ชีวิตหลังความตายเป็นวิทยาศาสตร์หรือไม่ มีชีวิตหลังความตาย การเกิดใหม่และกรรม

เรื่องราวของผู้ป่วยที่รอดชีวิตจากประสบการณ์ใกล้ตายทำให้เกิดปฏิกิริยาที่ไม่ชัดเจนในผู้คน บางกรณีดังกล่าวเป็นแรงบันดาลใจให้มองโลกในแง่ดีและศรัทธาในความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ คนอื่นพยายามที่จะหาเหตุผลเข้าข้างตนเองเกี่ยวกับการมองเห็นที่ลึกลับโดยการลดภาพเหล่านั้นให้กลายเป็นภาพหลอน เกิดอะไรขึ้นกับ จิตสำนึกของมนุษย์ภายใน 5 นาที เมื่อ resuscitators เสกทั่วร่างกาย?

ในบทความนี้

เรื่องราวของสักขีพยาน

ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่เชื่อว่าหลังจากการตายของร่างกาย การดำรงอยู่ของเราสิ้นสุดลงโดยสิ้นเชิง บ่อยครั้งที่มีนักวิจัยที่ต้องการพิสูจน์ (อาจจะเพื่อตัวเองเป็นหลัก) ว่าหลังจากความตายทางร่างกาย จิตสำนึกของมนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป การวิจัยอย่างจริงจังครั้งแรกในหัวข้อนี้ดำเนินการในทศวรรษที่ 70 ของศตวรรษที่ XX โดย Raymond Moody ผู้เขียนหนังสือ "ชีวิตหลังความตาย" แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ประสบการณ์เฉียดตายยังเป็นที่สนใจของนักวิทยาศาสตร์และแพทย์เป็นอย่างมาก

มอริตซ์ รูลิงส์ แพทย์โรคหัวใจชื่อดัง

ศาสตราจารย์ในหนังสือของเขาที่ชื่อ Beyond the Threshold of Death ได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับการทำงานของจิตสำนึกในช่วงเวลาแห่งความตายทางคลินิก ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในด้านโรคหัวใจ Roolings ได้จัดระบบเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจหยุดเต้นชั่วคราว

Afterword โดย Hieromonk Seraphim (โรส)

อยู่มาวันหนึ่ง มอริตซ์ รอว์ลิงส์ ได้ให้ผู้ป่วยฟื้นคืนชีพ นวดหน้าอกให้เขา ชายคนนั้นฟื้นคืนสติชั่วครู่และถามไม่หยุด แพทย์รู้สึกประหลาดใจเนื่องจากการนวดหัวใจเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าผู้ป่วยกำลังประสบกับความกลัวอย่างแท้จริง "ฉันอยู่ในนรก!" - ชายคนนั้นตะโกนขอร้องให้นวดต่อไปเพราะกลัวหัวใจจะหยุดเต้นและจะต้องกลับไปที่ที่น่ากลัวนั้น

การช่วยชีวิตจบลงด้วยความสำเร็จ และชายคนนั้นเล่าว่าเขาต้องเจอเหตุการณ์น่าสยดสยองอะไรบ้างในช่วงที่หัวใจหยุดเต้น ความทรมานที่เขาประสบเปลี่ยนโลกทัศน์ของเขาอย่างสิ้นเชิง และเขาตัดสินใจหันไปนับถือศาสนา ผู้ป่วยไม่ต้องการตกนรกอีกและพร้อมที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง

ตอนนี้กระตุ้นให้ศาสตราจารย์เริ่มเขียนเรื่องราวของผู้ป่วยที่เขาแย่งชิงจากเงื้อมมือแห่งความตาย ตามการสังเกตของ Roolings ประมาณ 50% ของผู้ป่วยที่สำรวจได้ไปเยี่ยมเยียนความตายทางคลินิกในสวรรค์ที่สวยงามจากที่ที่จะกลับไป โลกแห่งความจริงไม่ต้องการเลย

ประสบการณ์ของอีกครึ่งหนึ่งตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ภาพใกล้ตายของพวกเขาเกี่ยวข้องกับความทรมานและความเจ็บปวด พื้นที่ที่วิญญาณจบลงมีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอาศัยอยู่ สิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายเหล่านี้ทรมานคนบาปอย่างแท้จริง บังคับให้พวกเขาต้องทนทุกข์อย่างเหลือเชื่อ หลังจากฟื้นคืนชีพผู้ป่วยดังกล่าวมีความปรารถนาเดียว - ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อที่พวกเขาจะไม่ตกนรกอีก

เรื่องราวจากสื่อรัสเซีย

หนังสือพิมพ์ได้กล่าวถึงหัวข้อประสบการณ์นอกร่างกายของผู้ที่เสียชีวิตทางคลินิกหลายครั้ง ในบรรดาเรื่องราวมากมาย เราสามารถสังเกตกรณีที่เกี่ยวข้องกับ Galina Lagoda ซึ่งกลายเป็นเหยื่อของอุบัติเหตุทางรถยนต์

เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ผู้หญิงคนนั้นไม่ตายในที่เกิดเหตุ แพทย์วินิจฉัยกระดูกหักจำนวนมาก เนื้อเยื่อในไตและปอดแตก สมองได้รับบาดเจ็บ หัวใจหยุดเต้น และความดันลดลงเป็นศูนย์

ตามบันทึกของ Galina ความว่างเปล่าของพื้นที่ไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเธอเป็นครั้งแรก หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็พบว่าตัวเองยืนอยู่บนแท่นที่เต็มไปด้วยแสงประหลาด หญิงนั้นเห็นบุรุษนุ่งขาวห่มขาวเปล่งรัศมี เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากแสงจ้าทำให้ไม่สามารถเห็นใบหน้าของสิ่งมีชีวิตนี้ได้

ชายคนนั้นถามว่าอะไรพาเธอมาที่นี่ สำหรับสิ่งนี้ Galina บอกว่าเธอเหนื่อยมากและต้องการพักผ่อน ชายคนนั้นฟังคำตอบด้วยความเข้าใจและปล่อยให้เธออยู่ที่นี่สักพักแล้วสั่งให้เธอกลับไปเพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างรอเธออยู่ในโลกของคนเป็น

เมื่อ Galina Lagoda ฟื้นคืนสติ เธอมีของขวัญที่น่าอัศจรรย์ขณะตรวจดูกระดูกหัก จู่ๆ เธอก็ถามหมอศัลยกรรมกระดูกเกี่ยวกับท้องของเขา แพทย์รู้สึกตะลึงกับคำถาม เพราะเขากังวลมากเกี่ยวกับอาการปวดท้อง

ตอนนี้ Galina เป็นผู้รักษาผู้คนเพราะเธอสามารถมองเห็นโรคและนำการรักษามาให้ หลังจากกลับมาจากโลกอื่น เธอสงบเกี่ยวกับความตายและเชื่อในการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ของจิตวิญญาณ

อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับยูริเบอร์คอฟกองหนุน ตัวเขาเองไม่ชอบความทรงจำเหล่านี้และนักข่าวได้เรียนรู้เรื่องราวจาก Lyudmila ภรรยาของเขา ตกลงมาจาก ระดับความสูงยูริทำให้กระดูกสันหลังของเขาเสียหายอย่างหนัก เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยหมดสติด้วยอาการบาดเจ็บที่ศีรษะ นอกจากนี้ยูริหัวใจหยุดเต้นและร่างกายเข้าสู่อาการโคม่า

ภรรยาได้รับผลกระทบอย่างมากจากเหตุการณ์เหล่านี้ หลังจากได้รับความเครียดเธอทำกุญแจหาย และเมื่อยูริรู้สึกตัว เขาก็ถาม Lyudmila ว่าเธอพบพวกเขาหรือไม่ หลังจากนั้นเขาก็แนะนำให้เขาไปดูที่ใต้บันได

ยูริยอมรับกับภรรยาของเขาว่าในช่วงโคม่าเขาบินไปในรูปของเมฆก้อนเล็ก ๆ และอาจอยู่เคียงข้างเธอ เขายังพูดถึงอีกโลกหนึ่งที่เขาได้พบกับพ่อแม่และพี่ชายที่ตายไปแล้ว ที่นั่นเขาตระหนักว่าผู้คนไม่ตาย แต่อยู่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป

รีบอร์น สารคดีเกี่ยวกับ Galina Lagoda และอื่น ๆ คนดังผู้รอดชีวิตจากการเสียชีวิตทางคลินิก:

ความคิดเห็นของผู้คลางแคลง

จะมีคนที่ไม่ยอมรับเรื่องราวดังกล่าวเป็นข้อโต้แย้งสำหรับการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย ภาพสวรรค์และนรกเหล่านี้เกิดจากสมองที่ซีดจาง และเนื้อหาเฉพาะนั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ศาสนา ผู้ปกครอง และสื่อต่างๆ มอบให้ในช่วงชีวิตของพวกเขา

คำอธิบายที่เป็นประโยชน์

พิจารณามุมมองของบุคคลที่ไม่เชื่อในชีวิตหลังความตาย นี่คือนักช่วยชีวิตชาวรัสเซีย Nikolai Gubin ในฐานะแพทย์ฝึกหัด Nikolai เชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าการมองเห็นของผู้ป่วยระหว่างการเสียชีวิตทางคลินิกนั้นไม่ได้เป็นเพียงผลที่ตามมาจากโรคจิตที่เป็นพิษ ภาพที่เกี่ยวข้องกับการออกจากร่างกาย ภาพอุโมงค์ เป็นความฝันชนิดหนึ่ง ภาพหลอน ซึ่งเกิดจากการขาดออกซิเจนของสมองส่วนที่มองเห็น มุมมองแคบลงอย่างรวดเร็ว ให้ความรู้สึกเหมือนพื้นที่จำกัดในรูปแบบของอุโมงค์

แพทย์ชาวรัสเซีย Nikolai Gubin เชื่อว่าการมองเห็นของผู้คนในช่วงเวลาแห่งความตายทางคลินิกเป็นภาพหลอนของสมองที่ซีดจาง

Gubin ยังพยายามอธิบายว่าทำไมในขณะที่กำลังจะตายทั้งชีวิตของคน ๆ หนึ่งจึงผ่านไปต่อหน้าต่อตาคน ๆ หนึ่ง ผู้ช่วยชีวิตเชื่อว่าความทรงจำในช่วงเวลาที่แตกต่างกันถูกเก็บไว้ในส่วนต่างๆของสมอง ประการแรกเซลล์ที่มีความทรงจำใหม่ล้มเหลวในตอนท้าย - ด้วยความทรงจำ เด็กปฐมวัย. กระบวนการกู้คืนเซลล์หน่วยความจำเกิดขึ้นในลำดับย้อนกลับ: อันดับแรก หน่วยความจำเริ่มต้นจะถูกส่งคืน และหลังจากนั้น สิ่งนี้สร้างภาพลวงตาของภาพยนตร์ตามลำดับเวลา

คำอธิบายอื่น

นักจิตวิทยา Pyell Watson มีทฤษฎีของตัวเองเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้คนเห็นเมื่อร่างกายของพวกเขาตาย เขาเชื่ออย่างยิ่งว่าจุดจบและจุดเริ่มต้นของชีวิตเชื่อมโยงถึงกัน ในแง่หนึ่ง ความตายปิดวงแหวนแห่งชีวิตซึ่งเชื่อมโยงกับการเกิด

