Charles Darwin - ชีวประวัติ, ข้อมูล, ชีวิตส่วนตัว Charles Darwin และการคัดเลือกโดยธรรมชาติ

Charles Robert Darwin (อังกฤษ Charles Robert Darwin; 12 กุมภาพันธ์ 1809 - 19 เมษายน 1882) - นักธรรมชาติวิทยาและนักเดินทางชาวอังกฤษซึ่งเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่ตระหนักและแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสิ่งมีชีวิตทุกประเภทมีวิวัฒนาการตามเวลาจากบรรพบุรุษร่วมกัน ในทฤษฎีของเขา การนำเสนอรายละเอียดครั้งแรกซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2402 ในหนังสือ "ต้นกำเนิดของสายพันธุ์" (ชื่อเต็ม: "ต้นกำเนิดของสายพันธุ์โดยวิธีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือการอยู่รอดของสายพันธุ์ที่ชื่นชอบในการต่อสู้เพื่อชีวิต" ), หลัก แรงผลักดันดาร์วินเรียกว่าวิวัฒนาการของการคัดเลือกโดยธรรมชาติและความแปรปรวนที่ไม่แน่นอน การดำรงอยู่ของวิวัฒนาการได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของดาร์วิน ในขณะที่ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของเขาซึ่งเป็นคำอธิบายหลักของวิวัฒนาการ ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปในช่วงทศวรรษที่ 30 ของศตวรรษที่ XX เท่านั้น ความคิดและการค้นพบของดาร์วินในรูปแบบที่แก้ไขเป็นรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสังเคราะห์สมัยใหม่และเป็นพื้นฐานของชีววิทยาโดยให้คำอธิบายเชิงตรรกะสำหรับความหลากหลายทางชีวภาพ สาวกดั้งเดิมของคำสอนของดาร์วินพัฒนาทิศทางของความคิดเชิงวิวัฒนาการที่มีชื่อของเขา (ลัทธิดาร์วิน)

ชีวประวัติเต็ม

การนำทาง

วัยเด็กและวัยรุ่น

Charles Darwin เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352 ในเมือง Shrewsbury เมือง Shropshire บนที่ดินของครอบครัว Mount House ลูกคนที่ห้าในหกของแพทย์และนักการเงินผู้มั่งคั่ง โรเบิร์ต ดาร์วิน Robert Darwin และ Susannah Darwin (née Wedgwood) เขาเป็นหลานชายของ Erasmus Darwin ทางด้านพ่อของเขา และ Josiah Wedgwood ทางด้านแม่ของเขา ทั้งสองครอบครัวส่วนใหญ่หัวแข็ง แต่ตระกูลเวดจ์วูดเป็นสมาชิกของนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ โรเบิร์ต ดาร์วินเองมีมุมมองที่เป็นอิสระเพียงพอ และตกลงให้ชาร์ลส์น้อยรับศีลมหาสนิท คริสตจักรแองกลิคันแต่ในขณะเดียวกัน ชาร์ลส์และพี่น้องของเขาก็เข้าร่วมคริสตจักรหัวแข็งกับแม่ของพวกเขา เมื่อเขาเข้าเรียนในโรงเรียนกลางวันในปี พ.ศ. 2360 ดาร์วินวัยแปดขวบได้เข้าไปพัวพันกับประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการสะสม ปีนี้ในเดือนกรกฎาคม แม่ของเขาเสียชีวิต ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2361 เขากับราสมุสพี่ชายของเขา (อังกฤษ ราสมุส อัลวีย์ ดาร์วิน) เข้าเรียนที่โรงเรียนแองกลิกันโชรส์เบอรีที่ใกล้ที่สุด (อังกฤษ โรงเรียนชรูว์สเบอรี) ในฐานะนักเรียนประจำ ก่อนที่จะไปกับราสมุสน้องชายของเขาที่มหาวิทยาลัยเอดินบะระในฤดูร้อนปี 1825 เขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักเรียนและช่วยพ่อของเขาในการปฏิบัติทางการแพทย์ ช่วยเหลือคนยากจนในชร็อพเชียร์

ช่วงชีวิตเอดินเบอระ 2368-2370

เรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ ในระหว่างการศึกษา เขาพบว่าการบรรยายน่าเบื่อและความเจ็บปวดจากการผ่าตัด ดังนั้นเขาจึงละทิ้งการเรียนแพทย์ แต่เขากลับเรียนรู้วิชาขับแท็กซี่จาก John Edmonstone ผู้ซึ่งได้รับประสบการณ์ร่วมกับ Charles Waterton ในการเดินทางไปยังป่าฝนของอเมริกาใต้ และมักเรียกเขาว่า
ในปีต่อมา ในฐานะนักศึกษาประวัติศาสตร์ธรรมชาติ เขาเข้าร่วม Pliny Student Society ซึ่งอภิปรายเรื่องวัตถุนิยมอย่างแข็งขัน ในช่วงเวลานี้ เขาช่วย Robert Edmund Grant ในการวิจัยเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และวงจรชีวิตของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล ในการประชุมของสังคมในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2370 เขาเสนอรายงานสั้น ๆ เกี่ยวกับการค้นพบครั้งแรกของเขา ซึ่งเปลี่ยนมุมมองต่อสิ่งที่คุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าไข่ของไบรโอซัว Flustra มีความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างอิสระด้วยความช่วยเหลือของ cilia และอันที่จริงแล้วเป็นตัวอ่อน ในการค้นพบอีกครั้ง เขาสังเกตเห็นว่าวัตถุทรงกลมเล็กๆ ซึ่งคิดว่าเป็นตัวอ่อนของ Fucus loreus คือรังไข่ของปลิงงวง Pontobdella muricata ครั้งหนึ่ง ณ การปรากฏตัวของดาร์วิน แกรนท์ชื่นชมแนวคิดเชิงวิวัฒนาการของลามาร์ก ดาร์วินประหลาดใจกับคำพูดที่กระตือรือร้นนี้ แต่ยังคงนิ่งเงียบ เมื่อเร็วๆ นี้ เขาได้รับแนวคิดที่คล้ายกันนี้จากปู่ของเขา Erasmus โดยการอ่าน Zoonomy ของเขา และด้วยเหตุนี้ เขาจึงทราบดีอยู่แล้วถึงความขัดแย้งของทฤษฎีนี้ ในช่วงปีที่สองของเขาในเอดินบะระ ดาร์วินได้เข้าเรียนหลักสูตรประวัติศาสตร์ธรรมชาติของ Robert Jameson ซึ่งครอบคลุมเรื่องธรณีวิทยา รวมถึงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มดาวเนปจูนและกลุ่มดาวพลูโต อย่างไรก็ตาม ดาร์วินไม่ได้มีความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยา แม้ว่าเขาจะได้รับการฝึกอบรมอย่างเพียงพอเพื่อตัดสินเรื่องนี้อย่างสมเหตุสมผล ในช่วงเวลานี้เขาได้ศึกษาการจัดประเภทพืชและมีส่วนร่วมในคอลเล็กชันมากมายที่พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในยุคนั้น

ช่วงชีวิตเคมบริดจ์ 2371-2374

ในขณะที่ยังเป็นชายหนุ่ม ดาร์วินกลายเป็นสมาชิกของชนชั้นสูงทางวิทยาศาสตร์ (ภาพโดยจอร์จ ริชมอนด์ ทศวรรษ 1830)

พ่อของดาร์วินเมื่อรู้ว่าลูกชายละทิ้งการเรียนแพทย์ รู้สึกรำคาญและแนะนำให้เขาเข้าเรียนที่ Cambridge Christian College และรับตำแหน่งปุโรหิตของนิกายแองกลิกัน ตามคำบอกเล่าของดาร์วินเอง วันเวลาที่ใช้ในเอดินเบอระทำให้เขาเกิดความสงสัยเกี่ยวกับหลักปฏิบัติของคริสตจักรแองกลิกัน ดังนั้นก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้ายเขาต้องใช้เวลาคิด ในเวลานี้ เขาอ่านหนังสือศาสนศาสตร์อย่างขยันขันแข็ง และท้ายที่สุดก็โน้มน้าวใจตัวเองถึงการยอมรับหลักคำสอนของโบสถ์และเตรียมตัวเข้าศึกษา ขณะศึกษาอยู่ในเอดินเบอระ เขาลืมพื้นฐานบางอย่างที่จำเป็นสำหรับการเข้าศึกษา ดังนั้นเขาจึงเรียนกับครูส่วนตัวในเมืองชรูว์สเบอรี และเข้าเคมบริดจ์หลังวันหยุดคริสต์มาส เมื่อต้นปี พ.ศ. 2371

ดาร์วินเริ่มศึกษา แต่จากข้อมูลของดาร์วินเอง เขาไม่ได้ลงลึกในการศึกษามากเกินไป อุทิศเวลาให้กับการขี่ม้า ยิงปืน และล่าสัตว์ (โชคดีที่การเข้าร่วมการบรรยายเป็นเรื่องสมัครใจ) วิลเลี่ยม ดาร์วิน ฟ็อกซ์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาแนะนำให้เขารู้จักกีฏวิทยาและพาเขาเข้าใกล้ชุมชนนักสะสมแมลงมากขึ้น เป็นผลให้ดาร์วินพัฒนาความหลงใหลในการสะสมแมลงปีกแข็ง ดาร์วินเองยืนยันความหลงใหลของเขาโดยอ้างถึงเรื่องราวต่อไปนี้:“ ครั้งหนึ่งฉันฉีกเปลือกไม้เก่า ๆ ออกจากต้นไม้ฉันเห็นด้วงหายากสองตัวและคว้าพวกมันด้วยมือแต่ละข้าง แต่แล้วฉันก็เห็นหนึ่งในสาม ชนิดใหม่ที่ฉันปล่อยไม่ได้ ฉันปล่อยด้วงที่ถือด้วยมือขวาเข้าปากไม่ได้ อนิจจา เขาปล่อยของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงออกมา ซึ่งทำให้ลิ้นของฉันไหม้มากจนฉันต้องคายแมลงปีกแข็งออกมา และฉันก็ทำมันหายไป เช่นเดียวกับครั้งที่สาม การค้นพบบางส่วนของเขาได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ Illustrations of British Entomology ของ James Francis Stephens "ภาพประกอบกีฏวิทยาอังกฤษ".

เกนสโลว์, จอห์น สตีเฟนส์

เขากลายเป็นเพื่อนสนิทและเป็นผู้ติดตามของศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ John Stevens Henslow จากการที่เขารู้จักกับเฮนสโลว์ เขาได้พบกับนักธรรมชาติวิทยาชั้นนำคนอื่นๆ และกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงของพวกเขาในชื่อ "ชายผู้เดินไปกับเฮนสโลว์" เมื่อการสอบใกล้เข้ามา ดาร์วินจดจ่อกับการเรียนของเขา ในช่วงเวลานี้ เขาอ่าน Evidence of Christianity ของ William Paley ซึ่งภาษาและอรรถาธิบายทำให้ Darwin ชื่นชอบ วรรณกรรม คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ ในที่สุดก็กลายเป็นอันดับที่ 10 ในรายชื่อ 178 คนที่สอบผ่าน

ดาร์วินยังคงอยู่ที่เคมบริดจ์จนถึงเดือนมิถุนายน เขาศึกษาเทววิทยาธรรมชาติของ Paley ซึ่งผู้เขียนสร้างข้อโต้แย้งทางเทววิทยาเพื่ออธิบายธรรมชาติของธรรมชาติ อธิบายว่าการปรับตัวเป็นการกระทำของพระเจ้าผ่านกฎของธรรมชาติ เขากำลังอ่านหนังสือเล่มใหม่ของเฮอร์เชล ซึ่งอธิบายถึงเป้าหมายสูงสุดของปรัชญาธรรมชาติในฐานะความเข้าใจกฎหมายผ่านการให้เหตุผลแบบอุปนัยโดยอาศัยการสังเกต เขายังให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเรื่องเล่าส่วนตัวของอเล็กซานเดอร์ ฟอน ฮุมโบลดต์ ซึ่งผู้เขียนบรรยายถึงการเดินทางของเขา คำอธิบายของ Humboldt เกี่ยวกับเกาะ Tenerife ทำให้ Darwin และเพื่อน ๆ ของเขามีความคิดที่จะไปที่นั่นหลังจากจบการศึกษาเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ธรรมชาติในเขตร้อน ในการเตรียมตัวสำหรับสิ่งนี้ เขาเข้าเรียนหลักสูตรธรณีวิทยาของบาทหลวงอดัม เซดจ์วิค จากนั้นไปกับเขาในช่วงฤดูร้อนเพื่อทำแผนที่หินในเวลส์ สองสัปดาห์ต่อมา หลังจากกลับจากทัวร์ธรณีวิทยาสั้นๆ ทางตอนเหนือของเวลส์ เขาพบจดหมายจากเฮนสโลว์ที่แนะนำให้ดาร์วินเป็นผู้ที่เหมาะสมในตำแหน่งนักธรรมชาติวิทยาที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนแก่กัปตันของบีเกิล โรเบิร์ต ฟิตซ์รอย ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะสำรวจชายฝั่ง จะเริ่มในอีกสี่สัปดาห์ อเมริกาใต้ ดาร์วินพร้อมที่จะรับข้อเสนอทันที แต่พ่อของเขาคัดค้านการผจญภัยแบบนี้ เพราะเขาเชื่อว่าการเดินทางสองปีนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการเสียเวลา แต่การแทรกแซงอย่างทันท่วงทีของลุงของเขา Josiah Wedgwood II (เกิด Josiah Wedgwood II) เกลี้ยกล่อมให้พ่อของเขาเห็นด้วย

การเดินทางของนักธรรมชาติวิทยาบนสายสืบ 2374-2379

ขณะที่บีเกิลกำลังสำรวจแนวชายฝั่งของอเมริกาใต้ ดาร์วินเริ่มตั้งทฤษฎีเกี่ยวกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่อยู่รอบตัวเขา

ในปี พ.ศ. 2374 หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ดาร์วินไปเป็นนักธรรมชาติวิทยา เที่ยวรอบโลกบนเรือสำรวจของกองทัพเรือ "บีเกิล" ซึ่งเขากลับไปอังกฤษในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2379 เท่านั้น การเดินทางกินเวลาเกือบห้าปี ดาร์วินใช้เวลาส่วนใหญ่บนชายฝั่ง ศึกษาธรณีวิทยาและสะสมคอลเล็กชันประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ขณะที่บีเกิลภายใต้การดูแลของฟิตซ์รอย ดำเนินการสำรวจชายฝั่งโดยใช้อุทกศาสตร์และการทำแผนที่ ระหว่างการเดินทาง เขาบันทึกข้อสังเกตและการคำนวณเชิงทฤษฎีอย่างระมัดระวัง ในบางครั้ง ทันทีที่โอกาสมาถึง ดาร์วินได้ส่งสำเนาบันทึกไปยังเคมบริดจ์พร้อมกับจดหมาย รวมถึงสำเนาบางส่วนของไดอารี่ของเขาให้กับญาติๆ ในระหว่างการเดินทาง เขาได้เขียนคำอธิบายเกี่ยวกับธรณีวิทยาของภูมิภาคต่างๆ จำนวนหนึ่ง รวบรวมคอลเล็กชันของสัตว์ต่างๆ และทำ คำอธิบายสั้น โครงสร้างภายนอกและกายวิภาคของสัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิด ในพื้นที่อื่น ๆ ที่ดาร์วินไม่รู้ เขาพิสูจน์แล้วว่าเป็นนักสะสมที่เชี่ยวชาญ โดยเก็บตัวอย่างเพื่อการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ แม้จะมีอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับอาการเมาเรืออยู่บ่อยครั้ง แต่ดาร์วินก็ยังคงทำการวิจัยบนเรือต่อไป บันทึกส่วนใหญ่เกี่ยวกับสัตววิทยาเกี่ยวกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล ซึ่งเขารวบรวมและบรรยายในช่วงเวลาที่ทะเลสงบ ระหว่างการหยุดพักครั้งแรกที่นอกชายฝั่งซานติอาโก ดาร์วินได้ค้นพบ ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ- หินภูเขาไฟที่มีเปลือกหอยและปะการังเผาภายใต้การกระทำของลาวาที่มีอุณหภูมิสูงจนกลายเป็นหินสีขาวที่เป็นของแข็ง Fitzroy มอบ "หลักการธรณีวิทยา" เล่มแรกโดย Charles Lyell ซึ่งผู้เขียนได้กำหนดแนวคิดของเอกภาพในการรักษาการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาในระยะเวลาอันยาวนาน และแม้กระทั่งการศึกษาครั้งแรกที่ดำเนินการโดยดาร์วินในเมืองซันติอาโกบนหมู่เกาะเคปเวิร์ด ก็แสดงให้เห็นความเหนือกว่าของวิธีการที่ไลล์นำมาใช้ ต่อจากนั้น ดาร์วินยอมรับและใช้แนวทางของ Lyell สำหรับการสร้างทางทฤษฎีและการสะท้อนเมื่อเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรณีวิทยา

การเดินทางของเรือ "บีเกิล"

ที่ Punta Alta ใน Patagonia เขาได้ค้นพบสิ่งสำคัญ ดาร์วินค้นพบฟอสซิลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดยักษ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ความสำคัญของการค้นพบนั้นเน้นย้ำจากข้อเท็จจริงที่ว่าซากของสัตว์ตัวนี้อยู่ในโขดหินใกล้กับเปลือกหอย สายพันธุ์ที่ทันสมัยหอยซึ่งบ่งบอกถึงการสูญพันธุ์โดยอ้อมเมื่อเร็ว ๆ นี้โดยไม่มีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภัยพิบัติ เขาระบุสิ่งที่พบว่าเป็นเมกาเธอเรียมที่คลุมเครือ มีกระดองเป็นกระดูก ซึ่งในความประทับใจแรกของเขา ดูเหมือนอาร์มาดิลโลพื้นเมืองขนาดมหึมา การค้นพบนี้สร้างความสนใจอย่างมากเมื่อไปถึงชายฝั่งของอังกฤษ ระหว่างการเดินทางกับคนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่ออธิบายธรณีวิทยาและคอลเล็กชันซากดึกดำบรรพ์ เขาได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแง่มุมทางสังคม การเมือง และมานุษยวิทยาของปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนพื้นเมืองและชาวอาณานิคมในช่วงที่มีการปฏิวัติ นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตว่านกกระจอกเทศทั้งสองสายพันธุ์มีช่วงต่างกันแต่ทับซ้อนกัน เมื่อเดินทางต่อไปทางใต้ เขาค้นพบที่ราบขั้นบันไดที่เรียงรายไปด้วยก้อนกรวดและเปลือกหอย เช่น ระเบียงทะเล ซึ่งสะท้อนถึงการยกตัวของแผ่นดิน เมื่ออ่าน Lyell เล่มที่สอง ดาร์วินยอมรับมุมมองของเขาเกี่ยวกับ "ศูนย์กลางของการสร้าง" ของสปีชีส์ แต่การค้นพบและการไตร่ตรองของเขาทำให้เขาตั้งคำถามกับแนวคิดของ Lyell เกี่ยวกับการคงอยู่และการสูญพันธุ์ของสปีชีส์

บนเรือมีชาว Fuegians สามคนซึ่งถูกพาตัวไปอังกฤษในการสำรวจครั้งสุดท้ายของ Beagle เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2373 พวกเขาใช้เวลาหนึ่งปีในอังกฤษและตอนนี้ถูกนำกลับมาที่ Tierra del Fuego ในฐานะมิชชันนารี ดาร์วินพบว่าคนเหล่านี้เป็นมิตรและมีอารยธรรม ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติของพวกเขาดูเหมือน "ป่าเถื่อนที่น่าสมเพชและเสื่อมทราม" เช่นเดียวกับสัตว์บ้านและสัตว์ป่าที่แตกต่างกัน สำหรับดาร์วิน ความแตกต่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความเหนือกว่าทางวัฒนธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่ความด้อยทางเชื้อชาติ ตอนนี้เขาคิดว่าไม่มีช่องว่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ซึ่งแตกต่างจากเพื่อนที่เรียนรู้ของเขา ภารกิจนี้ถูกยกเลิกในอีกหนึ่งปีต่อมา เจ้าหน้าที่ดับเพลิงชื่อจิมมี่ บัตตัน (อังกฤษ เจมมี่ บัตตัน) เริ่มใช้ชีวิตแบบเดียวกับชาวพื้นเมืองคนอื่นๆ เขามีภรรยาและไม่มีความปรารถนาที่จะกลับไปอังกฤษ

ในชิลี ดาร์วินได้เห็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และเห็นสัญญาณบ่งชี้ว่าพื้นดินเพิ่งยกตัวขึ้น ชั้นที่ยกขึ้นนี้รวมถึงหอยสองฝาที่อยู่เหนือน้ำขึ้นสูง บนเทือกเขาแอนดีส เขายังพบหอยและต้นไม้ฟอสซิลหลายชนิดที่มักเติบโตบนหาดทราย ภาพสะท้อนทางทฤษฎีของเขาทำให้เขาเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อแผ่นดินสูงขึ้น เปลือกหอยจะสูงอยู่บนภูเขา เมื่อก้นทะเลจมลง เกาะในมหาสมุทรจมอยู่ใต้น้ำ และในขณะเดียวกันแนวปะการังก็ก่อตัวขึ้นรอบเกาะจากแนวปะการังชายฝั่ง แล้วเกาะปะการัง

ในกาลาปากอส ดาร์วินสังเกตเห็นว่านกม็อกกิ้งเบิร์ดบางตัวแตกต่างจากนกในชิลีและอยู่คนละเกาะ เขายังได้ยินมาว่ากระดองเต่ามีรูปร่างแตกต่างกันไปเล็กน้อย ซึ่งบ่งชี้ถึงเกาะต้นกำเนิด

