุบันในช่วงเวลานี้ ให้รอสักครู่ และตอนนี้วินาทีนี้ก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว

หากคุณอ้างว่ารู้บางอย่างเกี่ยวกับบุคคลหนึ่งๆ สิ่งนั้นก็มาจากอดีตทั้งสิ้น

เขียนการคาดเดาของคุณ

ฉันขอแนะนำให้คุณเขียนสมมติฐานบางประการเกี่ยวกับผู้คนในชีวิตของคุณ เขียนมันลงในสมุดบันทึกของคุณ จากนั้นจดบันทึกในปฏิทินสำหรับปีข้างหน้า ประมาณว่า “ดูการคาดการณ์ของคุณจากปีที่แล้ว” หากคุณใช้ปฏิทินออนไลน์ จะใช้เวลาไม่กี่วินาที จากนั้น เมื่อคุณจำสิ่งนี้ได้ในปีต่อจากนี้ ให้ทบทวนการคาดการณ์ของคุณ พวกเขาเป็นจริงขนาดไหน?

ถ้าเกือบไม่ได้ทำผิด เป็นไปได้ยังไง? และเหตุใดการทำนายของคุณจึงแม่นยำมาก?

หากคุณผิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่าง ทำไม? มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นหรือเปล่า? คุณมีข้อมูลเพียงพอที่จะทำนายได้อย่างแม่นยำหรือไม่? คุณได้พูดเกินจริงหรือลดความสำคัญของปัจจัยบางอย่างลงหรือไม่?

คุณจะได้ข้อสรุปอะไรจากแบบฝึกหัดนี้เพื่อช่วยให้คุณทำนายได้แม่นยำยิ่งขึ้นในครั้งต่อไป

คุณคาดเดาได้มากกว่าที่คุณคิด

การเดาอนาคตของคนอื่นง่ายกว่าอนาคตของคุณเองมาก เมื่อเรามองชีวิตของคนอื่น อีโก้ของเราไม่ได้สนใจเขามากนัก แต่มันค่อนข้างยากที่จะมองตัวเองอย่างเป็นกลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราไม่ชอบทุกสิ่งในชีวิต

ไม่มีใครอยากจะคาดเดาว่าภายในหนึ่งปีพวกเขาจะต้องยึดบ้านเพื่อชำระหนี้ หรือว่าพวกเขาจะต้องมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น 50 ปอนด์ หรือพวกเขาจะยังคงอยู่ในความสัมพันธ์ที่ยากลำบากหรือไม่เป็นที่พอใจ

อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะทำให้คุณต้องปิดอัตตาของคุณและ "ฟัง" ให้มากที่สุด ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนส่วนใหญ่

ลองวิธีนี้: ทายสักสองสามข้อว่าคุณจะเป็นอย่างไรในอีกหนึ่งปีข้างหน้า แต่ใช้การคาดการณ์บนฐานข้อเท็จจริงที่ชัดเจนในช่วง 30 วันที่ผ่านมาเท่านั้น

จดบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่คุณกิน นอน ทำงาน เข้าสังคม สร้างสรรค์ ฯลฯ - แต่เฉพาะ 30 วันที่ผ่านมาเท่านั้น! รับรู้ว่าสิ่งนี้จะดำเนินต่อไปอีก 12 เดือนข้างหน้า หากคุณรู้สึกว่าช่วง 30 วันที่ผ่านมาเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับคุณ เช่น การไปเที่ยวพักผ่อนหรือการเดินทาง ให้ใช้ช่วง 90 วันที่ผ่านมา

ใช้แผนภูมินี้ทำนายชีวิตของคุณในหนึ่งปี ลองนึกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากรูปแบบพฤติกรรมของคุณดำเนินต่อไปในอนาคต พวกเขาจะพาคุณไปที่ไหนในหนึ่งปี?

มาตกลงกับความจริง

การตกลงกับเส้นทางที่คุณกำลังดำเนินอยู่หมายถึงความสามารถในการคาดเดาอย่างเป็นกลางว่าคุณกำลังจะไปที่ไหน ชีวิตในด้านต่างๆ ของคุณจะเป็นอย่างไรในหนึ่งปีหรือหลังจากนั้น?

เพื่อที่จะคาดเดาได้อย่างแม่นยำ คุณไม่สามารถมองไปที่เป้าหมายหรือความตั้งใจของคุณได้ ความตั้งใจและเป้าหมายเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอสำหรับแรงบันดาลใจในอนาคตของคุณ

ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในการพิจารณาคดีของคณะลูกขุนที่พยายามจะตัดสินใจโดยอิงจากข้อเท็จจริง เป้าหมายและความตั้งใจจะไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับคุณเพราะไม่ใช่ข้อเท็จจริง พวกเขาเป็นเพียงความคิดเห็นหรือการคาดเดาว่าสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่การจะพยากรณ์ให้แม่นต้องมองอดีตและเฉพาะอดีตเท่านั้น

คุณอาจไม่อยากได้ยินสิ่งนี้จริงๆ แต่ฉันแจ้งให้คุณทราบ

หากคุณอารมณ์เสียมากเกินไปเกี่ยวกับการคาดเดาของคุณ (ไม่ว่าอารมณ์ของคุณจะเป็นบวกหรือลบ) ให้หยุดและหยุดพัก การคาดการณ์ในอนาคตของเราต้องใช้การคิดอย่างมีตรรกะและสมองซีกซ้าย นี่ไม่ใช่เวลาหรือสถานที่สำหรับการตัดสินทางอารมณ์หรือไร้เหตุผล เพียงแกล้งทำเป็นภูเขาไฟหรือหุ่นยนต์สำหรับตัวคุณเอง

ทบทวนคำถามที่ฉันถามคุณข้างต้นเกี่ยวกับเพื่อนของคุณ ("การมองดูผู้อื่น") ตอนนี้ถามคำถามเดียวกันกับตัวคุณเอง อ้างอิงถึงอดีตล่าสุดของคุณเพื่อทำนายอนาคต (30-90 วันที่ผ่านมา)

ลองนึกภาพสักครู่ว่าคุณเป็นมิสเตอร์ซูเปอร์แมนหรือมิสเตอร์อินฟอร์เมชั่น แล้วลองดูว่าบุคลิกภาพของคุณจะเป็นอย่างไรในหนึ่งปี โดยพิจารณาจากอาชีพ การเงิน ความสัมพันธ์ สุขภาพ นิสัยประจำวัน การปฏิบัติทางจิตวิญญาณ ฯลฯ ตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับประเด็นสำคัญทั้งหมดในชีวิตของคุณ

จากนั้นทำแบบเดียวกันกับ “คำทำนาย” ที่คุณจดลงในสมุดบันทึก และทำเครื่องหมายปฏิทินของคุณในอีกหนึ่งปีต่อมาเพื่อเปรียบเทียบ และอย่ากลอกตาอย่างสัมผัส :)

คุณต้องใช้เวลาหนึ่งปีในการทำแบบฝึกหัดนี้ให้เสร็จสิ้น? เวลาจะไหลตามปกติ แต่ในหนึ่งปีข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณมาก บางทีคุณอาจจะรู้สึกทึ่งที่ได้เห็นเครื่องหมายสำคัญในปฏิทินในหนึ่งปีและพบว่าในบันทึกย่อของคุณเป็นของขวัญอันมีค่าสำหรับการเติบโตภายในของคุณ? หรือบางทีคุณอาจจะยอมรับทุกสิ่งที่เขียนไว้?

มึนเมากับภาพลวงตา

เมื่อคุณเรียนรู้จากอดีต คุณจะค้นพบรูปแบบบางอย่างที่ซ้ำรอยในชีวิตของคุณ หลายคนไม่ได้ผลสำหรับคุณ จากประวัติของคุณเอง ผลลัพธ์ที่ได้ก็แย่อย่างคาดเดาได้ แต่เราลืมทุกสิ่งอย่างง่ายดายและทำผิดซ้ำซาก!

หนึ่งในรูปแบบที่เกิดซ้ำ (สถานการณ์ชีวิต) ที่ฉันสังเกตเห็นในอดีตคือสิ่งที่ฉันเรียกว่าแนวทางที่ไม่ประมาทในการพัฒนาการเติบโตส่วนบุคคล

นี่คือเวลาที่ใครบางคนเริ่มกระตือรือร้นเมื่อนึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาจะเกิดขึ้นในชีวิต และเขาก็รู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่พลุ่งพล่าน - บางทีอะดรีนาลีน... หรือบางครั้งคาเฟอีน - และตัดสินใจแล้วว่าทุกอย่างจะออกมาเย็นกว่าเดิมอย่างสิ้นเชิง และเขาก็มักจะเชื่อเช่นนั้น คนเหล่านี้ตัดสินใจใหม่และเริ่มทำสิ่งใหม่ แต่การกระทำของพวกเขาไม่สอดคล้องกันและวุ่นวาย

การกระทำส่วนใหญ่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และไม่ได้ไปไกลกว่านิสัยเดิม

ตัวอย่างเช่น พวกเขาบอกคนอื่นว่าพวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลง และถึงกับขอคำแนะนำในการเริ่มต้น แต่พวกเขาไม่ได้ไปไกลกว่านี้อีกแล้ว เห็นได้ชัดว่าความตื่นเต้นจากโอกาสใหม่ ๆ ในชีวิตนั้นเป็นเพียงความตื่นเต้น แต่บุคคลนั้นถูกดูดกลับเข้าสู่กรอบของการกระทำที่เป็นนิสัย และไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงเกิดขึ้น

หากคุณมองดูอดีตของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณจดบันทึก คุณจะเห็นตัวเองกำลังเดินเป็นวงกลมรูปแบบซ้ำๆ ควบคู่ไปกับผลที่ตามมาทั้งหมดที่มาพร้อมกับมัน ด้วยความรู้นี้ คุณสามารถปฏิเสธกลยุทธ์ดังกล่าวได้อย่างมีสติ เช่นเดียวกับนิสัยอื่นๆ ที่คุณมีที่ไม่เคยสร้างผลลัพธ์

คุณจะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรในอนาคตอย่างแน่นอน แนวทางของคุณไม่ได้ผลในอดีต ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะสงสัยว่าแนวทางเหล่านี้จะได้ผลในอนาคต หากคุณทำซ้ำ คุณจะได้ผลลัพธ์ที่เหมือนกับครั้งก่อนหน้า

การจดบันทึกเป็นวิธีที่ดีในการจดจำรูปแบบที่ซ้ำกันและหยุดติดตามรูปแบบเหล่านั้น มิฉะนั้น มันง่ายเกินไปที่จะลืมเกี่ยวกับแนวโน้มของคุณที่จะทำเช่นนี้ และถูกหลอกอีกครั้งด้วยภาพลวงตาว่ามีบางอย่างกำลังเปลี่ยนแปลง

แผนการอื่นใดในอดีตของคุณไม่ได้ผล? อันไหนช่วยคุณได้?

คุณเคยประสบกับความก้าวหน้าครั้งใหญ่ที่สุดเมื่อใด มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?

คุณสามารถทำสิ่งเดียวกันกับที่ช่วยคุณในวันนี้ได้หรือไม่?

เปลี่ยนอดีต - เปลี่ยนการคาดการณ์สำหรับอนาคต

ข้อเสนอแนะถัดไปของฉันอาจฟังดูแปลกเล็กน้อย แต่ฉันอยากให้คุณมีมุมมองใหม่เกี่ยวกับวิธีสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน แทนที่จะพยายามเปลี่ยนปัจจุบันหรืออนาคต ให้มุ่งความสนใจไปที่การเปลี่ยนแปลงอดีต กล่าวอีกนัยหนึ่ง หากคุณต้องการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งในชีวิต ให้นำหลักฐานการเปลี่ยนแปลงจากอดีตมาด้วย วิธีเดียวที่จะทำสิ่งนี้ได้คือการกระทำในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่แค่การกระทำเท่านั้น หากคุณทำอะไรที่ไม่เต็มใจดังที่อธิบายไว้แล้วเกี่ยวกับ "การกระทำที่เป็นภาพลวงตา" แล้วคุณจะนำอะไรมาสู่อดีตของคุณจริงๆ?

ไม่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เราสามารถพูดได้ว่าคุณกำลังนำความล้มเหลวหรือแม้แต่ความโง่เขลามาสู่อดีตเมื่อคุณทำซ้ำกลยุทธ์ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และสิ่งนี้นำไปสู่การนำอดีตที่ไม่ประสบความสำเร็จไปสู่อนาคต

แต่คุณต้องปลูกฝังรูปแบบหนึ่งของความคงทนให้กับอดีตแทน สร้างรูปแบบพฤติกรรมใหม่ แล้วอดีตที่เพิ่งเกิดขึ้นใหม่จะเปลี่ยนสมมติฐานของคุณเกี่ยวกับอนาคต

อย่างที่ฉันบอกไป นี่อาจดูเหมือนเป็นวิธีการมองสิ่งต่าง ๆ ที่แปลก แต่มันจะบังคับให้คุณคิดในรูปแบบใหม่ และนั่นคือสิ่งที่เราต้องการ

คุณต้องดำเนินการอะไรบ้างเพื่อปลูกฝังห่วงโซ่ความสม่ำเสมอใหม่ในอดีตของคุณ เพื่อที่คุณจะได้มั่นใจมากขึ้นในการทำนายอนาคตของคุณ

ดังที่คุณเดาได้ การกระทำที่ดีที่สุดคือการกระทำที่คุณทำเป็นประจำและสามารถทำได้ต่อไปอย่างน้อยหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น สิ่งเหล่านี้เป็นการกระทำที่เราคาดการณ์เกี่ยวกับอนาคตที่เป็นไปได้ของผู้อื่น

ผู้ชายคนนี้กินอะไร? เขาเดทกับใคร? เขาไปทำงานที่ไหน? จำนวนเงินที่เขาซื้อคือเท่าไร? เขาใช้เวลาช่วงเช้าวันอาทิตย์อย่างไร?

