บ้าน › ร่างกาย › ความทรงจำในอดีตส่งผลต่อลูกของคุณอย่างไร เด็ก ๆ พูดคุยเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา

ความทรงจำในอดีตส่งผลต่อลูกของคุณอย่างไร เด็ก ๆ พูดคุยเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมา

เมื่อหลายเดือนก่อน ฉันได้พบกับหนึ่งในนั้น พอร์ทัลข้อมูลสู่บทความที่รวบรวมคำพูดที่ค่อนข้างแปลกจากเด็กๆ การอ่านปฏิกิริยาของผู้อ่านต่อข้อความเหล่านี้ก็น่าสนใจเช่นกัน กล่าวโดยสรุป ปฏิกิริยาสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท

ผู้ที่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดและชาติก่อน ผู้ใช้ดังกล่าวมีปฏิกิริยาค่อนข้างสงบต่อคำพูดของเด็ก ๆ เหล่านี้ โดยตระหนักว่าทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตในอดีต
พวกที่ไม่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด จากผู้อ่านดังกล่าวอาจได้ยินประมาณว่า “นั่นเป็นจินตนาการของเด็กที่ดี”

มาพูดถึงเรื่องนี้กันหน่อย และฉันจะเริ่มต้นด้วยข้อความที่ตัดตอนมาจากหนังสือ AllatRa ซึ่งทั้งหมดนี้เขียนได้ดีมาก

« มนุษย์คืออะไร?ในช่วงชีวิต มนุษย์เป็นวัตถุอวกาศหลายมิติ ซึ่งถูกสร้างขึ้นรอบๆ จิตวิญญาณ และมีบุคลิกภาพที่ชาญฉลาดในตัวเอง รูปแบบและโครงสร้างที่คุ้นเคยของร่างกายที่มองเห็นได้ด้วยตา ร่วมกับกระบวนการทางเคมีและกายภาพและระบบควบคุม (รวมถึงสมองของวัตถุ) เป็นเพียงส่วนหนึ่งของโครงสร้างทั่วไปของบุคคลซึ่งอยู่ในมิติสามมิติ . กล่าวคือ บุคคลประกอบด้วยจิตวิญญาณพร้อมกับเปลือกข้อมูล บุคลิกภาพ และโครงสร้าง สมมติว่าประกอบด้วยสาขาต่างๆ ในมิติอื่นๆ (รวมถึงร่างกายที่อยู่ในมิติสามมิติด้วย)

คนมีเหตุผลคืออะไร? ในการออกแบบใหม่ ในร่างกายใหม่ บุคลิกภาพใหม่ถูกสร้างขึ้น - นี่คือบุคคลที่ใครก็ตามรู้สึกเหมือนในช่วงชีวิต ผู้ที่ตัดสินใจเลือกระหว่างหลักการทางจิตวิญญาณและสัตว์ วิเคราะห์ สรุปข้อสรุป สะสมสัมภาระส่วนตัวของประสาทสัมผัส- ผู้มีอำนาจทางอารมณ์ หากในระหว่างช่วงชีวิตคน ๆ หนึ่งพัฒนาฝ่ายวิญญาณมากจนบุคลิกภาพของเขาผสานเข้ากับจิตวิญญาณแล้วสิ่งมีชีวิตใหม่ที่เป็นผู้ใหญ่ในเชิงคุณภาพก็ถูกสร้างขึ้นซึ่งแตกต่างจากมนุษย์ซึ่งเข้าสู่ โลกฝ่ายวิญญาณ. นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "การปลดปล่อยวิญญาณจากการถูกจองจำ" โลกวัสดุ, "ไปสู่พระนิพพาน", "บรรลุความศักดิ์สิทธิ์" เป็นต้น หากการควบรวมกิจการดังกล่าวไม่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของมนุษย์หลังจากการตายของร่างกายและการทำลายโครงสร้างพลังงานบุคลิกภาพที่มีเหตุผลนี้จากไปพร้อมกับวิญญาณเพื่อการเกิดใหม่ (การกลับชาติมาเกิด) การพลิกผันสมมติว่ามีเงื่อนไขเพื่อทำความเข้าใจ สาระสำคัญไปสู่บุคลิกภาพย่อย เมื่อร่างกายตายไป มนุษย์ก็ยังดำรงอยู่ต่อไป ในสถานะเปลี่ยนผ่านจะมีลักษณะเป็นทรงกลมและมีโครงสร้างเป็นเกลียว รูปแบบนี้ประกอบด้วยจิตวิญญาณพร้อมกับเปลือกข้อมูล - บุคลิกภาพย่อยจากชาติก่อน รวมถึงบุคลิกภาพจากชีวิตล่าสุด

ในรูปถ่ายของวิญญาณ มองเห็นเปลือกขอบได้ชัดเจน ประกอบด้วย (เมื่อเจาะลึกเข้าหาลูกบอล) สีแดง (ส่วนที่เหลือ พลังงานที่สำคัญ- ปราณา) รวมถึงสีเหลืองและสีขาวเหลืองของพลังงานอื่น ๆ รูปร่างทรงกลมนั้นเป็นสีฟ้าและมีสีเขียวอ่อน มีโครงสร้างเป็นเกลียวมีลักษณะบิดเข้าหาตรงกลาง มีเฉดสีรุ้ง และมีสีขาวปนอยู่

เปลือกข้อมูลที่ตั้งอยู่รอบๆ ดวงวิญญาณนั้นเป็นก้อนก้อนทางประสาทสัมผัสและอารมณ์ หรือถ้าให้เจาะจงกว่านั้นคือเป็นโครงสร้างข้อมูลที่สมเหตุสมผล ซึ่งสามารถเปรียบเทียบเชิงสัมพันธ์ได้กับเนบิวลาชนิดหนึ่ง พูดง่ายๆ ก็คือ บุคคลเหล่านี้คือบุคคลในอดีตจากชาติที่แล้ว อาจมีบุคลิกย่อยมากมายใกล้กับดวงวิญญาณ ขึ้นอยู่กับจำนวนการกลับชาติมาเกิดของบุคคลนั้น

อนาสตาเซีย: ปรากฎว่าบุคลิกภาพย่อยนั้นเป็นบุคลิกภาพเช่นเดียวกับคุณ ซึ่งมีบทบาทในการจุติเป็นวิญญาณของคุณในอดีต

ริกเดน: ใช่ กล่าวอีกนัยหนึ่งสิ่งนี้ อดีตบุคลิกภาพจาก ชีวิตที่ผ่านมาด้วยภาระทั้งหมดของประสาทสัมผัสและอารมณ์ (เชิงบวกหรือเชิงลบ) ที่เธอสะสมมาตลอดชีวิตนั่นคือผลจากการเลือกตลอดชีวิตของเธอ

ตามกฎแล้วบุคลิกภาพไม่มีความเชื่อมโยงโดยตรงกับบุคลิกภาพย่อย ดังนั้นบุคคลจึงไม่จำชีวิตในอดีตได้ และด้วยเหตุนี้ ประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับเกี่ยวกับบุคลิกภาพย่อยเหล่านี้ แต่ในบางกรณีซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก เมื่อมีสถานการณ์บางอย่างเกิดขึ้น ความรู้สึกคลุมเครือของเดจาวู หรือการสำแดงออกโดยธรรมชาติในระยะสั้นของกิจกรรมของบุคคลสุดท้าย (ก่อนการจุติเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน) ก็เป็นไปได้ โดยเฉพาะกับคนในวัยเด็ก

มีกรณีต่างๆ ที่บันทึกไว้ในงานด้านจิตเวชศาสตร์ เมื่อเด็กที่ไม่มีความเบี่ยงเบนใดๆ พร้อมด้วยพ่อแม่ที่มีสุขภาพดี มีพฤติกรรมผิดธรรมชาติในระยะสั้นคล้ายกับความผิดปกติทางบุคลิกภาพแนวเขต ผมขอยกตัวอย่างหนึ่งให้คุณ สาวสี่เป็นเวลาหลายปีที่เธอเริ่มมีความฝันแบบเดียวกัน โดยมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งโทรหาเธอท่ามกลางแสงสว่าง แต่ไม่ยอมให้เธอเข้าไปในแสงสว่าง เธอเริ่มบ่นกับพ่อแม่ของเธอเกี่ยวกับความฝันอันน่าหดหู่นี้ และในตอนเย็นเพื่อแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวที่คาดเดาไม่ได้ซึ่งก่อนหน้านี้ผิดปกติและความแข็งแกร่งที่ผิดปกติ เด็กหญิงวัยสี่ขวบพลิกโต๊ะ เก้าอี้ ตู้หนักด้วยความโกรธ จำแม่ของเธอไม่ได้ จึงโจมตีเธออย่างตีโพยตีพายในรูปแบบกล่าวหาว่า “เธอไม่ใช่แม่ของฉัน” “ยังไงเธอก็ตาย” และอื่น ๆ นั่นคือคำพูดและพฤติกรรมของหญิงสาวนั้นไม่เป็นธรรมชาติสำหรับเธอ แต่เป็นลักษณะเฉพาะของบุคลิกภาพที่ได้รับการกลับชาติมาเกิดและอยู่ในสภาพ "นรก" ประสบกับความทรมานและความเจ็บปวดของสัตว์ และวันรุ่งขึ้นเด็กก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้งและประพฤติตัวตามปกติ นี่เป็นกรณีทั่วไปของการแสดงออกในระยะสั้นของการปฏิเสธบุคลิกภาพย่อยก่อนหน้านี้ สิ่งที่ดีที่สุดที่สามารถทำได้ในกรณีนี้คือการพัฒนาสติปัญญาของเด็กอย่างกระตือรือร้น ขยายขอบเขตความรู้ของโลก และรอให้กระแสเริ่มแรกเกิดขึ้นและบุคลิกภาพใหม่จะเกิดขึ้น

ตามกฎแล้วคลื่นหลักจะเกิดขึ้นเมื่ออายุ 5-7 ปีของชีวิตบุคคล ประเด็นก็คือใน วัยเด็กก่อนที่จะเกิดกระแสหลัก การกระตุ้นบุคลิกภาพก่อนหน้า (บุคลิกภาพย่อย) ในระยะสั้นที่คล้ายกันอาจเกิดขึ้นได้ อย่างหลังในขณะที่บุคลิกภาพใหม่กำลังถูกสร้างขึ้นกำลังพยายามที่จะทะลุไปสู่จิตสำนึกและยึดอำนาจเหนือบุคคล

แต่บ่อยครั้งที่มีกรณีอื่น ๆ ของการสำแดงบุคลิกภาพย่อย เป็นช่วงที่เด็กอายุ 3-5 ปี (เป็นช่วงที่บุคลิกภาพใหม่ยังไม่เกิดขึ้น) เริ่มให้เหตุผลจากจุดยืนของผู้ใหญ่ ผู้มีประสบการณ์. ในบางกรณีซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก นี่อาจเป็นรายละเอียดโดยละเอียดเกี่ยวกับครั้งก่อนๆ ชีวิตผู้ใหญ่ซึ่งแท้จริงแล้วไม่อาจรู้ได้ในวัยนั้น และบ่อยครั้งที่เด็กพูดอย่างชาญฉลาดในบางประเด็นโดยไม่คาดคิด โดยแสดงความคิดที่ไม่เป็นเด็กอย่างชัดเจน และบางครั้งก็ทำให้ผู้ใหญ่หวาดกลัวอย่างลึกลับ ผู้ปกครองไม่ควรกลัวอาการดังกล่าว แต่ควรเข้าใจธรรมชาติของตนเอง เมื่อบุคลิกภาพของเด็กถูกสร้างขึ้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็จะผ่านไป