หนูจิงโจ้ที่มีกระเป๋าหน้าท้องและตุ่นปากเป็ดที่เขาเห็นในออสเตรเลียนั้นดูแปลกประหลาดจนทำให้ดาร์วินคิดว่าผู้สร้างอย่างน้อยสองคนกำลังทำงานพร้อมกันเพื่อสร้างโลกใบนี้ เขาพบว่าชาวอะบอริจินของออสเตรเลีย "อ่อนโยนและน่ารัก" และสังเกตว่าจำนวนของพวกเขาลดลงอย่างรวดเร็วภายใต้การโจมตีของการล่าอาณานิคมของยุโรป

บีเกิลสำรวจเกาะปะการังของหมู่เกาะโคโคสโดยมีจุดประสงค์เพื่ออธิบายกลไกการก่อตัวของพวกมัน ความสำเร็จของการศึกษานี้ขึ้นอยู่กับการสะท้อนทางทฤษฎีของดาร์วินเป็นส่วนใหญ่ Fitzroy ได้เริ่มเขียนเรื่องราวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเดินทางของ Beagle และหลังจากอ่านบันทึกประจำวันของ Darwin แล้ว เขาก็แนะนำให้รวมไว้ในรายงานด้วย

ระหว่างการเดินทาง ดาร์วินได้เยี่ยมชมเกาะเตเนริเฟ หมู่เกาะเคปเวิร์ด ชายฝั่งบราซิล อาร์เจนตินา อุรุกวัย เทียร์ราเดลฟวยโก แทสเมเนีย และหมู่เกาะโคโคส เขารายงานผลใน The Journal of a Naturalist (1839), Zoology of the Voyage on the Beagle (1840) และ The Structure and Distribution of Coral Reefs (The Structure and Distribution of Coral Reefs, 1842) และอื่นๆ หนึ่งในนั้น ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสนใจที่ดาร์วินอธิบายไว้ในวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์เป็นครั้งแรกคือผลึกน้ำแข็งรูปแบบพิเศษที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวของธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอนดีส

กัปตันโรเบิร์ต ฟิตซ์รอย และดาร์วิน

ก่อนออกเดินทางดาร์วินได้พบกับฟิตซ์รอย ต่อจากนั้น กัปตันนึกถึงการประชุมครั้งนี้และกล่าวว่าดาร์วินเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกปฏิเสธเพราะรูปทรงจมูกของเขา ด้วยความยึดมั่นในคำสอนของ Lavater เขาเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างลักษณะของบุคคลกับลักษณะที่ปรากฏของเขา ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าคนที่มีจมูกเช่น Darwin อาจมีพลังงานและความมุ่งมั่นเพียงพอ เพื่อให้การเดินทาง แม้จะมีความจริงที่ว่า "อารมณ์ของ Fitzroy นั้นน่ารังเกียจที่สุด" "เขามีลักษณะอันสูงส่งมากมาย: เขาซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา ใจกว้างมาก กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว มีพลังที่ไม่ย่อท้อและเป็นเพื่อนที่จริงใจกับทุกคนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา " ดาร์วินเองตั้งข้อสังเกตว่าทัศนคติของกัปตันที่มีต่อเขานั้นดีมาก "แต่มันยากที่จะเข้ากับชายคนนี้ด้วยความใกล้ชิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเราซึ่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาในห้องโดยสารของเขา หลายครั้งที่เราทะเลาะกันเพราะการระคายเคืองเขาสูญเสียความสามารถในการใช้เหตุผลโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม มีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพวกเขาบนพื้นฐานของ มุมมองทางการเมือง. ฟิตซ์รอยเคยเป็น อนุรักษ์นิยมอย่างแข็งขันซึ่งเป็นผู้ปกป้องความเป็นทาสของชาวนิโกร สนับสนุนนโยบายอาณานิคมแบบปฏิกิริยาของรัฐบาลอังกฤษ FitzRoy เป็นชายที่เคร่งศาสนามาก ตาบอดตามความเชื่อของโบสถ์ FitzRoy ไม่สามารถเข้าใจข้อสงสัยของ Darwin เกี่ยวกับการไม่เปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ ต่อมาเขาไม่พอใจดาร์วินที่ "จัดพิมพ์หนังสือที่ดูหมิ่น (เขากลายเป็นคนเคร่งศาสนามาก) ในชื่อ On the Origin of Species"

กิจกรรมวิทยาศาสตร์หลังกลับ

ในปี พ.ศ. 2381-2384 ดาร์วินเป็นเลขาธิการสมาคมธรณีวิทยาแห่งลอนดอน เขาแต่งงานกันในปี พ.ศ. 2382 และในปี พ.ศ. 2385 ทั้งคู่ย้ายจากลอนดอนไปยังดาวน์ (เคนต์) ซึ่งทั้งคู่เริ่มใช้ชีวิตอย่างถาวร ที่นี่ดาร์วินเป็นผู้นำชีวิตที่สันโดษและวัดผลได้ของนักวิทยาศาสตร์และนักเขียน

หลัก ผลงานทางวิทยาศาสตร์ดาร์วิน
งานแรกเริ่ม (ก่อน On the Origin of Species)

หลังจากกลับมาได้ไม่นาน ดาร์วินได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อย่อว่า The Naturalist's Voyage Around the World in the Beagle (1839) นับเป็นความสำเร็จอย่างยิ่ง และฉบับขยายครั้งที่สอง (พ.ศ. 2388) ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ ภาษายุโรปและพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง ดาร์วินยังมีส่วนร่วมในการเขียนเอกสารห้าเล่ม The Zoology of Travel (1842) ในฐานะนักสัตววิทยา ดาร์วินเลือกเพรียงเป็นเป้าหมายในการศึกษาของเขา และในไม่ช้าก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดในโลกในกลุ่มนี้ เขาเขียนและตีพิมพ์เอกสารสี่เล่มชื่อ Barnacles (เอกสารเกี่ยวกับ Cirripedia, 1851-1854) ซึ่งนักสัตววิทยายังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน

ประวัติการเขียนและการตีพิมพ์เรื่อง The Origin of Species

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2380 ดาร์วินเริ่มเขียนบันทึกประจำวันซึ่งเขาได้ป้อนข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงและพันธุ์พืช ตลอดจนข้อพิจารณาเกี่ยวกับการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2385 เขาเขียนเรียงความเรื่องแรกเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสายพันธุ์ เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2398 ดาร์วินติดต่อกับนักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน เอ. เกรย์ ซึ่งอีกสองปีต่อมาเขาได้นำเสนอแนวคิดของเขา ในปี พ.ศ. 2399 ภายใต้อิทธิพลของนักธรณีวิทยาและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ซี. ไลล์ ดาร์วินเริ่มเตรียมหนังสือฉบับขยายฉบับที่สาม ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2401 เมื่องานเสร็จสิ้นไปครึ่งหนึ่ง ฉันได้รับจดหมายจากนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เอ. อาร์. วอลเลซ พร้อมต้นฉบับของบทความชิ้นหลัง ในบทความนี้ ดาร์วินได้ค้นพบคำอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของเขาเอง นักธรรมชาติวิทยาทั้งสองได้พัฒนาทฤษฎีที่เหมือนกันอย่างอิสระและพร้อมกัน ทั้งสองได้รับอิทธิพลจากงานของ T. R. Malthus เกี่ยวกับจำนวนประชากร ทั้งคู่รับรู้ถึงมุมมองของ Lyell ทั้งคู่ศึกษาสัตว์ พืช และโครงสร้างทางธรณีวิทยาของกลุ่มเกาะ และพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ ดาร์วินส่งต้นฉบับของวอลเลซให้ไลล์พร้อมกับเรียงความของเขาเอง เช่นเดียวกับเค้าโครงของเวอร์ชันที่สองของเขา (พ.ศ. 2387) และสำเนาจดหมายถึงเอ. เกรย์ (พ.ศ. 2400) ไลล์หันไปขอคำแนะนำจากโจเซฟ ฮุกเกอร์ นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2402 พวกเขาร่วมกันนำเสนอผลงานทั้งสองชิ้นต่อสมาคมลินเนียนในลอนดอน ในปี พ.ศ. 2402 ดาร์วินตีพิมพ์เรื่อง On the Origin of Species โดยวิธีคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือ the Preservation of Favoured Races in the Struggle for Life ซึ่งเขาได้แสดงให้เห็นถึงความแปรปรวนของพันธุ์พืชและสัตว์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดตามธรรมชาติของพวกมันจากสายพันธุ์ก่อนหน้า

ผลงานต่อมา (ต่อจากเรื่อง On the Origin of Species)

ในปี พ.ศ. 2411 ดาร์วินตีพิมพ์ผลงานชิ้นที่สองของเขาเกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการ The Variation of Animals and Plants under Domestication ซึ่งรวมถึงตัวอย่างมากมายของวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ในปี พ.ศ. 2414 งานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของดาร์วินปรากฏขึ้น - The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex ซึ่งดาร์วินโต้เถียงกันในเรื่องต้นกำเนิดตามธรรมชาติของมนุษย์จากสัตว์ (บรรพบุรุษที่คล้ายลิง) ผลงานช่วงปลายที่โดดเด่นอื่นๆ ของดาร์วิน ได้แก่ The Fertilization of Orchids (1862); "การแสดงออกของอารมณ์ในมนุษย์และสัตว์" (The Expression of the Emotions in Man and Animals, 1872); "ผลของการผสมข้ามพันธุ์และการปฏิสนธิในตัวเองในอาณาจักรพืชผัก พ.ศ. 2419"

ดาร์วินกับศาสนา

การตายของแอนนี่ลูกสาวของดาร์วินในปี พ.ศ. 2394 เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้ดาร์วินที่สงสัยอยู่แล้วหันเหไปจากความคิดเรื่องพระเจ้าผู้ประเสริฐ

Charles Darwin มาจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด แม้ว่าสมาชิกในครอบครัวของเขาบางคนเป็นนักคิดอิสระที่ปฏิเสธจารีตประเพณีอย่างเปิดเผย ความเชื่อทางศาสนาในตอนแรกตัวเขาเองไม่ได้สงสัยความจริงตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ เขาไปโรงเรียนแองกลิคัน จากนั้นศึกษาเทววิทยาแองกลิคันที่เคมบริดจ์เพื่อเป็นศิษยาภิบาล และเชื่อมั่นอย่างเต็มที่จากข้อโต้แย้งทางเทเลวิทยาของวิลเลียม ปาเลย์ว่าการออกแบบอันชาญฉลาดที่เห็นในธรรมชาติพิสูจน์การมีอยู่ของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ศรัทธาของเขาเริ่มสั่นคลอนขณะเดินทางด้วยบีเกิล เขาตั้งคำถามต่อสิ่งที่เขาเห็น สงสัยว่าสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลลึกที่สวยงามซึ่งสร้างขึ้นในระดับความลึกที่ไม่มีใครสามารถเพลิดเพลินกับการมองเห็นได้ ตัวสั่นเมื่อเห็นตัวต่อเป็นอัมพาตตัวหนอนซึ่งน่าจะเป็นอาหารสำหรับตัวอ่อนของมัน . ใน ตัวอย่างสุดท้ายเขาเห็นความขัดแย้งอย่างชัดเจนกับความคิดของ Paley เกี่ยวกับระเบียบโลกที่ดี ขณะเดินทางด้วยสายสืบ ดาร์วินยังคงค่อนข้างดั้งเดิมและสามารถเรียกร้องอำนาจทางศีลธรรมของพระคัมภีร์ไบเบิลได้ แต่ค่อยๆ เริ่มมองว่าเรื่องราวการทรงสร้างดังที่นำเสนอในพันธสัญญาเดิมเป็นเรื่องเท็จและไม่น่าเชื่อถือ: “... มาถึง การตระหนักว่าพันธสัญญาเดิมที่มีประวัติเท็จอย่างเห็นได้ชัดของโลก โดยมีหอคอยบาเบล รุ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญา ฯลฯ ฯลฯ ... ไม่สมควรได้รับความไว้วางใจมากไปกว่าหนังสือศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดูหรือ ความเชื่อของคนป่าเถื่อนบางคน”

เมื่อเขากลับมา เขาเริ่มรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับความแปรปรวนของสายพันธุ์ เขารู้ว่าเพื่อนนักธรรมชาตินิยมทางศาสนาของเขามองว่ามุมมองดังกล่าวเป็นความคิดนอกรีต ซึ่งบั่นทอนคำอธิบายที่น่าอัศจรรย์ ระเบียบสังคมและรู้ว่าแนวคิดการปฏิวัติดังกล่าวจะไม่เอื้ออำนวยเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่ตำแหน่งของคริสตจักรแองกลิคันถูกโจมตีจากกลุ่มผู้เห็นต่างหัวรุนแรงและผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า ดาร์วินพัฒนาทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติอย่างลับๆ ดาร์วินถึงกับเขียนเกี่ยวกับศาสนาว่าเป็นกลยุทธ์การอยู่รอดของชนเผ่า โดยเชื่อในพระเจ้าในฐานะสิ่งมีชีวิตสูงสุดที่กำหนดกฎของโลกนี้ ศรัทธาของเขาค่อย ๆ อ่อนแอลงเมื่อเวลาผ่านไป และด้วยการตายของแอนนี่ ลูกสาวของเขาในปี 2394 ในที่สุดดาร์วินก็สูญเสียศรัทธาในศาสนาคริสต์ทั้งหมด เขายังคงสนับสนุนคริสตจักรท้องถิ่นและช่วยเหลือนักบวชในกิจการทั่วไป แต่ในวันอาทิตย์เมื่อทั้งครอบครัวไปโบสถ์ เขาไปเดินเล่น ต่อมา เมื่อถูกถามเกี่ยวกับมุมมองทางศาสนาของเขา ดาร์วินเขียนว่าเขาไม่เคยไม่เชื่อในพระเจ้า ในแง่ที่ว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้า และโดยทั่วไปแล้ว "จะเป็นการถูกต้องมากกว่าที่จะอธิบายสภาพจิตใจของฉันว่า ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า"

นอกเหนือจากนี้ ข้อความบางส่วนของดาร์วินอาจถือได้ว่าเป็นเทวนิยมหรืออเทวนิยม ดังนั้น The Origin of Species ฉบับที่หก (พ.ศ. 2415) จึงลงท้ายด้วยถ้อยคำในจิตวิญญาณของลัทธิเทวนิยม: “มีความยิ่งใหญ่ในมุมมองนี้ ตามที่ผู้สร้างเดิมหายใจชีวิตด้วยการสำแดงต่างๆ ของมันในรูปแบบเดียวหรือจำนวนจำกัด ; และในขณะที่โลกของเรายังคงหมุนไปตามกฎแรงโน้มถ่วงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จากจุดเริ่มต้นง่ายๆ ดังกล่าว รูปแบบที่สวยงามที่สุดและน่าทึ่งที่สุดจำนวนนับไม่ถ้วนได้พัฒนาและพัฒนาต่อไป ในเวลาเดียวกัน ดาร์วินตั้งข้อสังเกตว่าความคิดของผู้สร้างที่ชาญฉลาดเป็นต้นเหตุ "มีใจหนักแน่นกับฉันประมาณตอนที่ฉันเขียน The Origin of Species แต่จากเวลานั้นความสำคัญของมัน สำหรับฉันเริ่ม ช้ามากและไม่ลังเลมาก มากขึ้นเรื่อยๆ และอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ถ้อยแถลงของดาร์วินในจดหมายถึงฮุกเกอร์ (พ.ศ. 2411) ถือได้ว่าไม่มีพระเจ้า: "... ฉันไม่เห็นด้วยว่าบทความนี้ถูกต้อง ฉันพบว่ามันน่ากลัวที่จะบอกว่าศาสนาไม่ได้มุ่งต่อต้านวิทยาศาสตร์ ... แต่เมื่อฉันพูดว่า ว่ามันผิด ฉันไม่มั่นใจว่าจะไม่สมเหตุสมผลที่สุดที่คนในวงการวิทยาศาสตร์จะเพิกเฉยต่อศาสนาทั้งหมดหรือไม่? ในอัตชีวประวัติของเขา ดาร์วินเขียนว่า: “ด้วยวิธีนี้ ความไม่เชื่อค่อยๆ คืบคลานเข้ามาในจิตวิญญาณของฉัน และในที่สุดฉันก็กลายเป็นคนไม่เชื่อโดยสิ้นเชิง แต่มันเกิดขึ้นช้ามากจนฉันไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ และตั้งแต่นั้นมาไม่เคยแม้แต่วินาทีเดียวที่จะสงสัยในความถูกต้องของข้อสรุปของฉัน ที่จริงฉันแทบไม่เข้าใจว่าใคร ๆ ก็ต้องการให้หลักคำสอนของคริสเตียนเป็นจริง ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้อความที่ไม่ซับซ้อน [ของข่าวประเสริฐ] ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าคนที่ไม่เชื่อ - และในหมู่พวกเขาจะต้องมีพ่อของฉัน พี่ชายของฉัน และเพื่อนที่ดีที่สุดเกือบทั้งหมดของฉันด้วย - จะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์ การลงโทษ ลัทธิสุดอึ้ง!

ในชีวประวัติของดาร์วินปู่ของ Erasmus ชาร์ลส์กล่าวถึงข่าวลือเท็จว่า Erasmus ร้องหาพระเจ้าบนเตียงมรณะของเขา ชาร์ลส์สรุปเรื่องราวของเขาด้วยคำพูดที่ว่า “นั่นคือความรู้สึกของคริสเตียนในประเทศนี้ในปี 1802<…>อย่างน้อยเราก็หวังได้ว่าจะไม่มีอะไรแบบนี้อีกแล้ว” [ไม่ระบุแหล่งที่มา 334 วัน] แม้จะมีความปรารถนาดีเหล่านี้ แต่เรื่องราวที่คล้ายกันมากก็มาพร้อมกับการตายของชาร์ลส์เอง เรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ "เรื่องราวของเลดี้โฮป" นักเทศน์ชาวอังกฤษซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2458 ซึ่งอ้างว่าดาร์วินได้รับการเปลี่ยนศาสนาในช่วงเจ็บป่วยก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไม่นาน เรื่องราวดังกล่าวแพร่กระจายอย่างแข็งขันโดยกลุ่มศาสนาต่าง ๆ และในที่สุดก็ได้รับสถานะของตำนานเมือง แต่พวกเขาถูกหักล้างโดยลูกหลานของดาร์วินและนักประวัติศาสตร์ทิ้งว่าเป็นเท็จ

แต่งงาน, ลูก

วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2382 ชาลส์ ดาร์วินแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา เอ็มมา เวดจ์วูด พิธีแต่งงานจัดขึ้นตามประเพณีของคริสตจักรแองกลิกันและตามประเพณีหัวแข็ง ในตอนแรกทั้งคู่อาศัยอยู่ที่ Gower Street ในลอนดอน จากนั้นในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2385 ทั้งคู่ก็ย้ายไปที่ Down (Kent) ครอบครัวดาร์วินมีลูกสิบคน สามคนเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกและหลานหลายคนประสบความสำเร็จอย่างมาก
วิลเลียม อีราสมุส ดาร์วิน (27 ธันวาคม พ.ศ. 2382-2457)
แอนน์ เอลิซาเบธ ดาร์วิน (2 มีนาคม 2384-22 เมษายน 2394)
แมรี เอเลนอร์ ดาร์วิน (23 กันยายน พ.ศ. 2385-16 ตุลาคม พ.ศ. 2385)
Henrietta Emma "Etty" Desty (25 กันยายน 2386-2472)
จอร์จ โฮเวิร์ด ดาร์วิน จอร์จ โฮเวิร์ด ดาร์วิน (9 กรกฎาคม พ.ศ. 2388-7 ธันวาคม พ.ศ. 2455)
เอลิซาเบธ "เบสซี่" ดาร์วิน (8 กรกฎาคม 2390-2469)
ฟรานซิส ดาร์วิน (16 สิงหาคม พ.ศ. 2391-19 กันยายน พ.ศ. 2468)
ลีโอนาร์ด ดาร์วิน (15 มกราคม พ.ศ. 2393-26 มีนาคม พ.ศ. 2486)
ฮอเรซ ดาร์วิน (13 พฤษภาคม 2394-29 กันยายน 2471)
ชาลส์ วาริง ดาร์วิน (6 ธันวาคม พ.ศ. 2399-28 มิถุนายน พ.ศ. 2401)

เด็กบางคนป่วยหรืออ่อนแอและชาร์ลส์ดาร์วินกลัวว่าเหตุผลนี้เป็นเครือญาติกับเอ็มมาซึ่งสะท้อนให้เห็นในงานของเขาเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของลูกหลานจากการผสมพันธุ์และประโยชน์ของไม้กางเขนที่อยู่ห่างไกล

รางวัลและความแตกต่าง

ดาร์วินได้รับรางวัลมากมายจากสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งบริเตนใหญ่และประเทศอื่นๆ ประเทศในยุโรป. ดาร์วินเสียชีวิตที่เมือง Downe รัฐ Kent เมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2425

แนวคิดที่เกี่ยวข้องกับชื่อของดาร์วิน แต่เขาไม่มีมือ

• ลัทธิดาร์วินทางสังคม
• รางวัลดาร์วิน

คำคมโดย Charles Darwin

• "ไม่มีอะไรโดดเด่นมากไปกว่าการแพร่กระจายของการนอกใจศาสนาหรือการใช้เหตุผลในช่วงครึ่งหลังของชีวิตของฉัน"
• "ไม่มีหลักฐานว่าเดิมทีมนุษย์ได้รับความเชื่ออันสูงส่งในการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ"
• “ยิ่งเรารู้กฎธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้มากเท่าไหร่ ปาฏิหาริย์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นสำหรับเรา”
• “มีความยิ่งใหญ่ในมุมมองชีวิตนี้ด้วยพลังต่างๆ ซึ่งแต่เดิมผู้สร้างลงทุนในรูปแบบเดียวหรือจำนวนเล็กน้อย ...; จากจุดเริ่มต้นธรรมดาๆ เช่นนี้ เกิดเป็นรูปร่างต่างๆ นับไม่ถ้วน เกิดขึ้นและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สมบูรณ์แบบและสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์

ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ

นักบวชของคริสตจักรออร์โธดอกซ์รัสเซียพบกับความเกลียดชังในคำสอนของชาร์ลส์ ดาร์วิน เนื่องจากพวกเขาถือว่าคำสอนเหล่านี้บ่อนทำลายรากฐานของศาสนา ผลงานของดาร์วินถูกข่มเหงและถูกทำลาย นักบวชที่ต่อต้านคำสอนของดาร์วิน ต่อต้านลัทธิดาร์วินในคำเทศนา เผยแพร่บทความในนิตยสาร หนังสือ เรียกคำสอนของดาร์วินว่า "ดูหมิ่นศาสนา" และพยายามพิสูจน์ว่า "ผิดหลักวิทยาศาสตร์" โดยกล่าวหาว่าดาร์วินทำลายศีลธรรม ในโรงเรียนตำบล ครูนักบวชได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็ก ๆ ว่าทฤษฎีของดาร์วินเป็นเรื่องนอกรีต เนื่องจากมันขัดแย้งกับพระคัมภีร์ไบเบิล และตัวดาร์วินเองเป็นผู้นอกรีตที่กบฏต่อพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์

ในปี 1872 ในรัสเซีย Mikhail Longinov หัวหน้าแผนกข่าวพยายามห้ามการตีพิมพ์ผลงานของ Charles Darwin ในการตอบสนองต่อสิ่งนี้ กวีอเล็กซี่ คอนสแตนติโนวิช ตอลสตอย ได้เขียนถ้อยคำเหน็บแนมว่า "Message to M. N. Longinov on Darwinism" ใน "ข้อความ ... " มีบรรทัดต่อไปนี้:

... ทำไมไม่เล็กน้อย
เราถูกนำเข้ามาหรือไม่?
หรือคุณไม่ต้องการพระเจ้า
คุณกำลังกำหนดเคล็ดลับ?