ความหมายของวัตสันคือการเกิดของบุคคลนั้นเป็นประสบการณ์ที่เขาจำแทบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ความทรงจำนี้ถูกเก็บไว้ในจิตใต้สำนึกของเขาและเปิดใช้งานในเวลาที่เสียชีวิต อุโมงค์ที่คนกำลังจะตายเห็นคือช่องทางคลอดที่ทารกในครรภ์ออกมาจากครรภ์มารดา นักจิตวิทยาเชื่อว่านี่เป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างยากสำหรับจิตใจของทารก อันที่จริง นี่เป็นครั้งแรกที่เราเผชิญหน้ากับความตาย

นักจิตวิทยากล่าวว่าไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทารกแรกเกิดรับรู้กระบวนการเกิดอย่างไร บางทีประสบการณ์เหล่านี้อาจคล้ายกับ ขั้นตอนต่างๆกำลังจะตาย. อุโมงค์แสง - เป็นเพียงเสียงสะท้อน ความประทับใจเหล่านี้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งในความคิดของผู้ที่กำลังจะตาย แน่นอนว่าเกิดจากประสบการณ์ส่วนตัวและความเชื่อ

กรณีที่น่าสนใจและหลักฐานของชีวิตนิรันดร์

มีเรื่องราวมากมายที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่งุนงง บางทีพวกเขาอาจไม่สามารถถือเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายได้ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้เช่นกัน เนื่องจากกรณีเหล่านี้ได้รับการบันทึกไว้และต้องมีการวิจัยอย่างจริงจัง

พระสงฆ์ผู้ไม่เสื่อมคลาย

แพทย์ตรวจสอบข้อเท็จจริงของการตายบนพื้นฐานของการหยุดการทำงานของระบบทางเดินหายใจและการทำงานของหัวใจ พวกเขาเรียกอาการนี้ว่าความตายทางคลินิก มีความเชื่อกันว่าหากร่างกายไม่ได้รับการฟื้นฟูภายในห้านาที การเปลี่ยนแปลงที่แก้ไขไม่ได้จะเกิดขึ้นในสมองและยาจะไม่มีประสิทธิภาพที่นี่

อย่างไรก็ตามมีปรากฏการณ์ดังกล่าวในประเพณีทางพุทธศาสนา พระภิกษุที่มีจิตวิญญาณสูงสามารถเข้าสู่สภาวะของการทำสมาธิอย่างลึกซึ้ง หยุดหายใจและการทำงานของหัวใจ พระภิกษุเหล่านั้นออกจากถ้ำและที่นั่นในท่าดอกบัวพวกเขาเข้าสู่สถานะพิเศษ ตำนานอ้างว่าพวกเขาสามารถกลับมามีชีวิตได้ แต่กรณีดังกล่าวไม่เป็นที่รู้จักในทางวิทยาศาสตร์อย่างเป็นทางการ

ร่างของ Dashi-Dorzho Itigelov ยังคงไม่เน่าเปื่อยหลังจาก 75 ปี

อย่างไรก็ตาม ในภาคตะวันออกมีพระสงฆ์ที่ไม่เน่าเปื่อยซึ่งร่างกายเหี่ยวเฉาอยู่มาเป็นเวลาหลายสิบปีโดยไม่ถูกทำลาย ในขณะเดียวกัน เล็บและผมของพวกมันก็งอกขึ้น และสนามพลังชีวภาพก็มีพลังที่สูงกว่าของคนที่มีชีวิตธรรมดา พระดังกล่าวพบบนเกาะสมุยในประเทศไทย จีน ทิเบต

ในปี 1927 Buryat lama Dashi-Dorzho Itigelov ถึงแก่กรรม พระองค์ทรงรวบรวมเหล่าสาวกขึ้นรับตำแหน่งดอกบัวและสั่งให้พวกเขาอ่านคำอธิษฐานเพื่อผู้ตาย เสด็จสู่ปรินิพพาน ทรงสัญญาว่า 75 ปี จะรักษาพระวรกายของพระองค์ไว้ กระบวนการชีวิตทั้งหมดหยุดลง หลังจากนั้นลามะก็ถูกฝังไว้ในลูกบาศก์ซีดาร์โดยไม่เปลี่ยนตำแหน่ง

หลังจากผ่านไป 75 ปี โลงศพก็ถูกนำขึ้นสู่ผิวน้ำและวางไว้ใน Ivolginsky datsan ตามคำทำนายของ Dashi-Dorzho Itigelov ร่างกายของเขายังคงไม่เน่าเปื่อย

รองเท้าเทนนิสที่ถูกลืม

ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา มีกรณีของผู้อพยพอายุน้อยจาก อเมริกาใต้ชื่อมาเรีย

ระหว่างที่ออกจากศพมาเรียสังเกตเห็นรองเท้าเทนนิสที่ใครบางคนลืมไว้

ในระหว่างการเสียชีวิตทางคลินิก ผู้หญิงคนนั้นมีประสบการณ์ทางออกจากร่างกายและบินไปตามทางเดินของโรงพยาบาลเล็กน้อย ระหว่างการเดินทางนอกร่างกาย เธอสังเกตเห็นรองเท้าเทนนิสที่วางอยู่บนบันได

เมื่อกลับมาสู่โลกแห่งความจริง มาเรียขอให้พยาบาลตรวจสอบว่ามีรองเท้าหายที่บันไดนั้นหรือไม่ และกลายเป็นว่าเรื่องราวของมาเรียกลายเป็นเรื่องจริง ทั้งๆ ที่ผู้ป่วยไม่เคยอยู่ในสถานที่นั้นเลย

ชุดลายจุดกับถ้วยแตก

เกิดเหตุการณ์สุดอัศจรรย์อีกครั้งกับ ผู้หญิงรัสเซียที่มีภาวะหัวใจหยุดเต้นระหว่างการผ่าตัด แพทย์สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้

ต่อมาผู้หญิงคนนั้นเล่าให้หมอฟังถึงประสบการณ์ที่เธอประสบระหว่างการเสียชีวิตทางคลินิก ผู้หญิงคนนั้นออกมาจากร่างกายเห็นตัวเองอยู่บนโต๊ะผ่าตัด เธอคิดในใจว่าเธออาจจะตายที่นี่ แต่เธอไม่มีเวลาแม้แต่จะร่ำลาครอบครัวของเธอ ความคิดนี้ทำให้ผู้ป่วยต้องรีบไปที่บ้านของเธอ

มีลูกสาวตัวน้อยของเธอ แม่ของเธอ และเพื่อนบ้านที่มาเยี่ยมและนำชุดลายจุดมาให้ลูกสาวของเธอ พวกเขานั่งดื่มชา มีคนทำถ้วยตกแตก ด้วยเหตุนี้เพื่อนบ้านจึงตั้งข้อสังเกตว่าขอให้โชคดี

ต่อมาแพทย์ได้พูดคุยกับมารดาของผู้ป่วย และในความเป็นจริงในวันผ่าตัดเพื่อนบ้านมาเยี่ยมและเธอก็นำชุดลายจุดมาด้วย และถ้วยก็แตกด้วย ปรากฎว่าโชคดีเพราะผู้ป่วยอยู่ในระหว่างการรักษา

ลายเซ็นของนโปเลียน

เรื่องนี้อาจเป็นตำนาน เธอดูยอดเยี่ยมเกินไป มันเกิดขึ้นในฝรั่งเศสในปี 1821 นโปเลียนเสียชีวิตขณะถูกเนรเทศที่เซนต์เฮเลนา ราชบัลลังก์ฝรั่งเศสถูกครอบครองโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 18

ข่าวการสิ้นพระชนม์ของโบนาปาร์ตทำให้พระราชาฉุกคิด คืนนั้นนอนไม่หลับเลย แสงเทียนสลัวในห้องนอน บนโต๊ะวางสัญญาการแต่งงานของจอมพล Auguste Marmont เอกสารนี้ควรจะลงนามโดยนโปเลียน แต่อดีตจักรพรรดิไม่มีเวลาทำเช่นนี้เนื่องจากความวุ่นวายทางทหาร

เวลาเที่ยงคืนตรงกับนาฬิกาเมืองและประตูห้องนอนเปิดออก โบนาปาร์ตเองก็ยืนอยู่บนธรณีประตู เขาเดินข้ามห้องอย่างภาคภูมิใจ นั่งลงที่โต๊ะและหยิบปากกาไว้ในมือ ด้วยความประหลาดใจ กษัตริย์องค์ใหม่สูญเสียความรู้สึกของเขา และเมื่อเขารู้สึกตัวในตอนเช้า เขาก็ประหลาดใจที่พบลายเซ็นของนโปเลียนในเอกสาร ความถูกต้องของลายมือได้รับการยืนยันโดยผู้เชี่ยวชาญ

กลับมาจากโลกอื่น

จากเรื่องราวของผู้ป่วยที่กลับมา เราสามารถทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในขณะที่กำลังจะตาย

Raymond Moody นักวิจัยจัดระบบประสบการณ์ของผู้คนในระยะของการเสียชีวิตทางคลินิก เขาจัดการเพื่อเน้นประเด็นทั่วไปต่อไปนี้:

1. หยุดการทำงานทางสรีรวิทยาของร่างกาย ในเวลาเดียวกันผู้ป่วยยังได้ยินแพทย์แจ้งว่าหัวใจและการหายใจถูกปิด
2. ทบทวนชีวิตทั้งชีวิต
3. เสียงหึ่งที่เพิ่มระดับเสียง
4. ออกจากร่างกายเดินทางผ่านอุโมงค์ยาวที่ปลายแสงที่มองเห็นได้
5. มาถึงสถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงอันเจิดจ้า
6. ความสงบ ความสงบของจิตใจที่ไม่ธรรมดา
7. พบปะผู้คนที่ล่วงลับไปแล้ว ตามกฎแล้วสิ่งเหล่านี้คือญาติหรือเพื่อนสนิท
8. การได้พบกับสิ่งมีชีวิตที่มีแสงสว่างและความรักเล็ดลอดออกมา บางทีนี่อาจเป็นเทวดาผู้พิทักษ์ของมนุษย์
9. ความไม่เต็มใจที่เด่นชัดที่จะกลับคืนสู่ร่างกาย

ในวิดีโอนี้ Sergey Sklyar พูดถึงการกลับมาจากโลกหน้า:

ความลับของโลกแห่งความมืดและแสงสว่าง

ผู้ที่บังเอิญไปเยี่ยมชมโซนแห่งแสงกลับสู่โลกแห่งความจริงในสภาพที่ดีและสงบสุข พวกเขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความกลัวตายอีกต่อไป ผู้ที่เห็น Dark Worlds ต่างตกตะลึงกับภาพอันน่าสยดสยอง และเป็นเวลานานแล้วที่ไม่อาจลืมความสยดสยองและความเจ็บปวดที่พวกเขาต้องประสบ

กรณีเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าความเชื่อทางศาสนาเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายสอดคล้องกับประสบการณ์ของผู้ป่วยที่อยู่เหนือความตาย ด้านบนสุดคือสวรรค์หรืออาณาจักรแห่งสวรรค์ นรกหรือนรกกำลังรอวิญญาณอยู่ด้านล่าง