ดังนั้น แต่ละบุคลิกย่อยยังคงรักษาความเป็นปัจเจกของจิตสำนึกในอดีตไว้ในรูปแบบของความปรารถนา แรงบันดาลใจที่ครอบงำในระหว่างนั้น ชีวิตที่กระตือรือร้น. บุคลิกภาพดังที่ฉันได้กล่าวไปแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับบุคลิกภาพย่อยนั่นคือบุคคลไม่จำชีวิตในอดีตของเขาอย่างมีสติ อย่างไรก็ตาม ในระดับจิตใต้สำนึก ความเชื่อมโยงระหว่างบุคลิกภาพและบุคลิกภาพย่อยยังคงอยู่ ในทางอ้อม บุคลิกภาพหลังสามารถมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพและ "ผลักดัน" ไปสู่การกระทำบางอย่าง โน้มเอียงให้บุคลิกภาพตัดสินใจบางอย่าง สิ่งนี้เกิดขึ้นในระดับหมดสติ นอกจากนี้ บุคลิกภาพย่อยที่พูดโดยเปรียบเทียบก็เหมือนกับ "ตัวกรองแสงหมอก" เนื่องจากการเชื่อมโยงโดยตรงระหว่างจิตวิญญาณกับ บุคลิกภาพใหม่พูดได้เลยว่าระหว่างแหล่งกำเนิดของแสงสว่างกับผู้ที่ต้องการมัน” (หน้า 83-89)

ตอนนี้ฉันจะยกตัวอย่างคำพูดของเด็ก ๆ ที่น่าสนใจซึ่งมีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ต

ฉันไม่เล่าทั้งหมดเพราะมันยาว แต่สรุปคือ แม่ของแม็กซิมมีพี่ชายอายุมากกว่าเธอ 14 ปี เขารักและห่วงใยน้องสาวของเขามากพ่อของพวกเขาเสียชีวิตเร็ว พี่ชายเป็นนักบิน การบินพลเรือนและเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ขณะเดินทางกลับบ้านจากเที่ยวบิน เรื่องราวจบลงด้วยคำพูดของแม็กซิมตัวน้อย: “คุณจำได้ไหมว่าฉันสัญญาว่าจะพาคุณขึ้นเครื่องบิน? ดังนั้นเมื่อฉันโตขึ้น ฉันจะเป็นนักบินและทำตามสัญญาอย่างแน่นอนแม่!”

“ในชุมชน Druze บริเวณชายแดนซีเรียและอิสราเอล มีเด็กชายคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับรอยแดงยาวบนศีรษะ

เมื่อลูกอายุได้ 3 ขวบ เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าชาติที่แล้วเขาถูกฆ่าตาย เขายังจำได้ว่าการตายของเขาเกิดจากการถูกขวานฟาดที่ศีรษะ

เมื่อเด็กชายถูกนำตัวไปที่หมู่บ้านจากความทรงจำของเขา เขาสามารถพูดชื่อของเขาในชาติที่แล้วได้ ชาวบ้านพวกเขาบอกว่าคนแบบนี้อาศัยอยู่ที่นี่จริง ๆ แต่หายตัวไปเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว

เด็กชายไม่เพียงจำบ้านของเขาได้เท่านั้น แต่ยังจำได้ด้วย ตั้งชื่อฆาตกรของเขา.

ชายคนนี้ดูเหมือนกลัวเมื่อพบกับเด็ก แต่ไม่เคยสารภาพว่ากระทำผิด จากนั้นเด็กชายก็ชี้ให้เห็นสถานที่ที่มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น

และทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจเมื่อพบโครงกระดูกมนุษย์และขวานในสถานที่แห่งนี้ซึ่งกลายเป็นอาวุธสังหาร

กะโหลกศีรษะของโครงกระดูกที่พบได้รับความเสียหายและเหมือนกันทุกประการ มีรอยบนศีรษะของเด็กด้วย.»

“ตอนอายุสามขวบ เด็กชายทำให้พ่อแม่ของเขาประหลาดใจด้วยการประกาศว่าเขาไม่ใช่ลูกของพวกเขา และชื่อของเขาเคยเป็นเฉิน หมิงเต่า!

เด็กชายอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานที่ที่เขาเคยอาศัยอยู่มาก่อนและยังตั้งชื่อพ่อแม่ของเขาด้วย

เขายังจำได้ว่าเขาเสียชีวิตระหว่างการปฏิวัติจากการโจมตีด้วยดาบและการยิง ยิ่งไปกว่านั้นก็มีจริงๆ ปานคล้ายกับเครื่องหมายกระบี่.

ปรากฎว่าบ้านเกิดเดิมของ Tang Jiangshan นั้นอยู่ไม่ไกลนัก และเมื่อเด็กชายอายุได้ 6 ขวบ เขาและพ่อแม่ก็เดินทางไปที่หมู่บ้านเดิมของเขา

ทั้งที่เป็นของเขา วัยเด็ก Tang Jiangshan สามารถหาบ้านของเขาได้โดยไม่ยาก ทำให้ทุกคนประหลาดใจ เด็กชายพูดภาษาถิ่นของสถานที่ที่พวกเขามาถึงได้อย่างคล่องแคล่ว

เมื่อเข้าไปในบ้าน เขาจำอดีตพ่อของเขาได้ และแนะนำตัวเองว่าชื่อเฉิน หมิงเต่า Sande ซึ่งเป็นอดีตพ่อของเด็กชายแทบไม่เชื่อเรื่องราวของเด็กคนนี้ แต่รายละเอียดที่เด็กชายเล่าเกี่ยวกับชาติที่แล้วทำให้เขาจำลูกชายได้

ตั้งแต่นั้นมา Tang Jiangshan ก็มีครอบครัวอื่น พ่อและพี่สาวในอดีตของเขายอมรับเขาในฐานะอดีตเฉินหมิงเต่า”

(อังกฤษ IanPretymanStevenson) (31 ตุลาคม 2461 - 8 กุมภาพันธ์ 2550) - นักชีวเคมีและจิตแพทย์ชาวแคนาดา - อเมริกัน วัตถุประสงค์ของการศึกษาของเขาคือการมีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ก่อนหน้าพวกเขาในเด็ก ๆ (ซึ่งตามที่สตีเวนสันพิสูจน์แล้วว่ากลับชาติมาเกิดหรือการกลับชาติมาเกิด)

ตลอดระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา สตีเวนสันตรวจสอบกรณีเด็กกว่า 3,000 รายที่กล่าวอ้างเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต แต่ละครั้ง ผู้วิจัยจะบันทึกเรื่องราวของเด็กและเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง

สตีเวนสันพยายามค้นหาคำอธิบายสำหรับปรากฏการณ์นี้ไม่เพียงแต่จากมุมมองของความเป็นไปได้ของการเปลี่ยนผ่านของวิญญาณเท่านั้น เขาพยายามที่จะแยกการหลอกลวงโดยเจตนาและกรณีที่เด็กอาจได้รับข้อมูลโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยวิธีปกติหรือหากมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นเท็จ ความทรงจำของทั้งตัวเขาเองและสมาชิกในครอบครัวปัจจุบันหรืออดีตที่ถูกกล่าวหาของเขา สตีเวนสันปฏิเสธหลายกรณี สตีเวนสันไม่ได้อ้างว่างานวิจัยของเขาพิสูจน์การมีอยู่ของการกลับชาติมาเกิด โดยเรียกข้อเท็จจริงเหล่านี้อย่างระมัดระวังว่า "การกลับชาติมาเกิด" และถือว่าการกลับชาติมาเกิดไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น แต่ยังคง คำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับกรณีส่วนใหญ่ที่เขาศึกษา

หลังจากใช้เวลาหลายปีในการค้นคว้าเรื่องการกลับชาติมาเกิด Stevenson เขียนว่า:

“ทฤษฎีออร์โธดอกซ์ในด้านจิตเวชและจิตวิทยาเป็นตัวแทน บุคลิกภาพของมนุษย์เป็นผลิตภัณฑ์จากสารพันธุกรรมของบุคคล (สืบทอดมาจากบรรพบุรุษผ่านพ่อแม่) เปลี่ยนแปลงภายใต้อิทธิพลของสภาพแวดล้อมในช่วงก่อนคลอดและหลังคลอด แต่ฉันได้ค้นพบว่ามีบางกรณีที่เราไม่สามารถอธิบายได้อย่างน่าพอใจด้วยพันธุกรรมหรืออิทธิพล สิ่งแวดล้อมหรือทั้งสองอย่างรวมกัน" (Family Circle, 14 มิถุนายน 2521)

สตีเวนสันก็มี ระบบของตัวเองการศึกษาชุดเทคนิคของคุณเอง ในงานของเขา แพทย์มีหลักการดังต่อไปนี้:

ครอบครัวที่มีเด็กซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตของผู้เสียชีวิตแล้วไม่เคยได้รับค่าตอบแทนเป็นเงิน
การศึกษาส่วนใหญ่ดำเนินการกับเด็กอายุ 2-4 ปี
กรณีที่พิสูจน์แล้วถือเป็นกรณีเดียวเท่านั้นที่สามารถขอรับหลักฐานเชิงสารคดีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ถูกเรียกคืนได้

เอียนชอบทำงานกับเด็กๆ พวกเขามักจะจำชาติก่อนของ “พวกเขา” และเริ่มพูดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่อายุสองหรือสามขวบ อายุโดยทั่วไปมากที่สุดคือ 2-4 ปี ซึ่งน้อยครั้งนักที่ความทรงจำเกี่ยวกับชาติที่แล้วจะปรากฏในเด็กโต บ่อยครั้งที่เด็กเริ่มพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตในอดีตของเขาทันทีที่เขาเรียนรู้ที่จะพูด บางครั้งเขาต้องใช้ท่าทางเพื่อเสริมสิ่งที่เขายังไม่สามารถแสดงออกอย่างชัดเจนเป็นคำพูดได้ (Stevenson. Reincarnation: Field Studies and Theoretical Issues, p. 637.)

เมื่ออายุได้ห้าหรือหกขวบ (และเกือบจะแน่นอนเมื่ออายุแปดขวบ) ความทรงจำเหล่านี้จะจางหายไปและหายไป ซึ่งเป็นช่วงอายุเดียวกับที่วงสังคมของเด็กขยายตัว เขาเริ่มไปโรงเรียน ฯลฯ สันนิษฐานว่าประสบการณ์ใหม่นี้ถูกซ้อนอยู่ในความทรงจำของเด็กบนชั้นที่มีความทรงจำเกี่ยวกับชาติก่อนของเขา และเมื่อเวลาผ่านไปชั้นหลังก็ไม่สามารถเข้าถึงได้

(สตีเวนสัน คุณค่าที่อธิบายของแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด - วารสารโรคประสาทและจิตใจ พฤษภาคม 1977 หน้า 317)

ในหลายกรณี คำแรกที่เด็กๆ พูดคือชื่อของสถานที่ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่หรือชื่อของคนที่พวกเขาเคยรู้จักมาก่อน ซึ่งทำให้พ่อแม่ของพวกเขาสับสนอย่างสิ้นเชิง

เมื่อพูดถึงชาติที่แล้ว เด็กอาจมีพฤติกรรมแปลกๆ พฤติกรรมของเขาอาจดูผิดปกติสำหรับสมาชิกในครอบครัว แต่ก็สอดคล้องกับสิ่งที่เขาพูดเกี่ยวกับชาติก่อนของเขา (และโดยส่วนใหญ่พบว่าสอดคล้องกับคำอธิบายที่ญาติของผู้ตายให้ไว้อย่างสมบูรณ์)... อีกอย่าง คุณลักษณะ: เด็กมักจะแสดงทัศนคติที่ "เป็นผู้ใหญ่" ต่อโลกและประพฤติตนอย่างจริงจัง ฉลาด และบางครั้งก็อุปถัมภ์ต่อเด็กคนอื่น ๆ ที่อายุเกินวัย นี่เป็นเรื่องปกติในกรณีที่ผู้ถูกทดสอบเชื่อว่าเขายังเป็นผู้ใหญ่และไม่ใช่เด็ก

(Stevenson การกลับชาติมาเกิด: การศึกษาภาคสนามและประเด็นทางทฤษฎี หน้า 637-38)

ผู้ถูกผลกระทบมักจะรายงานความรู้สึกแปลกๆ ในร่างกายของตน พวกเขาแสดงความไม่พอใจที่พวกเขายังเป็นเด็กเล็ก

(Stevenson. The Possible Nature of Post-Mortem States. - Journal of the American Society for Psychical Research, ตุลาคม 1980, หน้า 417.)