การกระทำทั้งหมดนี้บ่งบอกว่าเขากำลังจะไปที่ไหน บ่งบอกถึงทิศทางของชีวิต เหล่านี้คือนิสัย

การกระทำที่แท้จริงไม่ใช่แค่การคิด

คุณจะมีวิธีทำนายความสำเร็จแทนที่จะเป็นความล้มเหลวได้เมื่อคุณสร้างนิสัยใหม่ๆ ให้กับตัวเองแล้ว แต่จนกว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น การคาดการณ์หลักของคุณสำหรับอนาคตคือการที่คุณขาดการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม หากคุณไม่เคยทำเช่นนี้ เป้าหมายและความตั้งใจของคุณก็จะอยู่เฉยๆ พวกเขาอาจจะไม่มีวันเป็นจริง

นิสัยเหล่านี้อาจเป็นวิธีคิดแบบใหม่แต่ถ้ามีความหมายก็จะพัฒนาไปสู่พฤติกรรมรูปแบบใหม่อย่างแน่นอน การไม่มีการกระทำใหม่ๆ หมายความว่าไม่มีโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต หากต้องการเปลี่ยนแปลง ก็ต้องสร้างหลักฐาน และนี่ก็เท่ากับนิสัยใหม่ในชีวิต การไม่มีนิสัยใหม่เท่ากับการไม่มีการเปลี่ยนแปลงสมมติฐานเกี่ยวกับอนาคต

การเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ได้เทียบกับสมมติฐานที่มีความผันผวน

ตอนนี้คุณสามารถสรุปได้ว่านิสัยชีวิตที่มีอยู่ของคุณเป็นประโยชน์ต่อคุณเป็นอย่างดี บางทีสมมติฐานของคุณเกี่ยวกับอนาคตอาจเป็นไปในเชิงบวก และคุณคาดหวังการคาดการณ์เชิงบวกแบบเดียวกันในอนาคต นี่เป็นสถานการณ์ที่ดี ฉันเองก็ดีใจกับสถานการณ์นี้ในหลายด้านของชีวิต เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นว่าถ้าฉันทำสิ่งที่ฉันทำตอนนี้ ชีวิตของฉันก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ในทุกด้าน

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่คาดการณ์ได้ดี และสถานการณ์ดังกล่าวนั้นง่ายต่อการจัดการ เพราะหากคุณเพียงแค่รักษา "สถานะที่เป็นอยู่" ไว้ในนิสัยของคุณ คุณก็ทำได้ดี

อย่างไรก็ตาม ในบทความนี้ เราจะเน้นไปที่สถานการณ์ที่คุณไม่ชอบอนาคต คุณไม่ชอบสิ่งที่จะเกิดขึ้นสักวันหนึ่ง บางทีสมมติฐานของคุณอาจเป็นลบหรือเป็นกลาง หรือเพียงแค่ไม่เป็นบวกเพียงพอสำหรับคุณ ในกรณีนี้ คุณต้องการเปลี่ยนแปลง

อย่าโกหกตัวเองหรือพูดเกินจริงถึงสิ่งที่นิสัยที่แท้จริงของคุณกำลังพาคุณไป จำไว้ว่า เราต้องการทั้งหมดนี้เพื่ออนาคตของเราเอง

ขอย้ำอีกครั้งว่าลืมความตั้งใจของคุณและมุ่งเน้นไปที่การทำนายอนาคตโดยอาศัยข้อมูลในอดีตที่เชื่อถือได้ อย่าคิดว่าคุณจะเพิ่มรายได้ต่อปีเป็นสองเท่าในปีนี้หากเพิ่มขึ้นเพียง 10% ในปีที่แล้ว

หากคุณไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้โดยประมาณ วิธีเดียวที่จะเปลี่ยนสมมติฐานโดยไม่เปลี่ยนความแม่นยำคือเปลี่ยนอดีต อาจจะต้องใช้เวลาแต่ก็ค่อนข้างเป็นไปได้ คุณสามารถเปลี่ยนอดีตได้ด้วยการแนะนำนิสัยชีวิตใหม่หรือเปลี่ยนนิสัยที่มีอยู่

แต่ทุกอย่างในชีวิตคุณจะเหมือนเดิมจนกว่าคุณจะเลิกนิสัยเก่าและหานิสัยใหม่มาแทนที่ นี่คือจุดที่คุณต้องใช้ความพยายามในการพัฒนาการเติบโตส่วนบุคคล

มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณ และเริ่มปลูกฝังรูปแบบใหม่ในชีวิตของคุณ และนำมันมาสู่ปัจจุบัน (ซึ่งจะกลายเป็นอดีตทันที) หากคุณไม่ทำเช่นนี้ สมมติฐานที่ซื่อสัตย์ของคุณจะไม่เปลี่ยนแปลง และคุณยังจะเดินตามเส้นทางของอดีตอีกด้วย

เลิกกับอดีต

ดูองค์ประกอบในอดีตที่เป็นตัวกำหนดการคาดการณ์ของคุณ นิสัยอะไรทำให้คุณทำนายอนาคตในทางลบ?

คุณอยู่ข้างๆ ตัวเองเมื่อคิดถึงนิสัยการกินหรือการนอนหลับของคุณหรือไม่? คุณหงุดหงิดกับนิสัยความสัมพันธ์ของคุณหรือไม่?

คุณได้ผลลัพธ์อะไรจากการทำงานในแต่ละวัน? การปฏิบัติทางจิตวิญญาณของคุณอยู่ที่ไหน? คุณใช้จ่ายเงินอย่างไม่ระมัดระวังหรือเปล่า?

การเปลี่ยนนิสัยอาจเป็นเรื่องยาก แต่วิธีเริ่มต้นที่ดีคือวิธี 30 วัน

หากคุณต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่จริงจัง คุณมักจะคิดถึงการทำลายอดีต ทำลายรูปแบบในอดีตเหล่านี้ให้ล้าสมัย

สร้างการตัดการเชื่อมต่อจากอดีตโดยสมบูรณ์ในทันที เพื่อให้การคาดการณ์ในอดีตของคุณไม่มีความถูกต้อง... แม้ว่าจะหมายถึงการแลกเปลี่ยนความสะดวกสบายของความแน่นอนกับความรู้สึกไม่สบายของสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ก็ตาม เช่น ยุติความสัมพันธ์ที่สิ้นเปลืองพลังงานซึ่งสร้างทัศนคติเชิงลบมากเกินไป

กำจัดเพื่อนที่เกียจคร้านออกไปจากชีวิตของคุณ และเริ่มผูกมิตรกับผู้คนที่กระตือรือร้นและเป็นระเบียบมากที่สุด รู้สึกอิสระที่จะย้ายไปยังเมืองที่มีโอกาสทางการเงินและอาชีพที่ยอดเยี่ยม

หยุดกินอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพและเสนอเงิน 100 ดอลลาร์ให้กับใครก็ตามที่จับได้ว่าคุณทานอาหารเหล่านั้นในปีหน้า

ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไปอีก 30 วันข้างหน้าได้ หากคุณไม่สามารถหยุดอดีตด้วยการหยุดมันได้ มันก็จะกลายเป็นอนาคตของคุณอย่างแน่นอน

หากต้องการเปลี่ยนอนาคตให้เปลี่ยนอดีต

ลองพิจารณา 2 สถานการณ์ บิลและเท็ดต่างก็อยากเขียนหนังสือภายในสิ้นปีหน้า พวกเขาไม่เคยเขียนหนังสือมาก่อน

บิลไม่มีนิสัยชอบเขียนอะไรบางอย่างทุกวัน แต่เขามีเป้าหมายที่ชัดเจน เขารู้ว่าเขาต้องการเขียนหนังสือประเภทไหน เมื่อมีคนถามเขาว่าเขาทำงานอะไร เขาบอกว่ากำลังเขียนหนังสืออยู่ เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ในการคิดถึงหนังสือของเขาในช่วง 30 วันที่ผ่านมา เขายังร่างไอเดียบางอย่างให้เธอด้วยซ้ำ แต่เขาทำมันตามอารมณ์ของเขา

เท็ดไม่มีเป้าหมายหรือความตั้งใจเฉพาะในการเขียนหนังสือ เขาไม่ได้บอกใครว่าเขาเขียนมัน เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีบทอะไรอยู่ในนั้น แต่ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา เขาตื่นนอนเวลา 5.00 น. ทุกเช้า และทำงานจนถึง 7.00 น. ก่อนอาหารเช้า

เขาผลิตเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ประมาณ 2 หน้าต่อวัน เขาแค่ทำงานหนังสือของเขาตลอดเวลาก็แค่นั้นแหละ เขาทำเช่นนี้เป็นประจำและไม่ล้มเหลว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตของเขาที่จะทำให้เขาเสียสมาธิจากนิสัยนี้

มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่อ่านหนังสือจบภายในสิ้นปี คุณคิดว่าใคร?

วิธีการของใครที่ช่วยผลิตหนังสือให้เสร็จภายในหนึ่งปี?

คุณจะจัดการกับเรื่องดังกล่าวในชีวิตของคุณอย่างไร? และแนวทางของคุณทำงานอย่างไร?

ความสำเร็จหรือความล้มเหลวของคุณสามารถคาดเดาได้หรือไม่?

เป้าหมายและสมมติฐาน

ตอนนี้อย่าเข้าใจฉันผิด เป้าหมายและความตั้งใจน่าทึ่งมาก การมีความคิดที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรต่อไปเป็นสิ่งสำคัญ แต่การตัดสินใจเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น

ถ้านั่นคือทั้งหมดที่คุณจะทำ ฉันคงทำได้แค่ทำนายความสำเร็จและความธรรมดาเท่านั้น ฉันเคยเห็นมาหลายครั้งแล้วว่ารูปแบบดังกล่าวเกิดขึ้นในชีวิตของผู้คนอย่างไร และผลลัพธ์ก็เป็นสิ่งที่คาดเดาได้เสมอ

คุณต้องคาดการณ์เป้าหมายและความตั้งใจของคุณในอดีตอย่างแม่นยำเพื่อสร้างสถานการณ์ที่ยืนยันว่าการคาดการณ์ของคุณเกี่ยวกับอนาคตนั้นแม่นยำ ด้วยวิธีนี้คุณจะเปลี่ยนหลักสูตรปกติของคุณ

การตั้งเป้าหมายใหม่ก็เหมือนกับการตั้งเส้นทางใหม่ไว้หางเสือเรือ

สร้างนิสัยใหม่ของการกระทำที่บอกว่า "เข้าร่วม! มีส่วนร่วม! ลงมือทำ!" มิฉะนั้น เรือแห่งชีวิตของคุณจะไม่มีวันแล่น...

โทนี่ ขอโทษนะ :)

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อนี้และอีกมากมาย คำแนะนำการปฏิบัติคุณจะพบบทความในบทความ: จากเป้าหมายสู่นิสัย

ข้อความนี้เป็นการแปลบทความของ Steve Pavlina เรื่อง The Past DOES Equal the Future
ไม่ทราบผู้เขียนผู้แปล บทความที่ส่งโดยผู้อ่าน

ยูเลีย เออร์โชวา

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นักจิตศาสตร์ชาวรัสเซียและอเมริกันได้ค้นพบที่น่าตื่นเต้น: ปรากฏการณ์ของการทำนายอนาคตนั้นมีอยู่ในตัวทุกคน ดังนั้นคุณจึงไม่ควรมองหาอนาคตในดาวเคราะห์ แผนที่ เมล็ดกาแฟ กากกาแฟ และคอมพิวเตอร์ เราต้องศึกษาจิตสำนึกของเราเอง

จิตใจทางวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาทฤษฎีสารสนเทศ ซึ่งพิสูจน์ว่าการทำนายอนาคตเป็นความสามารถโดยกำเนิดของสมองมนุษย์ ซึ่งมนุษยชาติได้สูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย

นักจิตศาสตร์ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทฤษฎีนี้ได้ทำการทดลองมากมายในด้านจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก และยังได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับงานทางศาสนา ปรัชญา และประวัติศาสตร์ของชนชาติต่างๆ เช่น พระคัมภีร์ อัลกุรอาน พระเวท และโตราห์

ตัวอย่างเช่น นักจิตศาสตร์เชื่อว่าบทบัญญัติบางประการของทฤษฎีข้อมูลมีอยู่ในคำสอนของโซโรแอสเตอร์ ผู้ก่อตั้งศาสนาโซโรแอสเตอร์ และผู้เผยพระวจนะผู้ได้รับข้อมูลจากอนาคต

Zarathushtra สร้างศาสนาแห่งการบูชาความคิดที่ดี โดยถือว่าพระเจ้าสูงสุด Ahura Mazda เป็นเจ้าแห่งความคิด ในคำสอนของเขา เขาอธิบายวิธีทำงานกับข้อมูลภายใน

โดยสรุปสาระสำคัญของทฤษฎีสารสนเทศสมัยใหม่มีคำอธิบายดังนี้ สมองของมนุษย์เป็นเมทริกซ์ที่เต็มไปด้วยรหัสข้อมูลต่างๆ บุคคลอาศัยอยู่ในกระแสเวลาสามมิติและรับและส่งออกข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

ข้อมูลที่ปล่อยออกมาจะไปสู่อดีต ข้อมูลที่ได้รับมาจากอนาคต

ข้อมูลนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าความเชื่อมโยงระหว่างร่างกายและจิตใจของบุคคล และบุคคลคือแหล่งที่มาและผู้รับข้อมูล

ดังนั้น เนื่องจากบุคคลหนึ่งอาศัยอยู่ในกระแสเวลาสามมิติ เขาจึงมีทั้งอดีตและอนาคตไปพร้อมๆ กัน

เขาส่งสัญญาณข้อมูลถึงตัวเองจากอนาคตสู่อดีตและในทางกลับกัน

บุคคลสามารถสร้างแบบจำลองอนาคตของตนเองได้ตลอดเวลาโดยการเปลี่ยนอดีต และเขาก็มีตัวเลือกต่างๆ มากมายสำหรับอนาคตของเขาเสมอ

ขัดแย้งกันที่แนวคิดหลักของทฤษฎีสารสนเทศถูกเปิดเผยโดยบังเอิญในภาพยนตร์เรื่อง "The Butterfly Effect" ก่อนที่ทฤษฎีนี้จะได้ยินในแวดวงวิทยาศาสตร์และได้รับการยอมรับเสียอีก

การวิจัยแสดงให้เห็นว่าในการที่บุคคลจะทำนายอนาคตได้นั้นจำเป็นต้องพบกับกิจกรรมทางปัญญาหรือทางอารมณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว: ข้อมูลจากอนาคตจะแสดงออกมาในความคิดสร้างสรรค์