สวรรค์เป็นอย่างไร

ชารอน สโตน นักแสดงหญิงชาวอเมริกันผู้โด่งดัง ประสบการณ์ส่วนตัวในการมีอยู่ของสวรรค์ เธอแบ่งปันประสบการณ์ของเธอในรายการโทรทัศน์ของ Oprah Winfrey เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2547 หลังจากขั้นตอนการถ่ายภาพด้วยคลื่นสนามแม่เหล็ก สโตนหมดสติไปหลายนาที ตามที่เธอพูด อาการนี้คล้ายจะเป็นลม

ในช่วงเวลานี้ เธอพบว่าตัวเองอยู่ในอวกาศที่มีแสงสีขาวนวล ที่นั่นเธอได้พบกับผู้คนที่ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป: ญาติผู้ล่วงลับ, เพื่อน, คนรู้จักที่ดี นักแสดงหญิงตระหนักว่าคนเหล่านี้เป็นญาติมิตรที่ดีใจที่ได้พบเธอในโลกนั้น

ชารอน สโตน ค่อนข้างมั่นใจว่า เวลาอันสั้นฉันสามารถไปสวรรค์ ความรู้สึกแห่งความรัก ความสุข ความสง่างาม และความสุขอันบริสุทธิ์นั้นยิ่งใหญ่มาก

ประสบการณ์ที่น่าสนใจคือ Betty Maltz ซึ่งเขียนหนังสือเรื่อง "I Saw Eternity" จากประสบการณ์ของเธอ สถานที่ที่เธอลงเอยด้วยความตายทางคลินิกมีความสวยงามเหลือเชื่อ มีภูเขาเขียวขจีงดงาม ต้นไม้และดอกไม้งอกงามขึ้น

เบ็ตตี้พบว่าตัวเองอยู่ในสถานที่ที่สวยงามน่าอัศจรรย์

ท้องฟ้าในโลกนั้นไม่ได้แสดงดวงอาทิตย์ แต่บริเวณทั้งหมดเต็มไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เปล่งประกาย เดินข้างๆเบ็ตตี้คือชายหนุ่มร่างสูงสวมชุดหลวมๆ เสื้อผ้าสีขาว. เบ็ตตีตระหนักว่านั่นคือนางฟ้า จากนั้นพวกเขาก็มาถึงอาคารสูงสีเงินซึ่งมีเสียงที่ไพเราะไพเราะ พวกเขาพูดซ้ำคำว่า "พระเยซู"

เมื่อทูตสวรรค์เปิดประตู เบตตีมีแสงสว่างเจิดจ้าท่วมท้น ซึ่งยากจะอธิบายเป็นคำพูดได้ แล้วผู้หญิงคนนั้นก็ตระหนักว่าแสงสว่างที่นำความรักมาให้คือพระเยซู จากนั้นเบ็ตตีก็นึกถึงพ่อของเธอ ผู้ซึ่งสวดอ้อนวอนให้เธอกลับมา เธอหันกลับและเดินลงจากเนินเขา และในไม่ช้าก็ตื่นขึ้นมาในร่างมนุษย์ของเธอ

Journey to hell - ข้อเท็จจริง เรื่องราว คดีจริง

การไม่ออกจากร่างกายเสมอไปจะนำวิญญาณของบุคคลไปสู่อวกาศ แสงศักดิ์สิทธิ์และรัก. บางคนอธิบายประสบการณ์ของพวกเขาในทางลบ

เหวหลังกำแพงสีขาว

Jennifer Perez อายุ 15 ปีเมื่อเธอมีโอกาสไปเยือนนรก มีกำแพงสีขาวปลอดเชื้อไม่มีที่สิ้นสุด กำแพงสูงมาก มีประตูอยู่ด้านใน เจนนิเฟอร์พยายามเปิด แต่ก็ไม่เป็นผล ในไม่ช้าเด็กสาวก็เห็นประตูอีกบานหนึ่ง เป็นสีดำ และแม่กุญแจเปิดอยู่ แต่ถึงกระนั้นการมองเห็นประตูนี้ก็ทำให้เกิดความสยดสยองอย่างอธิบายไม่ได้

ทูตสวรรค์กาเบรียลปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียง เขาจับข้อมือเธอแน่นแล้วพาเธอไปที่ประตูสีดำ เจนนิเฟอร์ขอร้องให้ปล่อยเธอไป พยายามจะหลุดพ้น แต่ก็ไม่เป็นผล ความมืดรอพวกเขาอยู่นอกประตู หญิงสาวเริ่มล้มลงอย่างรวดเร็ว

หลังจากรอดชีวิตจากการตกจากที่สูง เธอแทบไม่รู้สึกตัวเลย ที่นี่มีความร้อนเหลือทนซึ่งมันกระหายน้ำอย่างเจ็บปวด รอบ ๆ ปีศาจเยาะเย้ยทุกวิถีทาง จิตวิญญาณของมนุษย์. เจนนิเฟอร์หันไปหากาเบรียลพร้อมกับขอน้ำ ทูตสวรรค์มองดูเธออย่างตั้งใจและทันใดนั้นก็ประกาศว่าเธอได้รับโอกาสอีกครั้ง หลังจากคำพูดเหล่านี้วิญญาณของหญิงสาวก็กลับเข้าร่าง

นรก

Bill Wyss ยังอธิบายถึงนรกว่าเป็นนรกที่แท้จริงซึ่งวิญญาณที่ถูกปลดออกจากร่างกายต้องทนทุกข์ทรมานจากความร้อน มีความรู้สึกอ่อนแอและไร้สมรรถภาพอย่างสมบูรณ์ ตามที่บิลบอก เขาไม่รู้ในทันทีว่าวิญญาณของเขาหายไปไหน แต่เมื่อปีศาจร้ายสี่ตัวเข้ามาใกล้ ชายผู้นั้นก็เข้าใจทุกอย่าง อากาศมีกลิ่นของผิวหนังสีเทาและไหม้

หลายคนอธิบายว่านรกเป็นดินแดนแห่งไฟที่ร้อนระอุ

ปีศาจเริ่มทรมานชายคนนั้นด้วยกรงเล็บ เป็นเรื่องแปลกที่ไม่มีเลือดไหลออกจากบาดแผล แต่ความเจ็บปวดนั้นร้ายแรงมาก บิลเข้าใจว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้รู้สึกอย่างไร พวกเขาแสดงออกถึงความเกลียดชังต่อพระเจ้าและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดของพระเจ้า

บิลยังจำได้ว่าในนรกเขาถูกทรมานด้วยความกระหายน้ำเหลือทน อย่างไรก็ตามไม่มีใครขอน้ำ บิลสูญเสียความหวังในการปลดปล่อย แต่จู่ๆ ฝันร้ายก็จบลงและบิลก็ตื่นขึ้นมาในห้องของโรงพยาบาล แต่การอยู่ในนรกขุมนรกเป็นที่จดจำของเขา

ไฟนรก

ในบรรดาผู้คนที่สามารถกลับมายังโลกนี้ได้หลังจากการเสียชีวิตทางคลินิกคือ Thomas Welch จาก Oregon เขาเป็นผู้ช่วยวิศวกรที่โรงเลื่อย ในระหว่างงานก่อสร้าง โทมัสสะดุดและตกจากสะพานลงไปในแม่น้ำ ศีรษะกระแทกและหมดสติไป ขณะที่พวกเขากำลังตามหาเขา เวลช์ได้เห็นภาพแปลกๆ

เบื้องหน้าเขาแผ่มหาสมุทรเพลิงอันกว้างใหญ่ออกไป ปรากฏการณ์นี้น่าประทับใจมาก เขาเปล่งพลังออกมาซึ่งทำให้เกิดความสยดสยองและประหลาดใจ ไม่มีใครอยู่ในกองเพลิงนี้ โทมัสเองก็ยืนอยู่บนชายฝั่งซึ่งมีผู้คนมากมายมารวมตัวกัน ในหมู่พวกเขา เวลช์จำเพื่อนสมัยเรียนของเขาที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในวัยเด็กได้

ผู้ชุมนุมอยู่ในอาการมึนงง ดูเหมือนพวกเขาจะไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงมาอยู่ในสถานที่ที่น่ากลัวแห่งนี้ จากนั้นโทมัสก็นึกขึ้นได้ว่าเขาและคนอื่น ๆ ถูกขังอยู่ในคุกพิเศษซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปได้เพราะไฟกำลังลุกลามไปทั่วทุกแห่ง

โทมัสเวลช์คิดเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาการกระทำที่ผิดและความผิดพลาดของเขาด้วยความสิ้นหวัง เขาหันไปหาพระเจ้าโดยไม่สมัครใจพร้อมกับคำอธิษฐานเพื่อความรอด แล้วเขาก็เห็นพระเยซูคริสต์เดินผ่านมา เวลช์ลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ แต่พระเยซูดูเหมือนจะรู้สึกได้และหันกลับมา รูปลักษณ์นี้ทำให้โทมัสตื่นขึ้นในร่างกายของเขา บริเวณใกล้เคียงมีโรงเลื่อยที่กำลังทำงานอยู่ซึ่งช่วยเขาขึ้นมาจากแม่น้ำ

เมื่อหัวใจหยุดเต้น

บาทหลวง Kenneth Hagin แห่งเท็กซัสกลายเป็นรัฐมนตรีผ่านประสบการณ์เฉียดตายเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2476 จากนั้นเขาอายุน้อยกว่า 16 ปี และป่วยเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด

ในวันนี้ หัวใจของ Kenneth หยุดเต้นและวิญญาณของเขาก็หลุดออกจากร่างของเขา แต่เส้นทางของเธอไม่ได้ไปสู่สวรรค์ แต่ไปในทิศทางตรงกันข้าม เคนเน็ธกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้ง มีความมืดสนิทอยู่รอบ ๆ ขณะที่เขาเคลื่อนตัวลงมา เคนเน็ธเริ่มรู้สึกถึงความร้อน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามาจากนรก จากนั้นเขาก็อยู่บนถนน เปลวเพลิงไร้รูปร่างจำนวนมากกำลังพุ่งเข้าหาเขา เธอดูเหมือนจะดึงวิญญาณของเธอเข้ามาหาเธอ

ศีรษะของเขาถูกความร้อนปกคลุม Kenneth และพบว่าตัวเองอยู่ในโพรง ในเวลานี้วัยรุ่นได้ยินเสียงของพระเจ้าอย่างชัดเจน ใช่ เสียงของผู้สร้างเองก็ดังอยู่ในนรก! มันกระจายไปทั่วอวกาศ สั่นไหวเหมือนลมพัดใบไม้ Kenneth จดจ่ออยู่กับเสียงนี้ ทันใดนั้นก็มีแรงดึงเขาออกมาจากความมืดและเริ่มพยุงเขาขึ้น ในไม่ช้าเขาก็ตื่นขึ้นบนเตียงและเห็นคุณยายของเขาซึ่งมีความสุขมาก เพราะเธอไม่หวังว่าจะได้เห็นเขามีชีวิตอีกต่อไป หลังจากนั้น เคนเน็ธตัดสินใจอุทิศชีวิตเพื่อรับใช้พระเจ้า

บทสรุป

ดังนั้นตามคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์ หลังจากการตายของบุคคลหนึ่งแล้ว ทั้งสวรรค์และอเวจีแห่งนรกสามารถรอได้ คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ได้ ข้อสรุปหนึ่งแนะนำตัวเองอย่างแน่นอน - บุคคลจะต้องตอบคำถามสำหรับการกระทำของเขา แม้ว่าจะไม่มีนรกและสวรรค์แต่ก็มีความทรงจำของมนุษย์ และจะดีกว่าถ้าหลังจากการตายของคน ๆ หนึ่งจากชีวิตไปแล้ว ความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับเขาจะยังคงอยู่

เล็กน้อยเกี่ยวกับผู้เขียน:

Evgeny Tukubaevคำพูดที่ถูกต้องและความเชื่อของคุณคือกุญแจสู่ความสำเร็จในพิธีกรรมที่สมบูรณ์แบบ ฉันจะให้ข้อมูลแก่คุณ แต่การนำไปใช้นั้นขึ้นอยู่กับคุณโดยตรง แต่ไม่ต้องกังวล ฝึกฝนเล็กน้อยและคุณจะประสบความสำเร็จ!