เหตุการณ์ที่เด็กจำได้ดีที่สุดเกี่ยวข้องกับความตายของตนเองในอดีตและสถานการณ์ที่นำไปสู่ความตาย หากบุคคลกล่าวว่าชาติที่แล้วไม่ได้ตายตามธรรมชาติ ร่องรอยที่เป็นไฝ ปาน รอยแผลเป็น และรอยแผลเป็นก็อาจหลงเหลืออยู่บนร่างกายได้ เด็กประมาณ 35% ที่พูดถึงชาติที่แล้วมีปานหรือความพิการแต่กำเนิด ซึ่งตำแหน่งนั้นสอดคล้องกับบาดแผล (ซึ่งมักจะถึงแก่ชีวิต) บนร่างกายของบุคคลที่เด็กจำได้

(สตีเวนสัน การกลับชาติมาเกิด: การศึกษาภาคสนามและประเด็นทางทฤษฎี หน้า 654)

ข้อมูลจากการวิจัยของ Stevenson ซึ่งฉันนำเสนอโดยย่อเป็นข้อความเล็กๆ ในความคิดของฉัน มีความสัมพันธ์เป็นอย่างดีกับสิ่งที่เขียนใน AllatRa คำพูดที่ผิดปกติของเด็กเริ่มและสิ้นสุดเมื่ออายุเท่าไร ลักษณะนิสัยของพวกเขาและพฤติกรรมของเด็ก

มีอีกประเด็นหนึ่งที่ผมจะออกโดยไม่แสดงความคิดเห็น ในบางกรณี เด็กๆ พูดถึงวิธีที่พวกเขาเลือกพ่อแม่ด้วยตัวเอง ผมขอยกตัวอย่างบางส่วนของข้อความดังกล่าว ฉันไม่สามารถตัดสินได้ว่าข้อความเหล่านี้เป็นจริงเพียงใด

ฉันเพิ่งอ่านโพสต์ของเพื่อนแม่ในประเทศของฉันอีกครั้งและเกี่ยวกับนางฟ้าผมบลอนด์ของเธอ.. เด็กที่น่าทึ่ง.. และตัดสินใจที่จะขยายความรู้ของฉันผ่านทางอินเทอร์เน็ต ฉันเชื่อในเรื่องราวทั้งหมด ฉันเชื่อว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง! ทำไมจะไม่ได้ล่ะ?) คุณเชื่อเรื่องนี้ไหม? คุณอนุญาตให้กลับชาติมาเกิดหรือไม่? นี่คือสิ่งที่ฉันพบขณะท่องเว็บเวิลด์ไวด์เว็บ

ความทรงจำของชีวิตในอดีตได้รับการฟื้นฟูไม่เพียงแต่เป็นผลมาจากการสะกดจิตซ้ำเท่านั้น มีคนที่เก็บความทรงจำเกี่ยวกับชาติที่แล้วโดยไม่มีขั้นตอนพิเศษใดๆ ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับเด็ก เชื่อกันว่าพวกเขาจะจดจำชีวิตในอดีตได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่ โดยธรรมชาติแล้วความทรงจำของพวกเขาจะจางหายไปเมื่อพวกเขาโตขึ้น
นาย Hemendra Banergi ซึ่งอาศัยอยู่ในอเมริกามาตั้งแต่ปี 1970 ได้ก่อตั้ง Indian Association for ปรากฏการณ์อาถรรพณ์. เขาสังเกตเห็นเด็ก ๆ ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับญาติและเพื่อนฝูงจากชาติที่แล้วด้วยเหตุผลบางประการซึ่งทำให้เขาเชื่อในความจริงของการกลับชาติมาเกิด เด็กๆ ที่จำชาติที่แล้วมักจะพูดว่า “ตอนที่ฉันโต...” บางคนอ้างว่าในชีวิตนี้เพศของพวกเขากลับกัน พวกเขาคิดถึงญาติหรือเสียใจกับการสูญเสียมิตรภาพ พวกเขาต้องการที่จะมีอาหารและเสื้อผ้าแบบเดียวกันหรือมีวิถีชีวิตแบบเดียวกันกับชาติก่อน สิ่งนี้ยังใช้กับ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยาเสพติดและบุหรี่

คดีสาวอินเดียซิมี
ดังตัวอย่างหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความทรงจำของเด็กๆ ในชีวิตก่อนหน้านี้ ให้ฉันแนะนำให้คุณรู้จักกับเรื่องราวการกลับชาติมาเกิดของสาวอินเดียชื่อซิมี พระอาจารย์อาสาหะระได้ยินเรื่องนี้ในเมืองธรรมศาลาระหว่างเสด็จเยือนอินเดีย ในปี 1979 เด็กหญิงอายุ 3 ขวบชื่อ Simi ซึ่งอาศัยอยู่ใน Nangal (ปัญจาบ) ก็เริ่มยืนกรานที่จะเดินทางไป Sundalnagal เพื่อพาลูกชายที่ได้รับบาดเจ็บไปโรงพยาบาล เธอยังอ้างว่ามีบ้านที่เธออาศัยอยู่และสามีของเธอชื่อโมฮันดาลาซินซึ่งทำงานเป็นคนขับอาศัยอยู่ที่นั่น
เนื่องจากปัญหาทางการเงิน ครอบครัวของเธอจึงไม่ได้พบเธอครึ่งทาง มีเหตุผลทางเศรษฐกิจสำหรับเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม หนึ่งปีต่อมา กิจการของบิดาของเธอทำให้ครอบครัวของเธอต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองชื่อ Srapath ใกล้ Sundalnagal เมื่อพ่อทราบถึงการมีอยู่ของชายคนหนึ่งชื่อ โมฮันดาลา ซิน ซึ่งทำงานเป็นคนขับรถบัสในบริเวณเดียวกัน เขาจึงตัดสินใจไปเยี่ยมเขาพร้อมกับลูกสาว
ในเดือนมีนาคมพวกเขาไปที่ซุนดาลนากัล เมื่อใกล้จะถึงที่หมายแล้ว ซิมีเองก็พาพ่อของเธอไปด้วย เมื่อเข้าใกล้บ้านหลังหนึ่ง เธอตะโกนอย่างร่าเริงว่า “พ่อ นี่คือบ้านของฉัน!” - และเธอก็ระบุรายชื่อเพื่อนบ้านทั้งหมด ด้วยความเสียใจของเธอ Mohandala Sin ซึ่งเป็นสามีของเธอไปทำธุรกิจที่ Mandhi ในเวลานั้น สมาชิกครอบครัวคนอื่นก็ไม่อยู่ด้วย อย่างไรก็ตาม เธอพบรูปถ่ายหนึ่งรูปในบ้าน โดยกล่าวว่า “นี่คือรูปถ่ายของฉัน ฉันชื่อกฤษณะ พ.ศ. ๒๕๐๙ ข้าพเจ้าถึงแก่กรรมด้วยโรคภัยไข้เจ็บ”
เมื่อวันที่ 21 มีนาคม ในที่สุด Simi ก็ได้พบกับสามีของเธอ เธอจำได้แม่นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต พวกที่เป็นลูกๆ ของเธอในชาติก่อนก็พากันพาเธอไปที่ปิรัสบุกไปหาแม่วัยเจ็ดสิบปีของเธอ ผู้เป็นแม่คุยกับเธอและมั่นใจว่าเด็กหญิงวัย 3 ขวบคนนี้คือพระกฤษณะกลับชาติมาเกิดจริงๆ เธอตรวจดูและแสดงผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืน ซิมีพูดว่า:“ แม่คุณเคยเย็บชุดให้ฉันจากวัสดุชนิดเดียวกัน ฉันจำมันได้ดีมาก น่าเสียดายที่ฉันไม่จำเป็นต้องสวมมันเนื่องจากความเจ็บป่วย” ดังนั้น เนื่องจากความทรงจำของ Simi นั้นแม่นยำมากและญาติของเธอยังมีชีวิตอยู่ จึงได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นวิญญาณของพระกฤษณะจริงๆ

ความลึกลับของเด็กน้อยชาวอเมริกัน

โศกนาฏกรรมเกิดขึ้นในครอบครัวของเฮนรี่และไอลีนโรเจอร์ส: เทอร์เรนซ์ลูกชายวัย 12 ปีของพวกเขาถูกรถบรรทุกชนเสียชีวิตขณะข้ามถนน เป็นเวลานานที่พ่อแม่ซึ่งตกตะลึงด้วยความเศร้าโศกไม่สามารถชินกับความคิดที่ว่าลูกคนเดียวของพวกเขาไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป สามปีต่อมา ไอลีนวัย 38 ปีให้กำเนิดลูกชายคนที่สองของเธอ ในตอนแรก พ่อแม่ไม่ได้ใส่ใจกับพฤติกรรมของแฟรงก์ ซึ่งการเคลื่อนไหวทั้งหมดเป็นเพียงท่าทางของพี่ชายที่เสียชีวิต เชื่อกันว่าทารกแรกเกิดทุกคนมีพฤติกรรมเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อแฟรงค์อายุได้ 2 ขวบ สิ่งมหัศจรรย์ก็เริ่มเกิดขึ้นกับเขา
วันหนึ่งไอลีนกำลังถักนิตติ้งอยู่ในห้องนั่งเล่น เด็กเดินไปหาแม่และโอบแขนรอบขาของเธอ (นี่เป็นนิสัยของเด็กชายผู้ล่วงลับไปแล้ว) และพูดด้วยเสียงของเทอเรนซ์: “เปิดทีวีหน่อย ฉันอยากดูหนังเกี่ยวกับนายอำเภอจากดอดจ์ซิตี้” ผู้หญิงคนนั้นเกือบจะรู้สึกไม่สบายเมื่อได้ยินเสียงนี้และคำขอที่ผิดปกตินี้: ภาพยนตร์เกี่ยวกับนายอำเภอจาก Dodge City ไม่ปรากฏบนหน้าจอเป็นเวลาสิบปี ในวัยเด็ก เป็นภาพยนตร์เรื่องโปรดเรื่องหนึ่งของเด็กชายคนโต แฟรงก์ไปรู้ชื่อหนังเรื่องนี้ได้จากที่ไหน? ผู้ใหญ่ก็แทบจะจำไม่ได้ ภาพเก่า. แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด
เย็นวันเดียวกันนั้นเอง แฟรงก์ทักทายพ่อของเขาด้วยเสียงอุทานอย่างร่าเริงว่า “พ่อมาแล้ว!” เทอเรนซ์เรียกพ่อของเขาว่าตัวเล็ก แต่นับตั้งแต่วันที่เขาเสียชีวิต ไม่มีใครในบ้านเคยพูดคำนี้เลย หลังจากนั้นไม่นาน เด็กน้อยก็ถามว่ารถปอนเตี๊ยกสีแดงคันเก่าของพวกเขาอยู่ที่ไหน อันที่จริงครอบครัว Rogers มีรถยนต์คันนี้เมื่อประมาณเจ็ดปีที่แล้วซึ่งพวกเขาและเทอเรนซ์ได้เดินทางไกลไปยังชายฝั่งตะวันตก ครั้งต่อไปที่แฟรงก์ขอให้พ่อซ่อมรถสามล้อ เขาไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงจักรยานประเภทไหน แต่แล้วเขาก็จำได้ว่าเมื่อนานมาแล้ว เทอเรนซ์มีจักรยานล้อหัก...
แน่นอนว่ามันคงจะโง่ถ้าพูดถึงการเกิดครั้งที่สองของเทอเรนซ์ แต่การพูดซ้ำคำพูดโปรดของผู้ตายและนิสัยของเขานั้นชัดเจน ตัวอย่างเช่น จู่ๆ เด็กน้อยก็ให้บัพติศมากับสุนัข Toots Butch ซึ่งเป็นชื่อของสแปเนียลที่เทอเรนซ์ชอบเล่นด้วยและเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เมื่อเขาถามว่า: “คุณพาร็อบบี้มาด้วยหรือเปล่า?” Robbie เป็นชื่อของสุนัขที่เสียชีวิตไปนานแล้ว เด็กไม่เห็นเธอในรูปถ่ายด้วยซ้ำ...
ในที่สุดพ่อแม่ก็ตัดสินใจหันไปหานักบวชที่พวกเขารู้จัก และเขาก็แนะนำจิตแพทย์ให้พวกเขา เด็กคนนี้ได้แสดงรูปถ่ายของเพื่อนร่วมโรงเรียน ครู ญาติห่างๆ และลูกพี่ลูกน้องของเทอเรนซ์ แพทย์ประหลาดใจมาก แฟรงก์เรียกชื่อทุกคน เล่านิสัย และนึกถึงบางตอนที่เกิดขึ้นกับเด็กนักเรียนคนหนึ่งก่อนที่แฟรงก์จะเกิดเสียอีก
นักวิทยาศาสตร์สนใจแฟรงก์ โรเจอร์ส วัย 3 ขวบ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด. ตอนนี้เด็กชายใช้เวลากับแพทย์ในห้องปฏิบัติการวิจัยมากกว่าของเล่น แต่ปริศนาของชาวอเมริกันตัวน้อยก็ไม่เคยได้รับการแก้ไข

เอเลน่า มาร์การ์ด สุดแปลก

นี้ กรณีที่แปลกเกิดขึ้นที่เบอร์ลินตะวันตกกับเอเลนา มาร์การ์ด วัย 12 ปี ซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสจากภัยพิบัติครั้งนี้ เมื่อเด็กหญิงถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล เธอหมดสติ และแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่บอกว่าอาการของเธอสิ้นหวัง

วันเวลาผ่านไป... เช้าวันหนึ่ง จู่ๆ เด็กหญิงก็รู้สึกตัวและพูดเป็นภาษาอิตาลีที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเธอไม่เคยรู้มาก่อน ทุกคนประหลาดใจเมื่อเอเลน่าบอกว่าเธอชื่อโรเซตตา คาสเตลลานี; ว่าเธออาศัยอยู่ในเมือง Noveta ใกล้ปาดัว ประเทศอิตาลี ว่าเธอเกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2430 จากนั้นเธอก็อุทาน:“ ฉันมีลูกสองคน - บรูโนและฟรานซาพวกเขากำลังรอฉันอยู่ บอกคุณหมอว่าฉันต้องกลับบ้าน” จากนั้นเธอก็เสริมว่าเธอเสียชีวิตในปี 2460
ในตอนแรก แพทย์ตัดสินใจว่าอาการบาดเจ็บที่สมองทำให้เกิดอาการเพ้อฝัน แต่สะอาด ภาษาอิตาลี? เราหันไปหา Rohwedder นักจิตวิทยาชื่อดังชาวเยอรมันตะวันตก เขาไปที่โนเวธากับหญิงสาวและนักข่าว และพบข้อมูลในทะเบียนตำบลเก่า เด็กหญิงชื่อโรเซตตา เตโอบัลดีเกิดเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2430 และแต่งงานกับจีโน กัสเตลลานีเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2451...
พวกเขาได้รับแจ้งเกี่ยวกับที่อยู่ที่เธออาศัยอยู่ สถานที่ที่เธอเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2460 และที่ที่ลูกสาวของเธอ Fransa ยังมีชีวิตอยู่ สิ่งที่น่าสนใจและน่าสงสัยที่สุดคือเมื่อพวกเขามาถึงถนนที่ระบุ เอเลน่าชี้ไปที่อาคารหลังหนึ่งแล้วพูดอย่างมั่นใจ "นี่คือบ้านของฉัน." ปรากฎว่าเธอคิดไม่ผิด Fransa เองก็เปิดประตูให้พวกเขา ในขณะเดียวกัน เด็กหญิงก็พูดว่า: “นี่คือฟรานซา ลูกสาวของฉัน”

จิม ทักเกอร์จากชาร์ลอตส์วิลล์ (สหรัฐอเมริกา) เป็นนักวิทยาศาสตร์เชิงวิชาการเพียงคนเดียวในโลกที่ศึกษาเรื่องราวของเด็กๆ ในชีวิตที่ผ่านมาเป็นเวลา 15 ปี จึงถือเป็นหลักฐานของการกลับชาติมาเกิด ตอนนี้ทัคเกอร์ได้รวบรวม แต่ละกรณีจากสหรัฐอเมริกาในหนังสือเล่มใหม่และนำเสนอสมมติฐานของเขาเองเกี่ยวกับแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ที่อาจซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์การกลับชาติมาเกิด

ความทรงจำที่เกิดขึ้นเองและเกมในวัยเด็ก
เมื่อไรอัน ฮัมมอนส์อายุได้สี่ขวบ เขาเริ่มเล่นเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยมีคำสั่งอย่าง "แอ็กชัน" ดังก้องมาจากห้องในวัยเด็กของเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ในไม่ช้าเกมเหล่านี้ก็สร้างความกังวลให้กับพ่อแม่ของไรอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับกรีดร้องในคืนหนึ่ง คว้าหน้าอกของเขา และเริ่มบอกเขาว่าเขาฝันว่าวันหนึ่งหัวใจของเขาจะระเบิดขณะอยู่ที่ฮอลลีวูด
ซินดี้ แม่ของเขาไปหาหมอ แต่หมออธิบายว่ามันเป็นฝันร้าย และในไม่ช้าเด็กชายก็จะโตเร็วกว่าวัยนี้ เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ซินดี้กำลังวางลูกชายของเธอเข้านอน จู่ๆ เขาก็จับมือเธอแล้วพูดว่า “แม่คะ ฉันคิดว่าฉันเคยเป็นคนอื่นมาก่อน”
ไรอันอธิบายว่าเขาจำเรื่องใหญ่ได้ บ้านสีขาวและสระว่ายน้ำ บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในฮอลลีวูด ห่างจากบ้านของพวกเขาในโอคลาโฮมาหลายไมล์ ไรอันบอกว่าเขามีลูกชายสามคน แต่เขาจำชื่อไม่ได้ เขาเริ่มร้องไห้และถามแม่ว่าทำไมจำชื่อไม่ได้

ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร” ซินดี้เล่า - "ฉันกลัวมาก. เขายืนกรานในเรื่องนี้มาก หลังจากคืนนั้น เขาพยายามจำชื่อพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก และทุกครั้งที่เขาผิดหวังที่ไม่สามารถจำได้ ฉันเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดบนอินเทอร์เน็ต ฉันยังอ่านหนังสือห้องสมุดเกี่ยวกับฮอลลีวูดด้วยหวังว่ารูปภาพเหล่านี้อาจช่วยเขาได้ ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครมาหลายเดือนแล้ว”
วันหนึ่ง ขณะที่ไรอันและซินดี้กำลังดูหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับฮอลลีวูด ไรอันก็หยุดอยู่ที่หน้าหนึ่งของรูปถ่ายขาวดำจากภาพยนตร์ช่วงทศวรรษปี 1930 เรื่อง Night After Night ภาพถ่ายแสดงให้เห็นชายสองคนกำลังข่มขู่บุคคลที่สาม พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยชายอีกสี่คน ซินดี้จำใบหน้าไม่ได้ แต่ไรอันชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางแล้วพูดว่า "เฮ้ แม่ นี่จอร์จนะ" เราสร้างภาพยนตร์ด้วยกัน"

จากนั้นนิ้วของเขาก็เลื่อนไปที่ชายในเสื้อแจ็คเก็ตทางด้านขวาของภาพ ซึ่งดูบูดบึ้ง: “ผู้ชายคนนี้คือฉัน ฉันพบตัวเองแล้ว!”
แม้ว่าคำกล่าวอ้างของไรอันจะพบได้ยาก แต่คำกล่าวอ้างของไรอันก็ไม่ซ้ำใครและเป็นหนึ่งในคดีทั้งหมดมากกว่า 2,500 คดีที่จิตแพทย์ จิม ทัคเกอร์ รวบรวมไว้ในเอกสารสำคัญของเขาที่แผนกการศึกษาการรับรู้ของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย

เมื่ออายุได้สองขวบ เด็กๆ จะจดจำชีวิตในอดีตของตนได้
เป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้วที่ทักเกอร์ค้นคว้าเรื่องราวของเด็กๆ ที่มักจะมีอายุระหว่าง 2-6 ขวบ โดยอ้างว่าพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่มาก่อน บางครั้งเด็กเหล่านี้ก็สามารถอธิบายรายละเอียดที่ค่อนข้างละเอียดเกี่ยวกับชาติก่อนๆ เหล่านี้ได้ บุคคลที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้เหล่านี้มีชื่อเสียงหรือเป็นที่นิยมน้อยมาก และมักจะไม่เป็นที่รู้จักของครอบครัวของเด็กเหล่านี้เลย
ทัคเกอร์ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์สองคนในโลกที่กำลังศึกษาปรากฏการณ์นี้ อธิบายว่าประสบการณ์ดังกล่าวมีความซับซ้อนแตกต่างกันไป บางส่วนสามารถระบุได้ง่าย เช่น เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าเรื่องราวที่ไม่เป็นอันตรายของเด็กเกิดขึ้นในครอบครัวที่พวกเขาสูญเสียญาติสนิทไป

ในกรณีอื่นๆ เช่นคำอธิบายของไรอัน คำอธิบายเชิงตรรกะนั้นเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ทัคเกอร์กล่าว ซึ่งทั้งเรียบง่ายและน่าประหลาดใจ “อย่างไรก็ตาม เด็กก็จำความทรงจำจากอีกชีวิตหนึ่งได้
“ฉันตระหนักดีว่านี่เป็นก้าวสำคัญในการทำความเข้าใจและยอมรับว่ามีบางสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งที่เรามองเห็นและสัมผัสได้” ทัคเกอร์ ซึ่งใช้เวลาเกือบทศวรรษในตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ University Children's Hospital (คลินิกจิตเวชเด็กและครอบครัว) อธิบาย “อย่างไรก็ตาม นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะต้องได้รับการตรวจสอบ และหากเราพิจารณากรณีดังกล่าวอย่างละเอียดยิ่งขึ้น สมเหตุสมผลที่สุดมีคำอธิบายว่ามีการถ่ายโอนความทรงจำ”

กุญแจสำคัญในการดำรงอยู่ของการเกิดใหม่
ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขา Return to Live ทักเกอร์เล่าถึงกรณีที่น่าสนใจที่สุดบางกรณีที่เขาเคยศึกษาในสหรัฐอเมริกา และเสนอข้อโต้แย้งของเขาว่าการค้นพบล่าสุดในกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งพฤติกรรมของอนุภาคที่เล็กที่สุดในธรรมชาตินั้น กุญแจสำคัญในการดำรงอยู่ของการกลับชาติมาเกิด
“ฟิสิกส์ควอนตัมแสดงให้เห็นว่าโลกทางกายภาพของเราเกิดขึ้นจากจิตสำนึกของเรา” ทัคเกอร์รายงาน “มุมมองนี้ไม่เพียงแสดงโดยฉันเท่านั้น แต่ยังนำเสนอโดยนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ จำนวนมากด้วย”

สำหรับ Michael Levin ผู้อำนวยการศูนย์ชีววิทยาพัฒนาการบูรณะและฟื้นฟูที่มหาวิทยาลัย Tufts และผู้แต่งบทวิจารณ์ทางวิชาการเกี่ยวกับหนังสือเล่มแรกของ Tucker ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น "การวิจัยชั้นหนึ่ง" ข้อโต้แย้งดังกล่าวเกิดขึ้นจากแบบจำลองของวิทยาศาสตร์ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถหักล้างหรือพิสูจน์การค้นพบของทัคเกอร์ได้ “เมื่อคุณจับปลาด้วยอวนที่มีรูใหญ่ คุณจะไม่มีวันจับปลาที่เล็กกว่าหลุมเหล่านั้นได้ สิ่งที่คุณพบมักถูกจำกัดด้วยสิ่งที่คุณกำลังมองหาเสมอ วิธีการและแนวคิดในปัจจุบันไม่สามารถรับมือกับข้อมูลนี้ได้"
ทัคเกอร์ ซึ่งการวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิแต่เพียงผู้เดียว ได้เริ่มค้นคว้าเรื่องการกลับชาติมาเกิดในปลายปี 1990 หลังจากที่เขาอ่านบทความใน Charlottesville Daily Progress เกี่ยวกับการคบหาที่ งานวิจัย Ian Stevenson เกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตาย: “ฉันสนใจแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตายและคำถามว่าเราจะใช้ได้ไหม วิธีการทางวิทยาศาสตร์เพื่อศึกษาพื้นที่นี้”

ผลการวิจัยของทักเกอร์เป็นตัวเลข

หลังจากเริ่มเป็นอาสาสมัครในแผนกของ Stevenson เป็นเวลาหลายปี เขาก็กลายเป็นสมาชิกถาวรของทีมและมอบบันทึกของ Stevenson ซึ่งส่วนหนึ่งมีอายุในช่วงต้นทศวรรษ 1960 “งานนี้” ทัคเกอร์กล่าว “ทำให้ฉันเข้าใจลึกซึ้งมาก”

เด็กที่ศึกษาประมาณร้อยละ 70 เสียชีวิต (ในชีวิตก่อน) จากการเสียชีวิตที่รุนแรงหรือไม่คาดคิด ประมาณหนึ่งในสามของคดีเหล่านี้ถูกเรียกคืนโดยเด็กผู้ชาย ซึ่งเกือบจะสอดคล้องกับสัดส่วนของผู้ชายที่มีสาเหตุการเสียชีวิตผิดธรรมชาติในประชากรปกติทุกประการ
แม้ว่าในประเทศที่การกลับชาติมาเกิดเป็นส่วนหนึ่งก็ตาม วัฒนธรรมทางศาสนากรณีดังกล่าวมีการรายงานบ่อยกว่า อย่างไรก็ตาม ตามข้อมูลของ Tucker ไม่มีความสอดคล้องกันระหว่างความถี่ของกรณีและ ความเชื่อทางศาสนาครอบครัวที่ต้องเผชิญกับการกลับชาติมาเกิด
ในกรณีที่ประวัติของเด็กอาจเกิดจากบุคลิกภาพอื่น ระยะเวลาของช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้มักจะอยู่ระหว่างประมาณ 16 เดือน

การวิจัยเพิ่มเติมโดยทักเกอร์และคนอื่นๆ แสดงให้เห็นว่าเด็กที่ได้รับผลกระทบจากปรากฏการณ์นี้โดยทั่วไปจะมีไอคิวสูงกว่าค่าเฉลี่ย แต่ไม่มีความผิดปกติทางจิตและปัญหาพฤติกรรมที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ไม่มีเด็กคนใดที่ศึกษาพยายามที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์อันเจ็บปวดในครอบครัวผ่านการบรรยายเรื่องราวดังกล่าว
ข้อความเหล่านี้ส่วนใหญ่ในเด็กจะลดลงเมื่ออายุ 6 ขวบ ซึ่งสอดคล้องกับเวลาที่สมองของเด็กกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาระยะใหม่

แม้ว่าเรื่องราวของพวกเขาจะมีลักษณะเหนือธรรมชาติ แต่แทบไม่มีเด็กคนใดที่ศึกษาและบันทึกหลักฐานที่แสดงสัญญาณอื่นๆ ของความสามารถ "เหนือธรรมชาติ" หรือ "การรู้แจ้ง" ทัคเกอร์เขียน “ฉันรู้สึกว่าถึงแม้เด็กบางคนจะพูดเชิงปรัชญา แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็ยังเป็นเด็กปกติทั่วไป ใครๆ ก็เปรียบเทียบสิ่งนี้กับสถานการณ์ที่เด็กไปโรงเรียนวันแรกไม่ได้ฉลาดไปกว่าวันสุดท้ายของเขาเลย โรงเรียนอนุบาล«.
ทัคเกอร์เติบโตมาในฐานะเซาเทิร์นแบปติสต์ในนอร์ธแคโรไลนา โดยพิจารณาคำอธิบายอื่นๆ ที่ตรงไปตรงมามากกว่า และยังตรวจสอบกรณีของการหลอกลวงอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ทางการเงินและชื่อเสียง “แต่ในกรณีส่วนใหญ่ ข้อมูลนี้ไม่ได้มาจากสัญญาภาพยนตร์” ทัคเกอร์กล่าว “และหลายครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกตะวันตก รู้สึกเขินอายที่จะพูดคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูก”
แน่นอนว่า ทัคเกอร์ไม่ได้ละทิ้งจินตนาการในวัยเด็กธรรมดาๆ ไว้เป็นคำอธิบาย แต่นั่นไม่สามารถอธิบายรายละเอียดอันมากมายที่เด็กบางคนจำคนคนก่อนได้: "มันลอยไปเมื่อเผชิญกับตรรกะทั้งหมดที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมด เรื่องบังเอิญ”
ในหลายกรณี ผู้วิจัยกล่าวต่อไปว่า มีการเปิดเผยความทรงจำเท็จของพยาน แต่มีตัวอย่างมากมายที่ผู้ปกครองบันทึกเรื่องราวของลูกๆ ของตนอย่างระมัดระวังตั้งแต่เริ่มต้น

Tucker เชื่อว่าจำนวนคดีที่ค่อนข้างน้อยที่เขาและ Stevenson สามารถรวบรวมได้ในอเมริกาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา สามารถอธิบายได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ปกครองหลายคนเพิกเฉยต่อเรื่องราวของลูกๆ ของตนหรือตีความเรื่องเหล่านั้นผิด: “เมื่อเด็กๆ ได้รับความคิดที่ว่า ... พวกเขาไม่ได้ฟังหรือเชื่อ พวกเขาเพียงแค่หยุดพูดถึงมัน พวกเขาเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุน เด็กส่วนใหญ่ต้องการทำให้พ่อแม่พอใจ

ไรอันพบกับลูกสาวของเขาในชาติที่แล้ว
Cindy Hamons ไม่สนใจการสนทนาเหล่านี้เมื่อลูกชายของเธอ อายุก่อนวัยเรียนฉันจำตัวเองได้จากภาพถ่ายเมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว เธอแค่อยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้คือใคร
ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือเล่มนี้ แต่ในไม่ช้าซินดี้ก็ค้นพบว่าชายในภาพซึ่งไรอันเรียกว่า "จอร์จ" คือดาราภาพยนตร์จอร์จ ราฟต์ที่เกือบจะถูกลืมไปแล้ว คนที่ไรอันจำตัวเองได้นั้นยังไม่ชัดเจนสำหรับซินดี้ ซินดี้เขียนถึงทักเกอร์ ซึ่งเธอพบที่อยู่ทางอินเทอร์เน็ตด้วย
ภาพถ่ายนั้นจบลงในคลังภาพยนตร์ผ่านเขาซึ่งหลังจากค้นหามาหลายสัปดาห์ก็กลายเป็นว่า ดูมืดมนผู้ชายไม่เพียงพอในช่วงชีวิตของเขา นักแสดงชื่อดัง Martin Martyn ที่ไม่ได้กล่าวถึงในเครดิตของภาพยนตร์เรื่อง Night after Night

ทัคเกอร์ไม่ได้บอกครอบครัวฮามอนส์เกี่ยวกับการค้นพบของเขาเมื่อเขามาเยี่ยมพวกเขาในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา แต่เขาวางรูปถ่ายขาวดำของผู้หญิงสี่รูปไว้บนโต๊ะในครัว โดยสามรูปเป็นการสุ่ม ทัคเกอร์ถามไรอันว่าเขาจำผู้หญิงคนหนึ่งได้ไหม Ryan ดูรูปถ่ายแล้วชี้ไปที่รูปถ่ายของผู้หญิงที่เขารู้จัก มันคือภรรยาของมาร์ติน มาร์ติน
ต่อมาครอบครัว Hamons และ Tucker เดินทางไปแคลิฟอร์เนียเพื่อพบกับลูกสาวของ Martyn ซึ่งบรรณาธิการของโทรทัศน์พบ ภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับทักเกอร์.
ก่อนที่จะพบกับไรอัน ทัคเกอร์ได้พูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นลังเลที่จะพูดในตอนแรก แต่เมื่อการสนทนาดำเนินไป เธอก็สามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยืนยันเรื่องราวของไรอัน
ไรอันบอกว่า "เขา" เต้นในนิวยอร์ก มาร์ตินเป็นนักเต้นที่บรอดเวย์ ไรอันบอกว่าเขายังเป็น "สายลับ" และคนที่เขาทำงานด้วยได้เปลี่ยนชื่อแล้ว อันที่จริง Martyn ทำงานเป็นเวลาหลายปีหลังจากอาชีพของเขาในฐานะนักเต้นให้กับเอเจนซี่ที่มีพรสวรรค์ชื่อดังในฮอลลีวูดที่ก่อตั้งขึ้น นามแฝงที่สร้างสรรค์. ไรอันยังอธิบายด้วยว่าที่อยู่เก่าของเขามีคำว่า "ร็อค" อยู่ในชื่อ

แต่การพบปะของเธอกับไรอันไม่เป็นไปด้วยดี แม้ว่าไรอันจะยื่นมือไปหาเธอ แต่ก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังแม่ตลอดการสนทนาที่เหลือ ต่อมาเขาอธิบายให้แม่ของเขาฟังว่าพลังของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไป หลังจากนั้นแม่ของเขาอธิบายให้เขาฟังว่าผู้คนเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาโตขึ้น “ฉันไม่อยากกลับไป (ไปฮอลลีวูด)” ไรอันอธิบาย “ฉันแค่อยากจะออกจากครอบครัว (ของฉัน) นี้”
สัปดาห์ต่อมา Ryan พูดถึงฮอลลีวูดน้อยลงเรื่อยๆ
ทัคเกอร์อธิบายว่าสิ่งนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเด็กๆ ได้พบกับครอบครัวที่พวกเขาเชื่อว่าเคยเป็น “สิ่งนี้ดูเหมือนจะยืนยันความทรงจำของพวกเขา ซึ่งจากนั้นก็สูญเสียความเข้มข้นไป ฉันคิดว่าพวกเขาตระหนักแล้วว่าไม่มีใครในอดีตกำลังรอพวกเขาอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้เด็กบางคนเศร้า แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับและหันความสนใจไปที่ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง พวกเขาใส่ใจกับความจริงที่ว่าพวกเขาต้องอยู่ที่นี่และตอนนี้ - และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ

หลายสิบปีที่แล้ว คาร์ล เซแกน นักดาราศาสตร์และนักโหราศาสตร์ชาวอเมริกันกล่าวว่า “มีแนวคิดสามประการในจิตศาสตร์ที่สมควรได้รับการศึกษาอย่างจริงจัง” หนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่า “บางครั้งเด็กเล็กก็บอกรายละเอียดเกี่ยวกับ “ชีวิตในอดีตของพวกเขาที่เมื่อผ่านการทดสอบแล้ว ออกมาให้ถูกต้องและสิ่งที่พวกเขามักไม่รู้”

นักวิจัยหลายคนเริ่มสนใจที่จะศึกษาสิ่งที่น่าสนใจนี้และ ปรากฏการณ์ที่ไม่สามารถอธิบายได้ซึ่งส่งผลให้มีจำนวนมาก การค้นพบที่น่าอัศจรรย์. การศึกษาการกลับชาติมาเกิดเป็นของวิทยาศาสตร์ที่ไม่ใช่วัตถุซึ่งสมควรได้รับความสนใจอย่างมากในด้านนี้

จิตแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย Jim Tucker อาจเป็นนักวิจัยชั้นนำเกี่ยวกับปรากฏการณ์การกลับชาติมาเกิดในปัจจุบัน ในปี 2008 เขาได้ตีพิมพ์บทความที่เขาพูดถึงกรณีที่เป็นการชี้นำเรื่องการกลับชาติมาเกิด

ทักเกอร์อธิบาย กรณีทั่วไปการกลับชาติมาเกิด ความจริงที่น่าสนใจ- 100 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่รายงานว่าชาติที่แล้วเป็นเด็ก อายุเฉลี่ยเด็กที่พูดถึงชาติที่แล้วมีอายุ 1.5 ปี และคำอธิบายของพวกเขามักจะกว้างขวางและมีรายละเอียดที่น่าประหลาดใจ ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่าเด็กเหล่านี้มีอารมณ์อ่อนไหวมากเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต บางคนร้องไห้และขอให้ “ครอบครัวในอดีต” ของพวกเขาเข้ามารับเลี้ยง

ทัคเกอร์กล่าวไว้ว่า “เด็กๆ มักจะหยุดพูดถึงชีวิตในอดีตเมื่ออายุ 6-7 ปี ความทรงจำเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกลบทิ้งไป เมื่อถึงวัยนี้ เด็กๆ เริ่มไปโรงเรียน พวกเขามีเหตุการณ์ในชีวิตมากขึ้น และด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเริ่มสูญเสียความทรงจำในช่วงแรกเริ่ม”

แซม เทย์เลอร์

แซม เทย์เลอร์เป็นเด็กคนหนึ่งที่ทัคเกอร์ศึกษาพฤติกรรมของเขา เด็กชายเกิด 1.5 ปีหลังจากปู่ของเขาเสียชีวิต แซมอายุเกินหนึ่งปีเล็กน้อยเมื่อเขาพูดถึงชาติที่แล้วของเขาเป็นครั้งแรก ทัคเกอร์เขียนว่า “วันหนึ่ง แซม วัย 1.5 ขวบพูดกับพ่อของเขาขณะที่เขากำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมว่า “ตอนที่ฉันอายุเท่าคุณ ฉันเคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้คุณ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เด็กชายก็เริ่มเล่าข้อเท็จจริงมากมายจากชีวิตของปู่ เป็นที่น่าสังเกตว่า เขาพูดถึงสิ่งที่เขาไม่รู้และไม่เข้าใจเลย ตัวอย่างเช่น พี่สาวของปู่ของเขาถูกฆ่า ยายของเขาทำให้เขามิลค์เชคทุกวันจนกระทั่งปู่ของเขาเสียชีวิต น่าทึ่งใช่มั้ยล่ะ?

Ryan เป็นเด็กชายจากมิดเวสต์

เรื่องราวของไรอันเริ่มต้นเมื่ออายุ 4 ขวบ เมื่อเขาเริ่มฝันร้ายบ่อยครั้ง เมื่ออายุได้ห้าขวบ เขาบอกแม่ว่า “ฉันคุ้นเคยกับการเป็นคนอื่น” ไรอันมักพูดถึงการกลับบ้านที่ฮอลลีวูดและขอให้แม่พาเขาไปที่นั่น เขาพูดคุยเกี่ยวกับการพบกับดาราอย่าง Rita Hayworth เกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการผลิตละครบรอดเวย์ และการทำงานในบริษัทตัวแทนที่ผู้คนมักจะเปลี่ยนชื่อ เขาจำชื่อถนนที่เขาอาศัยอยู่ได้ "ในชาติที่แล้ว"

ซินดี้ แม่ของไรอันกล่าวว่า "เรื่องราวของเขามีรายละเอียดมากจนน่าเหลือเชื่อ และเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่เด็กๆ ไม่สามารถสร้างขึ้นมาง่ายๆ ได้"

ซินดี้ตัดสินใจศึกษาหนังสือเกี่ยวกับฮอลลีวูดในห้องสมุดที่บ้านของเธอ โดยหวังว่าจะพบบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของลูกชายของเธอ และเธอก็พบรูปถ่ายของบุคคลที่ไรอันคิดว่าเขาอยู่ในชาติที่แล้ว

ผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจหันไปหาทักเกอร์เพื่อขอความช่วยเหลือ จิตแพทย์ตัดสินใจลงมือทำธุรกิจและเริ่มค้นคว้าข้อมูล หลังจากผ่านไป 2 สัปดาห์ ทัคเกอร์ก็เปิดเผยว่าชายในภาพคือใคร ภาพถ่ายนี้เป็นภาพนิ่งจากภาพยนตร์ชื่อ Night After Night และชายคนนั้นคือ Marty Martin ซึ่งเป็นคนพิเศษและต่อมาได้กลายเป็นสายลับฮอลลีวูดที่ทรงพลังจนกระทั่งเขาเสียชีวิตในปี 2507 มาร์ตินแสดงละครบรอดเวย์จริงๆ ทำงานในเอเจนซี่ที่ลูกค้าใช้นามแฝง และอาศัยอยู่ที่ 825 North Roxbury Drive ในเบเวอร์ลีฮิลส์ ไรอันรู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดนี้ ตัวอย่างเช่น ที่อยู่มีคำว่า "หิน" เด็กชายสามารถบอกได้ว่ามาร์ตินมีลูกกี่คนและเขาแต่งงานกี่ครั้ง ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นคือเขารู้เกี่ยวกับพี่สาวของมาร์ติน แม้ว่าเขาจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับลูกสาวของมาร์ตินก็ตาม ไรอันยัง “จำ” แม่บ้านชาวแอฟริกันอเมริกันคนนี้ด้วย มาร์ตินและภรรยาของเขามีหลายอย่าง โดยรวมแล้วเด็กชายได้ให้ข้อเท็จจริง 55 ข้อจากชีวิตของชายผู้นี้ แต่เมื่อไรอันโตขึ้น เขาก็เริ่มลืมทุกสิ่งทุกอย่าง

ชายัย ชุมาลัยวงศ์

ชายัยเป็นเด็กไทยที่เริ่มเล่าตั้งแต่อายุ 3 ขวบว่าเป็นครูชื่อบัวไก่ที่ถูกยิงขณะขี่จักรยานไปโรงเรียน เขาขอร้องและอ้อนวอนให้พาไปหาพ่อแม่ของบัวกายาซึ่งเขารู้สึกว่าเป็นพ่อแม่ของเขา เขารู้ชื่อหมู่บ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่ และในที่สุดก็โน้มน้าวให้แม่ของเขาพาเขาไปที่นั่น ตามที่ Tucker กล่าว: “คุณย่าของเขาบอกว่าหลังจากลงจากรถบัส Shanai ก็พาเธอไปที่บ้านที่มีคู่สามีภรรยาสูงอายุอาศัยอยู่ ชายายจำเขาได้ แท้จริงแล้ว เป็นพ่อแม่ของบัวกายะ ครูที่ถูกฆ่าตายระหว่างทางไปโรงเรียนเมื่อ 5 ปีก่อนเด็กชายเกิด

น่าแปลกใจที่ไคและชาไนมีบางอย่างที่เหมือนกัน ไคถูกยิงจากด้านหลัง เขามีบาดแผลกลมเล็กๆ จากบาดแผลกระสุนปืนที่ด้านหลังศีรษะ และมีแผลที่ใหญ่กว่าและไม่เท่ากันบนหน้าผาก Shanai เกิดมาพร้อมกับปาน 2 อัน โดยมีไฝกลมเล็กๆ ที่ด้านหลังศีรษะ และไฝที่ใหญ่กว่าและมีโครงร่างไม่เท่ากันด้านหน้า

กรณีของป.ม.

น้องชายต่างมารดาของเด็กชาย เรียกเขาว่า P.M. เสียชีวิตด้วยเนื้องอกมะเร็ง - นิวโรบลาสโตมา - 12 ปีก่อนเกิด เนื้องอกถูกค้นพบหลังจากที่พี่ชายเริ่มเดินกะโผลกกะเผลกและหักกระดูกหน้าแข้งข้างซ้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก เขามีการตัดชิ้นเนื้อจากปมบนศีรษะเหนือหูขวา และได้รับเคมีบำบัดผ่านสายสวนที่ใส่ไว้ในหลอดเลือดดำคอภายนอก เด็กเสียชีวิตเมื่ออายุได้ 2 ปี โดยตาบอดข้างซ้ายแล้ว

พี.เอ็ม. เกิดมาพร้อมกับปาน 3 อัน ซึ่งดูเหมือนจะทำให้เขานึกถึงปัญหาของน้องชายต่างมารดาของเขา หนึ่งในนั้นอยู่ในรูปของเนื้องอกขนาดเหนือหูข้างขวา 1 ซม. อีกอันเป็นรอยรูปอัลมอนด์สีดำที่ส่วนล่างของพื้นผิวด้านหน้าของลำคอ กล่าวคือ ตรงที่ใส่สายสวนของน้องชาย นอกจากนี้ เขายังมีสิ่งที่เรียกว่า "หนามกระจกตา" ซึ่งทำให้เขาตาบอดในตาซ้ายของเขาด้วย เมื่อ PM. เริ่มเดินเดินกะเผลกที่ขาซ้าย และเมื่ออายุได้ 4.5 ปี เด็กชายก็เริ่มขอให้แม่กลับไปที่บ้านเดิมซึ่งเขาอธิบายได้อย่างแม่นยำอย่างไม่น่าเชื่อ

เคนดรา คาร์เตอร์

เมื่ออายุ 4 ขวบ เคนดราเริ่มเรียนว่ายน้ำและมีความรู้สึกผูกพันกับโค้ชทันที หลังจากเริ่มชั้นเรียนได้ไม่นาน เด็กหญิงเริ่มพูดว่าลูกของโค้ชเสียชีวิต โค้ชป่วย และเธอแท้ง แม่ของ Kendra อยู่ที่ชั้นเรียนอยู่เสมอ และเมื่อเธอถามลูกสาวว่าเธอรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เด็กหญิงคนนั้นก็ตอบว่าเธอเป็นเด็กที่อยู่ในท้องของโค้ช ในไม่ช้าแม่ของเด็กหญิงก็รู้ว่าโค้ชแท้งแท้งเมื่อ 9 ปีก่อนเคนดราจะเกิด

เด็กผู้หญิงมีความสุขและร่าเริงเมื่ออยู่ในชั้นเรียนและกลับถอนเวลาที่เหลือออกไป ผู้เป็นแม่เริ่มยอมให้ลูกสาวใช้เวลาอยู่กับโค้ชมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะพักค้างคืนสัปดาห์ละ 3 ครั้งก็ตาม

ต่อจากนั้นโค้ชทะเลาะกับแม่ของเคนดราและหยุดการติดต่อกับครอบครัวทั้งหมด หลังจากนั้นหญิงสาวก็เริ่มซึมเศร้าและไม่คุยกับใครเลยเป็นเวลา 4.5 เดือน โค้ชกลับมามีความสัมพันธ์อีกครั้ง แต่มีข้อจำกัดมากขึ้นและ Kendra ก็เริ่มพูดคุยและมีส่วนร่วมในการแข่งขันอย่างช้าๆ

เจมส์ ไลนิงเกอร์

เจมส์เป็นเด็กชายอายุ 4 ขวบจากหลุยเซียน่า เขาเชื่อว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป็นนักบินที่ถูกยิงตกเหนืออิโวจิมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พ่อแม่ของเด็กชายเรียนรู้เรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อเขาเริ่มฝันร้าย เจมส์ลุกขึ้นยืนและตะโกนว่า “เครื่องบินตก! เครื่องบินไฟไหม้! เขารู้คุณสมบัติของเครื่องบินซึ่งเป็นไปไม่ได้สำหรับอายุของเขา ตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งเขาเคยพูดกับแม่ของเขาในการสนทนา เธอเรียกถังน้ำมันที่อยู่นอกเรือว่าระเบิด เจมส์และพ่อแม่ของเขาดูสารคดีที่ผู้เขียนเรียกเครื่องบินญี่ปุ่นว่า Zero และเด็กชายอ้างว่าเป็นโทนี่ ในทั้งสองกรณี เด็กชายพูดถูก

เจมส์ยังกล่าวถึงเรือลำหนึ่งชื่อนาโทมาเบย์ด้วย ดังที่ Leiningers ได้เรียนรู้ในภายหลัง ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง เรือลำนี้เป็นเรือบรรทุกเครื่องบินของอเมริกา

คุณถามว่ามาจากไหน เด็กน้อยจากหลุยเซียน่า จำได้ไหมว่าเป็นนักบินสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง?

ผู้สงสัยหลักในเรื่องนี้คือพ่อของเด็กชาย ซึ่งอ้างว่าเขาสงสัยอย่างมากเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แต่ข้อมูลที่เจมส์ให้มานั้นน่าทึ่งและแปลกประหลาดมาก

การกลับชาติมาเกิดเป็นตัวเลข:

งานวิจัยของทักเกอร์เปิดเผยรูปแบบที่น่าสนใจในกรณีที่เด็กรายงานว่ามีความทรงจำในอดีต:

อายุเฉลี่ยในขณะที่เสียชีวิตของบุคคลที่ "ย้ายเข้าสู่ร่างใหม่" คือ 28 ปี
เด็กส่วนใหญ่ที่เล่าความทรงจำในอดีตมีอายุระหว่าง 2 ถึง 6 ปี
60% ของเด็กที่เล่าความทรงจำในอดีตเป็นเด็กผู้ชาย
เด็กเหล่านี้ประมาณ 70% อ้างว่าเสียชีวิตด้วยความรุนแรงหรือผิดธรรมชาติ
90% ของเด็กที่รายงานความทรงจำในชีวิตที่ผ่านมาบอกว่าพวกเขาเป็นเพศเดียวกันในชีวิตที่ผ่านมา
ระยะเวลาเฉลี่ยระหว่างวันที่รายงานการเสียชีวิตและการคลอดบุตรใหม่คือ 16 เดือน
20% ของเด็กเหล่านี้รายงานว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาระหว่างการตายและการเกิดใหม่

ทัคเกอร์ได้รวบรวมกรณีต่างๆ จากสหรัฐอเมริกาไว้ในหนังสือเล่มใหม่และนำเสนอสมมติฐานของเขาเองเกี่ยวกับแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ที่อาจซ่อนอยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์การกลับชาติมาเกิด ด้านล่างนี้เป็นคำแปลของบทความ “The Science of Reincarnation” ตีพิมพ์ครั้งแรกใน University of Virginia Journal

ความทรงจำที่เกิดขึ้นเองและเกมในวัยเด็ก

เมื่อไรอัน ฮัมมอนส์อายุได้สี่ขวบ เขาเริ่มเล่นเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ โดยมีคำสั่งอย่าง "แอ็กชัน" ดังก้องมาจากห้องในวัยเด็กของเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ในไม่ช้าเกมเหล่านี้ก็สร้างความกังวลให้กับพ่อแม่ของไรอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาพร้อมกับกรีดร้องในคืนหนึ่ง คว้าหน้าอกของเขา และเริ่มบอกเขาว่าเขาฝันว่าวันหนึ่งหัวใจของเขาจะระเบิดขณะอยู่ที่ฮอลลีวูด

ซินดี้ แม่ของเขาไปหาหมอ แต่หมออธิบายว่ามันเป็นฝันร้าย และในไม่ช้าเด็กชายก็จะโตเร็วกว่าวัยนี้ เย็นวันหนึ่ง ขณะที่ซินดี้กำลังวางลูกชายของเธอเข้านอน จู่ๆ เขาก็จับมือเธอแล้วพูดว่า “แม่คะ ฉันคิดว่าฉันเคยเป็นคนอื่นมาก่อน” ไรอันอธิบายว่าเขาจำบ้านหลังใหญ่สีขาวและสระว่ายน้ำได้

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ในฮอลลีวูด ห่างจากบ้านของพวกเขาในโอคลาโฮมาหลายไมล์ ไรอันบอกว่าเขามีลูกชายสามคน แต่เขาจำชื่อไม่ได้ เขาเริ่มร้องไห้และถามแม่ว่าทำไมจำชื่อไม่ได้ “ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าต้องทำอย่างไร” ซินดี้เล่า

"ฉันกลัวมาก. เขายืนกรานในเรื่องนี้มาก หลังจากคืนนั้น เขาพยายามจำชื่อพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก และทุกครั้งที่เขาผิดหวังที่ไม่สามารถจำได้ ฉันเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการกลับชาติมาเกิดบนอินเทอร์เน็ต ฉันยังอ่านหนังสือห้องสมุดเกี่ยวกับฮอลลีวูดด้วยหวังว่ารูปภาพเหล่านี้อาจช่วยเขาได้

ฉันไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครมาหลายเดือนแล้ว” วันหนึ่ง ขณะที่ไรอันและซินดี้กำลังดูหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับฮอลลีวูด ไรอันก็หยุดอยู่ที่หน้าหนึ่งของรูปถ่ายขาวดำจากภาพยนตร์ช่วงทศวรรษปี 1930 เรื่อง Night After Night ภาพถ่ายแสดงให้เห็นชายสองคนกำลังข่มขู่บุคคลที่สาม พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยชายอีกสี่คน

ซินดี้จำใบหน้าไม่ได้ แต่ไรอันชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่อยู่ตรงกลางแล้วพูดว่า "เฮ้ แม่ นี่จอร์จนะ" เราสร้างภาพยนตร์ด้วยกัน" จากนั้นนิ้วของเขาก็เลื่อนไปที่ชายในเสื้อแจ็คเก็ตทางด้านขวาของภาพซึ่งดูบูดบึ้ง:“ ผู้ชายคนนี้คือฉัน ฉันพบตัวเองแล้ว!”

แม้ว่าคำกล่าวอ้างของไรอันจะพบได้ยาก แต่คำกล่าวอ้างของไรอันก็ไม่ซ้ำใครและเป็นหนึ่งในคดีทั้งหมดมากกว่า 2,500 คดีที่จิตแพทย์ จิม ทัคเกอร์ รวบรวมไว้ในเอกสารสำคัญของเขาที่แผนกการศึกษาการรับรู้ของศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย

เมื่ออายุได้สองขวบ เด็กๆ จะจดจำชีวิตในอดีตของตนได้

เป็นเวลาเกือบ 15 ปีแล้วที่ทักเกอร์ค้นคว้าเรื่องราวของเด็กๆ ที่มักจะมีอายุระหว่าง 2-6 ขวบ โดยอ้างว่าพวกเขาเคยมีชีวิตอยู่มาก่อน บางครั้งเด็กเหล่านี้สามารถอธิบายรายละเอียดที่ค่อนข้างละเอียดเกี่ยวกับชีวิตในอดีตเหล่านี้ได้

บุคคลที่เสียชีวิตก่อนหน้านี้เหล่านี้มีชื่อเสียงหรือเป็นที่นิยมน้อยมาก และมักจะไม่เป็นที่รู้จักของครอบครัวของเด็กเหล่านี้เลย ทัคเกอร์ หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์สองคนในโลกที่กำลังศึกษาปรากฏการณ์นี้ อธิบายว่าประสบการณ์ดังกล่าวมีความซับซ้อนแตกต่างกันไป

บางส่วนสามารถระบุได้ง่าย เช่น เมื่อเป็นที่ชัดเจนว่าเรื่องราวที่ไม่เป็นอันตรายของเด็กเกิดขึ้นในครอบครัวที่พวกเขาสูญเสียญาติสนิทไป ในกรณีอื่นๆ เช่นคำอธิบายของไรอัน คำอธิบายเชิงตรรกะนั้นเป็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ ทักเกอร์กล่าว ซึ่งทั้งเรียบง่ายและน่าประหลาดใจ: "อย่างไรก็ตาม เด็กก็จำความทรงจำจากอีกชีวิตหนึ่งได้"

“ฉันตระหนักดีว่านี่เป็นก้าวสำคัญในการทำความเข้าใจและยอมรับว่ามีบางสิ่งที่อยู่เหนือสิ่งที่เรามองเห็นและสัมผัสได้” ทัคเกอร์ ซึ่งใช้เวลาเกือบทศวรรษในตำแหน่งผู้อำนวยการด้านการแพทย์ของ University Children's Hospital (คลินิกจิตเวชเด็กและครอบครัว) อธิบาย

“อย่างไรก็ตาม นี่เป็นหลักฐานที่จำเป็นต้องพิจารณาเหตุการณ์ดังกล่าว และหากเราพิจารณากรณีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด คำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุดคือมีการถ่ายโอนความทรงจำเกิดขึ้น”

กุญแจสำคัญในการดำรงอยู่ของการเกิดใหม่

ในหนังสือเล่มล่าสุดของเขา Return to Live ทักเกอร์เล่าถึงกรณีที่น่าสนใจที่สุดบางกรณีที่เขาเคยศึกษาในสหรัฐอเมริกา และเสนอข้อโต้แย้งของเขาว่าการค้นพบล่าสุดในกลศาสตร์ควอนตัม ซึ่งเป็นศาสตร์แห่งพฤติกรรมของอนุภาคที่เล็กที่สุดในธรรมชาตินั้น กุญแจสำคัญในการดำรงอยู่ของการกลับชาติมาเกิด

“ฟิสิกส์ควอนตัมแสดงให้เห็นว่าโลกทางกายภาพของเราเกิดขึ้นจากจิตสำนึกของเรา” ทักเกอร์รายงาน “มุมมองนี้ไม่เพียงแต่ของฉันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ อีกจำนวนมากด้วย” แม้ว่างานของทัคเกอร์กำลังนำไปสู่การถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนในชุมชนวิทยาศาสตร์ งานวิจัยของเขาส่วนหนึ่งมีพื้นฐานมาจากกรณีที่ศึกษาโดยเอียน สตีเวนสัน บรรพบุรุษของเขา ซึ่งเสียชีวิตในปี 2550 ซึ่งรวบรวมคดีจากทั่วโลกที่ทำให้เข้าใจผิดพอๆ กัน

วิธีการและแนวคิดในปัจจุบันไม่สามารถรับมือกับข้อมูลเหล่านี้ได้” ทัคเกอร์ซึ่งการวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิทั้งหมด เริ่มค้นคว้าเรื่องการกลับชาติมาเกิดในปลายปี 1990 หลังจากที่เขาอ่านบทความใน Charlottesville Daily Progress เกี่ยวกับงานวิจัยของเอียน สตีเวนสันเกี่ยวกับประสบการณ์ใกล้ตาย: "ฉันสนใจแนวคิดเรื่องชีวิตหลังความตาย ความตาย” และคำถามที่ว่าจะใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์มาศึกษาสาขานี้ได้หรือไม่”

การกลับชาติมาเกิดเป็นตัวเลข:

งานวิจัยของทักเกอร์เปิดเผยรูปแบบที่น่าสนใจในกรณีที่เด็กๆ รายงานว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับชาติก่อน อายุเฉลี่ยในขณะที่เสียชีวิตของคนก่อนหน้านี้คือ 28 ปี เด็กส่วนใหญ่ที่รายงานความทรงจำในชีวิตในอดีตมีอายุระหว่าง 2 ถึง 6 ปี เด็ก 60% ที่รายงานความทรงจำในชีวิตในอดีตเป็นเด็กผู้ชาย

เด็กเหล่านี้ประมาณ 70% กล่าวว่าพวกเขาเสียชีวิตด้วยความรุนแรงหรือผิดธรรมชาติ เด็ก 90% ที่รายงานความทรงจำในอดีตบอกว่าตนเป็นเพศเดียวกันในชีวิตก่อน เวลาเฉลี่ยระหว่างวันที่รายงานการเสียชีวิตและการเกิดใหม่ 16 เดือน 20% ของเด็กเหล่านี้ เด็กๆ รายงานว่ามีความทรงจำเกี่ยวกับช่วงเวลาระหว่างการตายและการเกิดใหม่

ลักษณะของเด็กดังกล่าวมีอะไรบ้าง?

เด็กที่ศึกษาประมาณร้อยละ 20 มีปานที่มีลักษณะคล้ายแผลเป็นหรือมีรูปร่างผิดปกติที่คล้ายกับรอยและบาดแผลของบุคคลที่พวกเขานึกถึงชีวิต ซึ่งพวกเขาได้รับในไม่ช้าหรือในเวลาที่เสียชีวิต ข้อความเหล่านี้ส่วนใหญ่ในเด็กจะลดลงเมื่ออายุ 6 ขวบ ซึ่งสอดคล้องกับเวลาที่สมองของเด็กกำลังเตรียมพร้อมสำหรับการพัฒนาระยะใหม่

เราอาจเปรียบเทียบสิ่งนี้กับสถานการณ์ที่เด็กในโรงเรียนวันแรกไม่ได้ฉลาดไปกว่าวันสุดท้ายของโรงเรียนอนุบาล" ทัคเกอร์เติบโตมาในฐานะเซาเทิร์นแบปติสต์ในนอร์ธแคโรไลนา โดยพิจารณาคำอธิบายอื่นๆ ที่ตรงไปตรงมามากกว่า และยังตรวจสอบกรณีของการหลอกลวงอันเนื่องมาจากผลประโยชน์ทางการเงินและชื่อเสียง

“แต่ในกรณีส่วนใหญ่ข้อมูลนี้ไม่ได้มาจากสัญญาภาพยนตร์” ทัคเกอร์กล่าว “และหลายครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกตะวันตก รู้สึกเขินอายที่จะพูดคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูก” แน่นอนว่า ทัคเกอร์ไม่ได้แยกแยะแม้แต่จินตนาการในวัยเด็กธรรมดาๆ ไว้เป็นคำอธิบาย แต่นั่นไม่สามารถอธิบายรายละเอียดอันมากมายที่เด็กบางคนจำคนคนก่อนได้: "มันลอยไปเมื่อเผชิญกับตรรกะทั้งหมดจนสามารถทำได้ทั้งหมด เป็นเรื่องบังเอิญ”

ในหลายกรณี ผู้วิจัยกล่าวต่อไปว่า มีการเปิดเผยความทรงจำเท็จของพยาน แต่มีตัวอย่างมากมายที่ผู้ปกครองบันทึกเรื่องราวของลูกๆ ของตนอย่างระมัดระวังตั้งแต่เริ่มต้น “จนถึงตอนนี้ยังไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลใดๆ ที่สามารถอธิบายรูปแบบอื่นที่เด็กๆ—เช่นในกรณีของไรอัน—เชื่อมโยงอารมณ์ที่รุนแรงเข้ากับความทรงจำของพวกเขา” ทัคเกอร์เขียน

Tucker เชื่อว่าจำนวนคดีที่ค่อนข้างน้อยที่เขาและ Stevenson สามารถรวบรวมได้ในอเมริกาในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา สามารถอธิบายได้ด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ปกครองหลายคนเพิกเฉยหรือตีความเรื่องราวของลูกๆ ของตนผิด: "เมื่อเด็กๆ รู้สึกรู้สึกว่าพวกเขา ไม่ได้รับการฟังหรือไม่เชื่อพวกเขาก็หยุดพูดถึงมัน พวกเขาเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุน เด็กส่วนใหญ่ต้องการทำให้พ่อแม่พอใจ”

การมองจิตสำนึกจากมุมมองของฟิสิกส์ควอนตัม

การที่จิตสำนึกหรืออย่างน้อยความทรงจำสามารถถ่ายโอนจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้นั้นยังคงเป็นปริศนาได้อย่างไร แต่ทัคเกอร์เชื่อว่าคำตอบอาจพบได้จากพื้นฐานของฟิสิกส์ควอนตัม นักวิทยาศาสตร์รู้มานานแล้วว่าสสาร เช่น อิเล็กตรอนและโปรตอน จะสร้างเหตุการณ์ต่างๆ เมื่อถูกสังเกต

ตัวอย่างที่เรียบง่ายคือสิ่งที่เรียกว่าการทดลองแบบสลิตคู่: หากปล่อยให้แสงตกผ่านรูที่มีช่องว่างเล็กๆ สองช่อง โดยด้านหลังช่องหนึ่งมีแผ่นปฏิกิริยาแสง และไม่ได้สังเกตกระบวนการนี้ แสงจะผ่านทั้งสองช่องได้ กรีด หากคุณสังเกตกระบวนการดังกล่าว แสงจะตกผ่านรูใดรูหนึ่งจากสองรูเท่านั้น ดังที่แผ่นแสดงให้เห็น

พฤติกรรมของแสงหรืออนุภาคของแสงจึงเปลี่ยนไป แม้ว่าความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือกระบวนการนี้ถูกสังเกตพบ ในความเป็นจริง ยังมีข้อโต้แย้งและข้อถกเถียงที่ทรงพลังเกี่ยวกับการทดลองนี้และผลลัพธ์ของมันด้วย อย่างไรก็ตาม ทัคเกอร์เชื่อเช่นเดียวกับผู้ก่อตั้งฟิสิกส์ควอนตัมอย่างแม็กซ์ พลังค์ ว่าโลกทางกายภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยจิตสำนึกที่ไม่ใช่ทางกายภาพ และอาจวิวัฒนาการมาจากมันด้วยซ้ำ

หากสิ่งนี้เป็นจริง จิตสำนึกก็ไม่จำเป็นต้องมีสมอง ดังนั้นสำหรับทัคเกอร์ จึงไม่มีเหตุผลที่จะเชื่อได้ว่าการตายของสมองทำให้จิตสำนึกสิ้นสุดลงเช่นกัน: "ค่อนข้างเป็นไปได้ที่จิตสำนึกจะปรากฏในชีวิตใหม่" Robert Pollock ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาวิทยาศาสตร์และศาสนาแห่งมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ตั้งข้อสังเกตว่านักวิทยาศาสตร์สับสนมานานแล้วว่าการสังเกตการณ์มีบทบาทอย่างไรในโลกทางกายภาพ

อย่างไรก็ตาม สมมติฐานที่นำเสนอไม่จำเป็นต้องเป็นวิทยาศาสตร์: “การถกเถียงดังกล่าวในหมู่นักฟิสิกส์มักจะเน้นไปที่ความชัดเจนและความสวยงามของแนวคิดดังกล่าว มากกว่าในสถานการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ในความคิดของฉัน นี่เป็นอะไรก็ได้นอกจากการถกเถียงทางวิทยาศาสตร์ ฉันคิดว่าพลังค์และผู้ติดตามของเขาสังเกตและสังเกตพฤติกรรมของอนุภาคขนาดเล็กนี้บนพื้นฐานของการที่พวกเขาได้ข้อสรุปเกี่ยวกับจิตสำนึกและด้วยเหตุนี้จึงแสดงความหวัง

แม้ว่าฉันหวังว่ามันจะถูกต้อง แต่ก็ไม่มีทางพิสูจน์หรือหักล้างแนวคิดเหล่านี้ได้" ในทางกลับกัน ทัคเกอร์อธิบายว่าสมมติฐานของเขามีพื้นฐานมาจากมากกว่าแค่ความปรารถนา นี่เป็นมากกว่าแค่ความหวัง “ถ้าคุณมีหลักฐานเชิงบวกโดยตรงสำหรับทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่ง มันก็สำคัญแม้ว่าจะมีหลักฐานเชิงลบที่ต่อต้านทฤษฎีนั้นก็ตาม”

ไรอันพบกับลูกสาวของเขาในชาติที่แล้ว

Cindy Hamons ไม่สนใจการอภิปรายนี้ เมื่อลูกชายวัยก่อนเรียนของเธอจำตัวเองได้ในภาพถ่ายเมื่อ 80 กว่าปีที่แล้ว เธอแค่อยากจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้คือใคร ไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ในหนังสือเล่มนี้ แต่ในไม่ช้าซินดี้ก็ค้นพบว่าชายในภาพซึ่งไรอันเรียกว่า "จอร์จ" คือดาราภาพยนตร์จอร์จ ราฟต์ที่เกือบจะลืมไปแล้ว

คนที่ไรอันจำตัวเองได้นั้นยังไม่ชัดเจนสำหรับซินดี้ ซินดี้เขียนถึงทักเกอร์ ซึ่งเธอพบที่อยู่ทางอินเทอร์เน็ตด้วย ภาพถ่ายผ่านเขาไปในที่เก็บภาพยนตร์ซึ่งหลังจากค้นหามาหลายสัปดาห์ปรากฎว่าชายที่ดูเศร้าหมองยังคงเป็นนักแสดงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก Martin Martyn ซึ่งไม่ได้กล่าวถึงในเครดิตของภาพยนตร์เรื่อง "Night after กลางคืน."

มันคือภรรยาของมาร์ติน มาร์ติน ไม่นานต่อมา ครอบครัว Hamons และ Tucker เดินทางไปแคลิฟอร์เนียเพื่อพบกับลูกสาวของ Martyn ซึ่งถูกพบโดยบรรณาธิการของสารคดีโทรทัศน์เกี่ยวกับ Tucker ก่อนที่จะพบกับไรอัน ทัคเกอร์ได้พูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นลังเลที่จะพูดในตอนแรก แต่เมื่อการสนทนาดำเนินไป เธอก็สามารถเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับพ่อของเธอมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งยืนยันเรื่องราวของไรอัน

ไรอันบอกว่า "เขา" เต้นในนิวยอร์ก มาร์ตินเป็นนักเต้นที่บรอดเวย์ ไรอันบอกว่าเขายังเป็น "สายลับ" และคนที่เขาทำงานด้วยได้เปลี่ยนชื่อแล้ว ในความเป็นจริง Martyn ทำงานเป็นเวลาหลายปีหลังจากอาชีพของเขาในฐานะนักเต้นให้กับเอเจนซี่ฮอลลีวูดที่มีชื่อเสียงซึ่งสร้างนามแฝงที่สร้างสรรค์ ไรอันยังอธิบายด้วยว่าที่อยู่เก่าของเขามีคำว่า "ร็อค" อยู่ในชื่อ

Martyn อาศัยอยู่ที่ 825 North Roxbury Drive ใน Beverly Hills ไรอันยังเผยด้วยว่าเขารู้จักชายคนหนึ่งชื่อวุฒิสมาชิกไฟว์ ลูกสาวของมาร์ตินยืนยันว่าเธอมีรูปถ่ายของพ่อของเธอกับวุฒิสมาชิกเออร์วิงก์ ไอฟส์แห่งนิวยอร์ก ซึ่งดำรงตำแหน่งในวุฒิสภาสหรัฐอเมริการะหว่างปี 1947 ถึง 1959 ใช่แล้ว Martyn มีลูกชายสามคนซึ่งแน่นอนว่าลูกสาวรู้ชื่อนี้ แต่การพบปะของเธอกับไรอันไม่เป็นไปด้วยดี

แม้ว่าไรอันจะยื่นมือไปหาเธอ แต่ก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังแม่ตลอดการสนทนาที่เหลือ ต่อมาเขาอธิบายให้แม่ของเขาฟังว่าพลังของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไป หลังจากนั้นแม่ของเขาอธิบายให้เขาฟังว่าผู้คนเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาโตขึ้น “ฉันไม่อยากกลับไป (ไปฮอลลีวูด)” ไรอันอธิบาย “ฉันแค่อยากจะออกจากครอบครัว (ของฉัน) นี้”

สัปดาห์ต่อมา Ryan พูดถึงฮอลลีวูดน้อยลงเรื่อยๆ ทัคเกอร์อธิบายว่าสิ่งนี้มักเกิดขึ้นเมื่อเด็กๆ ได้พบกับครอบครัวที่พวกเขาเชื่อว่าเคยเป็น “สิ่งนี้ดูเหมือนจะยืนยันความทรงจำของพวกเขา ซึ่งจากนั้นก็สูญเสียความเข้มข้นไป ฉันคิดว่าพวกเขาตระหนักแล้วว่าไม่มีใครในอดีตกำลังรอพวกเขาอีกต่อไป เรื่องนี้ทำให้เด็กบางคนเศร้า

แต่ในที่สุดพวกเขาก็ยอมรับและหันความสนใจไปที่ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง พวกเขาใส่ใจกับความจริงที่ว่าพวกเขาต้องอยู่ที่นี่และตอนนี้ - และแน่นอนว่านี่คือสิ่งที่พวกเขาควรทำ

แปลโดย Alena Ivanova

เป็นที่นิยมในหมวดหมู่: