บ้าน › อุปกรณ์ไฟฟ้า › เด็ก ๆ พูดถึงชีวิตที่ผ่านมา เรื่องจริงที่พิสูจน์ว่าชาติปางก่อนมีอยู่จริง

เด็ก ๆ พูดถึงชีวิตที่ผ่านมา เรื่องจริงที่พิสูจน์ว่าชาติปางก่อนมีอยู่จริง

Jim Tucker จากชาร์ลอตส์วิลล์ (สหรัฐอเมริกา) เป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวในโลกที่ค้นคว้าเรื่องราวของเด็กเกี่ยวกับชีวิตในอดีตเป็นเวลา 15 ปี ซึ่งเป็นหลักฐานสำหรับการกลับชาติมาเกิด

ทัคเกอร์รวบรวม แต่ละกรณีจากสหรัฐอเมริกาในหนังสือเล่มใหม่และนำเสนอสมมติฐานของเขาเองในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ที่อาจซ่อนอยู่หลังปรากฏการณ์การกลับชาติมาเกิด ต่อไปนี้เป็นการแปลบทความ "ศาสตร์แห่งการกลับชาติมาเกิด" ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย

ความทรงจำที่เกิดขึ้นเองและเกมในวัยเด็ก

ซินดี้แม่ของเขาไปหาหมอ แต่หมออธิบายว่าเขาฝันร้ายและเด็กชายจะโตเร็วกว่าอายุนี้ในไม่ช้า เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ซินดี้กำลังพาลูกชายเข้านอน จู่ ๆ เขาก็จับมือเธอและพูดว่า “แม่คะ ฉันคิดว่าครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นคนอื่น” ไรอันอธิบายว่าเขาจำเรื่องใหญ่ได้ บ้านสีขาวและสระว่ายน้ำ

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในฮอลลีวูด ห่างจากบ้านของพวกเขาในโอคลาโฮมาหลายไมล์ ไรอันบอกว่าเขามีลูกชายสามคน แต่เขาจำชื่อไม่ได้ เขาเริ่มร้องไห้และถามแม่ว่าทำไมจำชื่อแม่ไม่ได้ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำยังไง” ซินดี้เล่า

"ฉันกลัวมาก. เขาจึงยืนหยัดในเรื่องนี้ หลังจากคืนนั้น เขาพยายามจำชื่อพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ผิดหวังที่จำชื่อไม่ได้ ฉันเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดใหม่ทางอินเทอร์เน็ต ฉันยังเอาไม่กี่ หนังสือห้องสมุดเกี่ยวกับฮอลลีวูดโดยหวังว่ารูปภาพจะช่วยเขาได้

ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครมาหลายเดือนแล้ว” วันหนึ่ง เมื่อไรอันและซินดี้กำลังดูหนังสือเกี่ยวกับฮอลลีวูดเล่มหนึ่ง ไรอันหยุดที่หน้าเดียวกับภาพถ่ายขาวดำจากภาพยนตร์เรื่อง Night After Night ในช่วงปี 1930 ภาพแสดงให้เห็นชายสองคนกำลังคุกคามหนึ่งในสาม พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยผู้ชายอีกสี่คน

ซินดี้จำใบหน้าไม่ได้ แต่ไรอันชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางแล้วพูดว่า "แม่คะ หนูชื่อจอร์จ เราทำหนังด้วยกัน" จากนั้นนิ้วของเขาก็เลื่อนไปที่ชายในเสื้อแจ็คเก็ตทางด้านขวาของภาพซึ่งดูบึ้งตึง: "ผู้ชายคนนี้คือฉัน ฉันพบตัวเองแล้ว!"

แม้ว่าคำกล่าวของ Ryan จะหายาก แต่คำกล่าวของ Ryan ก็ไม่เหมือนใครและเป็นหนึ่งในจำนวนมากกว่า 2,500 กรณีที่จิตแพทย์ Jim Tucker ได้รวบรวมไว้ในเอกสารของเขาที่ Department of Perceptual Research Medical Center แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย

เมื่ออายุได้สองขวบ เด็ก ๆ จะระลึกถึงชาติที่แล้ว

น้อยครั้งมากที่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วเหล่านี้จะมีชื่อเสียงหรือโด่งดัง และมักไม่เป็นที่รู้จักในครอบครัวของเด็กเหล่านี้เลย Tucker หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกเพียงสองคนที่ศึกษาปรากฏการณ์นี้ อธิบายว่าความซับซ้อนของประสบการณ์เหล่านี้แตกต่างกันไป

บางเรื่องสามารถระบุได้ง่าย ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่ไม่เป็นอันตรายของเด็กเกิดขึ้นในครอบครัวเหล่านั้นที่ญาติสนิทได้สูญเสียไป ในกรณีอื่นๆ เช่นของไรอัน คำอธิบายเชิงตรรกะเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ทัคเกอร์กล่าว ซึ่งทั้งเรียบง่ายและน่าประหลาดใจ "อย่างไรก็ตาม เด็กจำความทรงจำจากอีกชีวิตหนึ่งได้"

“ฉันเข้าใจว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในการทำความเข้าใจและยอมรับว่ามีบางอย่างที่นอกเหนือไปจากสิ่งที่เรามองเห็นและสัมผัสได้” ทัคเกอร์ซึ่งทำงานเป็นผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาลเด็กมหาวิทยาลัย (คลินิกจิตเวชเด็กและครอบครัว) มาเกือบทศวรรษอธิบาย

“อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหลักฐานว่าเหตุการณ์ดังกล่าวควรได้รับการพิจารณา และถ้าเราพิจารณาอย่างรอบคอบในกรณีดังกล่าวแล้ว ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมีคำอธิบายว่ามีการถ่ายทอดความทรงจำ

กุญแจสู่การดำรงอยู่ของการกลับชาติมาเกิด

ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขาที่มีชื่อว่า Return to Live ทัคเกอร์เล่าถึงกรณีที่น่าสนใจที่สุดของเขาในสหรัฐอเมริกาและนำเสนอข้อโต้แย้งของเขาว่าการค้นพบล่าสุดในกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งพฤติกรรมของอนุภาคที่เล็กที่สุดในธรรมชาติ เป็นกุญแจสำคัญในการดำรงอยู่ของการเกิดใหม่

“ฟิสิกส์ควอนตัมชี้ให้เห็นว่าโลกทางกายภาพของเราเกิดขึ้นจากจิตสำนึกของเรา” ทัคเกอร์กล่าว “ไม่เพียงแค่ ฉันเป็นตัวแทนของมุมมองนี้แต่ยังรวมถึงนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ อีกจำนวนมาก” ในขณะที่งานของ Tucker นำไปสู่การถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนในชุมชนวิทยาศาสตร์ งานวิจัยของเขาส่วนหนึ่งมาจากคดีที่สอบสวนโดยเอียน สตีเวนสัน บรรพบุรุษของเขาซึ่งเสียชีวิตในปี 2550 ซึ่งรวบรวมคดีจากทั่วโลกที่หลายคนเข้าใจผิดไม่น้อย

สำหรับ Michael Levine ผู้อำนวยการ Center for Restorative and Regenerative Developmental Biology ที่ Tufts University และเป็นผู้เขียนบทวิจารณ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหนังสือเล่มแรกของ Tucker ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น "การวิจัยชั้นหนึ่ง" แบบจำลองของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่ไม่สามารถหักล้างหรือพิสูจน์การค้นพบของ Tucker ได้เป็นหัวใจสำคัญของข้อโต้แย้งที่ว่า "เมื่อคุณตกปลาด้วยตาข่ายที่มีรูขนาดใหญ่ คุณจะไม่มีทางจับปลาที่เล็กกว่ารูเหล่านี้ได้ สิ่งที่คุณพบมักจำกัดเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังมองหา

วิธีการและแนวคิดปัจจุบันไม่สามารถจัดการกับข้อมูลนี้ได้” ทัคเกอร์ ซึ่งการวิจัยของเขาได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิทั้งหมด ได้เริ่มการวิจัยเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดในปลายปี 1990 หลังจากที่เขาอ่านบทความใน Charlottesville Daily Progress เกี่ยวกับทุนการศึกษาเพื่อ งานวิจัยเอียน สตีเวนสันพูดถึงประสบการณ์เฉียดตาย: "ผมสนใจแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตาย และคำถามที่ว่า วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาด้านนี้

หลังจากเริ่มทำงานอาสาสมัครกับแผนกของ Stevenson เป็นเวลาหลายปี เขาก็กลายเป็นสมาชิกถาวรของทีมและส่งต่อบันทึกของ Stevenson ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากต้นทศวรรษ 1960 "งานนี้" ทักเกอร์กล่าว "ให้ความเข้าใจที่น่าอัศจรรย์แก่ฉัน"

การเกิดใหม่เป็นตัวเลข:

การวิจัยของ Tucker เปิดเผยรูปแบบที่น่าสนใจในกรณีของเด็กที่รายงานความทรงจำในอดีตชาติ อายุเฉลี่ยอายุ 28 ปีที่เสียชีวิตของบุคคลก่อนหน้า เด็กส่วนใหญ่ที่รายงานความทรงจำในอดีตมีอายุระหว่าง 2 ถึง 6 ปี ร้อยละ 60 ของเด็กที่รายงานความทรงจำในอดีตเป็นเด็กผู้ชาย

ประมาณ 70% ของเด็กเหล่านี้อ้างว่าเสียชีวิตด้วยความรุนแรงหรือการเสียชีวิตที่ผิดธรรมชาติ 90% ของเด็กที่เล่าถึงความทรงจำในอดีตกล่าวว่าพวกเขาเป็นเพศเดียวกันที่ ชีวิตที่ผ่านมาเวลาเฉลี่ยระหว่างวันที่รายงานการตายและการเกิดใหม่คือ 16 เดือน 20% ของเด็กเหล่านี้รายงานว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาระหว่างการตายและการเกิดใหม่

ลักษณะของเด็กดังกล่าวคืออะไร?

การวิจัยเพิ่มเติมโดยทักเกอร์และคนอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้โดยทั่วไปจะมีไอคิวสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่มีปัญหาทางจิตและพฤติกรรมสูงกว่าค่าเฉลี่ย ไม่มีเด็กคนใดที่ศึกษาพยายามที่จะปลดปล่อยตัวเองจากสถานการณ์ที่เจ็บปวดในครอบครัวด้วยคำอธิบายของเรื่องราวดังกล่าว

เด็กประมาณร้อยละ 20 ที่ตรวจดูมีแผลเป็น ไฝหรือรูปร่างไม่สมประกอบที่ดูเหมือนจุดและบาดแผลของผู้คนที่พวกเขาจำได้ถึงชีวิต และได้รับในไม่ช้าหรือในช่วงเวลาแห่งความตาย ข้อความเหล่านี้ส่วนใหญ่ในเด็กจะลดลงเมื่ออายุหกขวบ ซึ่งตรงกับเวลาที่สมองของเด็กกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาระยะใหม่

แม้ว่าเรื่องราวของพวกเขาจะมีลักษณะเหนือธรรมชาติ แต่แทบไม่มีเด็กคนใดที่ศึกษาและบันทึกได้แสดงสัญญาณอื่นๆ ของความสามารถ "เหนือธรรมชาติ" หรือ "การรู้แจ้ง" ทัคเกอร์เขียน “ฉันมีความรู้สึกว่าถึงแม้เด็กบางคนจะแสดงความคิดเห็นในเชิงปรัชญา แต่เด็กส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กปกติอย่างสมบูรณ์

อาจเปรียบเทียบได้กับสถานการณ์ที่เด็กไปโรงเรียนวันแรกไม่ได้ฉลาดกว่าในวันสุดท้ายจริงๆ โรงเรียนอนุบาล". ทัคเกอร์เติบโตมาในฐานะผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ตอนใต้ในนอร์ทแคโรไลนา เขายังสำรวจคำอธิบายอื่น ๆ ที่ตรงไปตรงมามากขึ้น และยังสำรวจกรณีของการหลอกลวงเนื่องจากผลประโยชน์ทางการเงินและชื่อเสียง

“แต่ส่วนใหญ่แล้ว สัญญาภาพยนตร์จะไม่นำข้อมูลนี้มา” ทัคเกอร์กล่าว “และหลายๆ ครอบครัว โดยเฉพาะในโลกตะวันตก รู้สึกอายที่จะพูดถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูก” แน่นอน ทัคเกอร์ไม่ได้แยกแยะแม้แต่จินตนาการในวัยเด็กง่ายๆ ว่าเป็นคำอธิบาย แต่นั่นไม่สามารถอธิบายถึงความสมบูรณ์ของรายละเอียดที่เด็กบางคนจำบุคคลก่อนหน้าได้: "มันขัดกับตรรกะทั้งหมดที่ว่าทั้งหมดอาจเป็นเรื่องบังเอิญ"

ในหลายกรณี นักวิจัยกล่าวต่อไปว่า ความทรงจำเท็จเกี่ยวกับพยานถูกเปิดเผย แต่ก็มีตัวอย่างอีกหลายสิบตัวอย่างที่พ่อแม่บันทึกเรื่องราวของลูกอย่างระมัดระวังตั้งแต่ต้น “ไม่มีคำอธิบายที่เป็นเหตุเป็นผลใดๆ ที่หยิบยกมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่สามารถอธิบายรูปแบบอื่นที่เด็กๆ เช่นในกรณีของไรอัน เชื่อมโยงอารมณ์รุนแรงกับความทรงจำของพวกเขา” ทัคเกอร์เขียน

ทัคเกอร์เชื่อว่าคดีจำนวนค่อนข้างน้อยที่เขาและสตีเวนสันสามารถรวบรวมได้ในอเมริกาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาสามารถอธิบายได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อแม่หลายคนเพิกเฉยหรือตีความเรื่องราวของลูกในทางที่ผิด: “เมื่อเด็กถูกทำให้เข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ฟังหรือไม่เชื่อ พวกเขาก็แค่หยุดพูดถึงเรื่องนี้ พวกเขาเข้าใจว่าไม่ได้รับการสนับสนุน เด็กส่วนใหญ่ต้องการทำให้พ่อแม่พอใจ"

มองจิตสำนึกจากมุมมองของควอนตัมฟิสิกส์

สติสัมปชัญญะหรืออย่างน้อยก็ความทรงจำสามารถถ่ายโอนจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนา แต่ทัคเกอร์เชื่อว่าคำตอบสามารถพบได้ในพื้นฐานของควอนตัมฟิสิกส์ นักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่าสสาร เช่น อิเล็กตรอนและโปรตอน จะสร้างเหตุการณ์เมื่อมีการสังเกต

ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายคือการทดลองที่เรียกว่า double-slit: ถ้าปล่อยให้แสงตกผ่านรูที่มีช่องว่างเล็กๆ สองช่อง ซึ่งช่องหนึ่งเป็นแผ่นปฏิกิริยาแสง และกระบวนการนี้ไม่ถูกสังเกต แสงจะผ่านช่องแยกทั้งสอง หากคุณสังเกตกระบวนการ แสงจะตก - ตามที่จานแสดง - ผ่านรูใดรูหนึ่งในสองรูเท่านั้น

พฤติกรรมของแสง อนุภาคของแสงจึงเปลี่ยนไป แม้ว่าความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือกระบวนการได้รับการสังเกต ในความเป็นจริง ยังมีการโต้เถียงที่ขัดแย้งและทรงพลังเกี่ยวกับการทดลองนี้และผลลัพธ์ของมันด้วย อย่างไรก็ตาม ทัคเกอร์เชื่อ เช่นเดียวกับผู้ก่อตั้งควอนตัมฟิสิกส์ มักซ์ พลังค์ ว่าโลกทางกายภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยจิตสำนึกที่ไม่ใช่ทางกายภาพ และบางทีอาจมีต้นกำเนิดมาจากมันด้วยซ้ำ

หากเป็นเช่นนั้น จิตสำนึกก็ไม่จำเป็นต้องมีสมอง ดังนั้นสำหรับทัคเกอร์ จึงไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าจิตสำนึกจบลงด้วยสมองตาย: "เป็นไปได้ที่จิตสำนึกจะปรากฏตัวในชีวิตใหม่" Robert Pollock ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และศาสนาแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตั้งข้อสังเกตว่านักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานแล้วว่าการสังเกตการณ์อาจมีบทบาทอย่างไรต่อโลกทางกายภาพ

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานที่หยิบยกมาไม่จำเป็นต้องเป็นวิทยาศาสตร์: “การโต้วาทีเช่นนี้ในหมู่นักฟิสิกส์มักจะเน้นที่ความชัดเจนและความสวยงามของแนวคิดดังกล่าว ไม่ใช่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ในความคิดของฉัน นี่เป็นอะไรก็ได้นอกจากการถกเถียงทางวิทยาศาสตร์ ฉันคิดว่าสิ่งที่พลังค์และผู้ติดตามของเขาสังเกตและกำลังสังเกตอยู่คือพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็ก บนพื้นฐานของการที่พวกเขาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับจิตสำนึกและด้วยเหตุนี้จึงแสดงความหวัง

แม้ว่าฉันหวังว่ามันจะถูก แต่ก็ไม่มีวิธีใดที่จะพิสูจน์หรือหักล้างแนวคิดเหล่านี้ได้" ในทางกลับกัน Tucker อธิบายว่าสมมติฐานของเขามีพื้นฐานมาจากความคิดเพ้อฝันมากกว่า นี่เป็นมากกว่าแค่ความหวัง “หากคุณมีหลักฐานเชิงบวกโดยตรงสำหรับทฤษฎีหนึ่งๆ มันสำคัญแม้ว่าจะมีหลักฐานเชิงลบที่ต่อต้านก็ตาม”

Ryan พบกับลูกสาวของเขาในชีวิตที่แล้ว

Cindy Hamons ไม่สนใจในการสนทนาเหล่านี้เมื่อลูกชายของเธอ วัยก่อนเรียนฉันจำตัวเองได้ในภาพถ่ายเมื่อ 80 ปีที่แล้ว เธอแค่อยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือ แต่ในไม่ช้าซินดี้ก็พบว่าชายในรูปภาพซึ่งไรอันเรียกว่า "จอร์จ" ปัจจุบันเกือบจะถูกลืมดาราภาพยนตร์จอร์จ ราฟท์

ใครคือคนที่ไรอันจำตัวเองได้ ซินดี้ไม่เคยรู้แน่ชัด ซินดี้เขียนถึงทัคเกอร์ซึ่งเธอพบที่อยู่ทางอินเทอร์เน็ตด้วย ภาพถ่ายของเขาจึงไปอยู่ในคลังเก็บถาวรของภาพยนตร์ ซึ่งหลังจากค้นหามาหลายสัปดาห์ กลับกลายเป็นว่า มืดมนผู้ชายคนนี้เป็นนักแสดงที่รู้จักกันน้อยในช่วงชีวิตของเขา Martin Martyn ซึ่งไม่ได้ถูกกล่าวถึงในเครดิตของภาพยนตร์เรื่อง "Night after Night" (คืนแล้วคืนเล่า)

ทัคเกอร์ไม่ได้รายงานการค้นพบของเขาต่อครอบครัวฮามอนเมื่อเขามาเยี่ยมพวกเขาในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เขาวางรูปถ่ายขาวดำของผู้หญิงสี่รูปไว้บนโต๊ะในครัว ซึ่งสามรูปเป็นแบบสุ่ม ทัคเกอร์ถามไรอันว่าเขาจำผู้หญิงคนหนึ่งได้หรือไม่ ไรอันดูรูปถ่ายและชี้ไปที่รูปของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขารู้จัก

เป็นภรรยาของมาร์ตินมาร์ติน ในเวลาต่อมา Jamons และ Tucker ไปแคลิฟอร์เนียเพื่อพบกับลูกสาวของ Martin ซึ่งบรรณาธิการของโทรทัศน์พบ ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับทัคเกอร์ ก่อนพบกับไรอัน ทัคเกอร์ได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในตอนแรกหญิงสาวลังเลที่จะบอก แต่ในระหว่างการสนทนา เธอสามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยืนยันเรื่องราวของไรอัน

ไรอันบอกว่า "เขา" เต้นในนิวยอร์ก มาร์ตินเป็นนักเต้นที่บรอดเวย์ ไรอันบอกว่าเขายังเป็น "ตัวแทน" และคนที่เขาทำงานให้เปลี่ยนชื่อด้วย อันที่จริง Martyn ทำงานมาหลายปีหลังจากอาชีพนักเต้นให้กับเอเจนซี่ผู้มีความสามารถที่มีชื่อเสียงในฮอลลีวูด นามแฝงที่สร้างสรรค์. ไรอันชี้แจงด้วยว่าที่อยู่เดิมของเขามีคำว่า "ร็อค" ในชื่อเรื่อง

Martyn อาศัยอยู่ที่ 825 North Roxbbury Drive ใน Beverly Hills ไรอันยังเปิดเผยว่าเขารู้จักชายคนหนึ่งชื่อ Senator Five ลูกสาวของมาร์ตินยืนยันว่าเธอมีรูปถ่ายของพ่อของเธอพร้อมกับวุฒิสมาชิกเออร์วิง อีฟส์แห่งนิวยอร์ก ซึ่งทำหน้าที่ในวุฒิสภาสหรัฐฯ ระหว่างปี 2490 ถึง 2502 และใช่ ด๊อกเตอร์มีลูกชายสามคนซึ่งแน่นอนว่าชื่อลูกสาวรู้ แต่การพบกับไรอันของเธอกลับไม่เป็นไปด้วยดี

ไรอันยื่นมือไปหาเธอ แต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังแม่ของเขาตลอดการสนทนา หลังจากนั้นเขาอธิบายให้แม่ฟังว่าพลังงานของผู้หญิงเปลี่ยนไป หลังจากนั้นแม่ของเขาก็อธิบายให้เขาฟังว่าผู้คนเปลี่ยนไปเมื่อโตขึ้น “ฉันไม่อยากกลับไป (ไปฮอลลีวูด)” ไรอันอธิบาย “ฉันอยากจะเหลือไว้แต่ครอบครัว (ของฉัน) นี้เท่านั้น”

ตลอดสัปดาห์ต่อมา ไรอันพูดถึงฮอลลีวูดน้อยลงเรื่อยๆ ทัคเกอร์อธิบายว่าสิ่งนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเด็กๆ ได้พบกับครอบครัวของคนที่คิดว่าเคยเป็น “นี่ดูเหมือนจะเป็นการยืนยันความทรงจำของพวกเขา ซึ่งจากนั้นก็สูญเสียความเข้มข้นไป ฉันคิดว่าพวกเขาจะตระหนักได้ว่าไม่มีใครในอดีตรอพวกเขาอีกต่อไป เด็กบางคนรู้สึกเศร้าเพราะเหตุนี้

แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับและหันมาสนใจปัจจุบันอย่างเต็มที่ พวกเขาให้ความสำคัญกับความจริงที่ว่าพวกเขาต้องอยู่ที่นี่และตอนนี้ - และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ

แปลโดย Alena Ivanova

ไม่กี่เดือนที่ผ่านมาฉันเจอหนึ่งใน พอร์ทัลข้อมูลกับบทความที่รวบรวมคำพูดในวัยเด็กที่ค่อนข้างแปลก นอกจากนี้ยังน่าสนใจที่จะอ่านปฏิกิริยาของผู้อ่านต่อข้อความเหล่านี้ สรุป ปฏิกิริยาแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

ผู้ที่เชื่อในการกลับชาติมาเกิดและชาติที่แล้ว ผู้ใช้ดังกล่าวมีปฏิกิริยาค่อนข้างสงบต่อข้อความของเด็กเหล่านี้ โดยตระหนักว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตในอดีต
ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด จากผู้อ่านดังกล่าวอาจได้ยินบางอย่างเช่น: "จินตนาการของเด็กเป็นสิ่งที่ดี"

มาพูดถึงเรื่องนี้กันสักหน่อย และฉันจะเริ่มต้นด้วยข้อความที่ตัดตอนมาจากหนังสือ AllatRa ซึ่งเขียนไว้อย่างดีเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้

« มนุษย์คืออะไร?มนุษย์ในช่วงชีวิตเป็นวัตถุเชิงพื้นที่หลายมิติซึ่งสร้างขึ้นรอบ ๆ วิญญาณและมีบุคลิกภาพที่ชาญฉลาดในตัวเอง รูปแบบและโครงสร้างตามปกติของร่างกายที่มองเห็นได้ด้วยตา ร่วมกับกระบวนการทางกายภาพและเคมีและระบบควบคุม (รวมถึงสมองส่วนวัสดุ) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงสร้างโดยรวมของมนุษย์ ซึ่งเป็นของมิติสามมิติ นั่นคือ บุคคลประกอบด้วยจิตวิญญาณพร้อมกับเปลือกข้อมูล บุคลิกภาพ และโครงสร้าง กล่าวคือประกอบด้วยเขตข้อมูลต่างๆ ของมิติอื่นๆ (รวมถึงร่างกายที่อยู่ในมิติสามมิติ)

คนฉลาดคืออะไร? ในโครงสร้างใหม่ ในร่างกายใหม่ บุคลิกภาพใหม่ก็ก่อตัวขึ้นเช่นกัน นั่นคือใครก็ตามที่รู้สึกในช่วงชีวิตของเขา คนที่ตัดสินใจเลือกระหว่างธรรมชาติทางจิตวิญญาณและธรรมชาติของสัตว์ วิเคราะห์ สรุปผล สะสมสัมภาระส่วนตัวของผู้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกและอารมณ์ หากในช่วงชีวิตหนึ่งคน ๆ หนึ่งพัฒนาจิตวิญญาณมากจนบุคลิกภาพของเขาผสานเข้ากับวิญญาณแล้วสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เป็นผู้ใหญ่ในเชิงคุณภาพจะถูกสร้างขึ้นซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ซึ่งเข้าสู่ โลกวิญญาณ. นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "การปลดปล่อยวิญญาณจากการถูกจองจำ โลกของวัสดุ”, “ไปพระนิพพาน”, “บรรลุพระโสดาบัน” เป็นต้น หากการควบรวมกิจการดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงชีวิตมนุษย์ หลังจากการตายของร่างกายและการทำลายโครงสร้างพลังงาน บุคลิกภาพที่ชาญฉลาดนี้จะจากไปพร้อมกับวิญญาณเพื่อการเกิดใหม่ เมื่อร่างกายตายไปมนุษย์ก็ดำรงอยู่ต่อไป ในสถานะเปลี่ยนผ่านจะมีรูปร่างเป็นทรงกลมที่มีโครงสร้างเป็นเกลียว การก่อตัวนี้ประกอบด้วยวิญญาณพร้อมกับเปลือกข้อมูล - บุคลิกย่อยจากชาติที่แล้ว รวมถึงบุคลิกจากชีวิตล่าสุด

ในภาพถ่ายของวิญญาณ มองเห็นเปลือกส่วนขอบได้ชัดเจน ประกอบด้วย (เมื่อลึกเข้าหาลูกบอล) สีแดง (ส่วนที่เหลือ พลังงานที่สำคัญ- พรานา) เช่นเดียวกับสีเหลืองและสีขาวเหลืองของพลังงานอื่น ๆ รูปร่างทรงกลมนั้นเป็นสีฟ้าพร้อมคำแนะนำของสีเขียวอ่อน มีลักษณะโครงสร้างเป็นเกลียว บิดเข้าหาศูนย์กลาง มีเฉดสีรุ้งและรอยด่างสีขาว

เปลือกข้อมูลที่อยู่รอบ ๆ วิญญาณคือกลุ่มประสาทสัมผัสและอารมณ์ ซึ่งแม่นยำกว่านั้นคือโครงสร้างข้อมูลที่สมเหตุสมผล ซึ่งสามารถเปรียบเทียบได้โดยสัมพันธ์กับเนบิวลาชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือ บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลในอดีตจากชาติที่แล้ว อาจมีบุคลิกย่อยหลายอย่างใกล้กับวิญญาณ ขึ้นอยู่กับจำนวนการเกิดใหม่ของบุคคลนั้น

อนาสตาเซีย: ปรากฎว่าบุคลิกย่อยคือบุคลิกภาพเช่นเดียวกับคุณซึ่งมีบทบาทในวิญญาณของคุณในอดีต

ริกเดน: ใช่ กล่าวอีกนัยหนึ่งนี้ บุคลิกเดิมจากชีวิตในอดีตที่มีสัมภาระครอบงำประสาทสัมผัส-อารมณ์ (บวกหรือลบ) ที่เธอสั่งสมมาในช่วงเวลาที่เธอมีชีวิตอยู่ นั่นคือผลจากการเลือกตลอดชีวิตของเธอ

ตามกฎแล้วบุคลิกภาพไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับบุคลิกย่อยดังนั้นคน ๆ หนึ่งจึงไม่จำชีวิตในอดีตและตามประสบการณ์ที่ได้รับความรู้เกี่ยวกับบุคลิกย่อยเหล่านี้ แต่ในบางกรณีที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เมื่อสถานการณ์บางอย่างทับซ้อนกัน ความรู้สึกที่คลุมเครือของเดจาวูก็เป็นไปได้ หรืออาการที่เกิดขึ้นเองในระยะสั้นของกิจกรรมของบุคลิกภาพย่อยสุดท้าย (ก่อนชาติปัจจุบัน) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนในวัยเด็ก

มีกรณีที่บันทึกไว้ในงานของจิตเวชศาสตร์ เมื่อเด็กที่ไม่มีความผิดปกติใด ๆ มีพ่อแม่ที่แข็งแรง แสดงพฤติกรรมผิดธรรมชาติในระยะสั้น คล้ายกับโรคบุคลิกภาพก้ำกึ่ง ฉันจะให้หนึ่งในตัวอย่าง สาวสี่หลายปีความฝันเดียวกันเริ่มฝัน: กับฉากหลังของแสงเด็กผู้ชายที่เรียกเธอไปหาเขา แต่ไม่ยอมให้เธอเข้าไปในแสงสว่าง เธอเริ่มบ่นกับพ่อแม่ของเธอเกี่ยวกับความฝันอันน่าหดหู่นี้ และในตอนเย็นเธอก็เริ่มแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวที่ผิดปกติและความแข็งแกร่งที่ผิดปกติซึ่งก่อนหน้านี้คาดเดาไม่ได้ เด็กหญิงอายุสี่ขวบด้วยความโกรธคว่ำโต๊ะ เก้าอี้ ตู้หนักๆ จำแม่ของเธอไม่ได้ เหวี่ยงอารมณ์ฉุนเฉียวใส่เธอในลักษณะกล่าวหาว่า “คุณไม่ใช่แม่ของฉัน” “ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี” เป็นต้น นั่นคือคำพูดและพฤติกรรมของหญิงสาวนั้นผิดธรรมชาติสำหรับเธอ แต่มีลักษณะเป็นบุคคลย่อยที่รอดชีวิตจากการเกิดใหม่และอยู่ในสภาพ "นรก" ซึ่งประสบกับความทรมานและความเจ็บปวดจากสัตว์ และในวันถัดไปเด็กก็เป็นปกติอีกครั้งประพฤติตามปกติ นี่เป็นกรณีทั่วไปของการแสดงออกในระยะสั้นของการปฏิเสธของบุคลิกภาพก่อนหน้า สิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ในกรณีนี้คือการพัฒนาสติปัญญาของเด็กอย่างแข็งขัน ขยายขอบเขตความรู้ของเขาเกี่ยวกับโลก และรอให้กระแสหลักเกิดขึ้น บุคลิกภาพใหม่จะก่อตัวขึ้น

คลื่นหลักเกิดขึ้นตามกฎเมื่ออายุ 5-7 ปีในชีวิตของบุคคล ประเด็นคือใน เด็กปฐมวัยก่อนการเพิ่มขึ้นครั้งแรก การเปิดใช้งานบุคลิกภาพก่อนหน้า (บุคลิกภาพย่อย) ในระยะสั้นที่คล้ายคลึงกันสามารถเกิดขึ้นได้ หลังในขณะที่บุคลิกภาพใหม่กำลังก่อตัวขึ้นกำลังพยายามเจาะเข้าไปในจิตสำนึกและยึดอำนาจเหนือบุคคล

แต่บ่อยครั้งที่มีกรณีอื่น ๆ ของการสำแดงบุคลิกภาพ นี่คือตอนที่เด็กอายุ 3-5 ปี (ในช่วงเวลาที่บุคลิกภาพใหม่ยังไม่ถูกสร้างขึ้น) เริ่มให้เหตุผลจากตำแหน่งของผู้ใหญ่ ผู้มีประสบการณ์. ในบางโอกาส สิ่งเหล่านี้อาจเป็นรายละเอียดในอดีตของพวกเขา ชีวิตในวัยผู้ใหญ่ซึ่งในความเป็นจริงแล้ววัยนั้นไม่สามารถรู้ได้ และบ่อยครั้งที่มันเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดว่าเด็ก ๆ พูดออกมาอย่างชาญฉลาดด้วยเหตุผลบางอย่างโดยแสดงความคิดที่ไม่ใช่เด็ก ๆ อย่างชัดเจนและบางครั้งก็ทำให้ผู้ใหญ่หวาดกลัวอย่างลึกลับ ผู้ปกครองไม่ควรกลัวอาการดังกล่าว แต่ควรเข้าใจธรรมชาติของพวกเขา เมื่อบุคลิกภาพของเด็กถูกสร้างขึ้น พวกเขาจะผ่านไป

ดังนั้น บุคลิกย่อยแต่ละคนจึงคงความเป็นปัจเจกของจิตสำนึกในอดีตในรูปแบบของความปรารถนา ความทะเยอทะยานที่ครอบงำในช่วงเวลานั้น ชีวิตที่กระตือรือร้น. บุคลิกภาพอย่างที่ฉันได้กล่าวไปแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับบุคลิกย่อยนั่นคือคน ๆ หนึ่งจำชีวิตในอดีตของเขาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ในระดับจิตใต้สำนึก ความสัมพันธ์ดังกล่าวระหว่างบุคลิกภาพและบุคลิกภาพย่อยนั้นยังคงอยู่ ในทางอ้อม สิ่งหลังสามารถมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพและ "ผลักดัน" ให้ดำเนินการบางอย่าง โน้มน้าวให้ตัดสินใจบางอย่าง สิ่งนี้เกิดขึ้นในระดับที่ไม่รู้ตัว นอกจากนี้ บุคลิกลักษณะที่เปรียบเปรยเปรียบเปรยยังเปรียบได้กับ "ตัวกรองแสงที่มีหมอก" เนื่องจากการเชื่อมต่อโดยตรงระหว่างวิญญาณและ บุคลิกภาพใหม่กล่าวคือ ระหว่างแหล่งที่มาของแสงกับผู้ที่ต้องการ (หน้า 83-89)

ตอนนี้ฉันจะยกตัวอย่างข้อความของเด็ก ๆ ที่น่าสนใจซึ่งมีเพียงพอบนอินเทอร์เน็ต

ฉันไม่ได้ให้เรื่องราวทั้งหมดเพราะมันยาว แต่ในระยะสั้นแม่ของ Maxim มีพี่ชายอายุมากกว่าเธอ 14 ปี เขารักและเป็นห่วงน้องสาวมาก พ่อของพวกเขาเสียชีวิตก่อนกำหนด พี่ชายเป็นนักบิน การบินพลเรือนและเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะเดินทางกลับจากเที่ยวบิน เรื่องราวจบลงด้วยคำพูดของ Maxim ตัวน้อย:“ คุณจำได้ไหมว่าฉันสัญญาว่าจะพาคุณขึ้นเครื่องบิน? เมื่อฉันโตขึ้น ฉันจะเป็นนักบินและทำตามสัญญาให้ได้แน่นอน แม่!"