นี่คือบทสัมภาษณ์ของ ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในด้านการวิจัยชีวิตหลังความตายและจิตวิญญาณเชิงปฏิบัติ พวกเขาให้หลักฐานสำหรับชีวิตหลังความตาย

พวกเขาร่วมกันตอบคำถามที่สำคัญและกระตุ้นความคิด:

• ฉันเป็นใคร?
• ทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่?
• พระเจ้ามีอยู่จริงหรือ?
• แล้วสวรรค์กับนรกล่ะ?

พวกเขาจะร่วมกันตอบคำถามที่สำคัญและกระตุ้นความคิดและมากที่สุด คำถามหลักในช่วงเวลา "ที่นี่และตอนนี้": "ถ้าเราเป็นวิญญาณอมตะจริง ๆ สิ่งนี้จะส่งผลต่อชีวิตและความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่นอย่างไร"

โบนัสสำหรับผู้อ่านใหม่:

Bernie Siegel ศัลยแพทย์เนื้องอกวิทยา เรื่องราวที่ทำให้เขาเชื่อถึงการมีอยู่ของโลกวิญญาณและชีวิตหลังความตาย

ตอนฉันอายุสี่ขวบ ฉันเกือบสำลักของเล่นชิ้นหนึ่ง ฉันพยายามเลียนแบบสิ่งที่ช่างไม้ชายที่ฉันสังเกตเห็นกำลังทำอยู่

ฉันเอาส่วนหนึ่งของของเล่นเข้าปาก สูดดมและ... ออกจากร่างกายของฉัน

ขณะนั้น เมื่อข้าพเจ้าออกจากร่างแล้วเห็นว่าตนเองกำลังหายใจไม่ออกและอยู่ในสภาพใกล้ตาย ข้าพเจ้าคิดว่า “ดีจัง!”

สำหรับเด็กอายุสี่ขวบ การออกจากร่างกายนั้นน่าสนใจกว่าการอยู่ในร่างกายมาก

แน่นอน ฉันไม่เสียใจเลยที่ฉันกำลังจะตาย ฉันเสียใจเหมือนกับเด็กๆ หลายคนที่ต้องผ่านประสบการณ์นี้ ที่พ่อแม่จะหาว่าฉันตายไปแล้ว

ฉันคิด: " โอเค! ฉันยอมตายดีกว่าอยู่ในร่างนั้น».

อย่างที่คุณพูด บางครั้งเราพบเด็กที่เกิดมาตาบอด เมื่อผ่านประสบการณ์คล้ายๆ กันนี้ และออกจากร่างไป ก็เริ่ม "เห็น" ทุกอย่าง

ในช่วงเวลาดังกล่าว คุณมักจะหยุดและถามตัวเองว่า “ ชีวิตคืออะไร? เกิดอะไรขึ้นที่นี่?».

เด็กเหล่านี้มักไม่มีความสุขที่ต้องกลับเข้าร่างและตาบอดอีกครั้ง

บางครั้งฉันสื่อสารกับพ่อแม่ที่ลูกเสียชีวิต พวกเขาบอกฉัน

เคยมีกรณีผู้หญิงคนหนึ่งขับรถอยู่บนทางด่วน ทันใดนั้นลูกชายของเธอก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอและพูดว่า: แม่ ช้าลงหน่อย!».

เธอเชื่อฟังเขา อย่างไรก็ตาม ลูกชายของเธอเสียชีวิตไปเป็นเวลาห้าปีแล้ว เธอขับรถไปที่ทางเลี้ยวและเห็นรถสิบคันถูกทุบเสียหาย - เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เนื่องจากลูกชายของเธอเตือนเธอทันเวลาเธอจึงไม่เกิดอุบัติเหตุ

เคน ริง. คนตาบอดและความสามารถในการ "มองเห็น" ระหว่างประสบการณ์เฉียดตายหรือออกจากร่างกาย

เราได้สัมภาษณ์คนตาบอดประมาณ 30 คน หลายคนตาบอดตั้งแต่กำเนิด เราถามว่าพวกเขามีประสบการณ์เฉียดตายหรือไม่ และพวกเขาสามารถ "มองเห็น" ระหว่างประสบการณ์เหล่านั้นได้หรือไม่

เราได้เรียนรู้ว่าคนตาบอดที่เราสัมภาษณ์มีประสบการณ์เฉียดตายแบบคลาสสิกของคนทั่วไป

คนตาบอดประมาณร้อยละ 80 ที่ฉันพูดคุยด้วยมีภาพที่มองเห็นแตกต่างกันระหว่างประสบการณ์เฉียดตายหรือ

ในหลายกรณี เราสามารถได้รับการยืนยันโดยอิสระว่าพวกเขา "เห็น" สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถรู้ได้และสิ่งที่มีอยู่จริงในสภาพแวดล้อมทางกายภาพของพวกเขา

มันคงเป็นเพราะสมองขาดออกซิเจนใช่ไหม? ฮ่าๆ

ใช่ มันง่ายขนาดนั้น! ฉันคิดว่าคงเป็นเรื่องยากสำหรับนักวิทยาศาสตร์ในแง่ของประสาทวิทยาทั่วไปที่จะอธิบายว่าคนตาบอดซึ่งตามคำนิยามไม่สามารถมองเห็นได้อย่างไร ได้รับภาพที่มองเห็นเหล่านี้และรายงานด้วยความน่าเชื่อถือที่เพียงพอ

บ่อยครั้งที่คนตาบอดพูดแบบนั้นเมื่อพวกเขารู้ตัวครั้งแรก สามารถ "เห็น" ทางกายภาพ โลก พวกเขารู้สึกตกใจ หวาดกลัว และตกตะลึงกับทุกสิ่งที่เห็น

แต่เมื่อพวกเขาเริ่มมีประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่พวกเขาไปสู่โลกแห่งแสงสว่างและเห็นญาติหรือสิ่งอื่นที่คล้ายคลึงกันซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของประสบการณ์ดังกล่าว การ "เห็น" นี้จึงดูเหมือนเป็นธรรมชาติสำหรับพวกเขา

« มันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น", พวกเขาพูดว่า.

ไบรอัน ไวส์. กรณีจากการปฏิบัติที่พิสูจน์ว่าเราเคยมีชีวิตอยู่มาก่อนและจะมีชีวิตต่อไป

แท้จริง น่าเชื่อถือในประวัติศาสตร์เชิงลึก ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นในแง่วิทยาศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่า ชีวิตเป็นมากกว่าที่เห็นได้อย่างรวดเร็วในครั้งแรก

กรณีที่น่าสนใจที่สุดในการปฏิบัติของฉัน ...

ผู้หญิงคนนี้เป็นศัลยแพทย์สมัยใหม่และทำงานร่วมกับ "ผู้นำ" ของรัฐบาลจีน นี่เป็นการไปอเมริกาครั้งแรกของเธอ เธอไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยแม้แต่คำเดียว

เธอมาถึงไมอามี่พร้อมกับล่ามที่ฉันทำงานอยู่ที่นั่น ฉันถดถอยเธอไปสู่ชีวิตที่ผ่านมา

เธอจบลงที่แคลิฟอร์เนียตอนเหนือ มันเป็นความทรงจำที่สดใสมากเมื่อประมาณ 120 ปีที่แล้ว

ลูกค้าของฉันกลายเป็นผู้หญิงตีสอนสามีของเธอ ทันใดนั้นเธอก็เริ่มพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วซึ่งเต็มไปด้วยคำคุณศัพท์และคำคุณศัพท์ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเธอกำลังโต้เถียงกับสามีของเธอ ...

นักแปลมืออาชีพของเธอหันมาหาฉันและเริ่มแปลคำพูดของเธอเป็นภาษาจีน - เขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันบอกเขา: " ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจภาษาอังกฤษ».

เขาตกตะลึง - เขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เขาเพิ่งรู้ว่าเธอพูดภาษาอังกฤษ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้จักคำว่า "สวัสดี" เลยด้วยซ้ำ นั่นคือตัวอย่าง

เซโนกลอสเซียคือความสามารถในการพูดหรือเข้าใจ ภาษาต่างประเทศที่คุณไม่คุ้นเคยและไม่เคยศึกษามาก่อน

นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเมื่อเราได้ยินลูกค้าพูด ภาษาโบราณหรือในภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย

ไม่มีวิธีอื่นที่จะอธิบาย ...

ใช่และฉันมีเรื่องราวมากมาย มีกรณีหนึ่งในนิวยอร์ก: เด็กชายฝาแฝดอายุ 3 ขวบสองคนสื่อสารกันในภาษาที่แตกต่างจากภาษาที่เด็กประดิษฐ์ขึ้นอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น พวกเขาคิดคำสำหรับโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ขึ้นมา

พ่อของพวกเขาที่เป็นหมอ ตัดสินใจพาพวกเขาไปพบนักภาษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก ปรากฎว่าเด็กชายพูดกันเป็นภาษาอราเมอิกโบราณ

เรื่องนี้ได้รับการบันทึกโดยผู้เชี่ยวชาญ เราต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ฉันคิดว่ามันเป็น เราจะอธิบายความรู้ภาษาอราเมอิกโดยเด็กอายุสามขวบได้อย่างไร

ท้ายที่สุด พ่อแม่ของพวกเขาไม่รู้ภาษานี้ และเด็กๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงภาษาอราเมอิกในโทรทัศน์หรือจากเพื่อนบ้านตอนดึก นี่เป็นเพียงบางกรณีที่น่าเชื่อถือจากการปฏิบัติของฉัน ซึ่งพิสูจน์ว่าเราเคยมีชีวิตอยู่มาก่อนและจะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง

เวย์น ดายเออร์. เหตุใดชีวิตจึง "ไม่มีอุบัติเหตุ" และเหตุใดทุกสิ่งที่เราพบในชีวิตจึงเป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

แล้วความคิดที่ว่า "ไม่มีอุบัติเหตุ" ในชีวิตล่ะ? ในหนังสือและสุนทรพจน์ของคุณ คุณบอกว่าไม่มีอุบัติเหตุในชีวิต และมีแผนสวรรค์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกสิ่ง

โดยทั่วไปฉันเชื่อได้ แต่ในกรณีที่เกิดโศกนาฏกรรมกับเด็กหรือเมื่อเครื่องบินโดยสารตก ... จะเชื่อได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

“ดูเหมือนโศกนาฏกรรมหากคุณเชื่อว่าความตายเป็นโศกนาฏกรรม คุณต้องเข้าใจว่าทุกคนเข้ามาในโลกนี้เมื่อจำเป็น และจากไปเมื่อหมดเวลา

โดยวิธีการนี้มีการยืนยัน ไม่มีอะไรที่เราไม่ได้เลือกไว้ล่วงหน้า รวมถึงช่วงเวลาที่เราปรากฏตัวในโลกนี้และช่วงเวลาที่จากโลกนี้ไป

อัตตาส่วนตัวของเราตลอดจนอุดมการณ์ของเรากำหนดเราว่าเด็ก ๆ ไม่ควรตายและทุกคนควรมีอายุถึง 106 ปีและตายอย่างไพเราะในขณะหลับใหล จักรวาลทำงานในวิธีที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง - เราใช้เวลาที่นี่มากเท่ากับที่วางแผนไว้

... ในการเริ่มต้นเราต้องมองทุกอย่างจากด้านนี้ ประการที่สอง เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ชาญฉลาดมาก นึกอะไรไม่ออกสักวินาที...

ลองนึกภาพกองขยะขนาดใหญ่และในกองขยะนี้มีสิ่งต่าง ๆ สิบล้านอย่าง: ฝาชักโครก, แก้ว, สายไฟ, ท่อต่าง ๆ , สกรู, สลักเกลียว, ถั่ว - โดยทั่วไปแล้วชิ้นส่วนหลายสิบล้านชิ้น

และลมก็ปรากฏขึ้น - พายุไซโคลนแรงที่กวาดทุกอย่างเป็นกองเดียว จากนั้นคุณมองไปที่สถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของถังขยะและมีเครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำใหม่พร้อมที่จะบินจากสหรัฐอเมริกาไปยังลอนดอน อะไรคือโอกาสที่จะเกิดขึ้น?

ไม่มีนัยสำคัญ

แค่นั้นแหละ! เช่นเดียวกับจิตสำนึกที่ไม่มีนัยสำคัญซึ่งไม่มีความเข้าใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ชาญฉลาดนี้

มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญมาก เราไม่ได้พูดถึงชิ้นส่วน 10 ล้านชิ้นเหมือนบนเครื่องบินโบอิ้ง 747 แต่หมายถึงชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อถึงกันนับล้านชิ้น ทั้งบนโลกใบนี้และในกาแลคซีอื่นๆ อีกนับพันล้านแห่ง

สมมติว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญและไม่มี แรงผลักดันคงเป็นเรื่องโง่เง่าและเย่อหยิ่งพอๆ กับที่เชื่อว่าลมสามารถสร้างเครื่องบินโบอิ้ง 747 จากชิ้นส่วนนับสิบล้านชิ้นได้

เบื้องหลังทุกเหตุการณ์ในชีวิตคือปัญญาทางจิตวิญญาณสูงสุด ดังนั้นจึงไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

ไมเคิล นิวตัน ผู้เขียน Journey of the Soul คำปลอบโยนสำหรับผู้ปกครองที่สูญเสียลูก

คุณมีคำปลอบโยนและความมั่นใจอะไรสำหรับสิ่งเหล่านั้น ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก โดยเฉพาะลูก ๆ เล็ก ๆ ?

“ฉันนึกภาพออกถึงความเจ็บปวดของคนที่สูญเสียลูกไป ฉันมีลูกและฉันโชคดีที่พวกเขาแข็งแรง

คนเหล่านี้จมอยู่กับความโศกเศร้า พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาได้สูญเสียคนที่รักไป และจะไม่เข้าใจว่าพระเจ้าปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

บางทีมันอาจจะเป็นพื้นฐานมากกว่านั้นก็ได้...

นีล ดักลาส-คลอตซ์ ความหมายที่แท้จริงของคำว่า "สวรรค์" และ "นรก" ตลอดจนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราและที่ที่เราจะไปหลังความตาย

"สวรรค์" ไม่ใช่สถานที่ทางกายภาพในความหมายของคำนี้ในภาษาอราเมอิก-ยิว

"สวรรค์" คือการรับรู้ของชีวิต เมื่อพระเยซูหรือผู้เผยพระวจนะชาวยิวคนใดใช้คำว่า "สวรรค์" ตามความเข้าใจของเรา พวกเขาหมายถึง "ความจริงที่สั่นไหว" ราก "ชิม" - ในคำว่า การสั่นสะเทือน [การสั่นสะเทือน] หมายถึง "เสียง", "การสั่นสะเทือน" หรือ "ชื่อ"

Shimaya [ชิมายา] หรือ Shemaiah [เชไมอาห์] ในภาษาฮิบรูแปลว่า

ดังนั้น เมื่อปฐมกาลในพันธสัญญาเดิมกล่าวว่าพระเจ้าทรงสร้างความเป็นจริงของเรา หมายความว่าพระองค์ทรงสร้างมันขึ้นในสองวิธี: พระองค์ (เธอ/มัน) สร้างความเป็นจริงที่สั่นไหวซึ่งเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวและเป็นความจริงแต่ละบุคคล (ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน) ซึ่ง มีชื่อ ใบหน้า และการนัดหมาย

นี่ไม่ได้หมายความว่า "สวรรค์" อยู่ที่อื่นหรือ "สวรรค์" เป็นสิ่งที่ควรได้รับ "สวรรค์" และ "โลก" อยู่ร่วมกันในเวลาเดียวกัน เมื่อมองจากมุมมองนี้

แนวคิดเรื่อง "สรวงสวรรค์" เป็น "รางวัล" หรือสิ่งที่อยู่เหนือเราหรือที่เราไปหลังความตายล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสำหรับพระเยซูหรือสาวกของพระองค์

คุณจะไม่พบสิ่งนี้ในศาสนายูดาย แนวคิดเหล่านี้ปรากฏในภายหลังในการตีความศาสนาคริสต์ของชาวยุโรป

มีความนิยม ตอนนี้แนวคิดเชิงอภิปรัชญาที่ว่า "สวรรค์" และ "นรก" เป็นสภาวะของจิตสำนึกของมนุษย์ ระดับของการตระหนักรู้ในตนเองเป็นเอกภาพหรืออยู่ห่างไกลจากพระเจ้า และความเข้าใจในธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณและความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล จริงหรือไม่?

เรื่องนี้ใกล้ความจริงแล้ว ตรงกันข้ามกับ "สวรรค์" ไม่ใช่ แต่ "โลก" ดังนั้น "สวรรค์" และ "โลก" จึงตรงกันข้ามกับความเป็นจริง

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "นรก" ในความหมายของคำนี้ ไม่มีแนวคิดดังกล่าวในภาษาอราเมอิกหรือฮีบรู

หลักฐานชีวิตหลังความตายนี้ช่วยละลายน้ำแข็งแห่งความไม่ไว้วางใจหรือไม่?

เราหวังว่าตอนนี้คุณมีข้อมูลเพิ่มเติมมากมายที่จะช่วยให้คุณมองเห็นแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่ และบางทีอาจช่วยให้คุณรอดพ้นจาก ความกลัวที่แข็งแกร่ง- กลัวความตาย

แปลโดย Svetlana Durandina

ป.ล. บทความนี้มีประโยชน์กับคุณหรือไม่? เขียนในความคิดเห็น

คุณต้องการเรียนรู้วิธีจดจำชีวิตในอดีตด้วยตัวคุณเองหรือไม่?

มีชีวิตหลังความตายหรือไม่ - ข้อเท็จจริงและหลักฐาน

- มีชีวิตหลังความตายหรือไม่?

- มีชีวิตหลังความตายหรือไม่?
— ข้อเท็จจริงและหลักฐาน
— เรื่องจริงการเสียชีวิตทางคลินิก
- มุมมองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความตาย

ชีวิตหลังความตายหรือชีวิตหลังความตาย - แนวคิดทางศาสนาและปรัชญาของความต่อเนื่อง ชีวิตอย่างมีสติบุคคลหลังความตาย. ในกรณีส่วนใหญ่ แนวคิดดังกล่าวเกิดจากความเชื่อในความเป็นอมตะของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของโลกทัศน์ทางศาสนาและศาสนา-ปรัชญาส่วนใหญ่

ในการนำเสนอหลัก:

1) การฟื้นคืนชีพของคนตาย - ผู้คนจะฟื้นคืนชีพโดยพระเจ้าหลังความตาย
2) การเกิดใหม่ - วิญญาณของบุคคลกลับสู่ โลกของวัสดุในชาติใหม่;
3) ผลกรรมหลังมรณกรรม - หลังความตายวิญญาณของบุคคลจะไปนรกหรือสวรรค์ขึ้นอยู่กับชีวิตทางโลกของบุคคล (อ่านเกี่ยวกับ.)

แพทย์ในหอผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลในแคนาดาได้ลงทะเบียนกรณีผิดปกติ พวกเขาปิดระบบช่วยชีวิตในผู้ป่วยระยะสุดท้ายสี่ราย ในสามคนนั้นสมองทำงานตามปกติ - หยุดทำงานหลังจากปิดเครื่องไม่นาน ในผู้ป่วยรายที่ 4 สมองจะปล่อยคลื่นออกมาอีก 10 นาที 38 วินาที แม้ว่าแพทย์จะประกาศว่าเขาเสียชีวิตแล้วก็ตาม โดยใช้มาตรการชุดเดียวกับในกรณีของ "เพื่อนร่วมงาน" ของเขา

สมองของผู้ป่วยรายที่สี่ดูเหมือนจะหลับสนิท แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่แสดงสัญญาณของการมีชีวิต - ไม่มีชีพจร ไม่มีความดันโลหิต ไม่มีปฏิกิริยาต่อแสง ก่อนหน้านี้มีการบันทึกคลื่นสมองในหนูหลังจากการตัดหัว แต่ในสถานการณ์เหล่านั้นมีเพียงคลื่นเดียว

- มีชีวิตหลังความตายหรือไม่! ข้อเท็จจริงและหลักฐาน

- มุมมองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความตาย

ในซีแอตเติล Mark Roth นักชีววิทยากำลังทดลองให้สัตว์เข้าสู่การเคลื่อนไหวที่ถูกระงับโดยใช้สารเคมีที่ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจและเมแทบอลิซึมของพวกมันช้าลงในระดับที่ใกล้เคียงกับที่เห็นในช่วงจำศีล เป้าหมายของเขาคือการทำให้คนที่มีอาการหัวใจวาย "เล็กน้อยเป็นอมตะ" จนกว่าพวกเขาจะเอาชนะผลที่ตามมาของวิกฤตที่ทำให้พวกเขาต้องตาย

ในบัลติมอร์และพิตต์สเบิร์ก ทีมผู้บาดเจ็บที่นำโดยศัลยแพทย์ แซม ทิสเชอร์แมน กำลังทำการทดลองทางคลินิก โดยผู้ป่วยที่ถูกยิงด้วยกระสุนปืนและบาดแผลถูกแทงจะถูกลดอุณหภูมิร่างกายลงเพื่อให้เลือดออกอย่างช้าๆ ในช่วงที่ต้องรับการเย็บแผล แพทย์เหล่านี้ใช้ความเย็นเพื่อจุดประสงค์เดียวกับที่ Roth - สารประกอบทางเคมี: ช่วยให้คุณสามารถ "ฆ่า" ผู้ป่วยได้ชั่วคราวเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาในท้ายที่สุด

ในรัฐแอริโซนา ผู้เชี่ยวชาญด้านการเก็บรักษาด้วยการแช่แข็งได้จัดเก็บศพของลูกค้ากว่า 130 รายในสภาพแช่แข็ง ซึ่งเป็น "เขตชายแดน" ชนิดหนึ่งด้วย พวกเขาหวังว่าในอนาคตอันไกลโพ้น หรืออีกไม่กี่ศตวรรษ คนเหล่านี้สามารถละลายและฟื้นขึ้นมาได้ และเมื่อถึงเวลานั้นยาจะสามารถรักษาโรคที่พวกเขาเสียชีวิตได้

ในอินเดีย นักประสาทวิทยา ริชาร์ด เดวิดสัน กำลังศึกษาพระสงฆ์ที่ตกอยู่ในสภาพที่เรียกว่า ทุคดัม ซึ่งสัญญาณทางชีวภาพของชีวิตหายไป แต่ร่างกายดูเหมือนจะไม่สลายตัวเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่านั้น เดวิดสันพยายามบันทึกกิจกรรมบางอย่างในสมองของพระเหล่านี้ โดยหวังว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่การไหลเวียนโลหิตหยุดลง

และในนิวยอร์ก Sam Parnia พูดอย่างกระตือรือร้นเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของ "การช่วยชีวิตที่ล่าช้า" ตามที่เขาพูดการช่วยฟื้นคืนชีพของหัวใจทำงานได้ดีกว่าที่เชื่อกันทั่วไปและภายใต้เงื่อนไขบางประการ - เมื่ออุณหภูมิของร่างกายลดลง การกดหน้าอกจะได้รับการควบคุมความลึกและจังหวะอย่างถูกต้อง และออกซิเจนจะถูกจ่ายอย่างช้าๆเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายของเนื้อเยื่อ - ผู้ป่วยบางรายสามารถส่งกลับได้ ที่จะมีชีวิตอยู่ได้แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีการเต้นของหัวใจเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วก็ตามและมักจะไม่มีในระยะยาว ผลเสีย. ตอนนี้หมอกำลังตรวจสอบหนึ่งในแง่มุมที่ลึกลับที่สุดของการกลับมาจากความตาย: เหตุใดผู้รอดชีวิตใกล้ตายจำนวนมากจึงอธิบายว่าจิตใจของพวกเขาถูกแยกออกจากร่างกาย ความรู้สึกเหล่านี้บอกอะไรเราได้บ้างเกี่ยวกับธรรมชาติของ "เขตชายแดน" และเกี่ยวกับความตาย

เนื้อหานี้จัดทำขึ้นโดย Dilyara สำหรับเว็บไซต์โดยเฉพาะ

ข้อเท็จจริงที่เหลือเชื่อ

ข่าวที่น่าผิดหวัง: นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่าไม่มีชีวิตหลังความตาย

นักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงเชื่อว่ามนุษยชาติจำเป็นต้องหยุดเชื่อในชีวิตหลังความตายและมุ่งเน้นไปที่กฎที่มีอยู่ของจักรวาล

Sean Carroll นักจักรวาลวิทยาและศาสตราจารย์ด้านฟิสิกส์ที่ สถาบันเทคโนโลยีแห่งแคลิฟอร์เนียยุติปัญหาชีวิตหลังความตาย

เขากล่าวว่า "กฎของฟิสิกส์ที่กำหนดเรา ชีวิตประจำวันได้รับความเข้าใจอย่างถ่องแท้" และทุกอย่างเกิดขึ้นภายในขอบเขตที่เป็นไปได้

มีชีวิตหลังความตายหรือไม่

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย สติจะต้องแยกออกจากร่างกายของเราโดยสิ้นเชิง ซึ่งไม่ใช่ในกรณีนี้

แต่จิตสำนึกในระดับพื้นฐานที่สุดคือชุดของอะตอมและอิเล็กตรอนที่รับผิดชอบต่อจิตใจของเรา

กฎของจักรวาลไม่อนุญาตให้มีอนุภาคเหล่านี้อยู่หลังจากที่ร่างกายของเราออกจากชีวิต เชื่อ ดร. แครอล.

การอ้างว่าจิตสำนึกบางรูปแบบยังคงอยู่หลังจากที่ร่างกายตายและสลายตัวเป็นปรมาณูต้องเผชิญกับอุปสรรคที่ผ่านไม่ได้ กฎของฟิสิกส์ไม่อนุญาตให้ข้อมูลที่เก็บไว้ในสมองของเรายังคงอยู่หลังจากที่เราตาย

เช่น ตัวอย่าง ดรแครอลอ้างถึงทฤษฎีสนามควอนตัม พูดง่ายๆ ว่าตามทฤษฎีนี้มีสนามสำหรับอนุภาคแต่ละประเภท ตัวอย่างเช่น โฟตอนทั้งหมดในเอกภพอยู่ในระดับเดียวกัน อิเล็กตรอนทั้งหมดมีสนามของตัวเอง และอื่นๆ สำหรับอนุภาคแต่ละประเภท

นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าหากชีวิตดำเนินต่อไปหลังความตาย ในการทดสอบสนามควอนตัม พวกเขาจะพบ "อนุภาควิญญาณ" หรือ "พลังวิญญาณ"

อย่างไรก็ตาม นักวิจัยไม่พบสิ่งใดในลักษณะนี้

คนรู้สึกอย่างไรก่อนตาย?

แน่นอนว่ามีไม่กี่วิธีที่จะค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลหลังความตาย ในทางกลับกัน หลายคนสงสัยว่าคน ๆ หนึ่งรู้สึกอย่างไรเมื่อจุดจบใกล้เข้ามา

ตามที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนขึ้นอยู่กับว่าคน ๆ หนึ่งตายอย่างไร ตัวอย่างเช่น คนที่กำลังจะตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บอาจอ่อนแอ เจ็บป่วย และหมดสติเกินกว่าจะบรรยายความรู้สึกของเขา

ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่รู้ส่วนใหญ่จึงมาจากการสังเกต ไม่ใช่จากประสบการณ์ภายในของมนุษย์ นอกจากนี้ยังมีคำให้การของผู้ที่เคยประสบกับการเสียชีวิตทางคลินิก แต่กลับมาและพูดถึงสิ่งที่พวกเขาประสบ

1. คุณเสียความรู้สึก

ตามคำให้การของผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลผู้ป่วยที่สิ้นหวัง คนที่กำลังจะตายสูญเสียความรู้สึกในลำดับที่แน่นอน

ประการแรก ความรู้สึกหิวกระหายหายไป ความสามารถในการพูดจะหายไป จากนั้นการมองเห็น การได้ยินและการสัมผัสมักจะอยู่ได้นานกว่า แต่ก็หายไป

2. คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลังฝัน

ขอให้ผู้รอดชีวิตที่ใกล้ตายอธิบายความรู้สึกและการตอบสนองของพวกเขา อย่างน่าอัศจรรย์สอดคล้องกับผลการวิจัยในด้านนี้

ในปี 2014 นักวิทยาศาสตร์ศึกษาความฝันของคนใกล้ตาย และส่วนใหญ่ (ประมาณ 88 เปอร์เซ็นต์) พูดถึงความฝันที่สดใสซึ่งมักดูเหมือนจริงสำหรับพวกเขา ในความฝันส่วนใหญ่ผู้คนเห็นคนที่รักของคนตายและในขณะเดียวกันก็มีความสงบสุขมากกว่าความกลัว

3. ชีวิตกะพริบต่อหน้าต่อตาฉัน

คุณยังอาจเห็นแสงที่คุณกำลังเข้าใกล้หรือความรู้สึกว่าคุณกำลังแยกออกจากร่างกาย

นักวิทยาศาสตร์พบว่าก่อนตาย การระเบิดของกิจกรรมจะเกิดขึ้นในสมองของมนุษย์ ซึ่งอาจอธิบายประสบการณ์เฉียดตายและความรู้สึกว่าชีวิตปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเรา

4. คุณสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวคุณ

เมื่อนักวิจัยศึกษาความรู้สึกของคนในช่วงเวลาที่เขาเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ พวกเขาพบว่าสมองยังคงทำงานอยู่ระยะหนึ่ง ซึ่งเพียงพอที่จะได้ยินการสนทนาหรือเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบๆ ซึ่งได้รับการยืนยันจากผู้ที่เป็น ใกล้เคียง.

5. คุณอาจรู้สึกเจ็บปวด

หากคุณได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย คุณอาจรู้สึกเจ็บปวด หนึ่งในประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดในแง่นี้คือการหายใจไม่ออก มะเร็งมักทำให้เกิดความเจ็บปวดเนื่องจากการเติบโตของเซลล์มะเร็งส่งผลกระทบต่ออวัยวะต่างๆ

โรคบางโรคอาจไม่เจ็บปวดเท่า เช่น โรคทางเดินหายใจ แต่ทำให้หายใจไม่สะดวกและลำบากมาก

6. คุณอาจจะสบายดี

ในปี 1957 นักอสรพิษวิทยา คาร์ล แพตเตอร์สัน ชมิดท์ถูกงูพิษกัด. เขาไม่รู้ว่าในหนึ่งวันการกัดจะฆ่าเขา และเขาเขียนอาการทั้งหมดที่เขาประสบ

เขาเขียนว่าในตอนแรกเขารู้สึก "หนาวสั่นและตัวสั่น" "มีเลือดออกในเยื่อเมือกในปาก" และ "มีเลือดออกเล็กน้อยในลำไส้" แต่โดยทั่วไปแล้วอาการของเขาก็ปกติ เขาโทรหาที่ทำงานของเขาและบอกว่าเขาจะมาในวันถัดไป แต่ก็ไม่เกิดขึ้น และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เสียชีวิต

7. เวียนศีรษะ

ในปี 2012 นักฟุตบอล Fabrice Muamba มีอาการหัวใจวายในระหว่างการแข่งขัน บางครั้งเขาอยู่ในสภาพของการเสียชีวิตทางคลินิก แต่ได้รับการช่วยชีวิตในภายหลัง เมื่อถูกขอให้อธิบายช่วงเวลานั้น เขาบอกว่าเขารู้สึกวิงเวียนและจำได้เพียงเท่านั้น

8. ไม่รู้สึกอะไรเลย

หลังจากนักฟุตบอลมูอัมบ้ารู้สึกวิงเวียนเขาบอกว่าเขาไม่รู้สึกอะไร เขาไม่มีอารมณ์ทั้งด้านบวกและด้านลบ และถ้าประสาทสัมผัสของคุณพิการ คุณจะรู้สึกอะไรได้บ้าง?

อาจเป็นไปได้ว่าในบรรดาประชากรผู้ใหญ่ของโลกทั้งใบไม่มีใครพบใครเลยแม้แต่คนเดียวที่ไม่ได้คิดถึงความตายไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ตอนนี้เราไม่สนใจความคิดเห็นของผู้คลางแคลงที่สงสัยทุกสิ่งที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสด้วยมือของพวกเขาเองและไม่ได้เห็นด้วยตาของพวกเขาเอง เราสนใจคำถามว่าความตายคืออะไร?

บ่อยครั้งที่การสำรวจความคิดเห็นโดยนักสังคมวิทยาแสดงให้เห็นว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบแบบสอบถามแน่ใจว่าชีวิตหลังความตายมีอยู่จริง

ผู้ตอบแบบสำรวจมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์เล็กน้อยมีท่าทีเป็นกลางเกี่ยวกับอาณาจักรแห่งความตาย โดยเชื่อว่าพวกเขามีแนวโน้มที่จะประสบกับการเกิดใหม่และการเกิดใหม่ในร่างใหม่หลังความตาย สิบคนที่เหลือไม่เชื่อในครั้งแรกหรือครั้งที่สองโดยเชื่อว่าความตายเป็นผลลัพธ์สุดท้ายของทุกสิ่งโดยทั่วไป หากคุณสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังความตายของผู้ที่ขายวิญญาณให้กับปีศาจและได้รับความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และความเคารพนับถือบนโลก เราขอแนะนำให้คุณดูบทความเรื่อง คนเหล่านี้ได้รับความเจริญรุ่งเรืองและความเคารพไม่เพียง แต่ในช่วงชีวิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงหลังความตายด้วย: ผู้ที่ขายวิญญาณของพวกเขากลายเป็นปีศาจที่ทรงพลัง ฝากคำขอขายวิญญาณเพื่อให้นักปีศาจวิทยาทำพิธีกรรมให้คุณ: [ป้องกันอีเมล]

อันที่จริง ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่ตัวเลขที่แน่นอน ในบางประเทศ ผู้คนเต็มใจที่จะเชื่อมากกว่า โลกอื่นอ้างอิงจากหนังสือที่อ่านโดยจิตแพทย์ที่ศึกษาประเด็นการตายทางคลินิก

ในที่อื่น ๆ พวกเขาเชื่อว่าจำเป็นต้องใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ที่นี่และตอนนี้ และสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ในภายหลังก็ไม่รบกวนพวกเขามากนัก อาจเป็นไปได้ว่าความคิดเห็นที่หลากหลายอยู่ในสาขาสังคมวิทยาและสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิต แต่นี่เป็นปัญหาที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

จากข้อมูลที่ได้รับจากการสำรวจ ข้อสรุปนั้นมองเห็นได้ชัดเจน ประชากรส่วนใหญ่ของโลกเชื่อในชีวิตหลังความตาย เป็นคำถามที่น่าตื่นเต้นจริงๆ ว่าวินาทีแห่งความตายกำลังรอเราอยู่ - การหายใจออกครั้งสุดท้ายมาถึงแล้ว และลมหายใจใหม่ก็เข้ามา ดินแดนแห่งความตาย?

น่าเสียดาย แต่ไม่มีใครมีคำตอบที่สมบูรณ์สำหรับคำถามดังกล่าว ยกเว้นบางทีพระเจ้า แต่ถ้าเราตระหนักว่าการมีอยู่ของผู้ทรงฤทธานุภาพเป็นความจงรักภักดีในสมการของเรา แน่นอนว่ามีเพียงคำตอบเดียว นั่นคือโลกที่จะมาถึง !

Raymond Moody มีชีวิตหลังความตาย

นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคนใน เวลาที่แตกต่างกันสงสัยว่าความตายเป็นสภาวะเปลี่ยนผ่านพิเศษระหว่างการอยู่ที่นี่กับการย้ายไปยังโลกอื่นหรือไม่? ตัวอย่างเช่นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเช่นนักประดิษฐ์พยายามที่จะติดต่อกับชาวนรก และนี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งของตัวอย่างที่คล้ายกันนับพัน เมื่อผู้คนเชื่ออย่างจริงใจในชีวิตหลังความตาย

แต่ถ้ามีบางอย่างที่สามารถทำให้เรามั่นใจในชีวิตหลังความตาย อย่างน้อยก็มีสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกถึงการมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย? กิน! มีหลักฐานดังกล่าว รับรองนักวิจัยของปัญหาและจิตแพทย์ที่ทำงานร่วมกับผู้ที่มีประสบการณ์ทางคลินิกตาย

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในเรื่อง "ชีวิตหลังความตาย" เรย์มอนด์ มูดีย์ นักจิตวิทยาและแพทย์ชาวอเมริกันจากพอร์เตอร์เดล จอร์เจีย รับรองกับเราว่าไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย

นอกจากนี้นักจิตวิทยายังมีผู้ติดตามจำนวนมากจากชุมชนวิทยาศาสตร์ เรามาดูกันดีกว่าว่าข้อเท็จจริงประเภทใดที่เราได้รับเป็นหลักฐานของแนวคิดอันน่าอัศจรรย์ของการมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย?

ฉันจะทำการจองทันที ตอนนี้เราไม่ได้พูดถึงเรื่องของการกลับชาติมาเกิด การกลับชาติมาเกิดของวิญญาณหรือการเกิดใหม่ในร่างใหม่ นี่เป็นหัวข้อที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงและพระเจ้าจะประทานให้ และโชคชะตาจะอนุญาต เราจะ พิจารณาในภายหลัง

ฉันทราบด้วยว่าอนิจจา แต่แม้จะมีการวิจัยและการเดินทางรอบโลกเป็นเวลาหลายปี แต่ทั้ง Raymond Moody และผู้ติดตามของเขาก็ไม่สามารถหาคนอย่างน้อยหนึ่งคนที่อาศัยอยู่ในชีวิตหลังความตายและกลับมาจากที่นั่นพร้อมข้อเท็จจริงในมือ - นี่ไม่ใช่เรื่องตลก แต่หมายเหตุที่จำเป็น

หลักฐานทั้งหมดสำหรับการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตายนั้นขึ้นอยู่กับเรื่องราวของผู้ที่เคยประสบกับความตายทางคลินิก นี่คือสิ่งที่เรียกว่าสองสามทศวรรษที่ผ่านมา และคำว่า "ประสบการณ์เฉียดตาย" ที่ได้รับความนิยม แม้ว่าจะอยู่ในคำจำกัดความแล้วข้อผิดพลาดก็พุ่งเข้ามา - เราสามารถพูดถึงประสบการณ์เฉียดตายแบบใดได้บ้างหากความตายไม่ได้เกิดขึ้นจริง? แต่ก็ช่างมันเถอะ อย่างที่ R. Moody พูดถึงนั่นแหละ

ประสบการณ์เฉียดตาย การเดินทางสู่ชีวิตหลังความตาย

จากการค้นพบของนักวิจัยหลายคนในสาขานี้ การเสียชีวิตทางคลินิกดูเหมือนจะเป็นเส้นทางแห่งปัญญาสู่ชีวิตหลังความตาย มันดูเหมือนอะไร? แพทย์ช่วยชีวิตช่วยชีวิตคน แต่ในบางจุดความตายก็แข็งแกร่งกว่า คนตาย - ละเว้นรายละเอียดทางสรีรวิทยา เราทราบว่าเวลาของการเสียชีวิตทางคลินิกคือ 3 ถึง 6 นาที

ในนาทีแรกของการเสียชีวิตทางคลินิก ผู้ช่วยชีวิตจะดำเนินขั้นตอนที่จำเป็น และในขณะเดียวกันวิญญาณของผู้เสียชีวิตก็ออกจากร่างกาย มองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจากภายนอก ตามกฎแล้ววิญญาณของผู้คนที่ข้ามพรมแดนของทั้งสองโลกมาระยะหนึ่งจะบินไปที่เพดาน

นอกจากนี้ผู้ที่เคยประสบกับการเสียชีวิตทางคลินิกจะเห็น รูปภาพที่แตกต่างกัน: บางส่วนถูกดึงเข้าไปในอุโมงค์อย่างนุ่มนวล แต่แน่นอน มักจะเป็นกรวยเกลียวที่ซึ่งพวกมันรับความเร็วอย่างบ้าคลั่ง

ในขณะเดียวกัน พวกเขารู้สึกมหัศจรรย์และเป็นอิสระ โดยตระหนักอย่างชัดเจนว่าชีวิตที่ยอดเยี่ยมและน่าอัศจรรย์กำลังรอพวกเขาอยู่ ชีวิตที่ยอดเยี่ยม. ในทางตรงกันข้าม คนอื่นๆ รู้สึกหวาดกลัวกับภาพที่เห็น พวกเขาไม่ได้ถูกดึงเข้าไปในอุโมงค์ พวกเขารีบกลับบ้านไปหาครอบครัว ดูเหมือนจะมองหาการปกป้องและความรอดจากสิ่งที่ไม่ดี

นาทีที่สองของการเสียชีวิตทางคลินิกกระบวนการทางสรีรวิทยาในร่างกายมนุษย์หยุดนิ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่านี่คือคนตาย อย่างไรก็ตาม ในระหว่าง "ประสบการณ์เฉียดตาย" หรือการจู่โจมเข้าสู่ชีวิตหลังความตายเพื่อการลาดตระเวน เวลาผ่านการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน ไม่ ไม่มีความขัดแย้ง แต่เวลาที่ใช้เวลาไม่กี่นาทีใน "ที่นั่น" ยืดออกไปถึงครึ่งชั่วโมงหรือมากกว่านั้น

นี่คือสิ่งที่หญิงสาวผู้มีประสบการณ์เฉียดตายกล่าวว่า ฉันรู้สึกว่าวิญญาณออกจากร่างไปแล้ว ฉันเห็นหมอและตัวฉันเองนอนอยู่บนโต๊ะ แต่ดูเหมือนว่าฉันจะไม่มีอะไรน่ากลัวหรือน่ากลัวสำหรับฉัน ฉันรู้สึกถึงความเบาสบาย ร่างกายฝ่ายวิญญาณของฉันเปล่งความสุขและซึมซับความสงบและความเงียบสงบ

จากนั้นฉันออกไปนอกห้องผ่าตัดและพบว่าตัวเองอยู่ในทางเดินที่มืดมาก ซึ่งในตอนท้ายฉันมองเห็นแสงสว่าง แสงสีขาว. ฉันไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ฉันบินไปตามทางเดินมุ่งสู่แสงสว่างด้วยความเร็วสูง

มันเป็นแสงสว่างที่น่าอัศจรรย์เมื่อฉันไปถึงปลายอุโมงค์และตกอยู่ในอ้อมแขนของโลกรอบตัวฉัน .... ผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในแสงสว่างและปรากฎว่าแม่ของเธอที่ตายไปนานแล้วยืนอยู่ข้างๆ ของเธอ.
กู้ชีพนาทีที่ 3 คนไข้ขาดใจตาย....

“ลูกสาว ยังเร็วเกินไปที่คุณจะตาย” แม่บอกฉัน ... หลังจากคำพูดเหล่านี้ ผู้หญิงคนนั้นก็ตกอยู่ในความมืดและจำอะไรไม่ได้อีก เธอฟื้นคืนสติในวันที่สามและพบว่าเธอได้รับประสบการณ์ความตายทางคลินิก

เรื่องราวทั้งหมดของผู้ที่เคยประสบกับสภาวะเส้นแบ่งระหว่างความเป็นและความตายมีความคล้ายคลึงกันมาก ในแง่หนึ่ง มันทำให้เรามีสิทธิที่จะเชื่อในชีวิตหลังความตาย อย่างไรก็ตาม คนขี้ระแวงที่นั่งอยู่ข้างในเรากระซิบกัน: ทำไม "ผู้หญิงรู้สึกว่าวิญญาณออกจากร่างของเธอ" แต่ในขณะเดียวกันเธอก็เห็นทุกอย่าง? น่าสนใจ เธอรู้สึกหรือยังมองอยู่ นี่มันคนละเรื่องกันเลยนะ

ทัศนคติต่อประเด็นประสบการณ์เฉียดตาย.

ฉันไม่เคยเป็นคนขี้ระแวงและเชื่อเรื่องโลกอื่น แต่เมื่อได้อ่าน ภาพที่สมบูรณ์การสำรวจความตายทางคลินิกจากผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ของการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย แต่มองดูอย่างไม่มีเสรีภาพแล้วทัศนคติต่อประเด็นนี้ก็เปลี่ยนไปบ้าง

และสิ่งแรกที่ทำให้ฉันทึ่งก็คือ "ประสบการณ์เฉียดตาย" นั่นเอง ในกรณีส่วนใหญ่ของเหตุการณ์ดังกล่าว ไม่ใช่ "บาดแผล" สำหรับหนังสือที่เราชอบพูดถึงมากนัก แต่เป็นการสำรวจโดยสมบูรณ์ของผู้ที่รอดชีวิตจากการเสียชีวิตทางคลินิก คุณจะเห็นสิ่งต่อไปนี้:

ปรากฎว่ากลุ่มที่อยู่ภายใต้การสำรวจรวมถึงผู้ป่วยทั้งหมด ทั้งหมด! ไม่สำคัญว่าคนๆ นั้นป่วยด้วยโรคอะไร โรคลมบ้าหมู อาการโคม่าขั้นลึก และอื่นๆ ... โดยทั่วไปอาจเป็นการใช้ยานอนหลับเกินขนาดหรือยาที่ยับยั้งการมีสติ - สำหรับการสำรวจส่วนใหญ่แล้ว ก็เพียงพอที่จะระบุว่าเขาประสบกับความตายทางคลินิก! มหัศจรรย์? จากนั้นหากแพทย์กำหนดความตายทำเช่นนี้เนื่องจากขาดการหายใจการไหลเวียนโลหิตและปฏิกิริยาตอบสนองก็ไม่สำคัญสำหรับการเข้าร่วมในการสำรวจ

และความแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจนักเมื่อจิตแพทย์บรรยายถึงสภาวะเส้นเขตแดนของบุคคลที่ใกล้จะเสียชีวิต แม้ว่าสิ่งนี้จะไม่ได้ถูกซ่อนไว้ก็ตาม ตัวอย่างเช่น Moody คนเดียวกันยอมรับว่าในการตรวจสอบมีหลายกรณีที่คนเห็น / มีประสบการณ์การบินผ่านอุโมงค์ไปยังแสงและอุปกรณ์อื่น ๆ ของชีวิตหลังความตายโดยไม่มีความเสียหายทางสรีรวิทยา

สิ่งนี้มาจากขอบเขตของอาถรรพณ์ แต่จิตแพทย์ยอมรับว่าในหลาย ๆ กรณี เมื่อคน ๆ หนึ่ง "บินไปสู่ชีวิตหลังความตาย" ไม่มีอะไรคุกคามสุขภาพของเขา นั่นคือภาพการบินสู่อาณาจักรแห่งความตาย เช่นเดียวกับประสบการณ์เฉียดตายของบุคคลที่ได้มาโดยไม่ได้อยู่ในสภาพใกล้ตาย เห็นด้วยสิ่งนี้เปลี่ยนทัศนคติต่อทฤษฎี

นักวิทยาศาสตร์ คำสองสามคำเกี่ยวกับประสบการณ์เฉียดตาย

ตามที่ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าภาพ "เที่ยวบินสู่โลกอื่น" ที่อธิบายไว้ข้างต้นนั้นได้มาจากบุคคลก่อนที่จะเริ่มมีอาการของการเสียชีวิตทางคลินิก แต่ไม่ใช่หลังจากนั้น มีการกล่าวถึงข้างต้นว่าความเสียหายร้ายแรงต่อร่างกายและการที่หัวใจไม่สามารถสร้างวงจรชีวิตได้ทำลายสมองหลังจากผ่านไป 3-6 นาที (เราจะไม่พูดถึงผลที่ตามมาจากช่วงเวลาวิกฤต)

สิ่งนี้ทำให้เรามั่นใจว่าเมื่อข้ามวินาทีแห่งความตายแล้วผู้ตายไม่มีความสามารถหรือวิธีที่จะรู้สึกอะไรเลย คน ๆ หนึ่งประสบกับสภาวะที่อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ทั้งหมดไม่ใช่ระหว่างการเสียชีวิตทางคลินิก แต่ในระหว่างความเจ็บปวดเมื่อเลือดยังคงมีออกซิเจนอยู่

เหตุใดภาพจึงมีประสบการณ์และบอกเล่าโดยผู้ที่มอง "อีกด้านหนึ่ง" ของชีวิตคล้ายกันมาก สิ่งนี้อธิบายได้ค่อนข้างมากจากข้อเท็จจริงที่ว่าในช่วงความทุกข์ทรมานจากความตาย ปัจจัยเดียวกันนี้ส่งผลต่อการทำงานของสมองของบุคคลใดก็ตามที่ประสบกับสภาวะนี้

ในช่วงเวลาดังกล่าว หัวใจทำงานโดยมีการหยุดชะงักอย่างมาก สมองเริ่มประสบกับความอดอยาก ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้น ทำให้ภาพสมบูรณ์ และอื่น ๆ ในระดับสรีรวิทยา แต่ไม่มีส่วนผสมของโลกอื่น

การเห็นอุโมงค์มืดและบินไปยังอีกโลกหนึ่งด้วยความเร็วสูงก็พบเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน และบั่นทอนความเชื่อของเราในชีวิตหลังความตาย - แม้ว่าสำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่านี่เป็นเพียงการทำลายภาพของ "ประสบการณ์เฉียดตาย" เนื่องจากการขาดออกซิเจนอย่างรุนแรงการมองเห็นในอุโมงค์ที่เรียกว่าสามารถแสดงออกมาเมื่อสมองไม่สามารถประมวลผลสัญญาณที่มาจากรอบนอกของเรตินาได้อย่างถูกต้องและรับ / ประมวลผลเฉพาะสัญญาณที่ได้รับจากศูนย์กลาง

บุคคลในขณะนี้สังเกตเห็นผลกระทบของ "การบินผ่านอุโมงค์ไปสู่แสงสว่าง" โคมไฟไร้เงาและแพทย์ที่ยืนอยู่ทั้งสองด้านของโต๊ะและในหัวช่วยขยายภาพหลอนได้ค่อนข้างดี - ผู้ที่มีประสบการณ์คล้ายกันจะรู้ว่าการมองเห็นเริ่ม "ลอย" ก่อนที่จะวางยาสลบ

ความรู้สึกของวิญญาณที่ออกจากร่างกายการมองเห็นของแพทย์และตัวเองราวกับว่ามาจากภายนอกในที่สุดก็ได้รับการบรรเทาจากความเจ็บปวด - อันที่จริงนี่คือผลของยาและความผิดปกติของอุปกรณ์ขนถ่าย เมื่อการเสียชีวิตทางคลินิกเกิดขึ้นในนาทีนี้บุคคลจะไม่เห็นหรือรู้สึกอะไรเลย

อย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากที่ใช้ LSD เดียวกันยอมรับว่าในช่วงเวลาเหล่านี้พวกเขาได้รับ "ประสบการณ์" และไปสู่โลกอื่น แต่อย่าคิดว่านี่เป็นการเปิดประตูสู่โลกอื่น?

โดยสรุป ฉันต้องการทราบว่าตัวเลขการสำรวจที่ให้ไว้ในตอนต้นเป็นเพียงภาพสะท้อนของความเชื่อของเราในชีวิตหลังความตาย และไม่สามารถใช้เป็นหลักฐานการมีชีวิตในอาณาจักรแห่งความตายได้ สถิติของโปรแกรมทางการแพทย์อย่างเป็นทางการดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และอาจทำให้ผู้ที่มองโลกในแง่ดีกีดกันไม่ให้เชื่อในชีวิตหลังความตาย

ในความเป็นจริง เรามีไม่กี่กรณีที่ผู้ที่รอดชีวิตจากการเสียชีวิตทางคลินิกจริงๆ สามารถบอกบางอย่างเกี่ยวกับวิสัยทัศน์และการประชุมของพวกเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ 10-15 เปอร์เซ็นต์ที่พวกเขาพูดถึง แต่เป็นประมาณ 5% เท่านั้น ในจำนวนนี้มีผู้ที่สมองตาย อนิจจา แม้แต่จิตแพทย์ที่รู้จักการสะกดจิตก็ไม่สามารถช่วยให้พวกเขาจำอะไรได้เลย

ส่วนอื่นๆ ดูดีขึ้นมาก แม้ว่าแน่นอนว่าจะไม่มีการพูดถึงการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ และเป็นการยากที่จะเข้าใจว่าพวกเขามีความทรงจำอยู่ที่ไหน และเกิดขึ้นที่ไหนหลังจากพูดคุยกับจิตแพทย์

แต่ในแง่หนึ่ง ผู้สร้างแรงบันดาลใจของแนวคิดเรื่อง "ชีวิตหลังความตาย" นั้นถูกต้อง ประสบการณ์ทางคลินิกได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้ที่เคยประสบกับเหตุการณ์นี้จริงๆ ตามกฎแล้วนี่เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานในการฟื้นฟูและฟื้นฟูสุขภาพ บางเรื่องกล่าวว่าคนที่รอดชีวิตจากรัฐชายแดนได้ค้นพบพรสวรรค์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในตัวเอง ถูกกล่าวหาว่าการสื่อสารกับทูตสวรรค์ที่พบกับคนตายในโลกหน้าได้เปลี่ยนโลกทัศน์ของบุคคลอย่างสิ้นเชิง

ในทางกลับกัน คนอื่นหลงระเริงไปกับบาปร้ายแรงจนคุณเริ่มสงสัยว่าใครก็ตามที่เขียนข้อความบิดเบือนข้อเท็จจริงและนิ่งเฉยเกี่ยวกับเรื่องนี้ หรือ ... หรือบางคนตกไปในโลกใต้ดินและตระหนักว่าไม่มีอะไรดีรอพวกเขาอยู่ ชีวิตหลังความตายจึงจำเป็นที่นี่และตอนนี้ "สูงส่ง" ก่อนตาย

และยังมีอยู่!

ในฐานะผู้บงการเบื้องหลังการเป็นศูนย์กลางทางชีวภาพ ศาสตราจารย์ Robert Lantz จาก University of North Carolina School of Medicine กล่าวว่า คนๆ หนึ่งเชื่อในความตายเพราะเขาถูกสอนให้ตาย พื้นฐานของคำสอนนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของปรัชญาแห่งชีวิต - หากเรารู้แน่ว่าในโลกที่จะมาถึง ชีวิตได้รับการจัดเตรียมไว้อย่างมีความสุข ปราศจากความเจ็บปวดและความทุกข์ แล้วทำไมเราจึงควรให้คุณค่ากับชีวิตนี้ แต่สิ่งนี้ยังบอกเราว่าโลกอื่นมีอยู่ ความตายในที่นี้คือการเกิดในโลกนั้น!