ไม่น่าแปลกใจเลยที่นักเขียนและกวี ศิลปินและผู้กำกับมักจะกลายเป็นศาสดาพยากรณ์ โดยบรรยายถึงสิ่งประดิษฐ์และภัยพิบัติในอนาคตในงานของพวกเขาอย่างแม่นยำ

นักวิทยาศาสตร์อธิบายสิ่งนี้ในลักษณะนี้: วัตถุทางศิลปะ วัฒนธรรม และวรรณกรรมช่วยสร้างความเชื่อมโยงกับอนาคต เพราะมันถูกส่งไปยังผู้สืบทอด และความคิดของลูกหลานก็ถูกส่งไปยังงานศิลปะ

การสื่อสารทางจิตวิญญาณเกิดขึ้นระหว่างผู้สร้างและผู้ดู ผู้คนแลกเปลี่ยนความคิด

ตัวอย่างเช่น นักเขียนเขียนความคิดของเขาลงบนกระดาษ ลูกหลานอ่านและไตร่ตรองถึงการสร้างสรรค์ของผู้เขียน สายลมแห่งกาลเวลาดึงความคิดของพวกเขาเหมือนใบไม้เก่าๆ และพาพวกเขาไปสู่อดีต ซึ่งบางคนก็ลงเอยกับผู้เขียน จึงเกิดคำทำนายอันลึกลับ

แต่แน่นอนว่าลูกหลานหันความคิดของตนไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่หันไปหานักคิดที่ทิ้งร่องรอยไว้ในประวัติศาสตร์

นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าในขั้นตอนการพัฒนาปัจจุบัน บุคคลสามารถพยายามฟื้นความสามารถที่สูญเสียไปกลับคืนมาได้

ด้วยความช่วยเหลือจากการฝึกอบรมพิเศษ เขาสามารถปรับปรุง "ความสามารถในการได้ยิน" ในอนาคตได้ แต่สำหรับสิ่งนี้ เขาจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีสร้างกระแสข้อมูล

สำหรับสิ่งนี้ก็มี วิธีทางที่แตกต่าง: สมาธิ การสะกดจิต การทำสมาธิ โยคะ ความเข้าใจภาพที่ถ่ายทอดไปสู่อดีตอย่างยาวนานและอุตสาหะเป็นสิ่งจำเป็น ข้อมูลเกี่ยวกับงานจะต้องแนบมาด้วย อารมณ์ทางอารมณ์และสำหรับแต่ละคน ทัศนคตินี้เป็นรายบุคคล

ผลการศึกษาล่าสุดพิสูจน์ว่าการทำนายอนาคตและกระแสจิตพบได้บ่อยในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่

เมื่อแรกเกิด สมองของมนุษย์พัฒนาขึ้น ไม่เพียงแต่ปฏิบัติตามกฎแห่งกรรมพันธุ์ทางชีวภาพเท่านั้น แต่ยังรับรู้ข้อมูลจากอนาคตที่เกี่ยวข้องกับ กิจกรรมที่จะเกิดขึ้นมนุษย์และชะตากรรมของเขา สมองของเด็กเตรียมตัวให้ดีที่สุดสำหรับการทดสอบที่กำลังจะมาถึง

ไดอารี่ของเด็กนักเรียนชาวมอสโก Leva Fedorov ซึ่งเขียนไม่นานก่อนเริ่มมหาสงครามแห่งความรักชาติไม่เพียงแต่มีวันที่ระบุอย่างแม่นยำในการเริ่มสงครามเท่านั้น แต่ยังเผยให้เห็นความหมายหลักและเนื้อหาของแผนการรุกของ Barbarossa

การนำเสนอนี้ให้รายละเอียดการคาดการณ์อนาคตที่ยอดเยี่ยม แสดงให้เห็นถึงลักษณะที่มีข้อบกพร่องและไร้ประโยชน์ของแผนนี้ และการล่มสลายของแรงบันดาลใจทางทหารของเยอรมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สมองของเด็กรับรู้ข้อมูลจากอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ส่งผลให้เด็กป่วยได้

คนสมัยใหม่เพียงไม่กี่คนที่สามารถใช้ความสามารถในการส่งกระแสจิตได้ แต่สัตว์ต่างๆ มักจะใช้ความสามารถเหล่านี้ในชีวิต

ในหนังสือ "การฝึกสัตว์" V. Durov พูดถึงผลกระทบของคำสั่งทางจิตต่อพฤติกรรมของสัตว์ สุนัขทำตามคำสั่งจิตของเขาผ่านกำแพงโดยไม่เห็นหรือได้ยินบุคคลนั้น และบางครั้งก็เป็นทั้งโปรแกรม

กระแสจิตเป็นหนึ่งในมากที่สุด วิธีการที่มีประสิทธิภาพการฝึกสัตว์

เพื่อเข้าใจธรรมชาติของการทำนาย กระแสจิต และ ความฝันเชิงทำนายนักวิทยาศาสตร์ในรัสเซีย ยุโรป และอเมริกากำลังทำการศึกษาและการทดลองหลายพันรายการเพื่อศึกษาการคาดการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอดีต

มีหลายกรณีที่ผู้เผยพระวจนะทำนายความตายหรือภัยพิบัติ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างคำพยากรณ์ที่โดดเด่นหลายประการในประวัติศาสตร์:
Boris Godunov เรียกหมอดูมาที่บ้านของเขา และพวกเขาทำนายกับเขาว่าเขาจะครองราชย์เป็นเวลาเจ็ดปี
ผู้เผยพระวจนะทำนายถึงความตายที่ใกล้จะมาถึงของอีวานผู้น่ากลัว แต่เขาโกรธและสั่งให้พวกเขาเงียบและขู่ว่าจะเผาพวกเขาทั้งหมดเป็นเสา หนึ่งวันก่อนที่เขาจะตาย พระองค์ทรงสั่งให้ประหารชีวิตพวกเขา แต่ไม่เห็นการประหารชีวิต เนื่องจากพระองค์สิ้นพระชนม์กะทันหัน
ในงานเลี้ยงของ Ivan the Terrible นักบุญเบซิลเทถ้วยโต๊ะที่ถวายให้เขาสามครั้ง เมื่อซาร์โกรธเขา Vasily ตอบว่า: "อย่าโกรธเลย Ivanushka จำเป็นต้องดับไฟใน Novgorod และมันถูกราด" ต่อมาปรากฎว่าในขณะนั้นเกิดเพลิงไหม้ที่อันตรายในโนฟโกรอด
หมอดูทำนายกับ A. Pushkin ว่าเขาจะตายเพราะผู้หญิงสวย
ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์นแห่งอเมริกามีความฝันและนิมิตหลายครั้ง ( ครั้งสุดท้ายก่อนการพยายามลอบสังหาร) ซึ่งทำนายการเสียชีวิตของเขาด้วยน้ำมือของนักฆ่ารับจ้าง

นักปรัชญาและผู้นำศาสนาเชื่อว่าการมองการณ์ไกลเชิงพยากรณ์เริ่มต้นโดยพระประสงค์ของพระเจ้า นี่เป็นการเปิดเผยอันอัศจรรย์จากพระเจ้า

แต่นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นตรงกันข้ามในเรื่องนี้: “ปาฏิหาริย์เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความไม่สมบูรณ์ของโลกนี้และความไม่สมบูรณ์ของมัน ในสภาวะนี้ พระเจ้าจะต้องทำให้สำเร็จอยู่เสมอโดยเข้าไปแทรกแซงในวิถีแห่งเหตุการณ์ สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับ ความสามัคคีของโลก

กล่าวอีกนัยหนึ่ง: มนุษย์เป็นผู้เผยพระวจนะของเขาเอง

ปัจจุบันนักจิตศาสตร์กำลังทำงานเพื่อสร้างวิธีการมองการณ์ไกลเชิงทำนายซึ่งเป็นไปได้ที่จะฟื้นฟูความสามารถที่สูญเสียไป

ในศตวรรษที่ 21 ศรัทธาของผู้คนต่อปาฏิหาริย์และการทำนายมีมากขึ้นกว่าที่เคย ศูนย์และสถาบันจิตศาสตร์ โรงเรียนเวทมนตร์และไสยศาสตร์แพร่ขยายออกไปราวกับเห็ดหลังฝนตก

คนหลอกลวงเสนอที่จะ "ทำนายอนาคต" ทางไปรษณีย์และทางโทรศัพท์ แต่การสื่อสารแบบผิวเผินเป็นไปไม่ได้เลย พวกเขาเพียงใช้ความไว้วางใจและความเชื่อของผู้คนในเวทมนตร์เพื่อจุดประสงค์ที่เห็นแก่ตัวของตนเอง และสร้างรายได้มหาศาลจากมัน

คุณไม่ควรหันไปพึ่งพวกยิปซีและหมอดูเพื่อทำนายเพราะทุกคนสามารถ "แก้ไข" ชีวิตของเขาตั้งแต่อายุยังน้อยและได้รับประสบการณ์เพื่อช่วยตัวเองค้นหาหนทางออกจาก สถานการณ์ที่ยากลำบากช่วยเหลือตัวเองในช่วงเวลาที่ยากลำบาก

สิ่งสำคัญที่ต้องจำคือจิตสำนึกของมนุษย์ค่อนข้างคล้ายกับอินเทอร์เน็ต ดังนั้นจึงคุ้มค่าที่จะปกป้องตัวเองด้วยโปรแกรมป้องกันไวรัสที่มีทัศนคติที่แน่วแน่ว่า "อย่าทำอันตราย" ต่อผู้รักษาหลอกและผู้เผยพระวจนะเท็จทุกประเภท

ข้อความต้นฉบับอยู่บนเว็บไซต์