“ในชุมชน Druze ที่ชายแดนซีเรียและอิสราเอล เด็กชายคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับรอยแดงยาวบนศีรษะ

เมื่อเด็กอายุได้ 3 ขวบ เขาบอกพ่อแม่ของเขาว่าเขาถูกฆ่าตายในชาติที่แล้ว นอกจากนี้เขายังจำได้ว่าการตายของเขามาจากการถูกขวานฟันที่ศีรษะ

เมื่อเด็กชายถูกพามาที่หมู่บ้านจากความทรงจำของเขา เขาสามารถพูดชื่อของเขาในชาติที่แล้วได้ ชาวบ้านพวกเขาบอกว่าคนๆ นั้นอาศัยอยู่ที่นี่จริงๆ แต่หายตัวไปเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว

เด็กชายจำไม่เพียง แต่บ้านของเขา แต่ยังจำได้ด้วย ตั้งชื่อนักฆ่าของเขา.

เมื่อพบกับเด็ก ชายคนนี้ดูหวาดกลัว แต่เขาไม่เคยสารภาพความผิด จากนั้นเด็กชายก็ชี้จุดที่เกิดการฆาตกรรม

และที่สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนคือพบโครงกระดูกมนุษย์และขวาน ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งกลายเป็นอาวุธสังหาร

กะโหลกศีรษะของโครงกระดูกที่พบได้รับความเสียหายและเหมือนกันทุกประการ เครื่องหมายอยู่บนศีรษะของเด็ก.»

“ตอนอายุสามขวบ เด็กชายทำให้พ่อแม่ตกใจด้วยการประกาศว่าเขาไม่ใช่ลูกของพวกเขา และชื่อเดิมของเขาคือ เฉินหมิงเต่า!

เด็กชายอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่มาก่อนและแม้กระทั่งตั้งชื่อพ่อแม่ของเขา

นอกจากนี้เขายังจำได้ว่าเขาเสียชีวิตในระหว่างการกระทำการปฏิวัติจากการโจมตีด้วยดาบและการยิง และในท้องของเด็กนั้นมีอยู่จริง ปานที่มีลักษณะเหมือนรอยดาบ.

ปรากฎว่าบ้านเกิดเดิมของ Tang Jiangshan นั้นอยู่ไม่ไกล และเมื่อเด็กชายอายุ 6 ขวบ เขาและพ่อแม่ไปที่หมู่บ้านเดิมของเขา

ทั้งๆที่เขา วัยเด็ก Tang Jiangshan สามารถหาบ้านของเขาได้โดยไม่ยาก สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน เด็กชายพูดภาษาถิ่นของสถานที่ที่พวกเขาไปถึงได้อย่างคล่องแคล่ว

เมื่อเข้าไปในบ้าน เขาจำพ่อเก่าของเขาได้และแนะนำตัวเองว่าชื่อเฉินหมิงเต่า Sande - พ่อเก่าของเด็กชายแทบจะไม่เชื่อเรื่องราวของเด็ก แต่รายละเอียดที่เด็กชายเล่าเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของเขาทำให้เขาจำลูกชายได้

ตั้งแต่นั้นมา Tang Jiangshan ก็มีครอบครัวอื่น พ่อของเขาจากชาติที่แล้วและน้องสาวของเขายอมรับเขาในฐานะอดีต Chen Mingdao”

(Eng. IanPretymanStevenson) (31 ตุลาคม 2461 - 8 กุมภาพันธ์ 2550) - นักชีวเคมีและจิตแพทย์ชาวแคนาดา - อเมริกัน เป้าหมายของการศึกษาของเขาคือการมีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ก่อนหน้าพวกเขาในเด็ก (ซึ่งตามสตีเวนสันพิสูจน์แล้วว่ากลับชาติมาเกิด)

ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา สตีเวนสันได้สืบสวนกรณีรายงานเกี่ยวกับเด็กกว่า 3,000 กรณีที่อ้างว่าเหตุการณ์ในอดีต แต่ละครั้งผู้วิจัยบันทึกเรื่องราวของเด็กและเปรียบเทียบกับเหตุการณ์จริง

สตีเวนสันพยายามหาคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์นี้ ไม่เพียงแต่จากมุมมองของความเป็นไปได้ของการย้ายถิ่นฐานของวิญญาณเท่านั้น เขาพยายามที่จะแยกทั้งการหลอกลวงโดยเจตนาและกรณีที่เด็ก ๆ สามารถได้รับข้อมูลโดยไม่ตั้งใจด้วยวิธีปกติ หรือหากมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดความทรงจำผิด ๆ ของทั้งตัวเขาเองและสมาชิกในครอบครัวในปัจจุบันหรือในอดีตที่ถูกกล่าวหาของเขา สตีเวนสันปฏิเสธหลายกรณี สตีเวนสันไม่ได้อ้างว่างานวิจัยของเขาพิสูจน์การมีอยู่ของการกลับชาติมาเกิด โดยอ้างถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้อย่างระมัดระวังว่า "การเกิดใหม่โดยสมมุติ" และถือว่าการเกิดใหม่ไม่ใช่เพียงการเกิดใหม่เท่านั้น แต่ยังคง คำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับกรณีส่วนใหญ่ที่เขาศึกษา

หลังจากใช้เวลาหลายปีค้นคว้าเรื่องการกลับชาติมาเกิด สตีเวนสันเขียนว่า:

"นำเสนอทฤษฎีออร์โธดอกซ์ในจิตเวชศาสตร์และจิตวิทยา บุคลิกภาพของมนุษย์เป็นผลิตภัณฑ์จากสารพันธุกรรมของบุคคล (สืบทอดมาจากบรรพบุรุษผ่านพ่อแม่) เปลี่ยนแปลงภายใต้อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมในช่วงก่อนคลอดและหลังคลอด แต่ฉันพบว่ามีบางกรณีที่เราไม่สามารถอธิบายได้อย่างน่าพอใจด้วยพันธุกรรม อิทธิพล สิ่งแวดล้อมหรือรวมกัน" ("Family Circle", 14 มิถุนายน 2521)

สตีเวนสันมี ระบบของตัวเองศึกษาชุดเทคนิคของตัวเอง ในการทำงานแพทย์ยึดหลักดังนี้

ครอบครัวที่มีเด็กที่มีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของผู้วายชนม์แล้วไม่เคยได้รับรางวัลเป็นตัวเงิน
การศึกษาส่วนใหญ่ดำเนินการกับเด็กอายุตั้งแต่สองถึงสี่ขวบ
เพียงอย่างเดียวซึ่งเป็นไปได้ที่จะได้รับเอกสารหลักฐานของเหตุการณ์ที่เรียกคืนได้ถือเป็นกรณีที่พิสูจน์แล้ว

แจนชอบทำงานกับเด็กๆ พวกเขามักจะจำ "ชาติก่อน" ของพวกเขาได้และเริ่มพูดถึงมันตั้งแต่อายุสองหรือสามขวบ โดยทั่วไปมากที่สุดคืออายุสองถึงสี่ปีความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมามักปรากฏในเด็กโต บ่อยครั้งที่เด็กเริ่มพูดถึงชีวิตในอดีตของเขาทันทีที่เขาเรียนรู้ที่จะพูด บางครั้งเขาต้องใช้ท่าทางเพื่อเติมเต็มสิ่งที่เขาไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างชัดเจน (Stevenson. Reincarnation: Field Studies and Theoretical Issues, p. 637.)

เมื่ออายุห้าหรือหกขวบ (และเกือบจะแปดขวบ) ความทรงจำเหล่านี้จะจางหายไป นี่คือช่วงอายุเดียวกับที่วงสังคมของเด็กขยายตัว เขาเริ่มไปโรงเรียน ฯลฯ สมมุติว่าประสบการณ์ใหม่นี้ถูกซ้อนทับในความทรงจำของเด็กในชั้นที่มีความทรงจำเกี่ยวกับชาติก่อน และเมื่อเวลาผ่านไป ความทรงจำหลังจะไม่สามารถเข้าถึงได้

(Stevenson. Explanatory Value of the Idea of Reincarnation. - Journal of Nervous and Mental Disease, May 1977, p. 317.)

ในหลายกรณี คำแรกที่เด็กพูดคือชื่อของสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่หรือชื่อของผู้คนที่พวกเขารู้จักมาก่อน ซึ่งทำให้พ่อแม่ของพวกเขาท้อแท้สิ้นเชิง

เมื่อพูดถึงชีวิตที่ผ่านมาเด็กอาจมีพฤติกรรมแปลก ๆ พฤติกรรมของเขาอาจดูผิดปกติสำหรับสมาชิกในครอบครัวของเขา แต่มันสอดคล้องกับสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของเขา (และในกรณีส่วนใหญ่พบการโต้ตอบแบบเต็มกับคำอธิบายที่ญาติของผู้ตายให้ไว้) ... คุณสมบัติอื่น: เด็กมักจะแสดงทัศนคติ "ผู้ใหญ่" ต่อโลกและประพฤติตนอย่างจริงจังฉลาดสุขุมและบางครั้งก็มีความเห็นอกเห็นใจต่อเด็กคนอื่น ๆ นี่เป็นลักษณะเฉพาะของกรณีที่ผู้ทดลองเชื่อว่าเขายังเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็ก

(Stevenson. Reincarnation: Field Studies and Theoretical Issues, หน้า 637-38.)

ผู้ทดลองมักจะพูดถึงความแปลกประหลาดของความรู้สึกในร่างกาย พวกเขาแสดงความไม่พอใจกับความจริงที่ว่าพวกเขากลายเป็นเด็กเล็กในนั้น

(Stevenson. The Possible Nature of Post- Mortem States. - Journal of the American Society for Psychical Research, ตุลาคม 1980, p. 417.)

เหตุการณ์ที่เด็กๆ จำได้ดีที่สุดนั้นเกี่ยวข้องกับการตายของตัวตนเดิมของพวกเขาและสถานการณ์ที่นำไปสู่เหตุการณ์นั้น หากมีคนบอกว่าในชีวิตที่แล้วเขาไม่ได้ตายด้วยความตายของเขาเองร่องรอยอาจยังคงอยู่ในร่างกายในรูปแบบของไฝ, ไฝ, ปาน, รอยแผลเป็น, แผลเป็น ประมาณ 35% ของเด็กที่พูดถึงชาติที่แล้วมีปานหรือข้อบกพร่องแต่กำเนิด ซึ่งตำแหน่งนั้นตรงกับบาดแผล (มักจะถึงแก่ชีวิต) บนร่างกายของบุคคลที่เด็กจดจำชีวิตได้

(Stevenson. Reincarnation: Field Studies and Theoretical Issues, p. 654.)

ข้อมูลจากการวิจัยของสตีเวนสัน ซึ่งข้าพเจ้าได้อ้างถึงสั้นๆ ในข้อความสั้นๆ ในความเห็นของข้าพเจ้า มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับสิ่งที่เขียนใน AllatRa ข้อความของเด็กที่ผิดปกติเริ่มต้นและสิ้นสุดเมื่ออายุเท่าใด ลักษณะและพฤติกรรมของเด็กเป็นอย่างไร

อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันจะทิ้งไว้โดยไม่มีความคิดเห็น ในบางกรณี เด็กๆ พูดถึงวิธีที่พวกเขาเลือกพ่อแม่ของตนเอง นี่คือตัวอย่างบางส่วนของข้อความดังกล่าว ข้อความเหล่านี้เป็นจริงเพียงใด ฉันไม่สามารถตัดสินได้

ทศวรรษที่ผ่านมา Carl Sagan นักดาราศาสตร์และนักโหราศาสตร์ชาวอเมริกันกล่าวว่า "มีแนวคิดสามประการในจิตศาสตร์ที่สมควรได้รับการศึกษาอย่างจริงจัง" หนึ่งในนั้นเกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า "เด็กเล็กๆ บางครั้งให้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของพวกเขา" ซึ่งหลังจากการตรวจสอบแล้ว ปรากฏว่ามีความถูกต้องและเป็นไปได้มากว่าพวกเขาไม่รู้

นักวิจัยหลายคนสนใจที่จะศึกษาเรื่องนี้ที่น่าสนใจและ ปรากฏการณ์ที่อธิบายไม่ได้ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ การค้นพบที่น่าทึ่ง. การศึกษาเรื่องการเกิดใหม่เป็นของวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่วัตถุ พื้นที่นี้สมควรได้รับความสนใจอย่างยิ่ง

จิม ทัคเกอร์ จิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียอาจเป็นนักวิจัยชั้นนำเกี่ยวกับปรากฏการณ์การกลับชาติมาเกิดในปัจจุบัน ในปี 2008 เขาได้ตีพิมพ์บทความที่เขาพูดถึงกรณีที่บ่งชี้ถึงการเกิดใหม่

ทัคเกอร์อธิบาย กรณีทั่วไปกลับชาติมาเกิด ความจริงที่น่าสนใจ- ร้อยละ 100 ของผู้ที่รายงานอดีตชาติเป็นเด็ก อายุเฉลี่ยของเด็กที่พูดถึงชีวิตในอดีตคือ 1.5 ปี และคำอธิบายของพวกเขามักมีรายละเอียดมากมายและน่าประหลาดใจ ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าเด็กเหล่านี้มีอารมณ์อ่อนไหวเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต บางคนร้องไห้และขอให้พาไปที่ "ครอบครัวในอดีต" ของพวกเขา

ทัคเกอร์กล่าวว่า “เด็กๆ มักจะหยุดพูดถึงชีวิตในอดีตเมื่ออายุ 6-7 ขวบ เพราะส่วนใหญ่แล้วความทรงจำเหล่านี้จะถูกลบออกไป ในวัยนี้ เด็ก ๆ เริ่มไปโรงเรียน พวกเขามีเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตมากขึ้น ดังนั้น พวกเขาจึงเริ่มสูญเสียความทรงจำในวัยเด็ก

แซม เทเลอร์

Sam Taylor เป็นหนึ่งในเด็กที่ Tucker ศึกษา เด็กชายเกิด 1.5 ปีหลังจากการเสียชีวิตของปู่ของเขา แซมพูดถึงชาติที่แล้วเป็นครั้งแรกในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ทัคเกอร์เขียนว่า “วันหนึ่ง แซมวัย 1.5 ขวบบอกพ่อของเขาตอนที่เขากำลังจะเปลี่ยนผ้าอ้อมว่า “ตอนที่ฉันอายุเท่าคุณ ฉันเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้คุณ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายก็เริ่มบอกเล่าข้อเท็จจริงมากมายจากชีวิตของปู่ของเขา เป็นที่น่าสังเกตว่าเขาพูดถึงสิ่งที่เขาไม่สามารถรู้และเข้าใจได้เลย ตัวอย่างเช่น พี่สาวของปู่ถูกฆ่าตาย ย่าของเขาทำมิลค์เชคให้เขาทุกวันจนกระทั่งปู่ของเขาเสียชีวิต น่าทึ่งใช่มั้ย

Ryan เป็นเด็กชายจากมิดเวสต์

เรื่องราวของไรอันเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เมื่อเขาเริ่มมีอาการฝันร้ายบ่อยๆ ตอนอายุห้าขวบ เขาบอกแม่ว่า "ฉันชินกับการเป็นคนอื่น" ไรอันมักพูดถึงการกลับบ้านที่ฮอลลีวูดและขอให้แม่พาเขาไปที่นั่น เขาพูดถึงการได้พบกับดาราอย่างริต้า เฮย์เวิร์ธ การแสดงละครบรอดเวย์ และการทำงานในเอเจนซี่ที่ผู้คนมักจะเปลี่ยนชื่อ เขาจำชื่อถนนที่เขาอาศัยอยู่ได้ "ในชีวิตที่แล้ว"

ซินดี้ แม่ของไรอันกล่าวว่า "เรื่องราวของเขามีรายละเอียดที่เหลือเชื่อและเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่เด็กไม่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้"

ซินดี้ตัดสินใจค้นหนังสือฮอลลีวูดในห้องสมุดที่บ้านของเธอ โดยหวังว่าจะพบสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของลูกชายเธอ และเธอก็พบรูปถ่ายของคนที่ Ryan คิดว่าเขาเคยอยู่ในชาติที่แล้ว

ผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจหันไปหาทักเกอร์เพื่อขอความช่วยเหลือ จิตแพทย์ตัดสินใจทำธุรกิจและเริ่มการวิจัยของเขา หลังจากนั้น 2 สัปดาห์ Tucker ก็เปิดเผยว่าชายในภาพคือใคร ภาพถ่ายนี้เป็นภาพนิ่งจากภาพยนตร์เรื่อง Night After Night และชายคนนี้คือ Marty Martin ซึ่งเป็นบุคคลพิเศษและต่อมาได้กลายเป็นสายลับฮอลลีวูดที่ทรงอิทธิพลจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 2507 มาร์ตินแสดงละครบรอดเวย์ ทำงานในหน่วยงานที่ลูกค้าใช้นามแฝง และอาศัยอยู่ที่ 825 North Roxbury Drive ใน Beverly Hills ไรอันรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ที่อยู่มีคำว่า "หิน" เด็กชายยังสามารถบอกได้ว่ามาร์ตินมีลูกกี่คน แต่งงานกี่ครั้ง ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือเขารู้เรื่องน้องสาวของมาร์ติน แม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องลูกสาวของมาร์ตินเลยก็ตาม ไรอันยัง "จำ" แม่บ้านที่มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกันได้ มาร์ตินและภรรยามีหลายอย่าง โดยรวมแล้วเด็กชายให้ข้อเท็จจริง 55 ข้อจากชีวิตของชายคนนี้ แต่เมื่อไรอันโตขึ้น เขาก็เริ่มลืมทุกอย่างไปทีละน้อย

ชนัย ชุมาลัยวงศ์

ชายนัยเป็นเด็กชายไทยที่เมื่ออายุได้ 3 ขวบ เล่าว่าเขาคือครูบัวไข่ที่ถูกยิงขณะขี่จักรยานไปโรงเรียน เขาขอร้องและขอร้องให้พาไปหาพ่อแม่ของบัวไข่ซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นพ่อแม่ของเขา เขารู้ชื่อหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่และในที่สุดก็โน้มน้าวให้แม่ของเขาพาเขาไปที่นั่น ทัคเกอร์เล่าว่า “คุณยายของเขาบอกว่าหลังจากลงรถแล้ว ชาไนก็พาเธอไปที่บ้านซึ่งคู่สามีภรรยาสูงอายุอาศัยอยู่ ชนัยจำพวกเขาได้ พวกเขาคือพ่อแม่ของบัวไก ครูที่ถูกฆ่าตายระหว่างทางไปโรงเรียนเมื่อ 5 ปีก่อนที่เด็กชายจะเกิด

น่าทึ่งมากที่ Kai และ Shanai มีบางอย่างที่เหมือนกัน ไคถูกยิงจากด้านหลัง เขามีบาดแผลทางเข้าเป็นวงกลมเล็กๆ จากบาดแผลกระสุนปืนที่ด้านหลังศีรษะ และหน้าผากที่ใหญ่ขึ้นและมีรูปร่างไม่เท่ากัน ในทางกลับกัน Shanai เกิดมาพร้อมกับปานสองอัน ปานกลมเล็กๆ ที่ด้านหลังศีรษะและอีกอันที่ใหญ่กว่าและกำหนดไม่สม่ำเสมอที่ด้านหน้า

กรณีที่มี PM

เด็กชายขอเรียกเขาว่า P.M. ก่อนเกิด 12 ปีเสียชีวิตด้วยเนื้องอกมะเร็ง - นิวโรบลาสโตมา - พี่ชายต่างมารดา เนื้องอกถูกค้นพบหลังจากที่น้องชายเริ่มเดินกะเผลก และกระดูกแข้งซ้ายหักอย่างต่อเนื่อง เขาได้รับการตรวจชิ้นเนื้อจากก้อนกลมบนศีรษะเหนือหูข้างขวา และได้รับเคมีบำบัดผ่านสายสวนที่ใส่ไว้ในหลอดเลือดดำคอภายนอก เด็กเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 2 ขวบ ตาข้างซ้ายบอดไปแล้ว

PM เกิดมาพร้อมกับปาน 3 ดวง ซึ่งดูเหมือนจะทำให้เขานึกถึงปัญหาของพี่ชายต่างมารดา อันหนึ่งอยู่ในรูปของเนื้องอกขนาด 1 ซม. เหนือใบหูข้างขวา อีกอันหนึ่งเป็นรอยรูปเมล็ดอัลมอนด์สีดำที่ส่วนล่างของผิวด้านหน้าของคอ นั่นคือ ในสถานที่ที่พวกเขาใส่สายสวนให้พี่ชายของเขา นอกจากนี้เขายังมีอาการที่เรียกว่า "ฝ้าที่กระจกตา" ซึ่งทำให้ตาซ้ายของเขาบอดสนิท เมื่อน. เริ่มเดิน เขาทำเช่นนี้โดยเดินกะเผลกที่ขาซ้ายของเขา และเมื่ออายุได้ 4.5 ปี เด็กชายก็เริ่มขอให้แม่ของเขากลับบ้านเก่า ซึ่งเขาอธิบายได้อย่างแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ

เคนดรา คาร์เตอร์

เมื่ออายุได้ 4 ขวบ เคนดราเริ่มเรียนว่ายน้ำและรู้สึกผูกพันกับโค้ชทันที หลังจากเริ่มเรียนได้ไม่นาน เด็กหญิงก็เริ่มบอกว่าลูกของโค้ชเสียชีวิต โค้ชป่วย และเธอแท้งลูก แม่ของ Kendra อยู่ที่ชั้นเรียนเสมอ และเมื่อเธอถามลูกสาวของเธอว่าเธอรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างไร เด็กหญิงคนนั้นตอบว่าเธอคือเด็กคนนั้นจากท้องของครูฝึก ในไม่ช้าแม่ของเด็กหญิงก็รู้ว่าโค้ชแท้งลูกเมื่อ 9 ปีก่อนที่เคนดราจะเกิด

หญิงสาวมีความสุขและร่าเริงเมื่ออยู่ในชั้นเรียนและในทางกลับกันก็ปิดเวลาที่เหลือ แม่เริ่มปล่อยให้ลูกสาวใช้เวลากับโค้ชมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะพัก 3 ครั้งต่อสัปดาห์ในตอนกลางคืน

ต่อจากนั้นโค้ชทะเลาะกับแม่ของ Kendra และตัดการติดต่อกับครอบครัวทั้งหมด หลังจากนั้นหญิงสาวก็ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าและไม่คุยกับใครเลยเป็นเวลา 4.5 เดือน โค้ชกลับมาสานสัมพันธ์ต่อ แต่จำกัดมากขึ้น และเคนดราก็เริ่มพูดคุยและเข้าร่วมการแข่งขันอย่างช้าๆ

เจมส์ ไลนิงเกอร์

เจมส์เป็นเด็กชายอายุ 4 ขวบจากหลุยเซียน่า เขาเชื่อว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นนักบินที่ถูกยิงตกเหนือเกาะอิโวจิมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นครั้งแรกที่พ่อแม่ของเด็กชายรู้เรื่องนี้ เมื่อฝันร้ายเริ่มทรมานเขา เจมส์ลุกขึ้นและตะโกนว่า "เครื่องบินตก! เครื่องบินไฟไหม้! เขารู้คุณสมบัติของเครื่องบินซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับอายุของเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อเขาแก้ไขแม่ของเขาในการสนทนา เธอเรียกถังเชื้อเพลิงภายนอกว่าระเบิด เจมส์และพ่อแม่ของเขาดูสารคดีที่ผู้เขียนตั้งชื่อเครื่องบินญี่ปุ่นว่า ซีโร่ และเด็กชายอ้างว่ามันคือโทนี่ ในทั้งสองกรณี เด็กชายพูดถูก

ยากอบยังกล่าวถึงเรือชื่อนาโทมาเบย์ด้วย ดังที่ Leiningers ทราบในภายหลัง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้เป็นของอเมริกา

คุณถามว่าที่ไหน เด็กน้อยจากหลุยเซียน่าจำได้ว่าเป็นนักบิน WW2?