วิธีที่ผู้สร้างสร้างขึ้น
เขาคิดว่าอะไรเหมาะสมกว่า -
ประธานไม่สามารถทราบได้
คณะกรรมการสื่อมวลชน

จำกัดอย่างกล้าหาญ
ฤทธานุภาพของพระเจ้า
ท้ายที่สุดแล้ว Misha ก็คือสิ่งนี้
กลิ่นเหมือนบาป...

• ในเรื่อง The Origin of Species ของ Victor Pelevin นั้น Charles Darwin รับบทเป็นตัวละครหลัก
• ในปี 2009 ชีวประวัติของ Charles Darwin "The Origin" โดยผู้กำกับชาวอังกฤษ John Emiel ได้รับการปล่อยตัว
• จากการสำรวจในปี 2545 โดยสถานีโทรทัศน์ BBC เขาอยู่ในอันดับที่สี่ในรายชื่อชาวอังกฤษที่ยิ่งใหญ่ที่สุดร้อยคนในประวัติศาสตร์

ดาวน์โหลดชีวประวัติของ Charles Darwin (DOC, RTF, WinRAR)

ชาร์ลส์ โรเบิร์ต ดาร์วินเป็นหลานชายของนักปรัชญาธรรมชาติ แพทย์ และกวีชาวอังกฤษ อีราสมุส ดาร์วิน ผู้เขียนผลงานทรานส์ฟอร์มนิสต์ Zoonomy หรือกฎแห่งชีวิตออร์แกนิก (1794-1796) และวิหารแห่งธรรมชาติหรือต้นกำเนิดของสังคม ซี. ดาร์วินเกิดในปี พ.ศ. 2352 ในเมืองชรูว์สเบอรี เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนคลาสสิก เข้าเรียนคณะแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเอดินบะระ และอีก 2 ปีต่อมาก็ย้ายไปที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ซึ่งเขาศึกษาเทววิทยาและได้รับปริญญาตรี เขาสร้างรายงานทางวิทยาศาสตร์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2369-2370 ในสังคมพลินี เขาได้รับการศึกษาด้านธรรมชาติวิทยาภายใต้คำแนะนำของนักพฤกษศาสตร์ เจ. ฮักซ์โล และนักธรณีวิทยา เอ. เซดจ์วิค

ในปี พ.ศ. 2374–2379 ซี ดาร์วินเดินทางรอบโลกบนเรือ "บีเกิล" ในฐานะนักธรรมชาติวิทยา รวบรวมคอลเล็กชันสัตววิทยา บรรพชีวินวิทยา พฤกษศาสตร์ และธรณีวิทยาที่ร่ำรวยที่สุด

ในปี พ.ศ. 2379 หลังจากกลับจากการเดินทาง เขาออกจากลอนดอนเนื่องจากอาการป่วย และในปี พ.ศ. 2385 ย้ายไปอยู่ที่ชานเมืองดาวน์ ซึ่งเขาอาศัยอยู่ในปีต่อ ๆ มา ในปี พ.ศ. 2382 ซี. ดาร์วินได้ตีพิมพ์ Diary of Research อันโด่งดังของเขา ซึ่งเขาได้บรรยายถึงสัตว์ในอเมริกาใต้และสัตว์บนเกาะหลายชนิดเป็นครั้งแรก หนังสือเล่มนี้ยังกล่าวถึงคำถามเกี่ยวกับธรณีวิทยาและปัญหาชีวิตทางสังคมและการเมืองของชาวอินเดียนแดงและชาวนิโกรในอเมริกาใต้ พัฒนาทฤษฎีกำเนิดแนวปะการัง

ในปี พ.ศ. 2385 ดาร์วินได้สร้างร่างแรกของ The Origin of Species ซึ่งเขาได้วางรากฐานสำหรับทฤษฎีวิวัฒนาการในอนาคต และในปี พ.ศ. 2387 เขาได้พัฒนาบทความนี้เป็นต้นฉบับที่สำคัญ แต่จะใช้เวลาอีก 15 ปีจนกว่า Charles Darwin จะตีพิมพ์ รุ่นสุดท้ายหนังสือที่มีชื่อเสียงของเขา - "กำเนิดของสายพันธุ์โดยวิธีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ" (2402)

ในปี พ.ศ. 2411 ซี. ดาร์วินได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นสำคัญชิ้นที่สอง - "การเปลี่ยนแปลงในสัตว์เลี้ยงและพืชที่ปลูก" ซึ่งเขาได้กล่าวถึง วัสดุเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุนแนวคิดวิวัฒนาการ งานนี้วางรากฐานทางทฤษฎีของการเลือก

ในปี พ.ศ. 2414 งานพื้นฐานชิ้นที่สามของดาร์วินคือ The Origin of Man and Sexual Selection ได้รับการตีพิมพ์ C. ดาร์วินเป็นสมาชิกต่างประเทศของเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2419), เบอร์ลิน (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2421), ปารีส (ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2421) สถาบันวิทยาศาสตร์, สมาชิกกิตติมศักดิ์ของสมาคมวิทยาศาสตร์หลายแห่ง, แพทย์กิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ในปี พ.ศ. 2407 เขาได้รับเหรียญรางวัล G. Copley จาก Royal Society of London

นักวิทยาศาสตร์เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2425 และถูกฝังในเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ ซึ่งเป็นสถานที่ฝังศพของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่หลายคนในอังกฤษ ถัดจากหลุมฝังศพของนิวตัน

2. บทบัญญัติหลักของคำสอนวิวัฒนาการของ Ch. Darwin

เพื่อให้แนวคิดเกี่ยวกับคุณสมบัติหลักของสิ่งมีชีวิต - ความแปรปรวนและการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ตัวอย่างเช่น พิจารณาลูกแมวหรือลูกสุนัขจากครอกเดียวกัน ความแปรปรวนเป็นที่ประจักษ์ในความจริงที่ว่าลูกของสัตว์แต่ละคู่นั้นมีคุณสมบัติบางอย่างของโครงสร้างที่แตกต่างกันทั้งจากพ่อแม่และจากกันและกัน อธิบายแนวคิดเรื่องกรรมพันธุ์และการคัดเลือกโดยธรรมชาติ

กรรมพันธุ์คือความสามารถของพ่อแม่ในการถ่ายทอดลักษณะทั่วไปไปสู่ลูกหลาน การคัดเลือกโดยธรรมชาติ- นี่คือการอยู่รอดของสัตว์ที่ดีกว่าสัตว์อื่น ๆ ที่ปรับให้เข้ากับสภาพการดำรงอยู่ในป่ามี (เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์อื่น ๆ ) ข้อดีบางประการของโครงสร้างหรือพฤติกรรม สภาพความเป็นอยู่ของสัตว์เป็นปัจจัยคัดเลือก

ปรากฏการณ์ ความแปรปรวนรู้จักกันมานานแล้ว เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าความสามารถของสิ่งมีชีวิตในการเพิ่มจำนวนแบบทวีคูณ ชาร์ลส์ ดาร์วินเป็นผู้ที่เปรียบเทียบปรากฏการณ์ทั้งสองนี้ในธรรมชาติ และได้ข้อสรุปที่ยอดเยี่ยมซึ่งดูเหมือนง่ายสำหรับเราในตอนนี้: ในกระบวนการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ มีเพียงสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นเท่านั้นที่อยู่รอดซึ่งมีคุณลักษณะบางอย่างที่แตกต่างกันซึ่งมีประโยชน์ในเงื่อนไขที่กำหนด ดังนั้น ความน่าจะเป็นของการอยู่รอดของแต่ละบุคคลจึงไม่เท่ากัน: บุคคลที่มีความได้เปรียบอย่างน้อยเล็กน้อยเหนือส่วนที่เหลือมีแนวโน้มที่จะอยู่รอดและทิ้งลูกหลานไว้

Ch. Darwin เรียกว่ากระบวนการอนุรักษ์การคัดเลือกโดยธรรมชาติที่เหมาะสมที่สุด

วัสดุสำหรับการคัดเลือกโดยธรรมชาติและประดิษฐ์เป็นการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมเล็กน้อยที่สะสมจากรุ่นสู่รุ่น การคัดเลือกโดยธรรมชาติดำเนินไปโดยไม่หยุดชะงักเป็นเวลาหลายศตวรรษ และนำไปสู่การก่อตัวของรูปแบบที่ปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีที่สุด

Charles Robert Darwin (1809-1882) - นักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษผู้สร้าง Darwinism สมาชิกต่างประเทศของ St. Petersburg Academy of Sciences (1867) ในงานหลักของเขาเรื่อง The Origin of Species by Below of Natural Selection (1859) สรุปผลการสังเกตของเขาเอง (Swimming on the Beagle, 1831-36) และความสำเร็จของชีววิทยาร่วมสมัยและการเพาะพันธุ์ เขาได้เปิดเผยปัจจัยหลัก ในวิวัฒนาการของโลกอินทรีย์ ในงาน "การเปลี่ยนแปลงของสัตว์เลี้ยงและพืชที่ปลูก" (ฉบับที่ 1-2, 2411) ชาร์ลส์ดาร์วินได้นำเสนอเนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริงเพิ่มเติมในงานหลัก ในหนังสือ "กำเนิดของมนุษย์และการเลือกเพศ" (พ.ศ. 2414) ยืนยันสมมติฐานกำเนิดของมนุษย์จากบรรพบุรุษที่มีลักษณะคล้ายลิง ทำงานเกี่ยวกับธรณีวิทยา พฤกษศาสตร์ และสัตววิทยา

ไม่มีอะไรเหลือทนกว่าความเกียจคร้าน

ดาร์วิน ชาร์ลส์

Charles Darwin เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352 เมืองชรูว์สเบอรี ประเทศอังกฤษ เสียชีวิต 19 เมษายน 2425 ลง ใกล้ลอนดอน; ถูกฝังไว้ใน Westminster Abbey

อารามที่ใหญ่ที่สุดและร่ำรวยที่สุดซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินสำคัญ มักมีบทบาทสำคัญทางศาสนา การเมือง และเศรษฐกิจในระบบศักดินาของยุโรปตะวันตก (สำนักสงฆ์ Cluny, Saint-Denis, Port-Royal, St. Gallen, Fulda, Montecassino ฯลฯ) .

ในช่วงการปฏิรูปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการปฏิวัติของชนชั้นนายทุน ความสำคัญในอดีตของสำนักสงฆ์ในชีวิตสาธารณะของประเทศในยุโรปถูกทำลายลง เจ้าอาวาสหลายคนถูกกำจัดแต่บางองค์ยังคงอยู่ในปัจจุบัน ราศี - ราศีกุมภ์

อย่าเข้าสู่มิตรภาพกับบุคคลที่คุณไม่สามารถเคารพได้

ดาร์วิน ชาร์ลส์

วัยเด็ก การศึกษา และครอบครัวของดาร์วิน

ชาร์ลส์เป็นบุตรชายของโรเบิร์ต ดาร์วิน ซึ่งประสบความสำเร็จในการเป็นแพทย์ในเมืองชรูว์สเบอรี แม่ - Suzanne Wedgwood - มาจากครอบครัวที่ร่ำรวยของเจ้าของโรงงานเครื่องลายครามที่มีชื่อเสียง ครอบครัวดาร์วินเชื่อมโยงกับตระกูลเวดจ์วูดมาหลายชั่วอายุคน ดาร์วินเองก็แต่งงานกับเอ็มมา เวดจ์วูด ลูกพี่ลูกน้องของเขา ปู่ของดาร์วิน - Erasmus Darwin - เป็นแพทย์ นักธรรมชาติวิทยา และกวีที่มีชื่อเสียง โดยทั่วไปแล้วตัวแทนของครอบครัวดาร์วินมีลักษณะทางปัญญาสูงและมีความสนใจทางวัฒนธรรมในวงกว้าง

หลังจากแม่ของเขาเสียชีวิตอย่างกะทันหันในปี 1817 ชาร์ลส์ ดาร์วินได้รับการเลี้ยงดูจากแคโรไลน์พี่สาวของเขา ในปีเดียวกัน ชาร์ลส์เริ่มไปเยี่ยมโรงเรียนในเมืองชรูว์สเบอรี เขาไม่ได้เปล่งประกายด้วยความสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้พัฒนารสชาติของประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการสะสมของสะสม

ในปี พ.ศ. 2361 ชาร์ลส์ ดาร์วินเข้าเรียนที่ชรูว์สเบอรีใน "โรงเรียนใหญ่" ที่มีหอพัก ซึ่งเป็น "ที่ว่าง" สำหรับเขา จากปี 1825-1827 ดาร์วินเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเอดินบะระ และจากปี 1827-31 เทววิทยาที่เคมบริดจ์ ในปี 1831-36 ตามคำแนะนำของนักพฤกษศาสตร์ J. Henslow และครอบครัว Wedgwood ดาร์วินได้งานเป็นนักธรรมชาติวิทยาบนเรือ Beagle และเดินทางรอบโลก จากการเดินทาง เขากลับมาในฐานะคนของ ศาสตร์.

การพูดถึงชื่อเสียง เกียรติยศ ความสุข และความมั่งคั่งเป็นเรื่องสกปรกเมื่อเทียบกับความรัก

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ในปี 1839 Charles Darwin แต่งงานและครอบครัวหนุ่มสาวตั้งรกรากในลอนดอน ตั้งแต่ปี 1842 ครอบครัวนี้อาศัยอยู่อย่างถาวรในดาวน์ สถานที่ที่สวยงามสะดวกสำหรับการทำงานและการพักผ่อนที่มีสมาธิ ดาร์วินและภรรยามีลูกด้วยกัน 10 คน โดยสามคนเสียชีวิตในวัยเด็ก

ธรณีวิทยาของดาร์วิน

วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2374 บีเกิลออกเดินทาง ดาร์วินสามารถนำ "หลักการธรณีวิทยา" เล่มที่ 1 ที่เพิ่งตีพิมพ์โดยชาร์ลส์ ไลล์ไปด้วย หนังสือเล่มนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างมุมมองทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยรุ่นเยาว์ ก่อนการตีพิมพ์หนังสือของ Lyell ธรณีวิทยาถูกครอบงำโดยทฤษฎีภัยพิบัติ Lyell แสดงให้เห็นว่ากองกำลังทางธรณีวิทยาที่ทำงานในอดีตยังคงทำงานอยู่ในปัจจุบัน ดาร์วินนำคำสอนของไลล์ไปใช้อย่างได้ผลโดยสัมพันธ์กับวัตถุที่เขาพบบนเส้นทางสายสืบ มันเป็นเกาะ Sant'Iago การศึกษาของเขาเป็นเนื้อหาสำหรับการสรุปภาพรวมที่สำคัญครั้งแรกของดาร์วินเกี่ยวกับธรรมชาติของหมู่เกาะในมหาสมุทร ดาร์วินแสดงให้เห็นว่าทั้งภูเขาไฟในทวีปและในเกาะมีความเกี่ยวข้องกับรอยเลื่อนขนาดใหญ่ เปลือกโลกโดยมีรอยแตกเกิดขึ้นระหว่างการยกตัวของเทือกเขาและทวีป

คนที่กล้าเสียเวลาหนึ่งชั่วโมงโดยที่ยังไม่เห็นคุณค่าของชีวิต

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ข้อสรุปประการที่สองของดาร์วินหมายถึงปัญหาของการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ในช่วงระยะเวลาทางธรณีวิทยาที่มีระยะเวลามหาศาล ทวีปอเมริกาใต้ประสบกับภาวะขึ้นๆ ลงๆ ซ้ำๆ ซึ่งสลับกับช่วงสงบ ชาร์ลส์ ดาร์วินวาดภาพต้นกำเนิดของที่ราบปาตาโกเนียนและสภาพดินฟ้าอากาศที่ค่อยเป็นค่อยไป (การปฏิเสธ) ของเทือกเขาคอร์ดิลเลรา

งานทางธรณีวิทยาที่เป็นต้นฉบับที่สุดของดาร์วินคือทฤษฎีกำเนิดของอะทอลล์หรือเกาะปะการังที่ล้อมรอบ ทฤษฎีทางชีวภาพของดาร์วินมีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่าแนวปะการังชายฝั่งถูกสร้างขึ้นโดยปะการังบนชายฝั่งของแผ่นดินใหญ่หรือเกาะที่กำลังประสบกับการทรุดตัว ชั้นปะการังซึ่งจมลงไปลึกกว่า 50 เมตรตายลงและเหลือเพียงโครงสร้างที่เป็นปูน

ความสามารถในการหน้าแดงเป็นลักษณะเฉพาะและเป็นมนุษย์มากที่สุดในบรรดาคุณสมบัติทั้งหมดของมนุษย์

ดาร์วิน ชาร์ลส์

การวิจัยบรรพชีวินวิทยาและสัตววิทยา

งานวิจัยของ Charles Darwin ในพื้นที่เหล่านี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง โดยไม่คำนึงถึงทฤษฎีวิวัฒนาการของเขา ในแหล่งแร่ควอเทอร์นารีของทุ่งหญ้าในอเมริกาใต้ ดาร์วินได้ค้นพบสัตว์กินเนื้อขนาดยักษ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วกลุ่มใหญ่ R. Owen นักกายวิภาคศาสตร์และนักบรรพชีวินวิทยาได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสัตว์มหึมาเหล่านี้ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอาร์มาดิลโลแคระและสลอธ นอกจากนี้เขายังพบซากดึกดำบรรพ์ของสัตว์กีบเท้าขนาดใหญ่ - Toxodon ซึ่งมีฟันคล้ายฟันของสัตว์ฟันแทะ สัตว์คล้ายอูฐยักษ์ - Macrouchenia โครงสร้างร่างกายใกล้เคียงกับลามะและกวานาโค ฟันของม้าที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และรูปแบบอื่นๆ อีกมากมาย . ดาร์วินค้นพบนกกระจอกเทศตัวเล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่า "นกกระจอกเทศของดาร์วิน" ซึ่งอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของปาตาโกเนีย เขาสังเกตผู้รุกรานจากอเมริกาเหนือและอเมริกากลาง (หมีแว่น หมาป่าแผงคอ กวางทุ่งหญ้า หนูแฮมสเตอร์ และอื่นๆ) วัสดุเหล่านี้ไม่สามารถนำดาร์วินไปสู่แนวคิดที่ว่าทวีปอเมริกาใต้ถูกแยกออกจากกันเป็นเวลานาน อเมริกาเหนือและการแยกตัวนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อกระบวนการวิวัฒนาการในตัวแทนต่าง ๆ ของสัตว์ในอเมริกาใต้

ความเห็นอกเห็นใจสำหรับความสุขของผู้อื่นเป็นของขวัญที่หายากกว่าความเห็นอกเห็นใจสำหรับความทุกข์ของผู้อื่น

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ในกาลาปาโกส ชาร์ลส์ ดาร์วินสามารถสังเกตความแตกต่างที่โดดเด่นของทั้งเต่ายักษ์และนกฟินช์ที่เขาศึกษาอย่างถี่ถ้วน และต่อมาเรียกว่านกฟินช์ของดาร์วิน ในปี พ.ศ. 2389 ดาร์วินเขียนเอกสารเกี่ยวกับธรณีวิทยาฉบับสุดท้ายเสร็จและวางแผนที่จะจัดการกับคำถามเกี่ยวกับวิวัฒนาการ เขาต้องการอุทิศเวลาหลายเดือนในการศึกษาเพรียง แต่งานนี้ลากยาวไปจนถึงปี 1854 เขาสร้างงานพื้นฐานเกี่ยวกับระบบของรูปแบบที่ทันสมัยและสูญพันธุ์ของสัตว์กลุ่มนี้

การศึกษาวิวัฒนาการของดาร์วิน

หลังจากการเดินทาง ชาร์ลส์ ดาร์วินเริ่มบันทึกวิวัฒนาการอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2380 ถึง พ.ศ. 2382 เขาได้สร้างสมุดบันทึกขึ้นชุดหนึ่งซึ่งเขาได้ร่างความคิดเกี่ยวกับวิวัฒนาการในรูปแบบสั้น ๆ และไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ในปี พ.ศ. 2385 และ พ.ศ. 2387 เขาสรุปเป็นสองขั้นตอนร่างและเรียงความเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสายพันธุ์ งานเหล่านี้มีแนวคิดมากมายที่เขาตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2402

ในความเห็นของฉัน การบรรยายไม่มีข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับการอ่าน แต่ด้อยกว่าในหลายๆ ด้าน,

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ในปี พ.ศ. 2397-2398 ชาร์ลส์ ดาร์วินเริ่มทำงานอย่างใกล้ชิดในบทความเกี่ยวกับวิวัฒนาการ โดยรวบรวมเนื้อหาเกี่ยวกับความแปรปรวน กรรมพันธุ์ และวิวัฒนาการของสัตว์ป่าและพืชพันธุ์ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเพาะพันธุ์สัตว์เลี้ยงและพืชที่ปลูก เปรียบเทียบผลลัพธ์ของเทียมและธรรมชาติ การเลือก เขาเริ่มเขียนงานโดยมีปริมาณประมาณ 3-4 เล่ม ในฤดูร้อนปี 1858 เขาได้เขียนผลงานนี้สิบบท งานนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์และได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกในสหราชอาณาจักรในปี 2518 การหยุดทำงานเกิดจากการได้รับต้นฉบับโดย A. Wallace ซึ่งโดยไม่ขึ้นกับดาร์วิน รากฐานของทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติได้รับการสรุป ดาร์วินเริ่มเขียนข้อความสั้น ๆ และด้วยความเร่งรีบผิดปกติทำให้งานเสร็จภายใน 8 เดือน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2402 มีการเผยแพร่ "กำเนิดของสายพันธุ์โดยวิธีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือการอนุรักษ์พันธุ์ที่โปรดปรานในการต่อสู้เพื่อชีวิต"

ข้อดีทางประวัติศาสตร์ของดาร์วินอยู่ที่ความจริงที่ว่าเขาร่วมกับวอลเลซได้ค้นพบปัจจัยขับเคลื่อนของวิวัฒนาการ - การคัดเลือกโดยธรรมชาติ และด้วยเหตุนี้จึงเปิดเผยสาเหตุของวิวัฒนาการทางชีววิทยา

ตอนเป็นเด็ก ฉันมักจะแต่งเรื่องไร้สาระโดยเจตนาเพียงเพื่อปลุกเร้าความประหลาดใจของผู้อื่นเท่านั้น

ดาร์วิน ชาร์ลส์

กิเลสตัณหาโหมกระหน่ำไปทั่วโลก มีการต่อสู้เพื่อดาร์วิน ในแง่หนึ่งเพื่อลัทธิดาร์วิน อีกด้านหนึ่งต่อต้านลัทธิดาร์วิน นักวิทยาศาสตร์และนักประชาสัมพันธ์กังวล บางคนตราหน้าดาร์วิน คนอื่นๆ ชื่นชมเขา และชาร์ลส์ ดาร์วินยังคงทำงานที่ Down ของเขา

ซี. ดาร์วินเขียนหนังสือเกี่ยวกับวิวัฒนาการอีกสามเล่ม ในปี พ.ศ. 2411 มีการเผยแพร่ผลงานที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับทฤษฎีการคัดเลือกเทียม "การเปลี่ยนแปลงในสัตว์เลี้ยงและพืชที่ปลูก" ในหนังสือเล่มนี้ ดาร์วินได้ถามตัวเองว่าการเบี่ยงเบนที่ดีในลูกหลานสามารถแก้ไขได้อย่างไร และเสนอ "สมมติฐานชั่วคราวของ pangenesis" ในหนังสือเล่มนี้ สมมติฐานสันนิษฐานว่าการถ่ายโอนคุณสมบัติที่ได้รับจากอวัยวะของร่างกายไปยังเซลล์สืบพันธุ์ด้วยความช่วยเหลือของอนุภาคสมมุติฐาน - "gemmules" และเป็นการยกย่องลัทธิลามาร์ก ดาร์วินและคนรุ่นราวคราวเดียวกันไม่รู้ว่าในปี 1865 Gregor Mendel เจ้าอาวาสนักธรรมชาติวิทยาชาวออสเตรีย-เช็กได้ค้นพบกฎแห่งกรรมพันธุ์ ไม่จำเป็นต้องสร้างสมมติฐาน pangenesis อย่างกว้างขวางอีกต่อไป

ในปี พ.ศ. 2414 เมื่อลัทธิดาร์วินได้รับการยอมรับว่าเป็นแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแล้ว หนังสือของชาร์ลส์ ดาร์วินเรื่อง The Origin of Man and Sexual Selection ได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งไม่เพียงแสดงให้เห็นความคล้ายคลึงกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับไพรเมตด้วย ดาร์วินแย้งว่าบรรพบุรุษของมนุษย์สามารถพบได้ในการจัดหมวดหมู่สมัยใหม่ ในรูปแบบที่อาจต่ำกว่าลิงใหญ่เสียด้วยซ้ำ มนุษย์และลิงต้องผ่านกระบวนการทางจิตวิทยาและสรีรวิทยาที่คล้ายคลึงกันในการเกี้ยวพาราสี การสืบพันธุ์ การเจริญพันธุ์ และการดูแลลูกหลาน การแปลหนังสือเล่มนี้เป็นภาษารัสเซียปรากฏในปีเดียวกัน ในปีต่อมาหนังสือ Expression of the Emotions in Man and Animals ของดาร์วินได้รับการตีพิมพ์ ซึ่งจากการศึกษากล้ามเนื้อใบหน้าและวิธีการแสดงออกของอารมณ์ในมนุษย์และสัตว์ ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้รับการพิสูจน์ด้วยตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่ง

ยิ่งเรารู้กฎธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้มากเท่าไหร่ ปาฏิหาริย์ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้นสำหรับเรา

ดาร์วิน ชาร์ลส์

พฤกษศาสตร์และสรีรวิทยาของพืช

การศึกษาทางพฤกษศาสตร์และสรีรวิทยาทั้งหมดของดาร์วินมีเป้าหมายเพื่อค้นหาหลักฐานของแหล่งกำเนิดตามธรรมชาติของการปรับตัวภายใต้อิทธิพลของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เขาพบว่าต้นไม้มักมีดอกเพศเดียวกัน และการผสมเกสรข้ามพันธุ์จะนำไปสู่การเพิ่มความแข็งแรงของลูกผสม (เฮเทอโรซิส) บทบาทของการผสมเกสรข้ามและวิวัฒนาการของสายพันธุ์ (พืช - แมลง) ได้รับการศึกษาโดยละเอียดในกล้วยไม้

ชาลส์ ดาร์วินพัฒนาแนวคิดเรื่องความสามารถในการปีนเขาโดยเป็นการปรับตัวโดยให้พืชเข้าถึงแสงได้อย่างประหยัด การปรับตัวดังกล่าวได้มาจากการปีนต้นไม้ในระหว่างการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ ดาร์วินติดตามการไล่ระดับสี (การเปลี่ยนผ่าน) ระหว่างการปรับตัวต่างๆ ของพืชให้เข้ากับวิถีชีวิตการปีนเขา และระบุว่ากลุ่มที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบรรดาพืชปีนเขาคือเถาวัลย์

ในที่สุด ในปี 1881 หนึ่งปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต Charles Darwin ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของไส้เดือนในการก่อตัวของดิน

คนอ่อนแอและอ่อนแอเท่านั้นที่ตาย สุขภาพที่ดีและแข็งแรงมักจะชนะในการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ธรรมชาติของสารานุกรมของดาร์วิน, อำนาจพิเศษของเขาในฐานะนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ, ความถูกต้องและการทูตที่เขาแสดงในการอภิปราย, ความสนใจต่อมุมมองของฝ่ายตรงข้ามและนักวิจารณ์, ทัศนคติที่ดีต่อนักเรียนและผู้ติดตาม, ความเคารพต่อเพื่อนร่วมงานอาวุโสและอื่น ๆ "สูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณธรรม" (Ilya Ilyich Mechnikov) มีส่วนอย่างมากในการเผยแพร่คำสอนของดาร์วินไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว (เจ เอ็ม แกล)

เพิ่มเติมเกี่ยวกับชาร์ลส์ ดาร์วิน:

ตอนอายุ 9 ขวบ ชาร์ลส์ ดาร์วินเข้าโรงเรียนประถม และอีกหนึ่งปีต่อมา เขาย้ายไปที่โรงยิมของดร. บัตเลอร์ และประสบความสำเร็จในระดับปานกลาง ที่นี่พวกเขาพึ่งพาภาษาคลาสสิก วรรณกรรม ฯลฯ เป็นหลัก ซึ่งชาร์ลส์ไม่มีทั้งความปรารถนาและความสามารถ ในทางกลับกัน ความรักและความสนใจในธรรมชาติปลุกในตัวเขาตั้งแต่เนิ่นๆ แสดงออกในตอนแรกด้วยการเก็บพืช แร่ธาตุ เปลือกหอย แมลง รังนกและไข่ การตกปลาและการล่าสัตว์ อย่างไรก็ตาม เด็กชายยังได้สะสมตราประทับ ซองจดหมาย ลายเซ็น เหรียญ ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จระดับปานกลางของโรงเรียน ทำให้เกิดการตำหนิจากผู้คนที่น่านับถือและจากพ่อของเขา

ขั้นสูงสุดที่เป็นไปได้ของวัฒนธรรมทางศีลธรรมคือเมื่อเราตระหนักว่าเราสามารถควบคุมความคิดของเราได้

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ในปี พ.ศ. 2368 ชาร์ลส์ ดาร์วินเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระซึ่งเขาอยู่เป็นเวลาสองปีเพื่อเตรียมตัวสำหรับอาชีพแพทย์ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจเป็นนักบวชซึ่งเขาเข้าเคมบริดจ์ แต่ที่นี่เขาสำเร็จหลักสูตรโดยไม่มีความแตกต่างในจำนวน "oi polloi" (จำนวนมาก) ที่สำคัญกว่าการเรียนหนังสือคือการที่เขาได้รู้จักนักธรรมชาติวิทยาเป็นการส่วนตัว การไปเยี่ยมชมสังคมแห่งการเรียนรู้ และการทัศนศึกษาประวัติศาสตร์ธรรมชาติ

ที่มหาวิทยาลัยเอดินบะระ ดาร์วินได้พบกับนักธรณีวิทยา Ensworth และนักสัตววิทยา Coldstrom และ Grant ซึ่งเขามักเดินทางไปที่ชายทะเลเพื่อรวบรวมสัตว์ทะเล งานชิ้นแรก (ไม่ได้ตีพิมพ์) ของชาร์ลส์ ดาร์วิน ซึ่งรวมข้อสังเกตของเขาไว้บางส่วน ย้อนไปถึงช่วงเวลานี้ ที่เคมบริดจ์ เขาได้พบกับเฮนสโลว์ นักพฤกษศาสตร์ที่มีความรู้กว้างขวางเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ธรรมชาติสาขาอื่นๆ ซึ่งจัดการทัศนศึกษาให้ดาร์วินเข้าร่วมด้วย ในตอนท้ายของการพำนักในเคมบริดจ์ ชาร์ลส์ ดาร์วินเป็นนักสะสมธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ไม่ได้ถามคำถามใดเป็นพิเศษ

เฮนสโลว์แนะนำดาร์วินให้เป็นนักสะสมของกัปตันฟิตซ์รอยซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ การเดินเรือในนามของรัฐบาลบนเรือบีเกิล ชาร์ลส์อยู่ในการเดินทางเป็นเวลาห้าปี (พ.ศ. 2374 - 2379) และทำความคุ้นเคยกับธรรมชาติในความหลากหลายที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ข้อเสนอแนะของมโนธรรมที่เกี่ยวข้องกับการกลับใจและสำนึกในหน้าที่เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างมนุษย์กับสัตว์

ดาร์วิน ชาร์ลส์

คอลเลกชันที่รวบรวมโดย Charles Darwin ได้รับการประมวลผลโดย R. Owen (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจากฟอสซิล), Waterhouse (สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสมัยใหม่), Gould (นก), Belle (สัตว์เลื้อยคลานและสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ) และ Jennins (แมลง); นี้ งานทั่วไปจัดพิมพ์ภายใต้ชื่อ "สัตววิทยาแห่งการเดินทางของบีเกิ้ล" ดาร์วินเองเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางทางธรณีวิทยา ผลการวิจัยของเขาคือ: "เกี่ยวกับโครงสร้างและการกระจายตัวของแนวปะการัง" (1842), "การสังเกตทางธรณีวิทยาบนเกาะภูเขาไฟ" (1844) และ "การวิจัยทางธรณีวิทยาในอเมริกาใต้" (1846)

ดาร์วินอธิบายที่มาของแนวปะการังในรูปแบบต่างๆ ทฤษฎีที่เรียบง่ายและแยบยลอย่างยิ่งของมันได้รับการยอมรับในทางวิทยาศาสตร์อย่างรวดเร็ว แต่เมื่อเร็ว ๆ นี้ทำให้เกิดการคัดค้านจาก Murray et al. ซึ่ง Lyell กำหนดให้เป็นพื้นฐานของธรณีวิทยา นอกจากงานพิเศษเหล่านี้แล้ว เขายังตีพิมพ์บันทึกการเดินทางของเขา (“การเดินทางรอบโลกบนเรือบีเกิล”, 2 เล่ม, แปลโดยกองบรรณาธิการของ Andrey Beketov) ซึ่งเป็นหนังสือที่โดดเด่นในด้านความสมบูรณ์ของการสังเกตและความเรียบง่ายของ การนำเสนอ. ผลงานเหล่านี้ทำให้ดาร์วินมีชื่อเสียงในหมู่นักวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่นั้นมา เขาอุทิศพลังทั้งหมดให้กับวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะ

วิทยาศาสตร์ประกอบด้วยการจัดกลุ่มข้อเท็จจริงในลักษณะที่สามารถอนุมานได้จากข้อเท็จจริงเหล่านั้น กฎหมายทั่วไปหรือข้อสรุป.

ดาร์วิน ชาร์ลส์

เมื่อกลับมาอังกฤษ Charles Darwin ตั้งรกรากในลอนดอน (ซึ่งเขาแต่งงานกับ Emma Wedgwood ในปี 1839) แต่สุขภาพที่ย่ำแย่ทำให้เขาต้องหนีออกจากเมือง ในปี พ.ศ. 2385 เขาย้ายไปอยู่ที่คฤหาสน์ดอว์น ซึ่งเขาอาศัยอยู่โดยแทบไม่หยุดพักจนกระทั่งเสียชีวิต งานทางธรณีวิทยาที่กล่าวถึงข้างต้นตามมาด้วยเอกสารพิเศษหลายฉบับที่อุทิศให้กับการประมวลผลอย่างเป็นระบบของชั้นย่อยเพรียง (Monogr. of Cyrrhipedia, 2 vols., 1851-54; M. of fossil Lepadidae, 1851; M. of Balanidae. 1854. ) มีค่าสำหรับอนุกรมวิธานของสัตว์กลุ่มนี้

ในระหว่างการเดินทาง ชาร์ลส์ ดาร์วินมุ่งความสนใจไปที่ปรากฏการณ์ดังกล่าวที่ฉายแสงเจิดจ้าต่อการพัฒนาของโลกออร์แกนิก ดังนั้นเขาจึงถูกครอบครองโดยประชากรสัตว์ของหมู่เกาะในมหาสมุทร (หมู่เกาะ Galopagos ซึ่งเขาศึกษาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษในแง่นี้กลายเป็นดินแดนคลาสสิกในสายตาของนักธรรมชาติวิทยา) ซึ่งเป็นการสืบทอดทางธรณีวิทยาของสายพันธุ์ สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือการศึกษาของเขาในอเมริกาใต้ ต้องขอบคุณความสัมพันธ์ระหว่างอาร์มาดิลโลที่มีชีวิตในอเมริกาใต้ ตัวทาร์ดิเกรด ฯลฯ และตัวแทนฟอสซิลของกลุ่มเหล่านี้บนแผ่นดินใหญ่เดียวกันได้รับการเปิดเผยด้วยความโล่งใจ แต่จนถึงขณะนี้เป็นเพียงความปรารถนาที่ไม่อาจอธิบายได้ของจิตใจที่กว้างไกลและอยากรู้อยากเห็น การรีบเร่งไปสู่ปัญหาที่ยากและลึกลับที่สุดโดยไม่ได้ตั้งใจ เมื่อเขากลับมาจากการเดินทางในปี พ.ศ. 2380 เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสายพันธุ์และตัดสินใจที่จะเริ่มพัฒนามัน ในปี 1839 หลังจากอ่านหนังสือของ Malthus เขาได้กำหนดแนวความคิดเกี่ยวกับการคัดเลือกโดยธรรมชาติอย่างชัดเจน

ไม่มีหลักฐานว่าเดิมทีมนุษย์ได้รับความเชื่ออย่างสูงส่งในการมีอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงอำนาจทุกอย่าง

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ในปี พ.ศ. 2385 ชาร์ลส์ ดาร์วินได้ร่างทฤษฎีของเขาขึ้นเป็นครั้งแรก ในปีพ. ศ. 2387 - บทความที่มีรายละเอียดมากขึ้นซึ่งเขาอ่านให้เพื่อนของเขา J. Hooker จากนั้น 12 ปีผ่านไปในการรวบรวมและประมวลผลเนื้อหา และในปี พ.ศ. 2399 ดาร์วินตามคำแนะนำของไลล์ก็เริ่มเขียน "แยก" จากงานของเขาเพื่อตีพิมพ์ พระเจ้ารู้ดีว่าเมื่อใดที่ "สกัด" นี้ (คำนวณได้ 3-4 ตัน) จะได้เห็นแสงสว่าง หากในปี 1858 A.R. Wallas ซึ่งทำงานด้านการวิจัยประวัติศาสตร์ธรรมชาติในหมู่เกาะมาเลย์ ไม่ได้ส่งบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดาร์วิน รูปแบบที่คล่องแคล่ว แต่แตกต่างแนวคิดเดียวกันกับการคัดเลือกโดยธรรมชาติโดยมีการร้องขอให้ตีพิมพ์ในวารสารของ Linnean Society

ซี. ดาร์วินปรึกษากับเพื่อน ๆ ซึ่งเกลี้ยกล่อมให้เขาตีพิมพ์พร้อมกับบทความของวอลลาส ซึ่งเป็นบทความสั้น ๆ จากผลงานของเขา ดังนั้นเขาจึงเริ่มรวบรวมบทความที่มีรายละเอียดมากขึ้นซึ่งตีพิมพ์ในปีต่อมา พ.ศ. 2402 ภายใต้หัวข้อ: "กำเนิดของสายพันธุ์โดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ" ("กำเนิดของสายพันธุ์โดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ" แปลว่า โดย Rachinsky, 2nd ed., 1865)

ไม่มีอะไรโดดเด่นมากไปกว่าการแพร่กระจายของการนอกใจทางศาสนาหรือการใช้เหตุผลในช่วงครึ่งหลังของชีวิตของฉัน

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ทฤษฎีของ Charles Darwin (สาระสำคัญและความหมายของมันกำหนดไว้ใน Art. Vid, VI, 24) ได้รับการพัฒนาอย่างระมัดระวังโดยอิงจากข้อเท็จจริงจำนวนมาก อธิบายปรากฏการณ์ลึกลับมากมาย ในที่สุดก็ชี้ให้เห็นเส้นทางใหม่มากมายสำหรับการวิจัย ว่ามันสร้างตัวเองในทางวิทยาศาสตร์ด้วยความเร็วที่น่าทึ่งแม้จะมีการโจมตีอย่างดุเดือดจากฝ่ายตรงข้ามของการเปลี่ยนแปลง เธอพบกับทัศนคติที่ไม่เป็นมิตรที่สุดในฝรั่งเศสซึ่งเธอได้รับชัยชนะในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 เท่านั้น

สัมผัสแนวคิดที่มีชีวิตของบุคคล ต้นกำเนิดของเขา และอื่นๆ ทำให้เธอกระตุ้นข่าวลือโดยธรรมชาติ วรรณกรรมทั่วไปในสื่อรายวัน ในหมู่นักศาสนศาสตร์และคนอื่นๆ คำว่า "ลัทธิดาร์วิน", "ลัทธิดาร์วิน", "การต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่" กลายเป็นปัจจุบัน ชื่อของดาร์วินได้รับความนิยมอย่างที่ไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดมี - โดยทั่วไปแล้ว ทฤษฎีของเขาสร้างความประทับใจอย่างไม่มีใครเทียบได้ในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ ผู้ร้ายของการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ทำให้ชีวิตของเขาสงบ จำเจ และสันโดษบนที่ดินของเขา ความเหนื่อยล้า ความตื่นเต้น การสนทนาที่มีชีวิตชีวาเพียงเล็กน้อยนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพที่ย่ำแย่ของเขาอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่าตลอด 40 ปีแห่งชีวิตของเขาในเมืองดอว์น ไม่มีวันเดียวที่ชาร์ลส์ ดาร์วินรู้สึกมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีเพียงความสม่ำเสมอความระมัดระวังและความพอประมาณในนิสัยเท่านั้นที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่จนถึงวัยชรา อาการป่วยไข้อย่างต่อเนื่องไม่อนุญาตให้เขาทำงานหนัก แต่ความแม่นยำและระเบียบแบบแผนอย่างยิ่งในการศึกษาของเขาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งความอุตสาหะที่เขาทำการวิจัยมานานหลายทศวรรษ (เช่น การทดลองเกี่ยวกับไส้เดือนครั้งหนึ่งของเขากินเวลา 29 ปี) ได้ชดเชยความเสียหายที่เกิดจากโรค

เมื่อพิจารณาว่าข้าพเจ้าถูกผู้แทนของศาสนจักรโจมตีอย่างโหดเหี้ยมเพียงใด เป็นเรื่องน่าขบขันที่ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเองมีความตั้งใจที่จะเป็นนักบวช

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ชีวิตฤาษีของชาร์ลส์ ดาร์วินถูกขัดจังหวะเป็นครั้งคราวด้วยการเดินทางไปยังลอนดอน ไปหาญาติ ไปชายทะเล ฯลฯ เพื่อพักผ่อนและปรับปรุงสุขภาพ เพื่อนมักจะรวมตัวกันเพื่อพบเขา - Hooker, Lyell, Forbes และคนอื่น ๆ และต่อมาด้วยชัยชนะของ "ลัทธิดาร์วิน" รุ่งอรุณเริ่มดึงดูดผู้มาเยือนจากประเทศที่ห่างไกลที่สุด ความประทับใจอันมีเสน่ห์ที่ดาร์วินสร้างให้กับแขกของเขาด้วยความเป็นมิตรและความเรียบง่าย ความอ่อนโยนแบบเด็กๆ ความจริงใจลึกๆ และความอ่อนน้อมถ่อมตน มีส่วนทำให้เขาได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่า The Origin of Species และหนังสืออื่นๆ ที่ทำให้เขามีชื่อเสียงในฐานะนักวิทยาศาสตร์ อย่างไรก็ตาม บุคลิกภาพทางศีลธรรมของเขายังสะท้อนให้เห็นในหนังสือ: การปล่อยตัวผู้อื่นอย่างสุดโต่งและความรุนแรงต่อตนเองอย่างไม่ลดละถือเป็นคุณลักษณะเฉพาะของพวกเขา เขากำลังมองหา จุดอ่อนในทฤษฎีของเขาและการคัดค้านที่สำคัญทั้งหมดต่อการคัดเลือกโดยธรรมชาตินั้นถูกคาดการณ์โดยเขาและอยู่ภายใต้การวิเคราะห์ล่วงหน้า ความเข้มงวดทางวิทยาศาสตร์และความซื่อสัตย์ของดาร์วินมีส่วนทำให้การสอนของเขาประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

การศึกษาเกือบทั้งหมดของชาร์ลส์ ดาร์วินที่ปรากฏตั้งแต่ The Origin of Species แสดงถึงการพัฒนาเพิ่มเติมของทฤษฎีของเขาเมื่อนำไปใช้กับคำถามทางชีววิทยาบางข้อ เราแสดงรายการตามหัวข้อการศึกษา: หนังสือ "การปรับตัวของกล้วยไม้ต่อการปฏิสนธิโดยแมลง" (1862), "การดำเนินการของการผสมเกสรด้วยตนเองและการผสมเกสรข้ามในอาณาจักรผัก" (1876) และ "รูปแบบต่างๆ ของดอกไม้ในพืช ชนิดพันธุ์เดียวกัน” (ค.ศ. 1877) ได้อธิบายความหมายทางชีววิทยาของดอกไม้และความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างแมลงและพืช ในงานชิ้นแรกนี้ เขาแสดงให้เห็นว่ารูปแบบที่แปลกประหลาดและหลากหลายของดอกไม้ในกล้วยไม้เป็นอุปกรณ์ที่น่าทึ่งที่สุดสำหรับการปฏิสนธิด้วยความช่วยเหลือของแมลงที่นำพาละอองเรณูของดอกไม้ดอกหนึ่งไปสู่ความอัปยศของดอกไม้อีกดอกหนึ่ง ในครั้งที่สอง เขาได้พิสูจน์จากการทดลองถึงอันตรายของการปฏิสนธิในตัวเองอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับพืชหลายชนิดและความจำเป็นในการผสมเกสรข้าม ซึ่งในพืชส่วนใหญ่เกิดขึ้นเนื่องจากแมลงที่ดึงดูดโดยดอกไม้ ประการที่สามเขาชี้ให้เห็นถึงการมีอยู่ของพืชดอกไม้หลายชนิดในรูปแบบสองเท่าและสามรูปแบบซึ่งแสดงถึงการปรับตัวที่สะดวกมากสำหรับการผสมเกสรข้ามด้วยความช่วยเหลือของแมลง

ตามกฎแล้วไม่ใช่คนที่รู้มาก แต่เป็นคนที่รู้น้อยประกาศอย่างมั่นใจที่สุดว่าปัญหานี้หรือปัญหานั้นจะไม่มีทางแก้ไขได้ด้วยวิทยาศาสตร์

ดาร์วิน ชาร์ลส์

งานเขียนของชาร์ลส์ ดาร์วินเหล่านี้อธิบายโลกทั้งใบของปรากฏการณ์ที่ยังไม่สามารถเข้าใจได้จนถึงตอนนั้น ดอกไม้คืออะไร ทำไมกลีบดอกสีสันสดใส รูปร่างแปลกประหลาด กลิ่นหอม น้ำทิพย์ ฯลฯ - ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งหมดนี้ได้รับการอธิบายในแง่ของประโยชน์ของการผสมเกสรข้ามด้วยความช่วยเหลือของแมลง งานวิจัยของดาร์วินเกี่ยวกับการผสมข้ามพันธุ์ทำให้เกิดวรรณกรรมมากมาย Hildenbrand, Hermann Müller, Axel, Delpino, Lebbock, Fr. Müllerและนักวิจัยคนอื่น ๆ ได้พัฒนาบทชีววิทยาที่สำคัญนี้อย่างละเอียด

D "Arcy Thomson ในปี 1883 นับผลงาน 714 ชิ้นที่อุทิศให้กับการปฏิสนธิของพืชและเกิดจากผลงานของดาร์วิน หนังสือขนาดใหญ่สองเล่ม: The Movements and Lifestyle of Climbing Plants (1876) and The Ability of Plants to Move (1880) อุทิศให้กับ การเคลื่อนไหวของการปีนและการปีนต้นไม้และอุปกรณ์ที่พวกเขามีสำหรับพันลำต้นของผู้อื่นสำหรับติดกับผนัง ฯลฯ Charles Darwin ลดรูปแบบต่างๆของการเคลื่อนไหวเหล่านี้ให้เรียกว่า "circumnutation" นั่นคือการเคลื่อนที่เป็นวงกลมของ ส่วนบนของอวัยวะที่กำลังเติบโตคุณสมบัติทั่วไปของพืชในขณะที่ปรากฏการณ์ดังกล่าวโดดเด่นในความได้เปรียบเช่นการเคลื่อนไหวของยอดของพืชปีนเขาการพับของใบไมยราบ ฯลฯ เป็นเพียงรูปแบบที่พัฒนาแล้วของการเคลื่อนไหวเบื้องต้นนี้ เชื่อมต่อกับมันด้วยการเปลี่ยนทีละน้อย

ความไม่รู้นั้นแน่นอนกว่าความรู้เสมอ และมีเพียงผู้ไม่รู้เท่านั้นที่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถแก้ปัญหานี้หรือปัญหานั้นได้

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ในทำนองเดียวกัน ชาร์ลส์ ดาร์วินสามารถติดตามการเปลี่ยนผ่านระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ไม้เลื้อย รถพ่วง ตะขอ ที่ช่วยให้โรงงานยึดกับสิ่งแปลกปลอม และลดให้เหลือรูปแบบที่ง่ายที่สุด ซึ่งพัฒนาโดยการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ซึ่งสะสมการเปลี่ยนแปลงที่เป็นประโยชน์ นอกเหนือจากสาขาพฤกษศาสตร์คือ "พืชกินแมลง" (พ.ศ. 2418) ข้อเท็จจริงของการมีอยู่ของสัตว์กินแมลง สัตว์กินเนื้อที่มีความแม่นยำมากขึ้น (เนื่องจากบางชนิดจับและกินสัตว์จำพวกครัสเตเชียนขนาดเล็ก ปลา ฯลฯ) ได้รับการพิสูจน์อย่างถูกต้องโดยดาร์วิน และมีการอธิบายถึงความสำคัญของการดัดแปลงหลายอย่าง เช่น ใบไม้ที่กระพือปีก ของแมลงวันจับแมลง ตุ่มของ Utricularia ต่อมที่ใบของหยาดน้ำค้าง ผลงานเหล่านี้ทำให้ดาร์วินเป็นหนึ่งในสถานที่แรกๆ ในบรรดานักพฤกษศาสตร์แห่งศตวรรษของเรา เขาส่องสว่างพื้นที่ทั้งหมดของปรากฏการณ์ที่ดูมืดมนและไม่สามารถเข้าใจได้ ค้นพบข้อเท็จจริงใหม่และน่าทึ่งมากมาย

ในปี พ.ศ. 2411 ชาร์ลส์ ดาร์วินได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นใหญ่เรื่อง "การเปลี่ยนแปลงของสัตว์และพืชภายใต้การเลี้ยง" แปลโดย Vladimir Kovalevsky, 2 vols. เล่มที่หนึ่งนำเสนอชุดของข้อมูลเกี่ยวกับการคัดเลือกเทียม ที่มาของสัตว์และพืชในประเทศ คำถามที่สองกำหนดคำถามทั่วไปที่เกิดจากข้อมูลเหล่านี้: กฎของกรรมพันธุ์, ปรากฏการณ์ของ atavism, อิทธิพลของการข้ามภายในขอบเขตที่ใกล้ชิด ฯลฯ และสมมติฐานของดาร์วินที่ประสบความสำเร็จน้อยที่สุดคือสมมติฐานของ pangenesis ซึ่งเขาคิดว่า เพื่ออธิบายกรรมพันธุ์

ความสุขหลักและอาชีพเดียวตลอดชีวิตของฉันคือ งานทางวิทยาศาสตร์และความตื่นเต้นที่เกิดขึ้นทำให้ฉันสามารถลืมได้ชั่วขณะหนึ่งหรือทำให้อาการป่วยคงที่ของฉันหายไปโดยสิ้นเชิง

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ในปี 1871 Charles Darwin ได้ตีพิมพ์หนังสือ The Origin of Man and Selection in Relation to Sex (แปลโดย Sechenov, 1871) ในส่วนแรกของหนังสือเล่มนี้ คำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของมนุษย์จากรูปร่างที่เหมือนลิงที่ต่ำกว่านั้นได้รับการจัดการ ในประการที่สอง - ทฤษฎีของ "การเลือกเพศ" ตามคุณลักษณะที่แปลกประหลาดสำหรับผู้ชายเท่านั้น - ตัวอย่างเช่นเดือยไก่, แผงคอของสิงโต, ขนที่สดใสและ ความสามารถทางดนตรีนก ฯลฯ - เกิดขึ้นเนื่องจากการต่อสู้หรือการแข่งขันระหว่างตัวผู้เนื่องจากตัวผู้ที่แข็งแกร่งหรือสวยงามที่สุดมีโอกาสที่จะครอบครองตัวเมียและทิ้งลูกหลานไว้

หนังสือเกี่ยวกับการแสดงออกของความรู้สึกของมนุษย์และสัตว์ (พ.ศ. 2415) เป็นการประยุกต์ใช้ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติกับปรากฏการณ์ที่ดูเหมือนไม่แน่นอน เช่น การเล่นโหงวเฮ้งภายใต้อิทธิพลของความรู้สึกต่างๆ การแสดงออกบางอย่างขึ้นอยู่กับกระบวนการทางสรีรวิทยาและลักษณะทางกายวิภาคของร่างกายของเรา อื่น ๆ เป็นการดัดแปลงที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษที่อยู่ห่างไกล ส่วนอื่นๆ ที่เหลือคือนิสัยที่สังเกตพบในสัตว์ชั้นสูง ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้ในสถานะพื้นฐานที่ถูกลบไปครึ่งหนึ่ง เนื่องจากอวัยวะพื้นฐานบางอย่างได้รับการเก็บรักษาไว้ ในหนังสือเล่มสุดท้ายของเขาซึ่งปรากฏไม่นานก่อนที่ดาร์วินจะเสียชีวิต ชื่อ The Formation of Vegetable Earth Thanks to Worms (1881, แปลภาษารัสเซียโดย Menzbier) เขาแสดงให้เห็นผ่านการทดลอง การวัด และการคำนวณว่าไส้เดือนทำงานมหาศาลบนดินของเราอย่างไร และมีประโยชน์อะไรบ้าง ความสำคัญที่พวกเขามีสำหรับพืชโลก

ถ้าฉันไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ ฉันจะตั้งกฎให้ตัวเองอ่านบทกวีจำนวนหนึ่งและฟังเพลงอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ด้วยการออกกำลังกายเช่นนี้ ฉันจะสามารถรักษาส่วนต่าง ๆ ของสมองที่ยังทำงานอยู่ซึ่งเสื่อมถอยลงได้

ดาร์วิน ชาร์ลส์

เมื่อทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วินแพร่กระจายออกไปและผลลัพธ์ของมันถูกเปิดเผยในงานจำนวนนับไม่ถ้วน ในการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของชีววิทยาทุกแขนง รางวัลและความแตกต่างจากสังคมและสถาบันที่เรียนรู้ก็มาหาเขา ดาร์วินได้รับ Copley (1864) เหรียญทองจากราชสมาคมแห่งลอนดอน คำสั่งปรัสเซียน "Pour le Merite" (พ.ศ. 2410) ก่อตั้งโดยฟรีดริช วิลเฮล์มที่ 4 เพื่อตอบแทนนักวิทยาศาสตร์และผลงานวรรณกรรม ปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยบอนน์ เบรสเลา ไลเดน เคมบริดจ์ (พ.ศ. 2420); ได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสถานศึกษาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก (พ.ศ. 2410) เบอร์ลิน (พ.ศ. 2421) ปารีส (พ.ศ. 2421) (สถาบันหลังนี้ให้เกียรติแก่ดาร์วินด้วยความแตกต่างในแง่ของข้อดีที่แท้จริงของเขา ไม่ใช่ "สมมติฐานที่เป็นปัญหา") เป็นสมาชิกกิตติมศักดิ์ของ สังคมวิทยาศาสตร์ต่างๆ

ในขณะเดียวกันพละกำลังของเขาก็อ่อนลง Charles Darwin ไม่กลัวความตาย แต่กลัวความชรา สูญเสียจิตใจ และความสามารถในการทำงาน โชคดีที่เขาไม่ต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ในตอนท้ายของปี พ.ศ. 2424 เขารู้สึกไม่สบายมาก ในไม่ช้าเขาก็ออกจากบ้านไม่ได้อีกต่อไป แต่ยังคงศึกษาวิทยาศาสตร์ต่อไป และในวันที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2425 ประสบการณ์บางอย่างก็ตามมา วันที่ 19 เมษายน ชาร์ลส์ ดาร์วิน ถึงแก่อสัญกรรมด้วยวัย 74 ปี ศพของเขาถูกย้ายไปที่ Westminster Abbey และฝังไว้ข้างๆ หลุมฝังศพของ Newton

ใน สังคมมนุษย์นิสัยใจคอที่เลวร้ายที่สุดบางอย่างที่ปรากฏขึ้นอย่างกระทันหันโดยไม่มีเหตุผลชัดเจนในองค์ประกอบของสมาชิกในครอบครัว บางทีอาจเป็นตัวแทนของการกลับไปสู่สภาพดั้งเดิมที่เราถูกแยกจากกันโดยคนหลายชั่วอายุคน

ดาร์วิน ชาร์ลส์

จากนักวิทยาศาสตร์แห่งศตวรรษที่ XIX แทบไม่มีใครมีอิทธิพลลึกซึ้งและเป็นสากลเท่าชาร์ลส์ ดาร์วิน หลังจากอธิบายกระบวนการพัฒนาของโลกออร์แกนิกด้วยความช่วยเหลือของทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เขาจึงนำชัยชนะมาสู่ความคิดเรื่องวิวัฒนาการ แสดงมานานแล้ว แต่ไม่พบสถานที่ในวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าปัจจัยที่ระบุโดยดาร์วิน (การต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ ความแปรปรวน และพันธุกรรม) จะเพียงพอที่จะอธิบายปรากฏการณ์ทั้งหมดของการพัฒนา หรือหากการวิจัยเพิ่มเติมจะพบสิ่งใหม่ที่ยังไม่ได้รับการชี้แจง อนาคตจะแสดงให้เห็น แต่ชีววิทยาในอนาคตจะ ยังคงเป็นชีววิทยาวิวัฒนาการ ใช่แล้ว และสาขาความรู้อื่นๆ สังคมศาสตร์ มานุษยวิทยา จิตวิทยา จริยศาสตร์ ฯลฯ ได้รับและกำลังได้รับการเปลี่ยนแปลงในแง่ของวิวัฒนาการ ดังนั้นหนังสือของชาร์ลส์ ดาร์วินจึงนับเป็นยุคใหม่ที่ไม่เพียงแต่ในด้านชีววิทยาเท่านั้น แต่ยังรวมถึง ทั่วไปในประวัติศาสตร์ความคิดของมนุษย์

ตอนอายุแปดขวบ ชาร์ลส์แสดงความรักและความสนใจในธรรมชาติ เขาสะสมพืช แร่ธาตุ เปลือกหอย แมลง แม้แต่แมวน้ำ ลายเซ็น เหรียญ และอื่นๆ ในช่วงแรกเขาติดการตกปลาและใช้เวลาทั้งชั่วโมงกับคันเบ็ด แต่เขาตกหลุมรักการล่าสัตว์เป็นพิเศษ

ในปี ค.ศ. 1825 ทำให้แน่ใจว่า งานโรงเรียนชาร์ลส์คงไม่มีประโยชน์อะไรมากนัก พ่อของเขาพาเขาออกจากโรงยิมและส่งเขาไปที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระเพื่อเตรียมตัวสำหรับอาชีพแพทย์ การบรรยายดูน่าเบื่อเหลือทนสำหรับเขา เป็นเวลาสองปีที่ดาร์วินยังคงอยู่ในเอดินเบอระ ในที่สุด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลูกชายไม่มีความโน้มเอียงไปทางการแพทย์ พ่อจึงแนะนำให้เขาเลือกอาชีพทางจิตวิญญาณ ดาร์วินคิดแล้วคิดอีกและตกลง: ในปี 1828 เขาเข้าคณะเทววิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์โดยตั้งใจที่จะรับตำแหน่งปุโรหิต

การศึกษาของเขาที่นี่ยังคงมีลักษณะเดิม: ประสบความสำเร็จปานกลางในวิชาเรียนและคอลเลกชันที่ขยันหมั่นเพียร - แมลง, นก, แร่ธาตุ, เช่นเดียวกับการล่าสัตว์, ตกปลา, ทัศนศึกษา, การสังเกตชีวิตของสัตว์

ในปี พ.ศ. 2374 ชาร์ลส์ ดาร์วินออกจากมหาวิทยาลัยท่ามกลาง "คนจำนวนมาก" ซึ่งเรียกว่านักศึกษาที่จบหลักสูตรอย่างน่าพอใจ แต่ไม่มีความแตกต่างเป็นพิเศษ

ศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ จอห์น เฮนสโลว์ ช่วยดาร์วินเลือกทางเลือกสุดท้าย เขาสังเกตเห็นความสามารถของดาร์วินและเสนอให้เขาเป็นนักธรรมชาติวิทยาในการเดินทางไปยังอเมริกาใต้ ก่อนออกเรือ ดาร์วินได้อ่านผลงานของนักธรณีวิทยา ชาร์ลส์ ไลล์ เขานำหนังสือที่ตีพิมพ์ใหม่ติดตัวไปด้วยในการเดินทาง เป็นหนึ่งในหนังสือไม่กี่เล่มที่มีความสำคัญในการพัฒนาของเขา ไลล์ นักคิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนั้น มีความสนิทสนมกับดาร์วิน

การเดินทางแล่นในปี พ.ศ. 2374 บนเรือ "บีเกิล" และใช้เวลาห้าปี ในช่วงเวลานี้ นักวิจัยได้ไปเยือนบราซิล อาร์เจนตินา ชิลี เปรู และหมู่เกาะกาลาปาโกส ซึ่งเป็นเกาะหินสิบเกาะนอกชายฝั่งเอกวาดอร์ใน มหาสมุทรแปซิฟิกซึ่งแต่ละชนิดมีสัตว์ประจำถิ่นของตัวเอง ในระดับจิตใต้สำนึก ชาลส์ ดาร์วิน ได้แยกแยะข้อเท็จจริงและปรากฏการณ์เหล่านั้นที่เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ คำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของโลกอินทรีย์ยังไม่เกิดขึ้นต่อหน้าเขาในรูปแบบที่ชัดเจน แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ดึงความสนใจไปที่ปรากฏการณ์เหล่านั้นซึ่งเป็นกุญแจไขไปสู่คำตอบของคำถามนี้

ถ้าฉันเจอข้อสังเกตใหม่หรือความคิดที่ขัดแย้งกับฉัน ข้อสรุปทั่วไปฉันจำเป็นต้องทำบันทึกสั้น ๆ เกี่ยวกับพวกเขาโดยไม่ชักช้า เพราะอย่างที่ฉันได้เห็นจากประสบการณ์ ข้อเท็จจริงหรือความคิดดังกล่าวมักจะหลุดออกจากความทรงจำเร็วกว่าสิ่งที่ดีสำหรับคุณ

ดาร์วิน ชาร์ลส์

ดังนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทาง ชาลส์ ดาร์วินเริ่มสนใจคำถามว่าพืชและสัตว์เคลื่อนไหวอย่างไร สัตว์ประจำเกาะในมหาสมุทรการตั้งถิ่นฐานของดินแดนใหม่ครอบครองเขาตลอดการเดินทางและหมู่เกาะกาลาปาโกสซึ่งเขาศึกษาด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษในแง่นี้กลายเป็นดินแดนคลาสสิกในสายตาของนักธรรมชาติวิทยา สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในการสังเกตของเขาคือรูปแบบการเปลี่ยนผ่านซึ่งเป็นเป้าหมายของการรบกวนและการละเลยในส่วนของนักอนุกรมวิธานที่มองหา "ดี" นั่นคือสายพันธุ์ที่กำหนดไว้อย่างดี ดาร์วินกล่าวเกี่ยวกับหนึ่งในครอบครัวเปลี่ยนผ่านเหล่านี้:

"มันเป็นของผู้ที่ติดต่อกับครอบครัวอื่น ๆ ในปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นอุปสรรคต่อนักอนุกรมวิธานธรรมชาติ แต่ท้ายที่สุดแล้วอาจมีส่วนช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับแผนการอันยิ่งใหญ่ตามที่สิ่งมีชีวิตที่จัดตั้งขึ้นถูกสร้างขึ้น"

ในทุ่งหญ้าของอเมริกาใต้ ชาร์ลส์ ดาร์วินสะดุดกับข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่งซึ่งเป็นพื้นฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการ นั่นคือการสืบทอดสายพันธุ์ทางธรณีวิทยา เขาสามารถค้นพบซากฟอสซิลจำนวนมากและความสัมพันธ์ของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ผู้อยู่อาศัยสมัยใหม่อเมริกา (เช่น เมกาเธเรียมยักษ์ที่มีสลอธ ฟอสซิลอาร์มาดิลโลที่มีสิ่งมีชีวิต) ดึงดูดสายตาของเขาทันที

ในการเดินทางครั้งนี้ ชาร์ลส์ ดาร์วินได้รวบรวมหินและฟอสซิลจำนวนมาก สมุนไพรที่รวบรวมไว้ และคอลเล็กชันตุ๊กตาสัตว์ เขาเก็บบันทึกรายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทาง และต่อมาได้ใช้วัสดุและข้อสังเกตมากมายที่ทำขึ้นในการเดินทาง

วันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2379 ดาร์วินกลับจากการเดินทาง ในเวลานี้เขาอายุ 27 ปี คำถามเกี่ยวกับอาชีพได้รับการตัดสินใจด้วยตัวเองโดยไม่ต้องคิดมาก ไม่ใช่ว่าดาร์วินเชื่อในความสามารถของเขาในการ "พัฒนาวิทยาศาสตร์" แต่ก็ไม่มีอะไรจะพูดถึงเช่นกัน: เขามีวัสดุจำนวนมาก คอลเลกชันมากมายอยู่ในมือ เขามีแผนสำหรับการวิจัยในอนาคตอยู่แล้ว ไปทำงาน. ดาร์วินทำเช่นนั้น เขาอุทิศเวลาอีกยี่สิบปีข้างหน้าในการประมวลผลวัสดุที่รวบรวมได้

บันทึกการเดินทางที่เขาตีพิมพ์ประสบความสำเร็จอย่างมาก ความเรียบง่ายในการนำเสนออย่างไร้ศิลปะคือข้อได้เปรียบหลัก ชาร์ลส์ ดาร์วินไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นสไตลิสต์ที่เก่งกาจ แต่ความรักในธรรมชาติ การสังเกตที่ละเอียดอ่อน ความหลากหลายและความกว้างของความสนใจของผู้เขียนทำให้การนำเสนอขาดความสวยงาม

เขาอาศัยอยู่ในเคมบริดจ์เป็นเวลาหลายเดือนและในปี พ.ศ. 2380 เขาย้ายไปลอนดอนซึ่งเขาใช้เวลาห้าปีโดยวนเวียนอยู่ในแวดวงนักวิทยาศาสตร์เป็นหลัก เขาเคยชินกับการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอิสระ เขาเบื่อชีวิตในเมือง ในบรรดานักวิทยาศาสตร์ ชาร์ลส์ ดาร์วินกลายเป็นเพื่อนสนิทโดยเฉพาะกับไลล์ และมิตรภาพของพวกเขากับฮุคเกอร์ก็ดำเนินต่อไปจนกระทั่งดาร์วินเสียชีวิต เชื่องช้าช่วยเขามากด้วยความรู้มากมาย ในทางกลับกัน การค้นหาเป็นแหล่งค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดของเขา

โดยทั่วไปแล้ว ปีนี้เป็นช่วงที่มีการเคลื่อนไหวมากที่สุดในชีวิตของดาร์วิน เขามักจะไปเยี่ยมสังคม ทำงานหนัก อ่าน ทำรายงานในสังคมแห่งการเรียนรู้ และเป็นเลขาธิการกิตติมศักดิ์ของสมาคมธรณีวิทยาเป็นเวลาสามปี

ในปี 1839 เขาแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา Miss Emma Wedgwood ในขณะเดียวกันสุขภาพของเขาก็อ่อนแอลงเรื่อยๆ ในปี ค.ศ. 1841 เขาเขียนถึงไลล์: "ผมเชื่ออย่างขมขื่นว่าโลกเป็นของผู้แข็งแกร่ง และผมคงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าติดตามความก้าวหน้าของผู้อื่นในด้านวิทยาศาสตร์" โชคดีที่ลางสังหรณ์ที่น่าเศร้าเหล่านี้ไม่เป็นจริง แต่ชีวิตที่เหลือของเขาใช้เวลาต่อสู้กับโรคร้ายอย่างต่อเนื่อง ชีวิตในเมืองที่มีเสียงดังทำให้เขาทนไม่ได้และในปี พ.ศ. 2385 เขาย้ายไปที่ที่ดินรุ่งอรุณซึ่งตั้งอยู่ใกล้ลอนดอนซึ่งเขาซื้อมาเพื่อจุดประสงค์นี้

Charles Darwin ตั้งถิ่นฐานใน Downa ใช้เวลาสี่สิบปีของชีวิตที่เงียบสงบ ซ้ำซากจำเจ และกระตือรือร้น เขาตื่นแต่เช้า ออกไปเดินเล่น รับประทานอาหารเช้าประมาณสองทุ่ม และนั่งทำงานจนถึงสามทุ่มครึ่ง มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเขา เวลางาน. เวลาเก้าโมงครึ่งเขาเริ่มอ่านจดหมายซึ่งเขาได้รับมากมายและจากสิบโมงครึ่งถึงสิบสองหรือสิบสองโมงครึ่งเขาศึกษาอีกครั้ง หลังจากนั้น เขาคิดว่าวันทำงานของเขาสิ้นสุดลง และหากการเรียนสำเร็จ เขาก็พูดด้วยความยินดีว่า “วันนี้ฉันทำได้ดีมาก” จากนั้นเขาก็ออกไปเดินเล่นในทุกสภาพอากาศพร้อมกับ Polly the Pinscher สุนัขแสนรักของเขา เขารักสุนัขมาก พวกเขาตอบเขาเหมือนกัน ชีวิตฤๅษีใน Downe มีความหลากหลายเป็นครั้งคราวด้วยการเดินทางไปยังญาติ ๆ ไปลอนดอนไปที่ชายทะเล

ในชีวิตครอบครัว Charles Darwin มีความสุขมากทีเดียว “ในความสัมพันธ์ของเขากับแม่ของฉัน” ลูกชายของนักวิทยาศาสตร์ฟรานซิส ดาร์วินกล่าว “ธรรมชาติที่อ่อนไหวและขี้สงสารของเขานั้นโดดเด่นที่สุด ต่อหน้าเธอเขารู้สึกมีความสุข ต้องขอบคุณเธอ ชีวิตของเขาซึ่งมิฉะนั้นจะถูกบดบังด้วยความประทับใจที่ยากลำบาก กลับมีบุคลิกที่สงบและชัดเจน

หนังสือเกี่ยวกับการแสดงออกของความรู้สึกแสดงให้เห็นว่าดาร์วินสังเกตลูก ๆ ของเขาอย่างระมัดระวังเพียงใด เขาสนใจในรายละเอียดที่เล็กที่สุดของชีวิตและงานอดิเรกของพวกเขา เล่นกับพวกเขา เล่าและอ่าน สอนให้พวกเขารวบรวมและระบุแมลง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ให้อิสระอย่างเต็มที่แก่พวกเขาและปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเป็นมิตร

ในเรื่องธุรกิจ ดาร์วินพิถีพิถันถึงขั้นละเอียดลออ เขาเก็บบัญชีอย่างระมัดระวัง จำแนกประเภท และสรุปผลสิ้นปีเหมือนพ่อค้า พ่อของเขาทิ้งทรัพย์สมบัติไว้ให้เขาซึ่งเพียงพอสำหรับชีวิตอิสระและเจียมเนื้อเจียมตัว

หนังสือของเขาเองทำให้เขามีรายได้จำนวนมาก ซึ่งชาร์ลส์ ดาร์วินไม่ได้ภูมิใจเลยสักนิดเพราะความรักในเงิน แต่เพราะจิตสำนึกว่าเขาก็สามารถหาเลี้ยงชีพได้เช่นกัน บ่อยครั้งที่ดาร์วินให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่นักวิทยาศาสตร์ที่ขาดแคลน และในปีสุดท้ายของชีวิต เมื่อรายได้ของเขาเพิ่มขึ้น เขาตัดสินใจจัดสรรเงินส่วนหนึ่งเพื่อส่งเสริมการพัฒนาวิทยาศาสตร์

ความอดทนและความอุตสาหะที่ดาร์วินทำงานของเขานั้นน่าทึ่งมาก สมมติฐาน "pangenesis" เป็นผลมาจากการไตร่ตรองถึงยี่สิบห้าปีเกี่ยวกับสาเหตุของการถ่ายทอดทางพันธุกรรม เขาเขียนหนังสือ "On the Expression of Sensations" เป็นเวลา 33 ปี: ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2382 เขาเริ่มรวบรวมวัสดุและในปี พ.ศ. 2415 หนังสือเล่มนี้ได้รับการพิมพ์ หนึ่งในการทดลองไส้เดือนกินเวลานานถึง 29 ปี! เป็นเวลายี่สิบเอ็ดปีตั้งแต่ปี พ.ศ. 2380 ถึง พ.ศ. 2401 เขาได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสายพันธุ์ก่อนที่เขาจะตัดสินใจจัดพิมพ์หนังสือ

หนังสือเล่มนี้ประสบความสำเร็จอย่างมากและสร้างเสียงฮือฮา เนื่องจากหนังสือเล่มนี้ขัดแย้งกับแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับกำเนิดชีวิตบนโลก หนึ่งในความคิดที่กล้าหาญที่สุดคือการยืนยันว่าวิวัฒนาการดำเนินต่อไปเป็นเวลาหลายล้านปี สิ่งนี้ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระคัมภีร์ที่ว่าโลกถูกสร้างขึ้นในหกวันและไม่ได้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่ใช้ทฤษฎีของดาร์วินเวอร์ชันปรับปรุงใหม่เพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงในสิ่งมีชีวิต บางคนปฏิเสธทฤษฎีของเขาด้วยเหตุผลทางศาสนา

ชาลส์ ดาร์วินค้นพบว่าสิ่งมีชีวิตแข่งขันกันเพื่อหาอาหารและที่อยู่อาศัย เขาสังเกตเห็นว่าแม้แต่ในสปีชีส์เดียวกันก็ยังมีบุคคลที่มีคุณสมบัติพิเศษที่เพิ่มโอกาสในการอยู่รอด ลูกหลานของบุคคลดังกล่าวสืบทอดลักษณะเหล่านี้ และค่อยๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดา บุคคลที่ไม่มีลักษณะเหล่านี้ตายไป ดังนั้นหลังจากหลายชั่วอายุคนสายพันธุ์ทั้งหมดได้รับคุณสมบัติที่มีประโยชน์ กระบวนการนี้เรียกว่าการคัดเลือกโดยธรรมชาติ เขาจัดการเพื่อแก้ปัญหา ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดชีววิทยา: คำถามกำเนิดและพัฒนาการของโลกอินทรีย์ เราสามารถพูดได้ว่าประวัติศาสตร์ทั้งหมดของวิทยาศาสตร์ชีวภาพแบ่งออกเป็นสองช่วงเวลา: ก่อนดาร์วิน - ความปรารถนาโดยไม่รู้ตัวที่จะสร้างหลักการวิวัฒนาการและหลังจากดาร์วิน - การพัฒนาหลักการนี้อย่างมีสติซึ่งก่อตั้งขึ้นในแหล่งกำเนิดของสปีชีส์

เหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้ทฤษฎีนี้ประสบความสำเร็จได้นั้นมาจากข้อดีของหนังสือของดาร์วินเอง การแสดงความคิดนั้นไม่เพียงพอ แต่ยังจำเป็นต้องเชื่อมโยงกับข้อเท็จจริงด้วย และงานส่วนนี้อาจจะยากที่สุด ถ้าชาร์ลส์ ดาร์วินแสดงความคิดของเขาในรูปแบบทั่วไปเช่นวอลเลซ แน่นอนว่ามันจะไม่เกิดผลแม้แต่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่เขาโยงไปถึงผลลัพธ์ที่ห่างไกลที่สุด เชื่อมโยงกับข้อมูลของวิทยาศาสตร์สาขาต่างๆ สำรองข้อมูลด้วยแบตเตอรี่ข้อเท็จจริงที่ทำลายไม่ได้ เขาไม่เพียงค้นพบกฎเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่ากฎนี้แสดงออกอย่างไรในปรากฏการณ์ต่างๆ

การศึกษาเกือบทั้งหมดของดาร์วินที่ปรากฏหลังจาก The Origin of Species แสดงถึงพัฒนาการของหลักการเฉพาะบางอย่างในทฤษฎีของเขา ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวคือหนังสือเกี่ยวกับไส้เดือนและบันทึกเล็กๆ น้อยๆ ส่วนที่เหลือทั้งหมดอุทิศให้กับการแก้ปัญหาต่างๆ ของชีววิทยา - ส่วนใหญ่ซับซ้อนและซับซ้อนที่สุดจากมุมมองของการคัดเลือกโดยธรรมชาติ

ในปี พ.ศ. 2405 ซี. ดาร์วินตีพิมพ์ผลงานของเขาเรื่อง Pollination of Orchids ซึ่งพิสูจน์ว่าพืชปรับตัวเข้ากับ สิ่งแวดล้อมน่าอัศจรรย์ไม่น้อยไปกว่าสัตว์ ชั่วขณะหนึ่ง เขาให้ความชอบทางวิทยาศาสตร์ต่อชีวิตพืช หนังสือแต่ละเล่มที่ตามมาของเขาสร้างความประทับใจให้กับเพื่อนนักพฤกษศาสตร์ ผลงาน "พืชกินแมลง" และ "พืชปีนเขา" ปรากฏพร้อมกันในปี พ.ศ. 2418

Charles Darwin ยังมีส่วนร่วมกับ วิทยาศาสตร์ในอนาคตพันธุศาสตร์ เริ่มทดลองผสมข้ามสายพันธุ์ เขาพิสูจน์ว่าพืชที่ได้จากการผสมข้ามพันธุ์นั้นมีศักยภาพและให้ผลมากกว่าการผสมเกสรด้วยตนเองอย่างง่าย

ผลงานใหม่ของดาร์วินเกือบทุกชิ้นเป็นที่ฮือฮา โลกวิทยาศาสตร์. จริงอยู่ที่ผู้ร่วมสมัยของเขาไม่ยอมรับพวกเขาทั้งหมดดังเช่นที่เกิดขึ้นกับการศึกษา "การก่อตัวของดินพืชผ่านกิจกรรมของเวิร์ม" (2424) ในนั้นดาร์วินได้อธิบายถึงประโยชน์ของหนอนที่ผสมดิน อย่างเป็นธรรมชาติ. ทุกวันนี้ เมื่อผู้คนคิดมากเกี่ยวกับการปนเปื้อนของโลกด้วยปุ๋ยเคมี ปัญหานี้กลับมาเกี่ยวข้องอีกครั้ง

แต่ความสนใจของเขาไม่ได้จำกัดอยู่แค่การศึกษาเชิงทฤษฎีเท่านั้น ในงานชิ้นหนึ่งของเขา ชาลส์ ดาร์วินได้ให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการเพาะพันธุ์สุกรพันธุ์อังกฤษ เมื่อทฤษฎีของเขาแพร่กระจายออกไปและพบผลลัพธ์ในงานจำนวนนับไม่ถ้วน ในการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของความรู้ทุกแขนง นักวิทยาศาสตร์ผู้จดสิทธิบัตร ผู้ทรงคุณวุฒิทางวิชาการได้คืนดีกับข้อดีของนักธรรมชาติวิทยาผู้ยิ่งใหญ่ ในปี พ.ศ. 2407 เขาได้รับรางวัลสูงสุดที่นักวิทยาศาสตร์ในสถาบันสามารถได้รับ นั่นคือเหรียญทอง Kopleev ในปี พ.ศ. 2410 ดาร์วินได้รับรางวัล Prussian Pour Ie Merite ซึ่งก่อตั้งโดย Frederick William IV เพื่อตอบแทนความดีความชอบทางวิชาการและวรรณกรรม มหาวิทยาลัย Bonn, Breslavl, Leiden เลือกให้เขาเป็นแพทย์กิตติมศักดิ์ ปีเตอร์สเบิร์ก (2410), เบอร์ลิน (2421), ปารีส (2421) สถาบัน - สมาชิกที่เกี่ยวข้อง

ดาร์วินปฏิบัติต่อรางวัลเหล่านี้และรางวัลอย่างเป็นทางการอื่น ๆ ด้วยความเฉยเมยอย่างยิ่ง เขาทำประกาศนียบัตรหายและต้องสอบถามกับเพื่อน ๆ ว่าเขาเป็นสมาชิกของสถานศึกษาดังกล่าวหรือไม่ จิตใจของนักวิทยาศาสตร์ไม่ได้อ่อนแอลง ไม่มืดมนตลอดหลายปีที่ผ่านมา และมีเพียงความตายเท่านั้นที่ขัดขวางการทำงานอันยิ่งใหญ่ของเขา

ชาลส์ ดาร์วิน -- คำคม

การค้นพบที่ยิ่งใหญ่บางอย่างที่มีวิทยาการขั้นสูงอาจเรียกว่า "ง่าย" แต่ไม่ใช่ในแง่ที่ว่าพวกเขาสร้างขึ้นได้ง่าย แต่ในแง่ที่ว่าเมื่อสร้างขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเข้าใจได้ง่ายสำหรับทุกคน

ความไม่รู้มักจะมั่นใจในตนเองมากกว่าความรู้เสมอ และมีเพียงผู้ไม่รู้เท่านั้นที่สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถแก้ปัญหานี้หรือปัญหานั้นได้

ฉันจำสมมติฐานข้อเดียวที่ฉันตั้งขึ้นแต่แรกไม่ได้ว่าจะไม่ถูกปฏิเสธหรือเปลี่ยนแปลงหลังจากเวลาผ่านไปสักระยะหนึ่งไม่ได้...

หากสามารถแสดงให้เห็นได้ว่ามีอวัยวะที่ซับซ้อนซึ่งไม่สามารถก่อตัวขึ้นได้จากการดัดแปลงที่อ่อนแออย่างต่อเนื่องหลายครั้ง ทฤษฎีวิวัฒนาการของฉันคงล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่ฉันไม่พบกรณีดังกล่าว

กว่าสองศตวรรษผ่านไปนับตั้งแต่กำเนิดของนักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง Charles Darwin และข้อพิพาทเกี่ยวกับความจริงและนิยายของทฤษฎีของเขาก็ยังไม่หยุดจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงชีวิตของเขา เขาถูกเรียกโดยอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ

เส้นทางชีวิตที่ยากลำบากและผลงานทางวิทยาศาสตร์

นักธรรมชาติวิทยาในอนาคตเกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352 เขาศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ซึ่งเขาได้รับความรู้ในด้านชีววิทยา ธรณีวิทยา และวิทยาศาสตร์อื่นๆ ในช่วงหลายปีของการศึกษา เขารู้สึกถึงรสชาติของการวิจัยและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ตั้งแต่อายุยังน้อย ชาร์ลส์ ดาร์วินสนใจแนวคิดเชิงวิวัฒนาการของนักคิดคนอื่นๆ

การเดินทางรอบโลกมีบทบาทสำคัญในชะตากรรมของเขาทันทีหลังจากกลับมาจากที่นักวิทยาศาสตร์เริ่มคิดเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสายพันธุ์ เขาทำงานด้วยทฤษฎีของเขาเองเป็นเวลาสองทศวรรษเผยแพร่บทความและหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ แนวคิดเรื่องวิวัฒนาการที่ไม่เหมือนใครนั้นประสบความสำเร็จและได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ แม้ว่าจะมีผู้วิจารณ์ด้วยก็ตาม

ใช้ชีวิตแบบนักธรรมชาติวิทยาและนักเดินทางโดยไม่มีอะไรหรูหรา และแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง - เอ็มมา เวดจ์วูด ครอบครัวใหญ่. โดยรวมแล้วคู่สมรสรายงาน ชีวประวัติอย่างเป็นทางการ, มีลูก 10 คนสามคนเสียชีวิตในวัยเด็ก ดาร์วินเองกลัวว่าการผสมพันธุ์เป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยของลูกหลาน - ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนให้เห็นในงานวิทยาศาสตร์หลายชิ้นของเขา

ดาร์วินไม่แยแสกับเกียรติยศและรางวัลเลยแม้แต่น้อย บางทีก็ลืมไปว่าเป็นสมาชิกสถาบันไหนแต่สิ่งนี้ไม่ได้ป้องกันเขาจากการใช้ชีวิตจนผมหงอกด้วยจิตใจที่แจ่มใสและแน่วแน่ นักธรรมชาติวิทยาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2425

ทฤษฎีดาร์วินที่โดดเด่น

ทฤษฎีวิวัฒนาการ

ในบรรดาการค้นพบของดาร์วินทั้งหมด หนึ่งในสิ่งที่สำคัญและสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์คือทฤษฎีวิวัฒนาการ ตามหลักการและบทบัญญัติหลัก นักวิทยาศาสตร์ได้พูดถึงความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เกี่ยวกับวิธีที่สิ่งมีชีวิตปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและการต่อสู้เพื่อการดำรงอยู่ของพวกมัน ดังนั้นศาสตราจารย์ เป็นครั้งแรกที่นำเสนอแนวคิดของ "การคัดเลือกโดยธรรมชาติ"พูดต่อหน้าการต่อสู้ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่รอดนั่นคือ บุคคลที่ปรับตัวการสนับสนุนหลักในหัวข้อนี้ - ปัจจัยวิวัฒนาการของโลกอินทรีย์ - นำเสนอในงาน "กำเนิดของสายพันธุ์โดยวิธีการคัดเลือกโดยธรรมชาติ"

มนุษย์ลิง

วิทยานิพนธ์ที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของผู้คนจาก tetrapods ยังมอบให้กับทุกคนโดยดาร์วิน นี่คือสิ่งที่เขาพูดถึงในหนังสือของเขาเรื่อง "The Origin of Man and Sexual Selection" และด้วยเหตุนี้ ยืนยันสมมติฐานของการเชื่อมต่อของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดกับบรรพบุรุษที่เหมือนลิง

ทฤษฎีทางชีววิทยาของเขาเกี่ยวกับการกำเนิดของมนุษย์พิจารณาถึงต้นกำเนิดและเชื้อสายของสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาด พิสูจน์ความคล้ายคลึงกันของพวกเขากับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เปรียบเทียบความสามารถของมนุษย์และสัตว์ ในงานของเขา ผู้เขียนยังเน้นย้ำถึงความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ โดยได้ข้อสรุปว่าสิ่งเหล่านี้เปลี่ยนแปลงได้และไม่มีนัยสำคัญ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีนัยสำคัญ ความสำคัญทางชีวภาพ. ผู้วิจัยพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างสัตว์กับมนุษย์และบนพื้นฐานของการแสดงออกทางอารมณ์ของความรู้สึก

การวิจัยด้านบรรพชีวินวิทยา สัตววิทยา และพฤกษศาสตร์

ในฐานะนักเดินทาง ดาร์วินไม่ได้หยุดการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เขาค้นพบสัตว์กินเนื้อที่หายไป - สัตว์ขนาดใหญ่ที่คล้ายกับตัวนิ่มและสลอธ ฉันพบท็อกโซดอน สัตว์กีบเท้าขนาดใหญ่ Macrauchenia สัตว์ยักษ์ที่ดูเหมือนอูฐ ในบรรดาการค้นพบทางสัตววิทยาของนักวิทยาศาสตร์คือนกกระจอกเทศขนาดเล็กซึ่งได้รับการตั้งชื่อตามนกกระจอกเทศของดาร์วิน ฝูงนกฟินช์กาลาปาโกสก็ได้รับการตั้งชื่อตามเขาเช่นกัน ผู้วิจัยอธิบายการมีอยู่ของเพรียงอย่างเป็นระบบทั้งชนิดที่สูญพันธุ์ไปแล้วและชนิดปัจจุบัน

ดาร์วินศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับการผสมเกสรข้ามของดอกไม้ พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับความสามารถในการปีนป่ายในฐานะวิธีการปรับตัวของพืช ตีพิมพ์ผลงานเกี่ยวกับบทบาทของไส้เดือนในการก่อตัวของดิน

ข้อเท็จจริงที่อยากรู้อยากเห็นหรือน่าสนใจเกี่ยวกับดาร์วิน

1. หนูน้อยชาร์ลส์ที่สนใจโลกภายนอกมาตั้งแต่เด็ก ต้องเดินตามรอยเท้าพ่อของเขาและเรียนแพทย์หรืออุทิศงานให้กับโบสถ์เพื่อเป็นนักบวช แต่มันไม่ได้ผลกับอย่างใดอย่างหนึ่ง
2. นักธรรมชาติวิทยาไปเที่ยวรอบโลกโดยไม่ได้หมายความว่าเป็นคนรักธรรมชาติ เขาได้รับเชิญให้ใช้เวลาอย่างสนุกสนานกับการสนทนาของสุภาพบุรุษ อย่างไรก็ตาม "การเดินเรือ" ซึ่งวางแผนไว้สองสามปีลากยาวไปห้าปีเต็ม
3. นักวิทยาศาสตร์เข้าหาประเด็นการแต่งงานด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงได้วาด "ข้อดี" และ "ข้อเสีย" ทั้งหมดของชีวิตแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้อง เขาแต่งงานเพียงเพราะข้อได้เปรียบกลายเป็นปริมาณที่มากขึ้น
4. หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของนักวิจัยคือ The Origin of Species แต่เดิมเรียกว่า The Preservation of Favorable Races in the Struggle for Life
5. คนรักธรรมชาติตัวยง ฉันรักมาก ... ที่จะกินสัตว์โดยเฉพาะสัตว์หายากระหว่างการว่ายน้ำบนเรือเป็นเวลานาน นักวิทยาศาสตร์ได้กินเสือคูการ์ อิกัวนา หรือแม้แต่นกกระจอกเทศ แต่อาหารอันโอชะที่ดาร์วินโปรดปรานคือสัตว์ฟันแทะ เขาพูดมากกว่าหนึ่งครั้งเกี่ยวกับรสชาติพิเศษของพวกมัน
6. จนกระทั่งสิ้นสุดวันนักวิทยาศาสตร์ยังคงไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าและ ไม่เคยละทิ้งความคิดเห็นของเขา

หากข้อความนี้มีประโยชน์กับคุณ เรายินดีที่ได้พบคุณ

ชาลส์ โรเบิร์ต ดาร์วิน. เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352 ที่ชรูว์สเบอรี, ชรอปเชียร์ - เสียชีวิตเมื่อวันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2425 ที่ดาวน, เคนต์ นักธรรมชาติวิทยาและนักเดินทางชาวอังกฤษ เป็นคนกลุ่มแรกๆ ที่สรุปและยืนยันแนวคิดที่ว่าสิ่งมีชีวิตทุกประเภทมีวิวัฒนาการตามเวลาจากบรรพบุรุษร่วมกัน ในทฤษฎีของเขา การนำเสนอโดยละเอียดซึ่งตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2402 ในหนังสือ On the Origin of Species ดาร์วินเรียกการคัดเลือกโดยธรรมชาติว่าเป็นกลไกหลักของวิวัฒนาการ ต่อมาเขาได้พัฒนาทฤษฎีการเลือกเพศ นอกจากนี้เขายังเป็นเจ้าของการศึกษาทั่วไปเกี่ยวกับกำเนิดของมนุษย์เป็นครั้งแรกอีกด้วย

ดาร์วินได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นแรกเกี่ยวกับจริยธรรมเรื่อง On the Expression of the Emotions in Man and Animals งานวิจัยอื่น ๆ ของเขาคือการสร้างแบบจำลองสำหรับการเกิดขึ้นของแนวปะการังและคำจำกัดความของกฎแห่งกรรมพันธุ์ จากผลการทดลองคัดเลือก ดาร์วินเสนอสมมติฐานของกรรมพันธุ์ (pangenesis) ซึ่งไม่ได้รับการยืนยัน

ต้นกำเนิดของความหลากหลายทางชีวภาพอันเป็นผลมาจากวิวัฒนาการได้รับการยอมรับจากนักชีววิทยาส่วนใหญ่ในช่วงชีวิตของดาร์วิน ในขณะที่ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของเขาในฐานะกลไกหลักของวิวัฒนาการกลายเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในทศวรรษที่ 1950 พร้อมกับการถือกำเนิดของทฤษฎีวิวัฒนาการสังเคราะห์เท่านั้น ความคิดและการค้นพบของดาร์วินในรูปแบบที่แก้ไขเป็นรากฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการสังเคราะห์สมัยใหม่และเป็นพื้นฐานของชีววิทยาโดยให้คำอธิบายเกี่ยวกับความหลากหลายทางชีวภาพ ระยะ "ลัทธิดาร์วิน".

Charles Darwin เกิดเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2352 ในเมือง Shrewsbury เมือง Shropshire ในที่ดินของครอบครัว Mount House บุตรคนที่ห้าในหกของนายแพทย์และนักการเงินผู้มั่งคั่ง โรเบิร์ต ดาร์วิน และซูซานนาห์ ดาร์วิน มีชื่อเดิมว่า เวดจ์วูด เขาเป็นหลานชายของนักธรรมชาติวิทยา Erasmus Darwin ทางฝั่งพ่อของเขา และ Josiah Wedgwood จิตรกรทางฝั่งแม่ของเขา ทั้งสองครอบครัวส่วนใหญ่หัวแข็ง แต่ตระกูลเวดจ์วูดเป็นสมาชิกของนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ โรเบิร์ต ดาร์วินเองก็มีมุมมองที่เป็นอิสระเพียงพอ และเห็นพ้องต้องกันว่าชาร์ลส์ตัวน้อยได้รับศีลมหาสนิทในคริสตจักรแองกลิกัน แต่ในขณะเดียวกัน ชาร์ลส์และพี่น้องของเขาก็เข้าร่วมคริสตจักรหัวแข็งกับแม่ของพวกเขา

เมื่อเขาเข้าเรียนในโรงเรียนกลางวันในปี พ.ศ. 2360 ดาร์วินวัยแปดขวบได้เข้าไปพัวพันกับประวัติศาสตร์ธรรมชาติและการสะสม ปีนี้ในเดือนกรกฎาคม แม่ของเขาเสียชีวิต และการเลี้ยงดูเด็กชายอายุ 8 ขวบตกอยู่บนบ่าของพ่อของเขาซึ่งไม่เคยฟังความต้องการทางวิญญาณของลูกชายอย่างระมัดระวัง ตั้งแต่เดือนกันยายน พ.ศ. 2361 เขาพร้อมกับพี่ชายของเขา Erasmus (Erasmus Alvey Darwin) เข้าโรงเรียนประจำที่โรงเรียนแองกลิกันแห่ง Shrewsbury (โรงเรียน Shrewsbury) ที่ใกล้ที่สุดซึ่งนักธรรมชาติวิทยาในอนาคตผู้รักธรรมชาติต้องศึกษา "สิ่งที่แห้ง สำหรับจิตวิญญาณที่มีชีวิตของเขา" เป็นภาษาและวรรณกรรมคลาสสิก ไม่น่าแปลกใจที่เขาพบ ขาดหายไปอย่างสมบูรณ์ความสามารถจนทำให้อาจารย์และคนรอบข้างยอมแพ้อย่างสิ้นหวัง นักเรียนชั้นประถมที่ไร้ความสามารถหลังจากเรียนมัธยมปีหนึ่งเริ่มสะสมผีเสื้อ แร่ธาตุ เปลือกหอย จากนั้นความหลงใหลอีกอย่างก็ปรากฏขึ้น - การล่าสัตว์ พ่อและคนรอบข้างถือว่างานอดิเรกเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาร์ลส์ล้มเหลว แต่การตำหนิและแม้แต่การขู่บ่อยๆ ของพวกเขาสอนให้เขาฟังแต่เสียงภายในของเขา ไม่ใช่คำสั่งจากภายนอก ในตอนท้ายของชีวิตในโรงเรียนงานอดิเรกใหม่ก็ปรากฏขึ้น - เคมีและสำหรับ "งานอดิเรกที่ว่างเปล่า" นี้เขาได้รับการตำหนิอย่างรุนแรงจากผู้อำนวยการโรงยิม ปีโรงยิมจบลงด้วยใบรับรองปานกลาง

ก่อนที่จะไปกับราสมุสน้องชายของเขาที่มหาวิทยาลัยเอดินบะระในฤดูร้อนปี 1825 เขาทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนักเรียนและช่วยพ่อของเขาในการปฏิบัติทางการแพทย์ ช่วยเหลือคนยากจนในชร็อพเชียร์

ดาร์วินเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยเอดินเบอระ ในระหว่างการศึกษา เขาตระหนักว่าการบรรยายน่าเบื่อและการผ่าตัดนั้นเจ็บปวด ดังนั้นเขาจึงละทิ้งการเรียนแพทย์ แต่เขากลับเริ่มเรียนวิชาแท็กซี่กับจอห์น เอดมันสโตน ทาสผิวดำที่ได้รับอิสรภาพซึ่งได้รับประสบการณ์ร่วมกับชาร์ลส์ วอเตอร์ตันในการเดินทางไปยังป่าฝนในอเมริกาใต้ และมักเรียกเขาว่า "ชายผู้ใจดีและเฉลียวฉลาด" .

ในปี พ.ศ. 2369 ในฐานะนักศึกษาประวัติศาสตร์ธรรมชาติ เขาเข้าร่วมสมาคมนักศึกษาพลินี ซึ่งอภิปรายเกี่ยวกับลัทธิวัตถุนิยมอย่างแข็งขัน ในช่วงเวลานี้ เขาช่วย Robert Edmond Grant ในการวิจัยเกี่ยวกับกายวิภาคศาสตร์และวงจรชีวิตของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล ในการประชุมของสังคมในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2370 ดาร์วินนำเสนอข้อความสั้น ๆ เกี่ยวกับการค้นพบครั้งแรกของเขา ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของเขาต่อสิ่งที่คุ้นเคย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขาแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าไข่ของไบรโอซัว Flustra มีความสามารถในการเคลื่อนที่อย่างอิสระด้วยความช่วยเหลือของ cilia และอันที่จริงแล้วเป็นตัวอ่อน นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตว่าวัตถุทรงกลมขนาดเล็กซึ่งถือเป็นระยะอ่อนของสาหร่าย Fucus loreus คือรังไข่ของปลิงงวง Pontobdella muricata

ครั้งหนึ่ง ณ การปรากฏตัวของดาร์วิน แกรนท์ชื่นชมแนวคิดเชิงวิวัฒนาการของลามาร์ก ดาร์วินประหลาดใจกับคำพูดที่กระตือรือร้นนี้ แต่ยังคงนิ่งเงียบ ก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาได้แนวคิดที่คล้ายกันนี้จากปู่ของเขา Erasmus โดยการอ่าน Zoonomy ของเขา และด้วยเหตุนี้ เขาจึงรับรู้ถึงความขัดแย้งของทฤษฎีนี้แล้ว ในช่วงปีที่สองของเขาในเอดินบะระ ดาร์วินได้เข้าเรียนหลักสูตรประวัติศาสตร์ธรรมชาติของ Robert Jameson ซึ่งครอบคลุมเรื่องธรณีวิทยา รวมถึงความขัดแย้งระหว่างกลุ่มดาวเนปจูนและกลุ่มดาวพลูโต อย่างไรก็ตาม ดาร์วินไม่ได้มีความหลงใหลในวิทยาศาสตร์ทางธรณีวิทยา แม้ว่าเขาจะได้รับการฝึกอบรมอย่างเพียงพอเพื่อตัดสินเรื่องนี้อย่างสมเหตุสมผล ในปีเดียวกัน เขาได้ศึกษาการจัดประเภทพืชและมีส่วนร่วมในคอลเลกชั่นมากมายที่พิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปในยุคนั้น

พ่อของดาร์วินเมื่อรู้ว่าลูกชายละทิ้งการเรียนแพทย์ รู้สึกรำคาญและเชิญเขาให้เข้าเรียนที่ Christ's College, Cambridge University และรับฐานะปุโรหิตของนิกายเชิร์ชออฟอิงแลนด์ ตามคำบอกเล่าของดาร์วินเอง วันเวลาที่ใช้ในเอดินเบอระทำให้เขาเกิดความสงสัยเกี่ยวกับหลักปฏิบัติของคริสตจักรแองกลิกัน ในเวลานี้ เขาอ่านหนังสือศาสนศาสตร์อย่างขยันขันแข็ง และท้ายที่สุดก็โน้มน้าวใจตัวเองถึงการยอมรับหลักคำสอนของโบสถ์และเตรียมตัวเข้าศึกษา ขณะศึกษาอยู่ในเอดินเบอระ เขาลืมวิชาที่จำเป็นสำหรับการเข้าศึกษาบางวิชา ดังนั้นเขาจึงเรียนกับครูส่วนตัวในเมืองชรูว์สเบอรีและเข้าเคมบริดจ์หลังวันหยุดคริสต์มาส เมื่อต้นปี พ.ศ. 2371

ในคำพูดของเขาเอง เขาไม่ได้ลงลึกเกินไปในการศึกษาของเขา อุทิศเวลาให้กับการขี่ม้า ยิงปืน และล่าสัตว์ (โชคดีที่การเข้าร่วมการบรรยายเป็นเรื่องสมัครใจ) วิลเลียม ฟ็อกซ์ ลูกพี่ลูกน้องของเขาแนะนำให้เขารู้จักกีฏวิทยาและทำให้เขาใกล้ชิดกับคนที่ชอบสะสมแมลงมากขึ้น เป็นผลให้เขาพัฒนาความหลงใหลในการสะสมด้วง ดาร์วินเองยืนยันความหลงใหลของเขาโดยอ้างถึงเรื่องราวต่อไปนี้:“ ครั้งหนึ่งฉันฉีกเปลือกไม้เก่า ๆ ออกจากต้นไม้ฉันเห็นด้วงหายากสองตัวและคว้าพวกมันด้วยมือแต่ละข้าง แต่แล้วฉันก็เห็นหนึ่งในสาม ชนิดใหม่ที่ฉันปล่อยไม่ได้ ฉันปล่อยด้วงที่ถือด้วยมือขวาเข้าปากไม่ได้ อนิจจา เขาปล่อยของเหลวที่มีฤทธิ์กัดกร่อนรุนแรงออกมา ซึ่งทำให้ลิ้นของฉันไหม้มากจนฉันต้องคายแมลงปีกแข็งออกมา และฉันก็ทำมันหายไป เช่นเดียวกับครั้งที่สาม การค้นพบบางส่วนของเขาได้รับการตีพิมพ์ในหนังสือ Illustrations of British Entomology ของ Stevens "ภาพประกอบกีฏวิทยาอังกฤษ".

เขากลายเป็นเพื่อนสนิทและเป็นผู้ติดตามของศาสตราจารย์ด้านพฤกษศาสตร์ John Stevens Genslow จากการที่เขารู้จักกับเฮนสโลว์ เขาได้พบกับนักธรรมชาติวิทยาชั้นนำคนอื่นๆ และกลายเป็นที่รู้จักในแวดวงของพวกเขาในชื่อ "ชายผู้เดินกับเฮนสโลว์" (อังกฤษ: the man who walks with Henslow) เมื่อการสอบใกล้เข้ามา ดาร์วินจดจ่อกับการเรียนของเขา ในช่วงเวลานี้ เขาอ่านหลักฐานของศาสนาคริสต์ของวิลเลียม ปาลีย์ ซึ่งภาษาและอรรถาธิบายทำให้ดาร์วินพอใจ เมื่อสิ้นสุดการศึกษาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1831 ดาร์วินมีความก้าวหน้าในด้านศาสนศาสตร์เป็นอย่างดี ศึกษาวรรณกรรมคลาสสิก คณิตศาสตร์ และฟิสิกส์ และในที่สุดก็กลายเป็นอันดับที่ 10 ในรายชื่อ 178 คนที่สอบผ่าน

ดาร์วินยังคงอยู่ที่เคมบริดจ์จนถึงเดือนมิถุนายน เขาศึกษา "เทววิทยาธรรมชาติ" ของ Paley ซึ่งผู้เขียนได้ให้ข้อโต้แย้งทางเทววิทยาเพื่ออธิบายธรรมชาติของธรรมชาติ อธิบายว่าการปรับตัวเป็นการกระทำของพระเจ้าผ่านกฎของธรรมชาติ เขากำลังอ่านหนังสือเล่มใหม่ของเฮอร์เชล ซึ่งอธิบายถึงเป้าหมายสูงสุดของปรัชญาธรรมชาติในฐานะความเข้าใจกฎหมายผ่านการให้เหตุผลแบบอุปนัยโดยอาศัยการสังเกต เขายังให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเรื่องเล่าส่วนตัวของอเล็กซานเดอร์ ฟอน ฮุมโบลดต์ ซึ่งผู้เขียนบรรยายถึงการเดินทางของเขา คำอธิบายของ Humboldt เกี่ยวกับเกาะ Tenerife ทำให้ Darwin และเพื่อน ๆ ของเขามีความคิดที่จะไปที่นั่นหลังจากจบการศึกษาเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ธรรมชาติในเขตร้อน

ในการเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ เขาเรียนวิชาธรณีวิทยาจากสาธุคุณอดัม เซดจ์วิค และจากนั้นไปกับเขาในช่วงฤดูร้อนเพื่อทำแผนที่หินในเวลส์ สองสัปดาห์ต่อมา หลังจากกลับจากทัวร์ธรณีวิทยาสั้นๆ ทางตอนเหนือของเวลส์ เขาพบจดหมายจากเฮนสโลว์ที่แนะนำให้ดาร์วินเป็นผู้ที่เหมาะสมในตำแหน่งนักธรรมชาติวิทยาที่ไม่ได้รับค่าตอบแทนแก่กัปตันของบีเกิล โรเบิร์ต ฟิตซ์รอย ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะสำรวจชายฝั่ง จะเริ่มในอีกสี่สัปดาห์ อเมริกาใต้ ดาร์วินพร้อมที่จะรับข้อเสนอทันที แต่พ่อของเขาคัดค้านการผจญภัยแบบนี้ เพราะเขาเชื่อว่าการเดินทางสองปีนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าการเสียเวลา แต่การแทรกแซงอย่างทันท่วงทีของลุงชาร์ลส์ โจเซียห์ เวดจ์วูดที่ 2 เกลี้ยกล่อมให้พ่อเห็นด้วย

ในปีพ. ศ. 2374 หลังจากสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดาร์วินในฐานะนักธรรมชาติวิทยาได้เดินทางรอบโลกด้วยเรือสำรวจของกองทัพเรือ "บีเกิล" ซึ่งเขากลับมาอังกฤษในวันที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2379 เท่านั้น

การเดินทางกินเวลาเกือบห้าปี ดาร์วินใช้เวลาส่วนใหญ่บนชายฝั่ง ศึกษาธรณีวิทยาและสะสมคอลเล็กชันประวัติศาสตร์ธรรมชาติ ขณะที่บีเกิลภายใต้การดูแลของฟิตซ์รอย ดำเนินการสำรวจชายฝั่งโดยใช้อุทกศาสตร์และการทำแผนที่

ระหว่างการเดินทาง เขาบันทึกข้อสังเกตและการคำนวณเชิงทฤษฎีอย่างระมัดระวัง ในบางครั้ง ทันทีที่โอกาสมาถึง ดาร์วินได้ส่งสำเนาบันทึกไปยังเคมบริดจ์พร้อมกับจดหมาย รวมถึงสำเนาบางส่วนของไดอารี่ของเขาให้กับญาติๆ

ในระหว่างการเดินทาง เขาได้บรรยายลักษณะทางธรณีวิทยาของพื้นที่ต่างๆ จำนวนหนึ่ง รวบรวมคอลเล็กชันของสัตว์ และยังได้อธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับโครงสร้างภายนอกและกายวิภาคของสัตว์ทะเลที่ไม่มีกระดูกสันหลังหลายชนิด ในพื้นที่อื่น ๆ ที่ดาร์วินไม่รู้ เขาพิสูจน์แล้วว่าเป็นนักสะสมที่เชี่ยวชาญ โดยเก็บตัวอย่างเพื่อการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญ แม้จะมีอาการป่วยที่เกี่ยวข้องกับอาการเมาเรืออยู่บ่อยครั้ง แต่ดาร์วินก็ยังคงทำการวิจัยบนเรือต่อไป บันทึกส่วนใหญ่เกี่ยวกับสัตววิทยาเกี่ยวกับสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในทะเล ซึ่งเขารวบรวมและบรรยายในช่วงเวลาที่ทะเลสงบ

ระหว่างจุดแวะพักแห่งแรกนอกชายฝั่งซันติอาโก ดาร์วินได้ค้นพบปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ นั่นคือ หินภูเขาไฟที่มีเปลือกหอยและปะการังถูกเผาภายใต้การกระทำของลาวาที่มีอุณหภูมิสูงจนกลายเป็นหินสีขาวทึบ Fitzroy มอบหลักการธรณีวิทยาของ Charles Lyell เล่มแรกให้เขา ซึ่งผู้เขียนได้กำหนดแนวคิดแบบเอกภาพในการรักษาการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาในช่วงเวลาอันยาวนาน และแม้กระทั่งการศึกษาครั้งแรกที่ดำเนินการโดยดาร์วินในเมืองซันติอาโกบนหมู่เกาะเคปเวิร์ด ก็แสดงให้เห็นความเหนือกว่าของวิธีการที่ไลล์นำมาใช้ ต่อจากนั้น ดาร์วินยอมรับและใช้แนวทางของ Lyell สำหรับการสร้างทางทฤษฎีและการสะท้อนเมื่อเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรณีวิทยา

ที่ Punta Alta ใน Patagonia เขาได้ค้นพบสิ่งสำคัญ ดาร์วินค้นพบฟอสซิลสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดยักษ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว ความสำคัญของการค้นพบนี้เน้นย้ำด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าซากของสัตว์ชนิดนี้ถูกพบในโขดหินข้างเปลือกของหอยสมัยใหม่ ซึ่งบ่งบอกถึงการสูญพันธุ์เมื่อเร็วๆ นี้โดยอ้อม โดยไม่มีสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภัยพิบัติ เขาระบุสิ่งที่พบว่าเป็นเมกาเธอเรียมที่คลุมเครือ มีกระดองเป็นกระดูก ซึ่งในความประทับใจแรกของเขา ดูเหมือนอาร์มาดิลโลพื้นเมืองขนาดมหึมา การค้นพบนี้สร้างความสนใจอย่างมากเมื่อไปถึงชายฝั่งของอังกฤษ ระหว่างการเดินทางกับคนท้องถิ่นในพื้นที่เพื่ออธิบายธรณีวิทยาและคอลเล็กชันซากดึกดำบรรพ์ เขาได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแง่มุมทางสังคม การเมือง และมานุษยวิทยาของปฏิสัมพันธ์ระหว่างชนพื้นเมืองและชาวอาณานิคมในช่วงที่มีการปฏิวัติ นอกจากนี้เขายังตั้งข้อสังเกตว่านกกระจอกเทศทั้งสองสายพันธุ์มีช่วงต่างกันแต่ทับซ้อนกัน

เมื่อเดินทางต่อไปทางใต้ เขาค้นพบที่ราบขั้นบันไดที่เรียงรายไปด้วยก้อนกรวดและเปลือกหอย เช่น ระเบียงทะเล ซึ่งสะท้อนถึงการยกตัวของแผ่นดิน เมื่ออ่าน Lyell เล่มที่สอง ดาร์วินยอมรับมุมมองของเขาเกี่ยวกับ "ศูนย์กลางของการสร้าง" ของสปีชีส์ แต่การค้นพบและการไตร่ตรองของเขาทำให้เขาตั้งคำถามกับแนวคิดของ Lyell เกี่ยวกับการคงอยู่และการสูญพันธุ์ของสปีชีส์

บนเรือมีชาว Fuegians สามคนซึ่งถูกพาตัวไปอังกฤษในการสำรวจครั้งสุดท้ายของ Beagle เมื่อประมาณเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2373 พวกเขาใช้เวลาหนึ่งปีในอังกฤษและตอนนี้ถูกนำกลับมาที่ Tierra del Fuego ในฐานะมิชชันนารี ดาร์วินพบว่าคนเหล่านี้เป็นมิตรและมีอารยธรรม ในขณะที่เพื่อนร่วมชาติของพวกเขาดูเหมือน "ป่าเถื่อนที่น่าสมเพชและเสื่อมทราม" เช่นเดียวกับสัตว์บ้านและสัตว์ป่าที่แตกต่างกัน สำหรับดาร์วิน ความแตกต่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความเหนือกว่าทางวัฒนธรรมเป็นหลัก ไม่ใช่ความด้อยทางเชื้อชาติ ตอนนี้เขาคิดว่าไม่มีช่องว่างระหว่างมนุษย์กับสัตว์ซึ่งแตกต่างจากเพื่อนที่เรียนรู้ของเขา ภารกิจนี้ถูกยกเลิกในอีกหนึ่งปีต่อมา เจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่ชื่อจิมมี่ บัตตัน (เจมมี่ บัตตัน) เริ่มใช้ชีวิตแบบเดียวกับชาวพื้นเมืองคนอื่นๆ เขามีภรรยาและไม่มีความปรารถนาที่จะกลับไปอังกฤษ

ในชิลี ดาร์วินได้เห็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่และเห็นสัญญาณบ่งชี้ว่าพื้นดินเพิ่งยกตัวขึ้น ชั้นที่ยกขึ้นนี้รวมถึงหอยสองฝาที่อยู่เหนือน้ำขึ้นสูง บนเทือกเขาแอนดีส เขายังพบหอยและต้นไม้ฟอสซิลหลายชนิดที่มักเติบโตบนหาดทราย ภาพสะท้อนทางทฤษฎีของเขาทำให้เขาเห็นข้อเท็จจริงที่ว่า เมื่อแผ่นดินสูงขึ้น เปลือกหอยจะสูงอยู่บนภูเขา เมื่อก้นทะเลจมลง เกาะในมหาสมุทรจมอยู่ใต้น้ำ และในขณะเดียวกันแนวปะการังก็ก่อตัวขึ้นรอบเกาะจากแนวปะการังชายฝั่ง แล้วเกาะปะการัง

ในกาลาปากอส ดาร์วินสังเกตเห็นว่านกม็อกกิ้งเบิร์ดบางตัวแตกต่างจากนกในชิลีและอยู่คนละเกาะ เขายังได้ยินมาว่ากระดองเต่ามีรูปร่างแตกต่างกันไปเล็กน้อย ซึ่งบ่งชี้ถึงเกาะต้นกำเนิด

หนูจิงโจ้ที่มีกระเป๋าหน้าท้องและตุ่นปากเป็ดที่เขาเห็นในออสเตรเลียนั้นดูแปลกประหลาดจนทำให้ดาร์วินคิดว่าผู้สร้างอย่างน้อยสองคนกำลังทำงานพร้อมกันเพื่อสร้างโลกใบนี้ เขาพบว่าชาวอะบอริจินของออสเตรเลีย "อ่อนโยนและน่ารัก" และสังเกตว่าจำนวนของพวกเขาลดลงอย่างรวดเร็วภายใต้การโจมตีของการล่าอาณานิคมของยุโรป

สายสืบสำรวจเกาะปะการังของหมู่เกาะโคโคสเพื่อค้นหากลไกการก่อตัวของพวกมัน ความสำเร็จของการศึกษานี้ขึ้นอยู่กับการสะท้อนทางทฤษฎีของดาร์วินเป็นส่วนใหญ่ Fitzroy ได้เริ่มเขียนเรื่องราวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการเดินทางของ Beagle และหลังจากอ่านบันทึกประจำวันของ Darwin แล้ว เขาก็แนะนำให้รวมไว้ในรายงานด้วย

ระหว่างการเดินทาง ดาร์วินได้เยี่ยมชมเกาะเตเนริเฟ หมู่เกาะเคปเวิร์ด ชายฝั่งบราซิล อาร์เจนตินา อุรุกวัย เทียร์ราเดลฟวยโก แทสเมเนีย และหมู่เกาะโคโคส เขารายงานผลใน The Journal of a Naturalist (1839), Zoology of the Voyage on the Beagle (1840), The Structure and Distribution of Coral Reefs (The Structure and Distribution of Coral Reefs, 1842) และอื่นๆ หนึ่งในเรื่องที่น่าสนใจ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ดาร์วินบรรยายเป็นครั้งแรกในวรรณกรรมทางวิทยาศาสตร์คือ เพนิตเตส (Penitentes) ซึ่งเป็นผลึกน้ำแข็งรูปแบบพิเศษที่ก่อตัวขึ้นบนพื้นผิวของธารน้ำแข็งในเทือกเขาแอนดีส

ก่อนออกเดินทางดาร์วินได้พบกับฟิตซ์รอย ต่อจากนั้น กัปตันนึกถึงการประชุมครั้งนี้และกล่าวว่าดาร์วินเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกปฏิเสธเพราะรูปทรงจมูกของเขา ด้วยความยึดมั่นในคำสอนของ Lavater เขาเชื่อว่ามีความเกี่ยวข้องกันระหว่างลักษณะของบุคคลกับลักษณะที่ปรากฏของเขา ดังนั้นเขาจึงสงสัยว่าคนที่มีจมูกเช่น Darwin อาจมีพลังงานและความมุ่งมั่นเพียงพอ เพื่อให้การเดินทาง แม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่า "อารมณ์ของ Fitzroy นั้นน่ารังเกียจที่สุด" "เขามีคุณสมบัติอันสูงส่งมากมาย: เขาซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเขา, ใจกว้างมาก, กล้าหาญ, เด็ดเดี่ยว, มีพลังที่ไม่ย่อท้อและเป็นเพื่อนที่จริงใจของทุกคนที่อยู่ภายใต้คำสั่งของเขา " ดาร์วินเองตั้งข้อสังเกตว่าทัศนคติของกัปตันที่มีต่อเขานั้นดีมาก "แต่มันยากที่จะเข้ากับชายคนนี้ด้วยความใกล้ชิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับเราซึ่งรับประทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันกับเขาในห้องโดยสารของเขา หลายครั้งที่เราทะเลาะกันเพราะการระคายเคืองเขาสูญเสียความสามารถในการใช้เหตุผลโดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างพวกเขาบนพื้นฐานของความคิดเห็นทางการเมือง Fitzroy เป็นคนอนุรักษ์นิยมอย่างแข็งขัน ปกป้องความเป็นทาสของนิโกร และสนับสนุนนโยบายอาณานิคมของรัฐบาลอังกฤษ ฟิตซ์รอยเป็นคนเคร่งศาสนามาก เป็นคนตาบอดที่ยึดมั่นในความเชื่อของโบสถ์ ฟิตซ์รอยไม่สามารถเข้าใจข้อสงสัยของดาร์วินเกี่ยวกับความไม่เปลี่ยนแปลงของสายพันธุ์ได้ ต่อจากนั้น เขาไม่พอใจดาร์วินที่

ในปี พ.ศ. 2381-2384 ดาร์วินเป็นเลขาธิการสมาคมธรณีวิทยาแห่งลอนดอน เขาแต่งงานกันในปี พ.ศ. 2382 และในปี พ.ศ. 2385 ทั้งคู่ย้ายจากลอนดอนไปยังดาวน์ (เคนต์) ซึ่งทั้งคู่เริ่มใช้ชีวิตอย่างถาวร ที่นี่ดาร์วินเป็นผู้นำชีวิตที่สันโดษและวัดผลได้ของนักวิทยาศาสตร์และนักเขียน

หลังจากกลับมาได้ไม่นาน ดาร์วินได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อย่อว่า The Naturalist's Voyage Around the World in the Beagle (1839) มันประสบความสำเร็จอย่างมาก และฉบับขยายครั้งที่สอง (พ.ศ. 2388) ได้รับการแปลเป็นภาษายุโรปหลายภาษาและพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง ดาร์วินยังมีส่วนร่วมในการเขียนเอกสารห้าเล่ม The Zoology of Travel (1842) ในฐานะนักสัตววิทยา ดาร์วินเลือกเพรียงเป็นเป้าหมายในการศึกษาของเขา และในไม่ช้าก็กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ดีที่สุดในโลกในกลุ่มนี้ เขาเขียนและตีพิมพ์เอกสารสี่เล่มชื่อ Barnacles (เอกสารเกี่ยวกับ Cirripedia, 1851-1854) ซึ่งนักสัตววิทยายังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2380 ดาร์วินเริ่มเขียนบันทึกประจำวันซึ่งเขาได้ป้อนข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์ของสัตว์เลี้ยงและพันธุ์พืช ตลอดจนข้อพิจารณาเกี่ยวกับการคัดเลือกโดยธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2385 เขาเขียนเรียงความเรื่องแรกเกี่ยวกับต้นกำเนิดของสายพันธุ์

เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2398 ดาร์วินติดต่อกับนักพฤกษศาสตร์ชาวอเมริกัน เอ. เกรย์ ซึ่งอีกสองปีต่อมาเขาได้นำเสนอแนวคิดของเขา ในปี พ.ศ. 2399 ภายใต้อิทธิพลของนักธรณีวิทยาและนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ ซี. ไลล์ ดาร์วินเริ่มเตรียมหนังสือฉบับขยายฉบับที่สาม ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2401 เมื่องานเสร็จสิ้นไปครึ่งหนึ่ง ฉันได้รับจดหมายจากนักธรรมชาติวิทยาชาวอังกฤษ เอ. อาร์. วอลเลซ พร้อมต้นฉบับของบทความชิ้นหลัง ในบทความนี้ ดาร์วินได้ค้นพบคำอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของเขาเอง นักธรรมชาติวิทยาทั้งสองได้พัฒนาทฤษฎีที่เหมือนกันอย่างอิสระและพร้อมกัน ทั้งสองได้รับอิทธิพลจากงานของ T. R. Malthus เกี่ยวกับจำนวนประชากร ทั้งคู่รับรู้ถึงมุมมองของ Lyell ทั้งคู่ศึกษาสัตว์ พืช และโครงสร้างทางธรณีวิทยาของกลุ่มเกาะ และพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่ ดาร์วินส่งต้นฉบับของวอลเลซให้ไลล์พร้อมกับเรียงความของเขาเอง เช่นเดียวกับเค้าโครงของเวอร์ชันที่สองของเขา (พ.ศ. 2387) และสำเนาจดหมายถึงเอ. เกรย์ (พ.ศ. 2400) ไลล์หันไปขอคำแนะนำจากโจเซฟ ฮุกเกอร์ นักพฤกษศาสตร์ชาวอังกฤษ และในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2401 พวกเขาร่วมกันนำเสนอผลงานทั้งสองชิ้นต่อสมาคมลินเนียนในลอนดอน

ในปี พ.ศ. 2402 ดาร์วินตีพิมพ์เรื่อง On the Origin of Species โดยวิธีคัดเลือกโดยธรรมชาติ หรือ the Preservation of Favoured Races in the Struggle for Life ซึ่งเขาได้แสดงให้เห็นถึงความแปรปรวนของพันธุ์พืชและสัตว์ ซึ่งเป็นต้นกำเนิดตามธรรมชาติของพวกมันจากสายพันธุ์ก่อนหน้า

ในปี พ.ศ. 2411 ดาร์วินตีพิมพ์ผลงานชิ้นที่สองของเขาเกี่ยวกับวิวัฒนาการ The Variation of Animals and Plants under Domestication ซึ่งมีตัวอย่างมากมายเกี่ยวกับวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต ในปี พ.ศ. 2414 งานสำคัญอีกชิ้นหนึ่งของดาร์วินปรากฏขึ้น - The Descent of Man, and Selection in Relation to Sex ซึ่งดาร์วินโต้เถียงกันในเรื่องต้นกำเนิดตามธรรมชาติของมนุษย์จากสัตว์ (บรรพบุรุษที่คล้ายลิง) ผลงานช่วงปลายที่โดดเด่นอื่นๆ ของดาร์วิน ได้แก่ The Fertilization of Orchids (1862); "การแสดงออกของอารมณ์ในมนุษย์และสัตว์" (The Expression of the Emotions in Man and Animals, 1872); "ผลของการผสมข้ามพันธุ์และการปฏิสนธิในตัวเองในอาณาจักรพืชผัก พ.ศ. 2419"

ดาร์วินได้รับรางวัลมากมายจากสมาคมวิทยาศาสตร์แห่งบริเตนใหญ่และประเทศอื่นๆ ในยุโรป

ครอบครัวชาร์ลส์ ดาร์วิน:

ดาร์วินให้ความสำคัญกับเรื่องการแต่งงานเป็นอย่างมาก เขารวบรวมข้อโต้แย้งทั้งหมดเข้าด้วยกันและเขียนลงในกระดาษสำหรับและต่อต้าน ในตอนท้าย เขาสรุปข้อโต้แย้งและได้ข้อสรุปสุดท้าย: "แต่งงาน-แต่งงาน-แต่งงาน" วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2382 ชาลส์ ดาร์วินแต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของเขา เอ็มมา เวดจ์วูด พิธีแต่งงานจัดขึ้นตามประเพณีของคริสตจักรแองกลิกันและตามประเพณีหัวแข็ง ในตอนแรกทั้งคู่อาศัยอยู่ที่ Gower Street ในลอนดอน จากนั้นในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2385 ทั้งคู่ก็ย้ายไปที่ Down (Kent)

ครอบครัวดาร์วินมีลูกสิบคน สามคนเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกและหลานหลายคนประสบความสำเร็จอย่างมาก

วิลเลียม อีราสมุส ดาร์วิน (27 ธันวาคม พ.ศ. 2382 – 8 กันยายน พ.ศ. 2457) ลูกชายคนโตของดาร์วิน เขาจบการศึกษาจาก Christ's College, Cambridge University และทำงานเป็นนายธนาคารใน Southampton เขาแต่งงานกับ Sarah Ashburner ซึ่งมีพื้นเพมาจากนิวยอร์ก ไม่มีลูก

แอนนี เอลิซาเบธ ดาร์วิน (เกิด 2 มีนาคม พ.ศ. 2384 – 23 เมษายน พ.ศ. 2394) เธอเสียชีวิตเมื่ออายุได้สิบขวบ (อาจเป็นเพราะวัณโรค) การตายของแอนนี่เปลี่ยนมุมมองของดาร์วินที่มีต่อศาสนาคริสต์อย่างสิ้นเชิง

แมรี เอเลนอร์ ดาร์วิน (23 กันยายน พ.ศ. 2385 - 16 ตุลาคม พ.ศ. 2385) เสียชีวิตในวัยทารก

เฮนเรียตตา เอ็มมา "เอตตี" ดาร์วิน (25 กันยายน พ.ศ. 2386 – 17 ธันวาคม พ.ศ. 2472) เธอแต่งงานกับ Richard Buckley Lichfield ไม่มีลูก มีพระชนมายุถึง 86 พรรษา ในปี 1904 เธอตีพิมพ์จดหมายส่วนตัวถึงแม่ของเธอ

เอลิซาเบธ "เบสซี" ดาร์วิน (อังกฤษ เอลิซาเบธ "เบสซี" ดาร์วิน) (8 กรกฎาคม 2390-2469) เธอมีอายุได้ 78 ปี เธอไม่ได้แต่งงานไม่มีลูก

ชาลส์ แวริง ดาร์วิน (6 ธันวาคม พ.ศ. 2399 - 28 มิถุนายน พ.ศ. 2401) เสียชีวิตในวัยทารก

เด็กบางคนป่วยหรืออ่อนแอและชาร์ลส์ดาร์วินกลัวว่าเหตุผลนี้เป็นเครือญาติกับเอ็มมาซึ่งสะท้อนให้เห็นในงานของเขาเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของลูกหลานจากการผสมพันธุ์และข้อดีของการผสมข้ามพันธุ์