สิ่งที่น่ากังขาที่สุดในเรื่องนี้คือพ่อของเด็กชาย ซึ่งอ้างว่าค่อนข้างสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แต่ข้อมูลที่เจมส์เปิดเผยออกมานั้นน่าตกใจและไม่ธรรมดา

การเกิดใหม่เป็นตัวเลข:

การวิจัยของ Tucker เปิดเผยรูปแบบที่น่าสนใจในกรณีของเด็กที่รายงานความทรงจำในอดีต:

อายุเฉลี่ย ณ เวลาที่เสียชีวิตของบุคคลที่ "ย้ายเข้าสู่ร่างใหม่" คือ 28 ปี
เด็กส่วนใหญ่ที่รายงานความทรงจำในอดีตมีอายุระหว่าง 2 ถึง 6 ปี
60% ของเด็กที่รายงานความทรงจำในอดีตเป็นเด็กผู้ชาย
ประมาณ 70% ของเด็กเหล่านี้อ้างว่าเสียชีวิตด้วยความรุนแรงหรือตายผิดธรรมชาติ
90% ของเด็กที่บันทึกความทรงจำในอดีตชาติบอกว่าพวกเขามีเพศเดียวกันในชีวิตที่แล้ว
ช่วงเวลาเฉลี่ยระหว่างวันที่พวกเขารายงานการตายและการเกิดใหม่คือ 16 เดือน
20% ของเด็กเหล่านี้รายงานว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาระหว่างความตายและการเกิดใหม่

จิม ทัคเกอร์จากชาร์ลอตส์วิลล์ (สหรัฐอเมริกา) เป็นนักวิทยาศาสตร์คนเดียวในโลกที่ค้นคว้าเรื่องราวของเด็กเกี่ยวกับชีวิตในอดีตเป็นเวลา 15 ปี ทัคเกอร์ได้รวบรวมเรื่องราวเล็ก ๆ น้อย ๆ จากสหรัฐอเมริกาในหนังสือเล่มใหม่และนำเสนอสมมติฐานของเขาเองเกี่ยวกับแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ที่อาจอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์การกลับชาติมาเกิด

ต่อไปนี้คือคำแปลของบทความ "The Science of Reincarnation" ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในวารสารของมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย

ความทรงจำที่เกิดขึ้นเองและเกมในวัยเด็ก

เมื่อ Ryan Hammons อายุสี่ขวบ เขาเริ่มเล่นเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ และคำสั่งต่างๆ เช่น "Action" ก็ได้ยินจากห้องลูกของเขาตลอดเวลา แต่เกมเหล่านี้ในไม่ช้าก็สร้างความกังวลให้กับพ่อแม่ของ Ryan โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่คืนหนึ่งเขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับกรีดร้อง เอามือกุมหน้าอก และเริ่มเล่าว่าวันหนึ่งเขาฝันว่าหัวใจของเขาระเบิดในขณะที่เขาอยู่ในฮอลลีวูด ซินดี้แม่ของเขาไปหาหมอ แต่หมออธิบายว่าฝันร้าย และเด็กชายจะโตเร็วกว่าอายุนี้ในไม่ช้า เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ซินดี้กำลังพาลูกชายเข้านอน จู่ๆ เขาก็จับมือเธอและพูดว่า: " แม่ดูเหมือนว่าฉันเคยเป็นคนอื่น".

ไรอันอธิบายว่าเขาจำบ้านหลังใหญ่สีขาวและสระว่ายน้ำได้ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในฮอลลีวูด ห่างจากบ้านของพวกเขาในโอคลาโฮมาหลายไมล์ ไรอันบอกว่าเขามีลูกชายสามคน แต่เขาจำชื่อไม่ได้ เขาเริ่มร้องไห้และถามแม่ว่าทำไมจำชื่อแม่ไม่ได้

"ฉันไม่รู้จริงๆว่าต้องทำอย่างไร", - นึกถึงซินดี้ - " ฉันกลัวมาก. เขาจึงยืนหยัดในเรื่องนี้ หลังจากคืนนั้น เขาพยายามจำชื่อพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่ผิดหวังที่จำชื่อไม่ได้ ฉันเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการเกิดใหม่ทางอินเทอร์เน็ต ฉันยังยืมหนังสือห้องสมุดเกี่ยวกับฮอลลีวูดด้วยความหวังว่ารูปภาพอาจช่วยเขาได้ ฉันไม่ได้บอกใครเรื่องนี้เป็นเวลาหลายเดือน".

วันหนึ่ง ขณะที่ไรอันและซินดี้กำลังดูหนังสือฮอลลีวูดเล่มหนึ่ง ไรอันหยุดที่หน้าเดียวกับภาพถ่ายขาวดำจากภาพยนตร์เรื่อง Night After Night ในช่วงปี 1930 ภาพแสดงให้เห็นชายสองคนกำลังคุกคามหนึ่งในสาม พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยผู้ชายอีกสี่คน ซินดี้จำใบหน้าเหล่านี้ไม่ได้ แต่ไรอันชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางแล้วพูดว่า " เฮ้ แม่ นี่จอร์จเอง เราทำหนังด้วยกัน".

จากนั้นนิ้วของเขาก็เลื่อนไปที่ชายในเสื้อแจ็คเก็ตทางด้านขวาของภาพซึ่งดูบึ้งตึง: ผู้ชายคนนี้คือฉัน ฉันเจอเอง!".

เมื่ออายุได้สองขวบ เด็ก ๆ จะระลึกถึงชาติที่แล้ว

เป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้วที่ทัคเกอร์ค้นคว้าเรื่องราวของเด็กที่มักมีอายุระหว่างสองถึงหกขวบ ซึ่งอ้างว่าเคยมีชีวิตอยู่มาก่อน บางครั้งเด็กเหล่านี้สามารถอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในอดีตเหล่านี้ได้ค่อนข้างละเอียด น้อยครั้งมากที่บุคคลที่ล่วงลับไปแล้วเหล่านี้จะมีชื่อเสียงหรือโด่งดัง และมักไม่เป็นที่รู้จักในครอบครัวของเด็กเหล่านี้เลย

Tucker หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ระดับโลกเพียงสองคนที่ศึกษาปรากฏการณ์นี้ อธิบายว่าความซับซ้อนของประสบการณ์เหล่านี้แตกต่างกันไป บางเรื่องสามารถระบุได้ง่าย เช่น เมื่อทราบแน่ชัดว่าเรื่องราวที่ไม่เป็นอันตรายของเด็กเกิดขึ้นในครอบครัวที่สูญเสียญาติสนิท

ในกรณีอื่นๆ เช่นของ Ryan คำอธิบายเชิงตรรกะก็เป็นแบบวิทยาศาสตร์ Tucker กล่าว ซึ่งทั้งเรียบง่ายและน่าประหลาดใจในเวลาเดียวกัน: " ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเด็กจะจำความทรงจำจากชีวิตอื่นได้".

"ฉันเข้าใจว่ามันเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่จะเข้าใจและยอมรับว่ามีบางอย่างที่เกินกว่าที่เราจะมองเห็นและสัมผัสได้"ทัคเกอร์อธิบายซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของโรงพยาบาลเด็กมหาวิทยาลัย (คลินิกจิตเวชเด็กและครอบครัว) มาเกือบทศวรรษ" อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหลักฐานว่าควรพิจารณาเหตุการณ์ดังกล่าว และหากเราพิจารณากรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด คำอธิบายที่เหมาะสมที่สุดคือว่าความทรงจำจะถูกถ่ายโอน ".

กุญแจสู่การดำรงอยู่ของการกลับชาติมาเกิด

ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขาที่ชื่อว่า Return to Live ทัคเกอร์พูดถึงกรณีที่น่าสนใจที่สุดของเขาในสหรัฐอเมริกาและนำเสนอข้อโต้แย้งของเขาว่าการค้นพบล่าสุดในกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งพฤติกรรมของอนุภาคที่เล็กที่สุดในธรรมชาตินั้น กุญแจสู่การดำรงอยู่ของการกลับชาติมาเกิด.

"ฟิสิกส์ควอนตัมชี้ให้เห็นว่าโลกทางกายภาพของเราเกิดขึ้นจากจิตสำนึกของเราทัคเกอร์พูดว่า — มุมมองนี้ไม่เพียงแสดงโดยฉันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ จำนวนมากด้วย".

ในขณะที่งานของ Tucker นำไปสู่การถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนในชุมชนวิทยาศาสตร์ งานวิจัยของเขาส่วนหนึ่งมาจากคดีที่สอบสวนโดยเอียน สตีเวนสัน บรรพบุรุษของเขาซึ่งเสียชีวิตในปี 2550 ซึ่งรวบรวมคดีจากทั่วโลกที่หลายคนเข้าใจผิดไม่น้อย

สำหรับ Michael Levin ผู้อำนวยการ Center for Restorative and Regenerative Developmental Biology ที่ Tufts University และผู้เขียนบทวิจารณ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหนังสือเล่มแรกของ Tucker ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น "การวิจัยชั้นหนึ่ง" แบบจำลองของวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่ไม่สามารถหักล้างหรือพิสูจน์การค้นพบของ Tucker ได้คือหัวใจสำคัญของความขัดแย้ง:" เมื่อคุณตกปลาด้วยรูขนาดใหญ่ คุณจะไม่มีทางจับปลาที่มีขนาดเล็กกว่ารูเหล่านั้นได้ สิ่งที่คุณพบมักจำกัดเฉพาะสิ่งที่คุณกำลังมองหา วิธีการและแนวคิดปัจจุบันไม่สามารถจัดการกับข้อมูลนี้ได้".

ทัคเกอร์ ซึ่งการวิจัยของเขาได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิเท่านั้น ได้เริ่มการวิจัยเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดในปลายปี 1990 หลังจากที่เขาอ่านบทความใน Charlottesville Daily Progress เกี่ยวกับทุนวิจัยของเอียน สตีเวนสันที่ใกล้ตาย: " ฉันสนใจแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายและคำถามที่ว่าวิธีการทางวิทยาศาสตร์สามารถนำมาใช้ในการศึกษาพื้นที่นี้ได้หรือไม่".

หลังจากเริ่มทำงานอาสาสมัครกับแผนกของ Stevenson เป็นเวลาหลายปี เขาก็กลายเป็นสมาชิกถาวรของทีมและส่งต่อบันทึกของ Stevenson ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากต้นทศวรรษ 1960 " งานนี้ทัคเกอร์พูดว่า ให้ความเข้าใจที่น่าอัศจรรย์แก่ข้าพเจ้า".

ผลการวิจัยของ Tucker ในตัวเลข

ประมาณร้อยละ 70 ของเด็กที่ศึกษาเสียชีวิต (ในชาติที่แล้ว) จากความรุนแรงหรือ ความตายที่ไม่คาดคิด. เด็กผู้ชายประมาณหนึ่งในสามของกรณีเหล่านี้จำได้ ซึ่งเกือบจะตรงกับสัดส่วนของผู้ชายที่มีสาเหตุการตายผิดธรรมชาติในประชากรปกติ

แม้ว่าในประเทศที่การกลับชาติมาเกิดเป็นส่วนหนึ่งของ วัฒนธรรมทางศาสนามีการรายงานกรณีดังกล่าวบ่อยขึ้น อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของทักเกอร์ ไม่มีความสอดคล้องกันระหว่างความถี่ของคดีและ ความเชื่อทางศาสนาครอบครัวที่มีประสบการณ์การกลับชาติมาเกิด

เด็กหนึ่งในห้าที่รายงานชีวิตที่แล้ว พวกเขายังพูดถึงช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างชีวิต - ระหว่างการเกิดและการตายอย่างไรก็ตาม แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะพบการติดต่อในเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวกับประสบการณ์ของการเปลี่ยนแปลงนี้ เด็กบางคนอ้างว่าพวกเขาอยู่ใน "บ้านของพระเจ้า" ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่าพวกเขารอที่สถานที่ตายก่อนที่จะ "เข้าไป" มารดา (ใหม่) ของพวกเขา

ในกรณีที่ประวัติของเด็กอาจมาจากบุคคลอื่น ระยะเวลาของช่วงเปลี่ยนผ่านนี้มักจะอยู่ที่ประมาณ 16 เดือน

ลักษณะของเด็กดังกล่าวคืออะไร?

เด็กประมาณร้อยละ 20 ที่ตรวจพบว่ามีปานหรือรูปร่างไม่สมประกอบคล้ายแผลเป็นซึ่งคล้ายกับรอยและบาดแผลของคนที่พวกเขาจำได้และใคร พวกเขาได้รับในไม่ช้าหรือในช่วงเวลาแห่งความตาย.

ข้อความเหล่านี้ส่วนใหญ่ในเด็กจะลดลงเมื่ออายุหกขวบ ซึ่งตรงกับเวลาที่สมองของเด็กกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาระยะใหม่

แม้ว่าเรื่องราวของพวกเขาจะมีลักษณะเหนือธรรมชาติ แต่แทบไม่มีเด็กคนใดที่ศึกษาและบันทึกได้แสดงสัญญาณอื่นๆ ของความสามารถ "เหนือธรรมชาติ" หรือ "การรู้แจ้ง" ทัคเกอร์เขียน " ความประทับใจของฉันคือแม้ว่าเด็กบางคนจะแสดงความคิดเห็นเชิงปรัชญา แต่เด็กส่วนใหญ่ก็เป็นเด็กปกติอย่างสมบูรณ์ อาจเปรียบเทียบสิ่งนี้ได้กับสถานการณ์ที่เด็กไปโรงเรียนวันแรกไม่ฉลาดไปกว่าในวันสุดท้ายของโรงเรียนอนุบาล".

ทัคเกอร์เติบโตมาในฐานะผู้นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ใต้ในนอร์ทแคโรไลนา สำรวจคำอธิบายแบบลงดินอื่นๆ และยังสำรวจกรณีของการหลอกลวงเนื่องจากผลประโยชน์ทางการเงินและชื่อเสียง " แต่ส่วนใหญ่แล้วสัญญาภาพยนตร์จะไม่นำข้อมูลนี้มาทัคเกอร์พูดว่า และหลายครอบครัว โดยเฉพาะในโลกตะวันตก รู้สึกอายที่จะพูดถึงพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูก".

แน่นอน ทัคเกอร์ไม่ได้แยกแยะแม้แต่จินตนาการในวัยเด็กง่ายๆ ว่าเป็นคำอธิบาย แต่นั่นก็ไม่สามารถอธิบายถึงความสมบูรณ์ของรายละเอียดที่เด็กบางคนจำคนก่อนหน้าได้: " มันสวนทางกับตรรกะทุกอย่างที่ว่ามันอาจจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญก็ได้".

"ไม่มีคำอธิบายที่มีเหตุผลใดที่หยิบยกมาจนถึงตอนนี้ยังคงสามารถอธิบายรูปแบบอื่นได้ เมื่อเด็กๆ เช่นในกรณีของ Ryan เชื่อมโยงอารมณ์รุนแรงกับความทรงจำของพวกเขา"ทัคเกอร์เขียน

ทัคเกอร์เชื่อว่าจำนวนคดีที่ค่อนข้างน้อยที่เขาและสตีเวนสันสามารถรวบรวมได้ในอเมริกาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาสามารถอธิบายได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าพ่อแม่หลายคนเพิกเฉยหรือตีความเรื่องราวของลูกในทางที่ผิด: " เมื่อเด็กได้รับความเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ถูกรับฟังหรือไม่เชื่อ พวกเขาก็แค่หยุดพูดเรื่องนี้ พวกเขาเข้าใจว่าไม่ได้รับการสนับสนุน เด็กส่วนใหญ่ต้องการทำให้พ่อแม่พอใจ".

มองจิตสำนึกจากมุมมองของควอนตัมฟิสิกส์

สติสัมปชัญญะหรืออย่างน้อยก็ความทรงจำสามารถถ่ายโอนจากบุคคลหนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่งได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนา แต่ทัคเกอร์เชื่อว่าคำตอบสามารถพบได้ในพื้นฐานของควอนตัมฟิสิกส์: นักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่าสสาร เช่น อิเล็กตรอนและโปรตอน จะสร้างเหตุการณ์เมื่อมีการสังเกต

ตัวอย่างที่เข้าใจง่ายคือการทดลองที่เรียกว่า double-slit: ถ้าปล่อยให้แสงตกผ่านรูที่มีช่องว่างเล็กๆ สองช่อง ซึ่งช่องหนึ่งเป็นแผ่นปฏิกิริยาแสง และกระบวนการนี้ไม่ถูกสังเกต แสงจะผ่านช่องแยกทั้งสอง หากคุณสังเกตกระบวนการนี้ แสงจะตกกระทบผ่านรูใดรูหนึ่งในสองรูตามที่จานแสดงไว้เท่านั้น พฤติกรรมของแสง อนุภาคของแสงจึงเปลี่ยนไป แม้ว่าความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือกระบวนการได้รับการสังเกต

ในความเป็นจริง ยังมีการโต้เถียงที่ขัดแย้งและทรงพลังเกี่ยวกับการทดลองนี้และผลลัพธ์ของมันด้วย อย่างไรก็ตาม ทัคเกอร์เชื่อเช่นเดียวกับผู้ก่อตั้งควอนตัมฟิสิกส์ Max Planck ว่าโลกทางกายภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการรับรู้ที่ไม่ใช่ทางกายภาพ และอาจมีต้นกำเนิดมาจากมันด้วยซ้ำ

หากเป็นเช่นนั้น จิตสำนึกก็ไม่จำเป็นต้องมีสมอง สำหรับทัคเกอร์ จึงไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าสติก็จบลงด้วยสมองตายเช่นกัน: " เป็นไปได้ว่าจิตสำนึกจะปรากฏตัวในชีวิตใหม่".

Robert Pollock ผู้อำนวยการศูนย์การศึกษาวิทยาศาสตร์และศาสนาแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตั้งข้อสังเกตว่านักวิทยาศาสตร์สงสัยมานานแล้วว่าการสังเกตการณ์อาจมีบทบาทอย่างไรต่อโลกทางกายภาพ อย่างไรก็ตาม สมมติฐานที่หยิบยกมาไม่จำเป็นต้องเป็นวิทยาศาสตร์: " การโต้วาทีในหมู่นักฟิสิกส์มักจะเน้นไปที่ความชัดเจนและความสวยงามของแนวคิดดังกล่าว มากกว่าในสถานการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ในความคิดของฉัน นี่เป็นอะไรก็ได้นอกจากการถกเถียงทางวิทยาศาสตร์ ฉันคิดว่าสิ่งที่พลังค์และผู้ติดตามของเขาสังเกตและกำลังสังเกตอยู่คือพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็ก บนพื้นฐานของการที่พวกเขาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับจิตสำนึกและด้วยเหตุนี้จึงแสดงความหวัง แม้ว่าฉันหวังว่ามันจะถูก แต่ก็ไม่มีวิธีใดที่จะพิสูจน์หรือหักล้างแนวคิดเหล่านี้ได้".

ในทางกลับกัน Tucker อธิบายว่าสมมติฐานของเขามีพื้นฐานมาจากความคิดเพ้อฝันมากกว่า นี่เป็นมากกว่าแค่ความหวัง " หากคุณมีหลักฐานเชิงบวกโดยตรงสำหรับทฤษฎีหนึ่งๆ มันสำคัญแม้ว่าจะมีหลักฐานเชิงลบก็ตาม".

Ryan พบกับลูกสาวของเขาในชีวิตที่แล้ว

Cindy Hamons ไม่สนใจในการสนทนาเหล่านี้ เมื่อลูกชายวัยก่อนเรียนของเธอจำตัวเองได้ในภาพถ่ายเมื่อ 80 ปีที่แล้ว เธอแค่อยากรู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร

ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือ แต่ในไม่ช้าซินดี้ก็พบว่าชายในภาพซึ่งไรอันเรียกว่า "จอร์จ" - ปัจจุบันดาราภาพยนตร์จอร์จแพฟท์เกือบจะลืมไปแล้ว ใครคือคนที่ไรอันจำตัวเองได้ ซินดี้ไม่เคยรู้แน่ชัด ซินดี้เขียนถึงทัคเกอร์ซึ่งเธอพบที่อยู่ทางอินเทอร์เน็ตด้วย

ภาพถ่ายผ่านเขาเข้าไปในคลังภาพยนตร์ ซึ่งหลังจากค้นหามาหลายสัปดาห์ ปรากฎว่าชายที่ดูเศร้าหมองยังไม่เพียงพอแม้ในช่วงชีวิตของเขา นักแสดงที่มีชื่อเสียง Martin Martin ซึ่งไม่ได้ถูกกล่าวถึงในเครดิตของภาพยนตร์เรื่อง Night after Night (คืนแล้วคืนเล่า)

ไม่นานต่อมา ครอบครัวฮามอนกับทัคเกอร์เดินทางไปแคลิฟอร์เนียเพื่อพบกับลูกสาวของมาร์ติน ซึ่งบรรณาธิการของสารคดีโทรทัศน์เกี่ยวกับทัคเกอร์พบ

ก่อนพบกับไรอัน ทัคเกอร์ได้คุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในตอนแรกหญิงสาวลังเลที่จะบอก แต่ในระหว่างการสนทนา เธอสามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยืนยันเรื่องราวของไรอัน

ไรอันบอกว่า "เขา" เต้นในนิวยอร์ก มาร์ตินเป็นนักเต้นที่บรอดเวย์ ไรอันบอกว่าเขาเป็น "ตัวแทน" เช่นกัน และคนที่เขาทำงานให้ก็เปลี่ยนชื่อแล้ว อันที่จริง Martyn ทำงานหลายปีหลังจากอาชีพนักเต้นให้กับเอเจนซี่ผู้มีความสามารถที่มีชื่อเสียงในฮอลลีวูดซึ่งใช้นามแฝงที่สร้างสรรค์ ไรอันชี้แจงด้วยว่าคำว่า "ร็อค" อยู่ในชื่อที่อยู่เก่าของเขา

Martyn อาศัยอยู่ที่ 825 North Roxbbury Drive ใน Beverly Hills ไรอันยังเปิดเผยว่าเขารู้จักชายคนหนึ่งชื่อ Senator Five ลูกสาวของมาร์ตินยืนยันว่าเธอมีรูปถ่ายของพ่อของเธอกับวุฒิสมาชิกเออร์วิง อีฟส์แห่งนิวยอร์ก ซึ่งทำหน้าที่ในวุฒิสภาสหรัฐฯ ระหว่างปี 2490 ถึง 2502 และใช่ ด๊อกเตอร์มีลูกชายสามคนซึ่งแน่นอนว่าชื่อลูกสาวรู้

แต่การพบกับไรอันของเธอกลับไม่เป็นไปด้วยดี ไรอันยื่นมือไปหาเธอ แต่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังแม่ของเขาตลอดการสนทนา หลังจากนั้นเขาอธิบายให้แม่ฟังว่าพลังงานของผู้หญิงเปลี่ยนไป หลังจากนั้นแม่ของเขาก็อธิบายให้เขาฟังว่าผู้คนเปลี่ยนไปเมื่อโตขึ้น " ฉันไม่อยากกลับไป (ไปฮอลลีวูด) ไรอันอธิบาย — ฉันอยากจะเหลือไว้แต่ครอบครัว (ของฉัน) นี้เท่านั้น”

ในช่วงหลายสัปดาห์ต่อมา ไรอันพูดถึงฮอลลีวูดน้อยลงเรื่อยๆ

ทัคเกอร์อธิบายว่าสิ่งนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเด็กๆ ได้พบกับครอบครัวของคนที่คิดว่าเคยเป็น " นี่ดูเหมือนจะเป็นการยืนยันความทรงจำของพวกเขา ซึ่งจากนั้นก็สูญเสียความรุนแรงไป ฉันคิดว่าพวกเขาจะตระหนักได้ว่าไม่มีใครในอดีตรอพวกเขาอีกต่อไป เด็กบางคนรู้สึกเศร้าเพราะเหตุนี้ แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับและหันมาสนใจปัจจุบันอย่างเต็มที่พวกเขาให้ความสำคัญกับความจริงที่ว่าพวกเขาต้องอยู่ที่นี่และตอนนี้ - และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ ".

แปลโดย Alena Ivanova นักเรียนปี 2 ของสถาบันการกลับชาติมาเกิด

คัดลอกเนื้อหาอย่างเคร่งครัดโดยมีข้อบ่งชี้ของนิตยสาร Reincarnation.

เมื่อแซลลี่อายุได้สามขวบ เธอประกาศว่าชื่อจริงของเธอคือโจเซฟ ในตอนแรกพ่อแม่หัวเราะ แต่ผู้หญิงคนนั้นยืนยันและยืนยันว่าในชีวิตอื่นเธอเป็นเด็กผู้ชาย เธอแน่ใจว่าพ่อแม่ของเธอ แอนนาและริชาร์ดไม่ใช่พ่อแม่ที่แท้จริงของเธอและของพวกเขา บ้านเกิดไม่ใช่บ้านที่แท้จริงของเธอ

เธอเชื่อว่าเธออาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ริมทะเลกับพี่ชายและน้องสาวหลายคน เช่นเดียวกับโจเซฟ เธอคอยถามอยู่เสมอว่าเมื่อไหร่จะได้เห็นเรืออีก และพ่อแม่ของเธอก็ไม่เคยพาเธอไปทะเลด้วยซ้ำ

ควรสังเกตว่าการเกิดของ Sally นั้นเกือบจะเป็นปาฏิหาริย์ - พ่อแม่ของเธอพยายามอย่างไร้ผลที่จะมีลูกเป็นเวลาหลายปีและ Anna ก็ผ่านขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้วที่ไม่ประสบความสำเร็จ

แซลลี่รู้สึกผิดหวังเพราะพวกผู้ใหญ่ไม่จริงจังกับเรื่องราวของเธอ หกสัปดาห์หลังจากเธออายุได้ 3 ขวบ และตั้งแต่วินาทีที่เธอเริ่มพูดถึงชีวิตก่อนหน้านี้ เด็กหญิงก็หยุดพูดถึงโจเซฟและบ้านริมทะเล และลืมความทรงจำเก่าๆ เหล่านั้นไปโดยสิ้นเชิง

สิ่งที่น่าสนใจคือความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตในอดีตปรากฏในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปีและหลังจากนั้นไม่นานพวกเขาก็สงบลงและหายไปอย่างสมบูรณ์เมื่อโตขึ้น

ครอบครัวหนึ่งจากเมืองเชสเตอร์ของอังกฤษเล่าเรื่องที่คล้ายกัน พ่อบอกว่าพวกเขามีลูกชายสองคนในครอบครัวและคนหนึ่งชื่อรอนนี่ เมื่อเขาอายุ 16 เดือน เขาเริ่มพูดถึง "บ้านอีกหลัง" ของเขา ซึ่งเขาเป็น "ผู้ใหญ่" และอาศัยอยู่กับพ่อและแม่คนละคน

Susan Bowers จากสหรัฐอเมริการู้สึกตกใจเมื่อลูกชายวัย 3 ขวบของเธอเงยหน้าขึ้นจากการต่อสู้กับเชือกผูกรองเท้าที่บิดเบี้ยวและพูดว่า "ฉันเคยเรียนรู้ที่จะผูกเชือกรองเท้ามาก่อน และมันก็น่าขยะแขยงพอๆ กัน ฉันไม่คิดว่าจะต้องเรียนรู้มันอีก"

แอน มารี กอนซาเลซ ชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง ตะลึงเมื่อลูกสาวของเธอซึ่งนั่งอยู่บนตักจู่ๆ บอกว่าเธอจำไฟที่บ้านของพวกเขาไหม้ได้ เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ อธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับไฟไหม้ที่คร่าชีวิตทั้งพ่อและแม่ของเธอและทิ้งเธอไว้เป็นกำพร้า หลังจากนั้นเธอก็อาศัยอยู่กับยายชื่อลอร่า

ผู้หญิงอีกคนชื่อ Heather Lee Simpson จากรัฐอินเดียนาเกลียดเสียงไซเรน เธอนึกถึงวันที่เลวร้ายในชีวิตที่แล้วของเธอ เมื่อมีคนมาพรากแม่ของเธอไปและเธอก็ไม่กลับมาอีกเลย

มีบางกรณีที่ความทรงจำปรากฏขึ้นแม้หลังจาก 4 ปี แต่สิ่งนี้เกิดขึ้นน้อยกว่ามาก ตัวอย่างเช่น เด็กชายวัยสี่ขวบจากสหรัฐอเมริกาชื่อ Tristan กำลังดูการ์ตูนเกี่ยวกับ Tom and Jerry ในขณะที่แม่ของเขากำลังทำอาหารอยู่ในครัวในขณะนั้น ทันใดนั้น เด็กชายวิ่งมาหาเธอและพูดว่า - "ฉันจำได้ว่าฉันทำอาหารให้จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาด้วย ตอนนั้นฉันยังเด็ก ฉันเป็นคนผิวดำและช่วยทำอาหารในครัว แต่แล้วฉันก็เสียชีวิต - ฉันหายใจไม่ออก พวกเขาแขวนคอฉัน"

ราเชลรู้สึกทึ่งกับเรื่องราวของลูกชายของเธอ อ่านหนังสือเกี่ยวกับชีวิตของจอร์จ วอชิงตัน และพบว่าแม่ครัวของเขาชื่อเฮอร์คิวลีส มีลูกด้วยกัน 3 คน ได้แก่ ริชมอนด์ อีวี่ และเดเลีย

นี่คืออีกเรื่องที่ Els Van Pooppel เล่าเกี่ยวกับลูกชายวัย 22 เดือนของเธอชื่อไคโร พวกเขาต้องข้ามทางหลวงที่พลุกพล่านในออสเตรเลีย เมื่อไคโรบอกว่าต้องระวัง "ไม่งั้นฉันคงตายอีก"

และนี่คือเรื่องราวที่เล่าโดย Teen Mitchell ซึ่งอาศัยอยู่กับแม่ของเขาใน Blackpool เมื่อพวกเขาขับรถไปกับเธอในรถ เขาชี้ไปที่ก้อนเมฆและพูดว่า - "ตอนที่ฉันเป็นศูนย์ ก่อนที่ฉันจะเกิด ฉันยืนอยู่บนก้อนเมฆและคุยกับพระเจ้า เหมือนกับพระเจ้าบอกฉันว่าให้เลือกแม่ของฉัน ฉันมองลงมาและเห็นแม่มากมายทุกที่ พวกเขาต้องการให้ฉันเลือกพวกเขา จากนั้นฉันก็เห็นคุณ ฉันชอบคุณและฉันก็เลือกคุณ"

เด็กหลายคนพูดถึงการจดจำว่าพวกเขาได้รับเลือกแม่ในอนาคตอย่างไร ตัวอย่างเช่น จูดี้ สมิธ เมื่อเธออายุได้สามขวบ บอกพ่อแม่ของเธอว่าเธอเลือกพวกเขาเองว่า - "ฉันอยู่ที่ไหนสักแห่งเหนือพื้นโลก มองดูผู้คนหลายคู่ด้านล่าง จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงที่ถามฉันว่าฉันต้องการเลือกพวกเขาคนไหนเป็นพ่อแม่ของฉัน ชีวิตในอนาคตและคู่นี้จะสอนฉันในการใช้ชีวิต ฉันชี้ไปที่คุณแล้วพูดว่า "ฉันจะเอาไป"

แต่ "กระบวนการคัดเลือก" ดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสมอไป

Chris Lucas วัย 4 ขวบบ่นกับแม่ของเขาว่า "คุณรู้ไหมว่าฉันรอคุณมาเป็นแม่ของฉันนานแค่ไหน? มาก มาก เป็นเวลานาน! แต่ฉันไม่เสียใจเลย ฉันเลือกคุณเป็นแม่เพราะฉันรักคุณมาก!”

Robert Rinne เมื่อเขาอายุ 5 ขวบ จู่ๆ ก็ถามพ่อแม่ของเขาว่า "แม่ครับ เมื่อไหร่ผมจะได้ปีกคืนมา" เขาบอกว่าเขาอยู่ในสวรรค์และเขาถูกพาไปทางประตูบานหนึ่งซึ่งเขาเลือกแม่ของเขา และจากนั้นก็ผ่านอีกประตูหนึ่งที่เขาสามารถมองเห็นพี่น้องในอนาคตของเขาที่จะอยู่ในครอบครัวที่เลือก

Marie Birkett จาก Southampton ต้องยุติการตั้งครรภ์เนื่องจากปัญหาหลัง หลายปีต่อมา หลังจากที่เธอกลายเป็นแม่ในที่สุด ลูกสาววัย 2 ขวบของเธอพูดว่า "แม่คะ แม่ไม่ได้พาหนูไปครั้งแรกเพราะแม่ปวดหลัง แต่หนูกลับมาเมื่อหลังแม่ดีขึ้น"

แม่ของเด็กหญิงชื่อเอมี่ รัตติแกน แท้งลูกถึง 2 ครั้ง ก่อนที่ลูกสาวชื่อเอมี่จะคลอด เมื่อเธออายุ 3 ขวบ เธอบอกแม่ของเธอว่าเธอรู้เรื่องพี่ชายและน้องสาวที่ "ข้าม" เพราะพวกเขาเล่นด้วยกันบนสวรรค์ระหว่างรอการเกิด หลังจากที่พวกเขาเลือกเธอ

เด็กหลายคนพูดถึงสิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า พวกมันมีปีก ลูกชายของ Jody Lemberger เข้าไปกอดเธอและพูดอย่างเศร้าๆ ว่า "ฉันลืมวิธีบินไปแล้ว"

และซูซาน เลิฟจอยเล่าว่าโจเซฟ ลูกชายวัย 5 ขวบของเธอหักแขนขณะพยายามกระโดดได้อย่างไร เขาบ่นกับแม่ว่า "เมื่อไหร่จะได้ปีกคืน" เธออธิบายให้เขาฟังว่ามีเพียงเครื่องบินเท่านั้นที่มีปีก เขาน้ำตาไหลโดยบอกว่าพระเจ้าบอกเขาว่าเมื่อเขากลับมาจะได้ปีกคืน

เป็นที่นิยมในหมวดหมู่: