นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่ามีชีวิตหลังความตาย มีชีวิตหลังความตายหรือไม่: หลักฐานทางวิทยาศาสตร์และคำบอกเล่าของผู้เห็นเหตุการณ์

นี่คือบทสัมภาษณ์ของ ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในด้านการวิจัยชีวิตหลังความตายและจิตวิญญาณเชิงปฏิบัติ พวกเขาให้หลักฐานสำหรับชีวิตหลังความตาย

พวกเขาร่วมกันตอบคำถามที่สำคัญและกระตุ้นความคิด:

• ฉันเป็นใคร?
• ทำไมฉันถึงอยู่ที่นี่?
• พระเจ้ามีอยู่จริงหรือ?
• แล้วสวรรค์กับนรกล่ะ?

พวกเขาจะร่วมกันตอบคำถามที่สำคัญและกระตุ้นความคิดและมากที่สุด คำถามหลักในช่วงเวลา "ที่นี่และตอนนี้": "ถ้าเราเป็นวิญญาณอมตะจริง ๆ สิ่งนี้จะส่งผลต่อชีวิตและความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่นอย่างไร"

โบนัสสำหรับผู้อ่านใหม่:

Bernie Siegel ศัลยแพทย์เนื้องอกวิทยา เรื่องราวที่ทำให้เขาเชื่อถึงการมีอยู่ของโลกวิญญาณและชีวิตหลังความตาย

ตอนฉันอายุสี่ขวบ ฉันเกือบสำลักของเล่นชิ้นหนึ่ง ฉันพยายามเลียนแบบสิ่งที่ช่างไม้ชายที่ฉันสังเกตเห็นกำลังทำอยู่

ฉันเอาส่วนหนึ่งของของเล่นเข้าปาก หายใจเข้า และ... ออกจากร่างกายของฉัน

ขณะนั้น เมื่อข้าพเจ้าออกจากร่างแล้วเห็นว่าตนเองกำลังหายใจไม่ออกและอยู่ในสภาพใกล้ตาย ข้าพเจ้าคิดว่า “ดีจัง!”

สำหรับเด็กอายุสี่ขวบ การออกจากร่างกายนั้นน่าสนใจกว่าการอยู่ในร่างกายมาก

แน่นอน ฉันไม่เสียใจเลยที่ฉันกำลังจะตาย ฉันเสียใจเหมือนกับเด็กๆ หลายคนที่ต้องผ่านประสบการณ์นี้ ที่พ่อแม่จะหาว่าฉันตายไปแล้ว

ฉันคิด: " โอเค! ฉันยอมตายดีกว่าอยู่ในร่างนั้น».

อย่างที่คุณพูด บางครั้งเราพบเด็กที่เกิดมาตาบอด เมื่อผ่านประสบการณ์คล้ายๆ กันนี้ และออกจากร่างไป ก็เริ่ม "เห็น" ทุกอย่าง

ในช่วงเวลาดังกล่าว คุณมักจะหยุดและถามตัวเองว่า “ ชีวิตคืออะไร? เกิดอะไรขึ้นที่นี่?».

เด็กเหล่านี้มักไม่มีความสุขที่ต้องกลับเข้าร่างและตาบอดอีกครั้ง

บางครั้งฉันสื่อสารกับพ่อแม่ที่ลูกเสียชีวิต พวกเขาบอกฉัน

เคยมีกรณีผู้หญิงคนหนึ่งขับรถอยู่บนทางด่วน ทันใดนั้นลูกชายของเธอก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอและพูดว่า: แม่ ช้าลงหน่อย!».

เธอเชื่อฟังเขา อย่างไรก็ตาม ลูกชายของเธอเสียชีวิตไปเป็นเวลาห้าปีแล้ว เธอขับรถไปที่ทางเลี้ยวและเห็นรถสิบคันถูกทุบเสียหาย - เกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ เนื่องจากลูกชายของเธอเตือนเธอทันเวลาเธอจึงไม่เกิดอุบัติเหตุ

เคน ริง. คนตาบอดและความสามารถในการ "มองเห็น" ระหว่างประสบการณ์เฉียดตายหรือออกจากร่างกาย

เราได้สัมภาษณ์คนตาบอดประมาณ 30 คน หลายคนตาบอดตั้งแต่เกิด เราถามว่าพวกเขามีประสบการณ์เฉียดตายหรือไม่ และพวกเขาสามารถ "มองเห็น" ระหว่างประสบการณ์เหล่านั้นได้หรือไม่

เราได้เรียนรู้ว่าคนตาบอดที่เราสัมภาษณ์มีประสบการณ์เฉียดตายแบบคลาสสิกของคนทั่วไป

คนตาบอดประมาณร้อยละ 80 ที่ฉันพูดคุยด้วยมีภาพที่มองเห็นแตกต่างกันในระหว่างประสบการณ์เฉียดตายหรือ

ในหลายกรณี เราสามารถได้รับการยืนยันโดยอิสระว่าพวกเขา "เห็น" สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถรู้ได้และสิ่งที่มีอยู่จริงในสภาพแวดล้อมทางกายภาพของพวกเขา

มันคงเป็นเพราะสมองขาดออกซิเจนใช่ไหม? ฮ่าๆ

ใช่ มันง่ายขนาดนั้น! ฉันคิดว่าคงเป็นเรื่องยากสำหรับนักวิทยาศาสตร์ในแง่ของประสาทวิทยาทั่วไปที่จะอธิบายว่าคนตาบอดซึ่งตามคำนิยามไม่สามารถมองเห็นได้อย่างไร ได้รับภาพที่มองเห็นเหล่านี้และรายงานด้วยความน่าเชื่อถือที่เพียงพอ

บ่อยครั้งที่คนตาบอดพูดแบบนั้นเมื่อพวกเขารู้ตัวครั้งแรก สามารถ "เห็น" ทางกายภาพ โลก พวกเขารู้สึกตกใจ หวาดกลัว และตกตะลึงกับทุกสิ่งที่เห็น

แต่เมื่อพวกเขาเริ่มมีประสบการณ์เหนือธรรมชาติที่พวกเขาไปสู่โลกแห่งแสงสว่างและเห็นญาติหรือสิ่งอื่นที่คล้ายคลึงกันซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของประสบการณ์ดังกล่าว การ "เห็น" นี้จึงดูเหมือนเป็นธรรมชาติสำหรับพวกเขา

« มันเป็นอย่างที่ควรจะเป็น", พวกเขาพูดว่า.

ไบรอัน ไวส์. กรณีจากการปฏิบัติที่พิสูจน์ว่าเราเคยมีชีวิตอยู่มาก่อนและจะมีชีวิตต่อไป

แท้จริง น่าเชื่อถือในประวัติศาสตร์เชิงลึก ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นในแง่วิทยาศาสตร์ ซึ่งแสดงให้เราเห็นว่า ชีวิตเป็นมากกว่าที่เห็นได้อย่างรวดเร็วในครั้งแรก

กรณีที่น่าสนใจที่สุดในการปฏิบัติของฉัน ...

ผู้หญิงคนนี้เป็นศัลยแพทย์สมัยใหม่และทำงานร่วมกับ "ผู้นำ" ของรัฐบาลจีน นี่เป็นการไปอเมริกาครั้งแรกของเธอ เธอไม่รู้ภาษาอังกฤษเลยแม้แต่คำเดียว

เธอมาถึงไมอามี่พร้อมกับล่ามที่ฉันทำงานอยู่ที่นั่น ฉันถดถอยเธอไปสู่ชีวิตที่ผ่านมา

เธอจบลงที่แคลิฟอร์เนียตอนเหนือ มันเป็นความทรงจำที่สดใสมากเมื่อประมาณ 120 ปีที่แล้ว

ลูกค้าของฉันกลายเป็นผู้หญิงตีสอนสามีของเธอ ทันใดนั้นเธอก็เริ่มพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วซึ่งเต็มไปด้วยคำคุณศัพท์และคำคุณศัพท์ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะเธอกำลังโต้เถียงกับสามีของเธอ ...

นักแปลมืออาชีพของเธอหันมาหาฉันและเริ่มแปลคำพูดของเธอเป็นภาษาจีน - เขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันบอกเขา: " ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจภาษาอังกฤษ».

เขาตกตะลึง - เขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เขาเพิ่งรู้ว่าเธอพูดภาษาอังกฤษ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่รู้จักคำว่า "สวัสดี" เลยด้วยซ้ำ นั่นคือตัวอย่าง

เซโนกลอสเซียคือความสามารถในการพูดหรือเข้าใจ ภาษาต่างประเทศที่คุณไม่คุ้นเคยและไม่เคยศึกษามาก่อน

นี่เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิตการทำงานที่ผ่านมาเมื่อเราได้ยินลูกค้าพูด ภาษาโบราณหรือในภาษาที่เขาไม่คุ้นเคย

ไม่มีวิธีอื่นที่จะอธิบายได้ ...

ใช่และฉันมีเรื่องราวมากมาย มีกรณีหนึ่งในนิวยอร์ก: เด็กชายฝาแฝดอายุ 3 ขวบสองคนสื่อสารกันในภาษาที่แตกต่างจากภาษาที่เด็กประดิษฐ์ขึ้นอย่างสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น พวกเขาคิดคำสำหรับโทรศัพท์หรือโทรทัศน์ขึ้นมา

พ่อของพวกเขาที่เป็นหมอ ตัดสินใจพาพวกเขาไปพบนักภาษาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์ก ปรากฎว่าเด็กชายพูดกันเป็นภาษาอราเมอิกโบราณ

เรื่องนี้ได้รับการบันทึกโดยผู้เชี่ยวชาญ เราต้องเข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ฉันคิดว่ามันเป็น เราจะอธิบายความรู้ภาษาอราเมอิกโดยเด็กอายุสามขวบได้อย่างไร

ท้ายที่สุด พ่อแม่ของพวกเขาไม่รู้ภาษานี้ และเด็กๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงภาษาอราเมอิกในโทรทัศน์หรือจากเพื่อนบ้านตอนดึก นี่เป็นเพียงบางกรณีที่น่าเชื่อถือจากการปฏิบัติของฉัน ซึ่งพิสูจน์ว่าเราเคยมีชีวิตอยู่มาก่อนและจะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง

เวย์น ดายเออร์. เหตุใดชีวิตจึง "ไม่มีอุบัติเหตุ" และเหตุใดทุกสิ่งที่เราพบในชีวิตจึงเป็นไปตามแผนการของพระเจ้า

แล้วความคิดที่ว่า "ไม่มีอุบัติเหตุ" ในชีวิตล่ะ? ในหนังสือและสุนทรพจน์ของคุณ คุณบอกว่าไม่มีอุบัติเหตุในชีวิต และมีแผนสวรรค์ที่สมบูรณ์แบบสำหรับทุกสิ่ง

โดยทั่วไปฉันเชื่อได้ แต่ในกรณีที่เกิดโศกนาฏกรรมกับเด็กหรือเมื่อเครื่องบินโดยสารตก ... จะเชื่อได้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

“ดูเหมือนโศกนาฏกรรมหากคุณเชื่อว่าความตายเป็นโศกนาฏกรรม คุณต้องเข้าใจว่าทุกคนเข้ามาในโลกนี้เมื่อจำเป็น และจากไปเมื่อหมดเวลา

โดยวิธีการนี้มีการยืนยัน ไม่มีอะไรที่เราไม่ได้เลือกไว้ล่วงหน้า รวมถึงช่วงเวลาที่เราปรากฏตัวในโลกนี้และช่วงเวลาที่จากโลกนี้ไป

อัตตาส่วนตัวของเราตลอดจนอุดมการณ์ของเรากำหนดเราว่าเด็ก ๆ ไม่ควรตายและทุกคนควรมีอายุถึง 106 ปีและตายอย่างไพเราะในขณะหลับใหล จักรวาลทำงานในวิธีที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง - เราใช้เวลาที่นี่มากเท่ากับที่วางแผนไว้

... ในการเริ่มต้นเราต้องมองทุกอย่างจากด้านนี้ ประการที่สอง เราทุกคนเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ชาญฉลาดมาก นึกอะไรไม่ออกสักวินาที...

ลองนึกภาพกองขยะขนาดใหญ่และในกองขยะนี้มีสิ่งต่าง ๆ สิบล้านอย่าง: ฝาชักโครก, แก้ว, สายไฟ, ท่อต่าง ๆ , สกรู, สลักเกลียว, ถั่ว - โดยทั่วไปแล้วชิ้นส่วนหลายสิบล้านชิ้น

และลมก็ปรากฏขึ้น - พายุไซโคลนแรงที่กวาดทุกอย่างเป็นกองเดียว จากนั้นคุณมองไปที่สถานที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของถังขยะและมีเครื่องบินโบอิ้ง 747 ลำใหม่พร้อมที่จะบินจากสหรัฐอเมริกาไปยังลอนดอน อะไรคือโอกาสที่จะเกิดขึ้น?

ไม่มีนัยสำคัญ

แค่นั้นแหละ! เช่นเดียวกับจิตสำนึกที่ไม่มีนัยสำคัญซึ่งไม่มีความเข้าใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ชาญฉลาดนี้

มันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญมาก เราไม่ได้พูดถึงชิ้นส่วน 10 ล้านชิ้นเหมือนบนเครื่องบินโบอิ้ง 747 แต่หมายถึงชิ้นส่วนที่เชื่อมต่อถึงกันนับล้านชิ้น ทั้งบนโลกใบนี้และในกาแลคซีอื่นๆ อีกนับพันล้านแห่ง

สมมติว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องบังเอิญและไม่มี แรงผลักดันคงจะโง่และเย่อหยิ่งพอๆ กับที่เชื่อว่าลมสามารถสร้างเครื่องบินโบอิ้ง 747 จากชิ้นส่วนนับสิบล้านได้

เบื้องหลังทุกเหตุการณ์ในชีวิตคือปัญญาทางจิตวิญญาณสูงสุด ดังนั้นจึงไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น

ไมเคิล นิวตัน ผู้เขียน Journey of the Soul คำปลอบโยนสำหรับผู้ปกครองที่สูญเสียลูก

คุณมีคำปลอบโยนและความมั่นใจอะไรสำหรับสิ่งเหล่านั้น ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก โดยเฉพาะลูก ๆ เล็ก ๆ ?

“ฉันจินตนาการถึงความเจ็บปวดของผู้ที่สูญเสียลูกไป ฉันมีลูกและฉันโชคดีที่พวกเขาแข็งแรง

คนเหล่านี้จมอยู่กับความโศกเศร้า พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพวกเขาได้สูญเสียคนที่รักไป และจะไม่เข้าใจว่าพระเจ้าปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

บางทีมันอาจจะเป็นพื้นฐานมากกว่านั้นก็ได้...

นีล ดักลาส-คลอตซ์ ความหมายที่แท้จริงของคำว่า "สวรรค์" และ "นรก" ตลอดจนสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราและที่ที่เราจะไปหลังความตาย

"สวรรค์" ไม่ใช่สถานที่ทางกายภาพในความหมายของคำนี้ในภาษาอราเมอิก-ยิว

"สวรรค์" คือการรับรู้ของชีวิต เมื่อพระเยซูหรือผู้เผยพระวจนะชาวยิวคนใดใช้คำว่า "สวรรค์" ตามความเข้าใจของเรา พวกเขาหมายถึง "ความจริงที่สั่นไหว" ราก "ชิม" - ในคำว่า การสั่นสะเทือน [การสั่นสะเทือน] หมายถึง "เสียง", "การสั่นสะเทือน" หรือ "ชื่อ"

Shimaya [ชิมายา] หรือ Shemaiah [เชไมอาห์] ในภาษาฮิบรูแปลว่า

ดังนั้น เมื่อปฐมกาลในพันธสัญญาเดิมกล่าวว่าพระเจ้าทรงสร้างความเป็นจริงของเรา หมายความว่าพระองค์ทรงสร้างมันขึ้นในสองวิธี: พระองค์ (เธอ/มัน) สร้างความเป็นจริงที่สั่นไหวซึ่งเราทุกคนเป็นหนึ่งเดียวและเป็นความจริงแต่ละบุคคล (ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน) ซึ่ง มีชื่อ ใบหน้า และการนัดหมาย

นี่ไม่ได้หมายความว่า "สวรรค์" อยู่ที่อื่นหรือ "สวรรค์" เป็นสิ่งที่ควรได้รับ "สวรรค์" และ "โลก" อยู่ร่วมกันในเวลาเดียวกัน เมื่อมองจากมุมมองนี้

แนวคิดเรื่อง "สรวงสวรรค์" เป็น "รางวัล" หรือสิ่งที่อยู่เหนือเราหรือที่เราไปหลังความตายล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสำหรับพระเยซูหรือสาวกของพระองค์

คุณจะไม่พบสิ่งนี้ในศาสนายูดาย แนวคิดเหล่านี้ปรากฏในภายหลังในการตีความศาสนาคริสต์ของชาวยุโรป

มีความนิยม ตอนนี้แนวคิดเชิงอภิปรัชญาที่ว่า "สวรรค์" และ "นรก" เป็นสภาวะของจิตสำนึกของมนุษย์ ระดับของการตระหนักรู้ในตนเองเป็นเอกภาพหรืออยู่ห่างไกลจากพระเจ้า และความเข้าใจในธรรมชาติที่แท้จริงของจิตวิญญาณและความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล จริงหรือไม่?

เรื่องนี้ใกล้ความจริงแล้ว ตรงกันข้ามกับ "สวรรค์" ไม่ใช่ แต่ "โลก" ดังนั้น "สวรรค์" และ "โลก" จึงตรงกันข้ามกับความเป็นจริง

ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า "นรก" ในความหมายของคำนี้ ไม่มีแนวคิดดังกล่าวในภาษาอราเมอิกหรือฮีบรู

หลักฐานชีวิตหลังความตายนี้ช่วยละลายน้ำแข็งแห่งความไม่ไว้วางใจหรือไม่?

เราหวังว่าตอนนี้คุณมีข้อมูลเพิ่มเติมมากมายที่จะช่วยให้คุณมองเห็นแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิดใหม่ และบางทีอาจช่วยให้คุณรอดพ้นจาก ความกลัวที่แข็งแกร่ง- กลัวความตาย

แปลโดย Svetlana Durandina

ป.ล. บทความนี้มีประโยชน์กับคุณหรือไม่? เขียนในความคิดเห็น

คุณต้องการเรียนรู้วิธีจดจำชีวิตในอดีตด้วยตัวคุณเองหรือไม่?

ด้วยความก้าวหน้าของการแพทย์ การช่วยชีวิตคนตายได้กลายเป็นขั้นตอนมาตรฐานในโรงพยาบาลสมัยใหม่หลายแห่ง ก่อนหน้านี้แทบไม่เคยใช้เลย

ในบทความนี้เราจะไม่ให้ กรณีจริงจากการปฏิบัติการกู้ชีพและเรื่องราวของผู้ที่เสียชีวิตทางคลินิก เนื่องจากสามารถพบคำอธิบายดังกล่าวมากมายในหนังสือเช่น:

• "ใกล้แสงสว่าง"
• ชีวิตหลังชีวิต
• "ความทรงจำแห่งความตาย"
• "ชีวิตเมื่อความตาย" (
• "พ้นขีดอันตรายแห่งความตาย" (

จุดมุ่งหมาย วัสดุนี้เป็นการจำแนกสิ่งที่ผู้พบเห็นผู้มาเยือนชีวิตหลังความตายและนำเสนอสิ่งที่เล่าสู่กันฟัง แบบฟอร์มที่เข้าใจได้เป็นเครื่องพิสูจน์การมีอยู่ของชีวิตหลังความตาย

จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากมีคนตาย

“เขากำลังจะตาย” มักจะเป็นสิ่งแรกที่คนได้ยินในขณะที่เสียชีวิตทางคลินิก จะเกิดอะไรขึ้นหลังจากการตายของคนๆ หนึ่ง? ในตอนแรก ผู้ป่วยรู้สึกว่าเขากำลังจะออกจากร่างกาย และในวินาทีต่อมา เขาก้มลงมองตัวเองที่ลอยอยู่ใต้เพดาน

ในขณะนี้ เป็นครั้งแรกที่คนเห็นตัวเองจากภายนอกและรู้สึกตกใจอย่างมาก ด้วยความตื่นตระหนก เขาพยายามดึงความสนใจมาที่ตัวเอง กรีดร้อง สัมผัสหมอ เคลื่อนย้ายสิ่งของ แต่ตามกฎแล้ว ความพยายามทั้งหมดของเขานั้นไร้ประโยชน์ ไม่มีใครเห็นหรือได้ยินเขา

หลังจากนั้นไม่นาน บุคคลนั้นตระหนักว่าประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขายังคงใช้งานได้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะตายไปแล้วก็ตาม ยิ่งกว่านั้น ผู้ป่วยจะได้สัมผัสถึงความเบาอย่างสุดจะพรรณนาซึ่งเขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน ความรู้สึกนี้วิเศษมากจนคนตายไม่อยากกลับเข้าร่าง

หลังจากที่กล่าวมาข้างต้นบางคนกลับไปที่ร่างกายและนี่คือที่ที่การเดินทางสู่ชีวิตหลังความตายของพวกเขาสิ้นสุดลง ในทางกลับกัน ใครบางคนสามารถเข้าไปในอุโมงค์ประเภทหนึ่งได้ ซึ่งในตอนท้ายของแสงจะมองเห็นได้ หลังจากผ่านประตูประเภทหนึ่ง พวกเขาเห็นโลกแห่งความงามอันยิ่งใหญ่

มีคนพบญาติและเพื่อนบางคนพบกับสิ่งมีชีวิตที่สดใสซึ่งเล็ดลอดออกมา ความรักที่ยิ่งใหญ่และความเข้าใจ มีคนแน่ใจว่านี่คือพระเยซูคริสต์ มีคนอ้างว่านี่คือทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์ แต่ทุกคนก็เห็นพ้องต้องกันว่าพระองค์ท่านเปี่ยมด้วยคุณงามความดีและความเมตตา

แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชมความงามและเพลิดเพลินไปกับความสุข ชีวิตหลังความตาย. บางคนบอกว่าพวกเขาตกอยู่ในสถานที่มืดมนและกลับมาบรรยายถึงสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยงและโหดร้ายที่พวกเขาเห็น

การทดสอบ

ผู้ที่กลับมาจาก "โลกอื่น" มักจะพูดว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งพวกเขาเห็นชีวิตทั้งหมดของพวกเขาในมุมมองที่สมบูรณ์ การกระทำแต่ละอย่างของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นวลีที่ถูกโยนทิ้งไปแบบสุ่ม และแม้แต่ความคิดก็แวบมาต่อหน้าพวกเขาราวกับว่าในความเป็นจริง ในขณะนี้ คน ๆ หนึ่งกำลังทบทวนชีวิตทั้งหมดของเขา

ในขณะนั้นไม่มีแนวคิดเช่นสถานะทางสังคม ความหน้าซื่อใจคด ความภาคภูมิใจ หน้ากากทั้งหมดของโลกมนุษย์ถูกถอดออก และชายผู้นั้นปรากฏตัวต่อหน้าศาลราวกับเปลือยเปล่า เขาไม่สามารถซ่อนอะไรได้ แต่ละของเขา สิ่งที่ไม่ดีถูกแสดงไว้อย่างละเอียดและแสดงให้เห็นว่ามันส่งผลกระทบต่อผู้อื่นและผู้ที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานจากพฤติกรรมดังกล่าวอย่างไร

ในเวลานี้ข้อได้เปรียบทั้งหมดที่ประสบความสำเร็จในชีวิต - สถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ, อนุปริญญา, ตำแหน่ง ฯลฯ - สูญเสียความหมายของพวกเขา สิ่งเดียวที่ต้องประเมินคือด้านศีลธรรมของการกระทำ ในขณะนี้คน ๆ หนึ่งตระหนักดีว่าไม่มีอะไรถูกลบและไม่ผ่านไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ทุกสิ่งแม้กระทั่งทุกความคิดล้วนมีผลที่ตามมา

สำหรับคนชั่วร้ายและโหดร้ายนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นของความทรมานภายในที่ทนไม่ได้ซึ่งเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนี ความสำนึกในความชั่วที่ทำลงไป วิญญาณที่พิการของตนเองและของผู้อื่น กลายเป็นเหมือน "ไฟที่ดับไม่ได้" สำหรับคนเช่นนี้ซึ่งไม่มีทางดับ มันเป็นการตัดสินการกระทำในลักษณะนี้ที่อ้างถึงในศาสนาคริสต์ว่าเป็นการทดสอบ

อาฟเตอร์เวิร์ล

เมื่อข้ามเส้นไปแล้วคน ๆ หนึ่งแม้ว่าความรู้สึกทั้งหมดจะยังคงเหมือนเดิม แต่ก็เริ่มรู้สึกถึงทุกสิ่งรอบตัวเขาในรูปแบบใหม่ทั้งหมด ความรู้สึกของเขาดูเหมือนจะเริ่มทำงานหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ขอบเขตของความรู้สึกและประสบการณ์นั้นยิ่งใหญ่จนผู้กลับมาไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ทั้งหมดที่พวกเขามีโอกาสรู้สึกที่นั่น

จากการรับรู้ทางโลกและคุ้นเคยกับเรามากขึ้นนี่คือเวลาและระยะทางซึ่งตามผู้ที่อยู่ในชีวิตหลังความตายไหลไปที่นั่นในลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

ผู้ที่เคยประสบกับการเสียชีวิตทางคลินิกมักจะพบว่าเป็นการยากที่จะตอบว่าสถานะหลังการชันสูตรของพวกเขากินเวลานานเท่าใด ไม่กี่นาทีหรือหลายพันปีก็ไม่ต่างอะไรกับพวกเขา

สำหรับระยะทางมันไม่ได้มีอยู่เลย บุคคลสามารถเคลื่อนย้ายไปยังจุดใดก็ได้ ไกลแค่ไหนก็ได้ เพียงแค่คิดถึงมัน นั่นคือพลังแห่งความคิด!

ประเด็นที่น่าประหลาดใจคือไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับการช่วยชีวิตจะกล่าวถึงสถานที่ซึ่งคล้ายกับสวรรค์และนรก คำอธิบายสถานที่ของแต่ละบุคคลทำให้จินตนาการสับสน พวกเขาแน่ใจว่าอยู่บนดาวเคราะห์ดวงอื่นหรือในมิติอื่น และดูเหมือนว่าจะเป็นจริง

ตัดสินด้วยตัวคุณเองในรูปแบบคำเช่นทุ่งหญ้าบนเนินเขา สีเขียวสดใสของสีที่ไม่มีอยู่บนโลก ทุ่งอาบด้วยแสงสีทองสวยงาม เมืองที่อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ สัตว์ที่คุณจะไม่พบที่อื่น - ทั้งหมดนี้ใช้ไม่ได้กับคำอธิบายของนรกและสวรรค์ ผู้คนที่ไปที่นั่นไม่พบคำที่เหมาะสมในการถ่ายทอดความประทับใจของพวกเขาอย่างชาญฉลาด

วิญญาณมีลักษณะอย่างไร

คนตายปรากฏต่อหน้าผู้อื่นในรูปแบบใด และพวกเขามีลักษณะอย่างไรในสายตาของพวกเขาเอง คำถามนี้เป็นที่สนใจของหลาย ๆ คน และโชคดีที่ผู้ที่เคยอยู่ต่างประเทศได้ให้คำตอบแก่เรา

ผู้ที่รับรู้ถึงประสบการณ์นอกร่างกายของพวกเขารายงานว่าเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะจำตัวเองได้ในตอนแรก ประการแรก รอยประทับแห่งวัยหายไป เด็ก ๆ มองว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ และคนชรามองว่าตัวเองยังเด็ก

ร่างกายก็เปลี่ยนไปเช่นกัน หากบุคคลใดได้รับบาดเจ็บหรือได้รับบาดเจ็บในช่วงชีวิตของเขาหลังจากเสียชีวิตแล้วพวกเขาก็จะหายไป แขนขาด้วนปรากฏขึ้น การได้ยินและการมองเห็นกลับมา หากก่อนหน้านี้ขาดหายไปจากร่างกาย

การประชุมหลังความตาย

ผู้ที่อยู่อีกด้านหนึ่งของ "ม่าน" มักจะบอกว่าพวกเขาได้พบกับญาติเพื่อนและคนรู้จักที่เสียชีวิตที่นั่น บ่อยครั้งที่ผู้คนเห็นคนที่พวกเขาใกล้ชิดในช่วงชีวิตหรือเกี่ยวข้องกัน

วิสัยทัศน์ดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นกฎ แต่เป็นข้อยกเว้นที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก โดยปกติแล้วการประชุมดังกล่าวถือเป็นการจรรโลงใจแก่ผู้ที่ยังตายเร็วเกินไป และผู้ที่ต้องกลับมายังโลกและเปลี่ยนแปลงชีวิตของตน

บางครั้งผู้คนเห็นสิ่งที่พวกเขาคาดว่าจะเห็น คริสเตียนเห็นทูตสวรรค์ พระแม่มารี พระเยซูคริสต์ นักบุญ คนที่ไม่นับถือศาสนาเห็นวัดบางชนิด ร่างเป็นชายในชุดขาวหรือชายหนุ่ม และบางครั้งพวกเขาไม่เห็นอะไรเลย แต่รู้สึกว่า "มีอยู่"

การมีส่วนร่วมของวิญญาณ

ผู้ที่ได้รับการช่วยชีวิตหลายคนอ้างว่ามีบางสิ่งหรือบางคนสื่อสารกับพวกเขาที่นั่น เมื่อพวกเขาถูกขอให้บอกว่าการสนทนาเกี่ยวกับอะไร พวกเขาพบว่าเป็นการยากที่จะตอบ สิ่งนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพวกเขาไม่รู้ภาษาหรือพูดไม่ชัด

เป็นเวลานานแล้วที่แพทย์ไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมผู้คนถึงจำไม่ได้หรือไม่สามารถถ่ายทอดสิ่งที่ได้ยินและคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผู้กลับมาบางคนยังคงสามารถอธิบายกลไกของการสื่อสารได้

ปรากฎว่ามีคนสื่อสารทางจิต! ดังนั้นหากในโลกนั้น "ได้ยิน" ความคิดทั้งหมดเราต้องเรียนรู้ที่นี่เพื่อควบคุมความคิดของเราเพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องละอายใจกับสิ่งที่เราคิดโดยไม่สมัครใจ

ข้ามเส้น

เกือบทุกคนที่มีประสบการณ์ ชีวิตหลังความตายและจำเธอได้ พูดถึงสิ่งกีดขวางบางอย่างที่แยกโลกของคนเป็นและคนตาย เมื่อข้ามไปอีกฝั่งแล้วคน ๆ หนึ่งจะไม่สามารถกลับมามีชีวิตได้อีกและทุกดวงวิญญาณรู้เรื่องนี้แม้ว่าจะไม่มีใครบอกเรื่องนี้ก็ตาม

ขีดจำกัดนี้แตกต่างกันไปสำหรับทุกคน บางคนเห็นรั้วหรือรั้วที่ขอบของทุ่ง บางคนเห็นทะเลสาบหรือชายฝั่งทะเล และบางคนยังเห็นเป็นประตู ลำธาร หรือเมฆ ความแตกต่างในคำอธิบายตามมาจากการรับรู้ของแต่ละคน

หลังจากอ่านทั้งหมดข้างต้นแล้ว มีเพียงคนขี้ระแวงและวัตถุนิยมเท่านั้นที่จะพูดเช่นนั้นได้ ชีวิตหลังความตายนี่คือนิยาย แพทย์และนักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก เป็นเวลานานปฏิเสธไม่เพียงแค่การมีอยู่ของนรกและสวรรค์เท่านั้น แต่ยังปฏิเสธความเป็นไปได้ของการมีอยู่ของชีวิตหลังความตายโดยสิ้นเชิงอีกด้วย

คำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์ที่ประสบกับสภาวะนี้ด้วยตัวเองทำให้ทุกคนหยุดนิ่ง ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ปฏิเสธชีวิตหลังความตาย แน่นอนว่าทุกวันนี้มีนักวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งที่ยังคงถือว่าคำให้การของผู้ทุกข์ระทมเป็นภาพหลอน แต่บุคคลดังกล่าวจะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหลักฐานใด ๆ จนกว่าตัวเขาเองจะเริ่มต้นการเดินทางสู่นิรันดร

มีความเชื่อกันว่า จิตวิญญาณของมนุษย์เป็นก้อนพลังงาน และถ้าเราพิจารณาพลังงานจากมุมมองของฟิสิกส์ มันก็ไม่สามารถเกิดขึ้นจากที่ไหนเลยและหายไปอย่างไร้ร่องรอย พลังงานจะต้องเข้าสู่สถานะอื่น ปรากฎว่าวิญญาณไม่ได้หายไปไหน ดังนั้นบางทีกฎหมายนี้อาจตอบคำถามที่ทรมานมนุษยชาติมาหลายศตวรรษ: ชีวิตหลังความตายมีชีวิตหรือไม่?

คัมภีร์พระเวทของศาสนาฮินดูกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดมีสองร่าง: บอบบางและหยาบ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเกิดขึ้นเพราะจิตวิญญาณเท่านั้น ดังนั้น เมื่อกายหยาบ (คือร่างกาย) ทรุดโทรมลง วิญญาณก็ผ่านไปสู่สิ่งที่ละเอียด ดังนั้นตัวหยาบจึงตาย และตัวบอบบางก็แสวงหาร่างใหม่สำหรับตัวมันเอง ดังนั้นจึงมีการเกิดใหม่

แต่บางครั้งก็เกิดขึ้นที่ดูเหมือนว่าร่างกายตายไปแล้ว แต่ชิ้นส่วนบางส่วนยังคงอยู่ ตัวอย่างที่ชัดเจนของปรากฏการณ์นี้คือมัมมี่ของพระ หลายแห่งมีอยู่ในทิเบต

มันยากที่จะเชื่อ แต่ก่อนอื่น ร่างกายของพวกมันไม่ย่อยสลาย และอย่างที่สอง พวกมันมีผมและเล็บงอก! แม้ว่าจะไม่มีอาการหายใจและการเต้นของหัวใจก็ตาม ปรากฎว่ามีชีวิตในมัมมี่? แต่ เทคโนโลยีที่ทันสมัยไม่สามารถจับกระบวนการเหล่านี้ได้ แต่สามารถวัดฟิลด์ข้อมูลพลังงานได้ และในมัมมี่นั้นสูงกว่าหลายเท่า คนธรรมดา. แล้ววิญญาณยังอยู่ไหม? จะอธิบายได้อย่างไร?

อธิการบดี สถาบันนานาชาตินิเวศวิทยาทางสังคม Vyacheslav Gubanov แบ่งความตายออกเป็นสามประเภท:

ในความคิดของเขา บุคคลคือการรวมกันของสามองค์ประกอบ: วิญญาณ บุคลิกภาพ และร่างกาย หากทุกอย่างชัดเจนเกี่ยวกับร่างกาย คำถามเกี่ยวกับสององค์ประกอบแรกก็เกิดขึ้น

วิญญาณ- วัตถุที่ละเอียดอ่อนซึ่งแสดงบนระนาบสาเหตุของการมีอยู่ของสสาร กล่าวคือเป็นสสารชนิดหนึ่งที่เคลื่อนไหวร่างกายเพื่อสนองความต้องการบางอย่าง งานกรรมเพื่อรับประสบการณ์ที่จำเป็น

บุคลิกภาพ- การก่อตัวบนระนาบจิตของการมีอยู่ของสสารซึ่งใช้เจตจำนงเสรี กล่าวอีกนัยหนึ่งมันเป็นคุณสมบัติทางจิตวิทยาที่ซับซ้อนของตัวละครของเรา

เมื่อร่างกายตายสติตามนักวิทยาศาสตร์ก็จะถูกถ่ายโอนไปยังระดับที่สูงขึ้นของการดำรงอยู่ของสสาร ปรากฎว่านี่คือชีวิตหลังความตาย คนที่สามารถถ่ายโอนไปยังระดับของจิตวิญญาณชั่วขณะหนึ่งแล้วกลับคืนสู่ร่างกายของพวกเขามีอยู่จริง เหล่านี้คือผู้ที่มีประสบการณ์ "การเสียชีวิตทางคลินิก" หรืออาการโคม่า

เรื่องจริง: ผู้คนรู้สึกอย่างไรหลังจากออกจากโลกอื่น?

Sam Parnia แพทย์จากโรงพยาบาลในอังกฤษตัดสินใจทำการทดลองเพื่อค้นหาว่าคน ๆ หนึ่งรู้สึกอย่างไรหลังความตาย ตามทิศทางของเขา กระดานหลายแผ่นที่มีภาพสีถูกแขวนไว้ใต้เพดานในห้องผ่าตัดบางห้อง และทุกครั้งที่หัวใจ การหายใจ และชีพจรของผู้ป่วยหยุดลง และจากนั้นก็สามารถทำให้เขาฟื้นขึ้นมาได้ แพทย์จะบันทึกความรู้สึกทั้งหมดของเขา

หนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดลอง แม่บ้านจาก Southampton กล่าวว่า:

“ฉันเป็นลมหมดสติในร้านค้าแห่งหนึ่ง ไปซื้อของที่นั่น ฉันตื่นขึ้นมาระหว่างการผ่าตัด แต่ตระหนักว่าฉันกำลังลอยอยู่เหนือร่างกายของฉันเอง หมอรุมอยู่ที่นั่น พวกเขากำลังทำอะไรบางอย่าง พูดคุยกัน

ฉันมองไปทางขวาและเห็นทางเดินในโรงพยาบาล ลูกพี่ลูกน้องของฉันกำลังยืนคุยโทรศัพท์อยู่ ฉันได้ยินเขาบอกใครบางคนว่าฉันซื้อของชำมากเกินไปและกระเป๋าก็หนักจนหัวใจปวดร้าว เมื่อข้าพเจ้าตื่นขึ้นและพี่ชายมาหาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเล่าสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ยินให้เขาฟัง เขาหน้าซีดทันทีและยืนยันว่าเขาพูดเรื่องนี้ในขณะที่ฉันไม่ได้สติ

น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเล็กน้อยในวินาทีแรกจำสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์เมื่อพวกเขาหมดสติ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือไม่มีใครเห็นภาพวาด! แต่ผู้ป่วยกล่าวว่าในช่วง "ความตายทางคลินิก" ไม่มีความเจ็บปวดใด ๆ แต่พวกเขาจมอยู่ในความสงบและความสุข เมื่อถึงจุดหนึ่ง พวกเขาจะมาถึงปลายอุโมงค์หรือประตู ซึ่งพวกเขาจะต้องตัดสินใจว่าจะข้ามเส้นนั้นหรือย้อนกลับ

แต่จะเข้าใจได้อย่างไรว่าลักษณะนี้อยู่ที่ไหน และวิญญาณจะผ่านจากร่างกายไปสู่ร่างกายวิญญาณเมื่อใด? เพื่อนร่วมชาติของเรา ดร. วิทยาศาสตร์ทางเทคนิค Korotkov Konstantin Georgievich

เขาทำการทดลองที่เหลือเชื่อ สาระสำคัญของมันคือการตรวจสอบร่างกายของคนที่เพิ่งเสียชีวิตด้วยความช่วยเหลือของภาพถ่ายของเคอร์เลียน มือของผู้เสียชีวิตถูกถ่ายภาพทุกชั่วโมงด้วยแฟลชปล่อยก๊าซ จากนั้นข้อมูลจะถูกถ่ายโอนไปยังคอมพิวเตอร์และทำการวิเคราะห์ตามตัวบ่งชี้ที่จำเป็น การสำรวจนี้เกิดขึ้นในช่วงสามถึงห้าวัน อายุ เพศของผู้ตาย และลักษณะการตายแตกต่างกันมาก ด้วยเหตุนี้ ข้อมูลทั้งหมดจึงถูกแบ่งออกเป็นสามประเภท:

• แอมพลิจูดของการสั่นนั้นค่อนข้างเล็ก
• เหมือนกันเฉพาะกับจุดสูงสุดที่เด่นชัด
• แอมพลิจูดขนาดใหญ่พร้อมการแกว่งที่ยาวนาน

และน่าแปลกที่การตายแต่ละประเภทเหมาะสมกับข้อมูลประเภทเดียวที่ได้รับ หากเราเชื่อมโยงธรรมชาติของความตายกับความกว้างของเส้นโค้งที่ผันผวน ปรากฎว่า:

• ประเภทแรกสอดคล้องกับการเสียชีวิตตามธรรมชาติของผู้สูงอายุ
• ประการที่สองคือการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอันเป็นผลมาจากอุบัติเหตุ
• ประการที่สามคือการตายหรือการฆ่าตัวตายโดยไม่คาดคิด

แต่ที่สำคัญที่สุด Korotkov รู้สึกประทับใจกับความจริงที่ว่าเขาถ่ายภาพผู้คนแห่งความตาย แต่ก็ยังมีความผันผวนอยู่พักหนึ่ง! แต่สิ่งนี้สอดคล้องกับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น! ปรากฎว่า อุปกรณ์แสดงกิจกรรมที่สำคัญตามข้อมูลทางกายภาพทั้งหมดของผู้เสียชีวิต.

เวลาในการสั่นยังแบ่งออกเป็นสามกลุ่ม:

• ด้วยการตายตามธรรมชาติ - ตั้งแต่ 16 ถึง 55 ชั่วโมง
• ในกรณีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ การกระโดดที่มองเห็นได้จะเกิดขึ้นหลังจากผ่านไปแปดชั่วโมงหรือเมื่อสิ้นสุดวันแรก และหลังจากนั้นสองวัน
• ที่ ความตายที่ไม่คาดคิด- แอมพลิจูดจะเล็กลงเมื่อสิ้นสุดวันแรกเท่านั้น และจะหายไปอย่างสมบูรณ์เมื่อสิ้นสุดวันที่สอง นอกจากนี้ยังสังเกตเห็นว่าในช่วงเวลาตั้งแต่เก้าโมงเย็นถึงสองหรือสามโมงเช้าจะสังเกตเห็นการปะทุที่รุนแรงที่สุด

เมื่อสรุปผลการทดลอง Korotkov เราสามารถสรุปได้ว่า แม้แต่ศพที่ไร้ซึ่งการหายใจและการเต้นของหัวใจก็ยังไม่ตาย - ดวงดาว.

ไม่ใช่เพื่ออะไรที่ในศาสนาดั้งเดิมหลายแห่งมีช่วงเวลาหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ในศาสนาคริสต์ มีเก้าสี่สิบวัน แต่วิญญาณทำอะไรในเวลานี้? ที่นี่เราสามารถเดาได้เท่านั้น บางทีเธออาจกำลังเดินทางระหว่างสองโลก หรือชะตากรรมในอนาคตของเธอกำลังถูกตัดสิน ไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีพิธีฝังศพและสวดอ้อนวอนเพื่อวิญญาณของผู้เสียชีวิต ผู้คนเชื่อว่าเราควรพูดถึงคนตายไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีก็ตาม เป็นไปได้มากว่าคำพูดที่ดีของเราจะช่วยให้จิตวิญญาณเปลี่ยนจากร่างกายไปสู่ร่างกายฝ่ายวิญญาณได้ยาก

อย่างไรก็ตาม Korotkov คนเดิมบอกอีกสองสามข้อ ข้อเท็จจริงที่น่าทึ่ง. ทุกคืนเขาจะลงไปที่โรงเก็บศพเพื่อทำการตรวจวัดที่จำเป็น และครั้งแรกที่เขามาที่นั่น ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังติดตามเขาในทันที นักวิทยาศาสตร์มองไปรอบ ๆ แต่ไม่เห็นใครเลย เขาไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนขี้ขลาด แต่ในขณะนั้นมันน่ากลัวมาก

Konstantin Georgievich รู้สึกว่ามองเขาอย่างใกล้ชิด แต่ไม่มีใครอยู่ในห้องนอกจากเขาและผู้ตาย! จากนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าคนที่มองไม่เห็นนี้อยู่ที่ไหน เขาก้าวไปรอบ ๆ ห้องและในที่สุดก็พบว่าตัวตนนั้นอยู่ไม่ไกลจากร่างของผู้ตาย คืนต่อมาก็น่ากลัวพอๆ กัน แต่ Korotkov ก็ยังคงควบคุมอารมณ์ของเขาไว้ นอกจากนี้เขายังกล่าวอีกว่า เขารู้สึกเหนื่อยค่อนข้างเร็วกับการวัดเช่นนี้ แม้ว่าในระหว่างวันงานนี้จะไม่เหนื่อยสำหรับเขา รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังดูดพลังงานออกจากตัวเขา

แต่เกิดอะไรขึ้นกับจิตวิญญาณหลังจากที่ออกจากร่างกายในที่สุด? นี่เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การอ้างถึงบัญชีพยานอื่น Sandra Ayling เป็นพยาบาลในเมืองพลีมัธ วันหนึ่งเธอกำลังดูทีวีอยู่ที่บ้าน จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หน้าอก ต่อมาปรากฎว่าเธอมีเส้นเลือดอุดตันและเธออาจเสียชีวิตได้ นี่คือสิ่งที่ Sandra พูดเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอในขณะนั้น:

“สำหรับฉันดูเหมือนว่าฉันกำลังบินด้วยความเร็วสูงผ่านอุโมงค์แนวตั้ง เมื่อมองไปรอบๆ ฉันเห็นใบหน้าจำนวนมาก มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่บิดเบี้ยวเป็นหน้าตาบูดบึ้งน่าขยะแขยง ฉันกลัว แต่ไม่นานฉันก็บินผ่านพวกเขาไป พวกเขาถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ฉันบินไปหาแสงสว่าง แต่ก็ยังไปไม่ถึง ราวกับว่าเขาถอยห่างจากฉันมากขึ้นเรื่อยๆ

ทันใดนั้นในช่วงเวลาหนึ่งสำหรับฉันดูเหมือนว่าความเจ็บปวดทั้งหมดจะหายไป มันดีขึ้นและสงบขึ้น ฉันได้รับการโอบกอดด้วยความรู้สึกสงบ จริงอยู่ไม่นาน จนถึงจุดหนึ่ง ฉันรู้สึกถึงร่างกายของตัวเองอย่างรวดเร็วและกลับสู่ความเป็นจริง ฉันถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ฉันยังคงคิดถึงความรู้สึกที่ฉันได้รับ ใบหน้าที่น่ากลัวที่ข้าพเจ้าเห็นแน่ ๆ คือนรก ส่วนแสงสว่างและความรู้สึกเป็นสุขคือสวรรค์

แต่แล้วทฤษฎีการกลับชาติมาเกิดจะอธิบายได้อย่างไร? มีมานับพันปีแล้ว

การเกิดใหม่คือการเกิดใหม่ของวิญญาณในร่างใหม่ กระบวนการนี้ได้รับการอธิบายโดยละเอียดโดยจิตแพทย์ชื่อดัง Ian Stevenson

เขาศึกษากรณีการเกิดใหม่มากกว่าสองพันกรณีและได้ข้อสรุปว่าบุคคลในการเกิดใหม่ของเขาจะมีลักษณะทางกายภาพและทางสรีรวิทยาเช่นเดียวกับในอดีต ตัวอย่างเช่น หูด แผลเป็น กระ แม้แต่อาการเสี้ยนและการพูดติดอ่างก็สามารถผ่านการเกิดใหม่หลายครั้งได้

Stevenson เลือกการสะกดจิตเพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้ป่วยของเขาในชีวิตที่ผ่านมา เด็กชายคนหนึ่งมีแผลเป็นประหลาดบนศีรษะ ผ่านการสะกดจิต เขาจำได้ว่าใน ชีวิตที่ผ่านมาพวกเขาใช้ขวานทุบพระเศียรของพระองค์ ตามคำอธิบายของเขา สตีเวนสันไปหาคนที่อาจรู้จักเด็กคนนี้ในชาติก่อนของเขา และโชคก็ยิ้มให้เขา แต่สิ่งที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจเมื่อเขาพบว่า แท้จริงแล้ว ในสถานที่ซึ่งเด็กชายชี้ให้เขาเห็น มีชายคนหนึ่งเคยอาศัยอยู่ และเขาก็ตายเพราะถูกขวานฟัน

ผู้เข้าร่วมการทดลองอีกคนเกิดมาเกือบจะไม่มีนิ้ว สตีเวนสันทำให้เขาอยู่ภายใต้การสะกดจิตอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าในชาติที่แล้วมีคนได้รับบาดเจ็บขณะทำงานในทุ่งนา จิตแพทย์พบคนที่ยืนยันกับเขาว่ามีชายคนหนึ่งเผลอเอามือเข้าไปในรถเกี่ยวข้าวจนบาดนิ้ว

แล้วจะเข้าใจได้อย่างไรว่าวิญญาณจะไปสวรรค์หรือนรกหลังจากร่างกายตายหรือเกิดใหม่? E. Barker เสนอทฤษฎีของเขาในหนังสือ “Letters from the Living Deceased” เขาเปรียบเทียบร่างกายของคนกับชิทิก (ตัวอ่อนแมลงปอ) และร่างกายฝ่ายวิญญาณกับแมลงปอเอง ตามที่นักวิจัยระบุว่าร่างกายเดินบนพื้นดินเหมือนตัวอ่อนที่ก้นอ่างเก็บน้ำและตัวที่ผอมเหมือนแมลงปอจะลอยขึ้นไปในอากาศ

หากคน ๆ หนึ่ง "ออกกำลังกาย" ภารกิจที่จำเป็นทั้งหมดในร่างกายของเขา (shitika) เขาก็ "เปลี่ยน" เป็นแมลงปอและได้รับ รายการใหม่มากขึ้นเท่านั้น ระดับสูง, ระดับของสสาร. หากเขาไม่ได้ทำงานก่อนหน้านี้การกลับชาติมาเกิดจะเกิดขึ้นและบุคคลนั้นจะเกิดใหม่ในร่างอื่น

ในเวลาเดียวกัน วิญญาณจะเก็บความทรงจำของชีวิตที่ผ่านมาทั้งหมดและส่งต่อความผิดพลาดไปสู่สิ่งใหม่ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจว่าทำไมความล้มเหลวบางอย่างจึงเกิดขึ้น ผู้คนจึงไปหานักสะกดจิตที่ช่วยให้พวกเขาจำสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตที่ผ่านมาได้ ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงเริ่มเข้าใกล้การกระทำของตนอย่างมีสติมากขึ้นและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเก่า ๆ

บางทีหลังความตาย พวกเราคนใดคนหนึ่งจะไปสู่ชาติหน้า ระดับจิตวิญญาณและจะแก้ปัญหาต่างดาวที่นั่น คนอื่นจะมาเกิดใหม่กลายเป็นมนุษย์อีกครั้ง ในเวลาและร่างกายที่ต่างกันเท่านั้น

ไม่ว่าในกรณีใดฉันอยากจะเชื่อว่ามีอย่างอื่นนอกเหนือจากนั้น สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ซึ่งตอนนี้เราสามารถสร้างสมมติฐานและสมมติฐานสำรวจและตั้งค่าการทดลองต่างๆ

แต่ถึงกระนั้นสิ่งสำคัญคืออย่าหยุดอยู่กับปัญหานี้ แต่เพื่อมีชีวิตอยู่ ที่นี่และตอนนี้. จากนั้นความตายจะไม่ดูเหมือนหญิงชราที่น่ากลัวด้วยเคียวอีกต่อไป

ความตายจะมาถึงทุกคน หนีไม่พ้น มันเป็นกฎของธรรมชาติ แต่อยู่ในอำนาจของเราที่จะทำให้ชีวิตนี้สดใส น่าจดจำ และเต็มไปด้วยความทรงจำในเชิงบวกเท่านั้น

หากเราดูประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติจากระยะไกล เราจะสังเกตเห็น:ทุกยุคทุกสมัยมีข้อห้ามของตัวเอง และบ่อยครั้งหลายชั้นของวัฒนธรรมก่อตัวขึ้นรอบๆ ข้อห้ามเหล่านี้

ข้อห้ามของผู้ปกครองนอกรีตในยุโรปของศาสนาคริสต์กลายเป็นความนิยมอย่างไม่น่าเชื่อในคำสอนของพระเยซูคริสต์ซึ่งค่อยๆทำลายความเชื่อนอกรีตในฐานะความเชื่อ

ทฤษฎีเกี่ยวกับตำแหน่งใจกลางดวงอาทิตย์และ โลกกลมปรากฏในยุคกลางที่เคร่งครัดซึ่งควรเชื่อในความคิดเห็นที่คริสตจักรแสดงภายใต้ความกลัวการสืบสวนเท่านั้น ในศตวรรษที่ 19 หัวข้อเรื่องเพศเป็นสิ่งต้องห้าม - จิตวิเคราะห์แบบฟรอยด์เกิดขึ้นซึ่งทำให้จิตใจของคนร่วมสมัย

คุณเชื่อเรื่องชีวิตหลังความตายไหม?

ในยุคของเรา มีการห้ามทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความตายโดยไม่ได้พูดประการแรก สิ่งนี้ใช้กับสังคมตะวันตก ผู้ปกครองมองโกเลียในยุคกลางผู้ล่วงลับต่างโศกเศร้าเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี ตอนนี้ข่าวเกี่ยวกับผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของภัยพิบัติถูกลืมไปอย่างแท้จริงในวันรุ่งขึ้นความเศร้าโศกของญาติจะคงอยู่เฉพาะกับลูกหลานที่ใกล้ชิดที่สุดเท่านั้น การไตร่ตรองในหัวข้อนี้ควรทำในโบสถ์เท่านั้น ระหว่างการไว้ทุกข์ระดับชาติ ในงานรำลึก

Emil Cioran นักปรัชญาชาวโรมาเนียเคยกล่าวไว้ว่า:"การตายคือการนำความไม่สะดวกมาสู่ผู้อื่น" หากบุคคลพิจารณาอย่างจริงจังว่ามีชีวิตหลังความตายหรือไม่ สิ่งนี้จะกลายเป็นบันทึกในสมุดบันทึกของจิตแพทย์ (ศึกษาคู่มือ DSM 5 เกี่ยวกับจิตเวชในยามว่าง)

บางทีนี่อาจเป็นเพราะความกลัวของรัฐบาลโลกด้วย คนฉลาด. ใครก็ตามที่รู้จักความอ่อนแอของการเป็น เชื่อในความเป็นอมตะของวิญญาณ เลิกเป็นฟันเฟืองในระบบ เป็นผู้บริโภคที่ไม่บ่น

จะมัวทำงานอะไรเพื่อซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ถ้าความตายคูณทุกอย่างด้วยศูนย์ความคิดเหล่านี้และที่คล้ายกันในหมู่ประชาชนไม่เป็นประโยชน์ต่อนักการเมืองและบริษัทข้ามชาติ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงสนับสนุนการปราบปรามโดยทั่วไปของแก่นเรื่องของชีวิตหลังความตายโดยปริยาย

ความตาย: จุดจบหรือแค่จุดเริ่มต้น?

เริ่มต้นด้วย:ไม่ว่าจะมีชีวิตหลังความตายหรือไม่ก็ตาม มีสองวิธีที่นี่:

• ชีวิตนี้ไม่มีอยู่จริง คนมีใจก็ดับไป ตำแหน่งของผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า
• มีชีวิต

ในย่อหน้าสุดท้ายสามารถแยกส่วนความคิดเห็นอื่นได้พวกเขาทั้งหมดมีความเชื่อร่วมกันในการดำรงอยู่ของวิญญาณ:

1. จิตวิญญาณของบุคคลจะเปลี่ยนไปเป็นคนใหม่หรือเป็นสัตว์ พืช ฯลฯ นี่คือความเห็นของชาวฮินดู ชาวพุทธ และลัทธิอื่นๆ;
2. วิญญาณไปยังสถานที่เฉพาะ:สวรรค์ นรก นิพพาน. นี่คือตำแหน่งของศาสนาโลกเกือบทั้งหมด
3. วิญญาณยังคงอยู่ในโลกสามารถช่วยญาติของพวกเขาหรือในทางกลับกันทำร้าย ฯลฯ (ลัทธิชินโต).

การตายทางคลินิกเป็นวิธีการศึกษา

บ่อยครั้ง แพทย์กล่าวว่า เรื่องราวที่น่าทึ่ง เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยใกล้ตาย นี่เป็นภาวะที่หัวใจของบุคคลหนึ่งหยุดเต้นและเขาราวกับว่าตายไปแล้ว แต่ในขณะเดียวกันด้วยความช่วยเหลือของมาตรการช่วยชีวิต เขาสามารถฟื้นคืนชีพได้ภายใน 10 นาที

ดังนั้น คนเหล่านี้จึงพูดถึงวัตถุต่างๆ ที่พวกเขาเห็นในโรงพยาบาล "บิน" ผ่านมัน

ผู้ป่วยรายหนึ่งสังเกตเห็นรองเท้าที่ลืมไว้ใต้บันได แม้ว่าเธอจะไม่มีทางรู้เลยเพราะถูกหามออกไปโดยไม่รู้ตัว ลองนึกภาพความประหลาดใจของเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เมื่อมีรองเท้าข้างเดียวอยู่ในตำแหน่งที่ระบุ!

คนอื่น ๆ คิดว่าพวกเขาเสียชีวิตไปแล้วจึงเริ่ม "ไป" ที่บ้านและดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น

ผู้ป่วยรายหนึ่งสังเกตเห็นถ้วยแตกและชุดใหม่ สีฟ้าที่พี่สาวของเธอ เมื่อผู้หญิงคนนั้นฟื้นขึ้นมาพี่สาวคนเดิมก็มาหาเธอ เธอกล่าวว่า ในเวลาที่น้องสาวของเธออยู่ในสภาพครึ่งตาย ถ้วยของเธอก็แตก และชุดก็ใหม่ สีฟ้า...

ชีวิตหลังความตาย คำสารภาพของคนตาย

หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับชีวิตหลังความตาย

จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ (ด้วยเหตุผลที่ดี นักโหราศาสตร์พูดถึงยุคแห่งการควบคุมจิตใจของดาวพลูโตที่กำลังจะมาถึง ซึ่งกระตุ้นความสนใจของผู้คนในเรื่องความตาย ความลับ การสังเคราะห์วิทยาศาสตร์และอภิปรัชญา) เกจิตอบคำถามเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย ในเชิงลบอย่างชัดเจน

ตอนนี้ความคิดเห็นที่ดูเหมือนจะไม่สั่นคลอนกำลังเปลี่ยนไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งฟิสิกส์ควอนตัมพูดถึงโดยตรง โลกคู่ขนานเป็นตัวแทนของเส้น คน ๆ หนึ่งเคลื่อนผ่านพวกเขาไปเรื่อย ๆ และด้วยเหตุนี้จึงเลือกชะตากรรม ความตายหมายถึงการหายไปของวัตถุในบรรทัดนี้เท่านั้น แต่ความต่อเนื่องในบรรทัดอื่น นั่นคือชีวิตนิรันดร์

นักจิตบำบัดยกตัวอย่างการสะกดจิตแบบถดถอยช่วยให้คุณมองเข้าไปในอดีตของบุคคลและในชีวิตที่ผ่านมา

ดังนั้น ในสหรัฐอเมริกา ผู้หญิงอเมริกันคนหนึ่ง หลังจากการสะกดจิตดังกล่าวระยะหนึ่ง ได้ประกาศตัวเองว่าเป็นศูนย์รวมของหญิงชาวนาชาวสวีเดน ใครๆ ก็คิดว่าเหตุผลคลุมเครือและหัวเราะ แต่เมื่อผู้หญิงคนนั้นเริ่มพูดภาษาสวีเดนโบราณอย่างคล่องแคล่วที่เธอไม่รู้จัก มันก็ไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะอีกต่อไป

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย

หลายคนรายงานคนตายที่มาหาพวกเขา มีเรื่องราวเหล่านี้มากมาย ผู้คลางแคลงบอกว่ามันเป็นเรื่องแต่งทั้งหมด นั่นเป็นเหตุผล ดูข้อเท็จจริงที่เป็นเอกสารจากคนที่ไม่ชอบจินตนาการและความวิกลจริต

ตัวอย่างเช่น Letizia แม่ของนโปเลียนโบนาปาร์ตรายงานว่าลูกชายสุดที่รักของเธอซึ่งถูกคุมขังบนเกาะเซนต์เฮเลนามาที่บ้านของเธอและรายงานวันที่และเวลาของวันนี้จากนั้นก็หายตัวไป และเพียงสองเดือนต่อมาก็มีข้อความเกี่ยวกับการมรณกรรมของเขา มันเกิดขึ้นในเวลาเดียวกันเมื่อเขามาหาแม่ของเขาในรูปของผี

ใน ประเทศในเอเชียมีธรรมเนียมที่จะทำเครื่องหมายบนผิวหนังของคนที่ตายแล้ว เพื่อที่ว่าหลังจากการเกิดใหม่ ญาติๆ จะได้จำเขาได้

มีการบันทึกกรณีของเด็กชายที่เกิดใครมี ไฝตรงตำแหน่งเดียวกับที่ทำเครื่องหมายปู่ของเขาเองซึ่งเสียชีวิตก่อนเกิดไม่กี่วัน

ด้วยหลักการเดียวกันนี้ พวกเขายังคงมองหาพระลามะในทิเบตในอนาคต ซึ่งเป็นผู้นำของศาสนาพุทธดาไลลามะ ลาโม ทอนถู องค์ปัจจุบัน (อันดับที่ 14 ติดต่อกัน) ถือเป็นบุคคลเดียวกันกับองค์ก่อนๆ ของพระองค์ ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เขาจำเรื่องราวของดาไลลามะองค์ที่ 13 ได้ มีความฝันจากชาติที่แล้ว และอื่นๆ

อย่างไรก็ตามลามะอีกคนหนึ่ง - ดาชิ อิติเกลอฟได้รับการอนุรักษ์ตั้งแต่เขาเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2470 ในรูปแบบที่ไม่เน่าเปื่อย ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่าส่วนประกอบของเส้นผม เล็บ ผิวหนังของมัมมี่มีลักษณะเฉพาะตลอดชีพ พวกเขาไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้ แต่พวกเขาจำได้ว่าเป็นความจริง พุทธศาสนิกชนเองก็กล่าวถึงครูบาอาจารย์ว่าปรินิพพานไปแล้ว เขาสามารถกลับเข้าร่างได้ทุกเมื่อ

ข้อมูลนี้เป็นที่สนใจของคนส่วนใหญ่ ก่อนหน้านี้ มนุษยชาติได้แต่คาดเดาว่ามีชีวิตหลังความตายหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ได้ให้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ เทคโนโลยีล่าสุดและ วิธีการวิจัย. ความเชื่อในความต่อเนื่องของชีวิตในรูปแบบอื่น บางทีอาจอยู่ในมิติอื่น ทำให้คนสามารถบรรลุเป้าหมายได้ หากไม่มีความมั่นใจเช่นนั้นแรงจูงใจสำหรับ การพัฒนาต่อไปไม่มีการปรับปรุง

ไม่มีใครสรุปผลสุดท้ายได้ การวิจัยยังคงดำเนินต่อไป หลักฐานใหม่ๆ ของทฤษฎีต่างๆ กำลังเกิดขึ้น เมื่อมีหลักฐานที่หักล้างไม่ได้สำหรับการดำรงอยู่ของชีวิตหลังความตาย ปรัชญาก็เช่นกัน ชีวิตมนุษย์จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ทฤษฎีและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์

ตามคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของ Tsiolkovsky ความตายทางร่างกายไม่ได้หมายถึงการสิ้นสุดของชีวิต ในทฤษฎีของเขา วิญญาณถูกนำเสนอในรูปแบบของอะตอมที่แบ่งแยกไม่ได้ ดังนั้น การบอกลาร่างกายที่เน่าเสียง่าย พวกมันจะไม่หายไป แต่ยังคงท่องไปในจักรวาลต่อไป สติสัมปชัญญะยังคงอยู่แม้ตายแล้ว นี่เป็นความพยายามครั้งแรกในการพิสูจน์สมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ว่ามีชีวิตหลังความตาย แม้ว่าจะไม่มีการนำเสนอหลักฐานใดๆ

ข้อสรุปที่คล้ายกันนี้จัดทำขึ้นโดยนักวิจัยชาวอังกฤษที่ทำงานที่สถาบันจิตเวชศาสตร์แห่งลอนดอน ผู้ป่วยของพวกเขาหัวใจหยุดเต้นอย่างสมบูรณ์และเสียชีวิตทางคลินิก ในเวลานี้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ได้กล่าวถึงความแตกต่างต่างๆ ผู้ป่วยบางคนเล่าหัวข้อการสนทนาเหล่านี้ได้แม่นยำมาก

ตามคำกล่าวของ Sam Parnia สมองเป็นอวัยวะของมนุษย์ธรรมดา และไม่มีทางที่เซลล์ของสมองจะสร้างความคิดได้ กระบวนการคิดทั้งหมดถูกจัดระเบียบโดยจิตสำนึก ในทางกลับกันสมองทำหน้าที่รับข้อมูลและประมวลผลข้อมูลสำเร็จรูป หากเราปิดเครื่องรับสถานีวิทยุจะไม่หยุดออกอากาศ อาจกล่าวได้เช่นเดียวกันเกี่ยวกับร่างกายหลังความตาย เมื่อสติสัมปชัญญะไม่ตาย

ความรู้สึกของผู้ที่ประสบกับความตายทางคลินิก

หลักฐานที่ดีที่สุดว่ามีชีวิตหลังความตายหรือไม่คือประจักษ์พยานของผู้คน มีสักขีพยานมากมายถึงการตายของพวกเขาเอง นักวิทยาศาสตร์กำลังพยายามจัดระบบความทรงจำของพวกเขา เพื่อหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เพื่ออธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับกระบวนการทางกายภาพตามปกติ

เรื่องราวของผู้ที่มีประสบการณ์การตายทางคลินิกแตกต่างกันอย่างมาก ไม่ใช่ว่าผู้ป่วยทุกรายจะมีการมองเห็นที่แตกต่างกัน หลายคนจำอะไรไม่ได้เลย แต่บางคนก็เล่าถึงความประทับใจหลังจากเหตุการณ์ไม่ปกติ กรณีเหล่านี้มีลักษณะเฉพาะของตนเอง

ในระหว่างการผ่าตัดที่ซับซ้อน ผู้ป่วยรายหนึ่งเสียชีวิตทางคลินิก เขาอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ในห้องผ่าตัด แม้ว่าเขาจะถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลในสภาพหมดสติก็ตาม ฮีโร่เห็นผู้ช่วยชีวิตทั้งหมดของเขาจากด้านข้างเช่นเดียวกับร่างกายของเขา ต่อมาในโรงพยาบาล เขาจำหมอได้ด้วยสายตา ทำให้พวกเขาประหลาดใจ พวกเขาออกจากห้องผ่าตัดก่อนที่ผู้ป่วยจะฟื้นคืนสติ

ผู้หญิงคนนั้นมีวิสัยทัศน์อื่น เธอรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วในอวกาศ ในระหว่างนั้นมีการหยุดหลายครั้ง นางเอกสื่อสารกับตัวเลขที่ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน แต่เธอสามารถจำสาระสำคัญของการสนทนาได้ มีสติรู้ชัดว่าตนเป็นของนอกกาย สถานะดังกล่าวไม่สามารถเรียกว่าความฝันหรือนิมิตได้ เพราะทุกอย่างดูเหมือนจริงเกินไป

มันยังอธิบายไม่ได้ว่าบางคนที่เคยประสบกับการเสียชีวิตทางคลินิกได้รับความสามารถและพรสวรรค์ใหม่ ๆ ปรากฏขึ้น ความสามารถทางจิต. คนตายจำนวนมากมองเห็นภาพเป็นอุโมงค์แสงยาว สว่างวาบ รัฐแตกต่างกันมาก: จากความสงบสุขไปจนถึง หวาดกลัวสยองขวัญโตงเตง สิ่งนี้สามารถหมายถึงสิ่งเดียวเท่านั้น: ไม่ใช่ทุกคนที่มีชะตากรรมเดียวกัน คำให้การของผู้คนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ดังกล่าวสามารถบอกได้แม่นยำกว่าว่ามีชีวิตหลังความตายหรือไม่

ศาสนาหลักเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย

คำถามเกี่ยวกับชีวิตและความตายที่ผู้คนสนใจ เวลาที่ต่างกัน. สิ่งนี้ไม่สามารถสะท้อนให้เห็นได้ ความเชื่อทางศาสนา. ศาสนาที่แตกต่างกันในแบบของพวกเขาอธิบายถึงความเป็นไปได้ของการมีชีวิตต่อไปหลังจากเริ่มมีอาการของความตายทางร่างกาย

ทัศนคติต่อชีวิตทางโลก ศาสนาคริสต์ดูถูกเหยียดหยามมาก การดำรงอยู่ที่แท้จริงและแท้จริงเริ่มต้นขึ้นในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเราต้องเตรียมตัวให้พร้อม วิญญาณจากไปไม่กี่วันหลังจากความตาย อยู่ใกล้ร่างกาย ในกรณีนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีชีวิตหลังความตายหรือไม่ เมื่อย้ายไปอยู่ในสถานะอื่นความคิดยังคงเหมือนเดิม ในอีกโลกหนึ่ง เทวดา ปีศาจ และวิญญาณอื่น ๆ กำลังรอผู้คนอยู่ ระดับของจิตวิญญาณและบาปเป็นตัวกำหนด ชะตากรรมต่อไปจิตวิญญาณเฉพาะ ทั้งหมดนี้ตัดสินที่การพิพากษาครั้งสุดท้าย คนบาปที่ไม่กลับใจและยิ่งใหญ่ไม่มีโอกาสไปสวรรค์ - พวกเขาถูกกำหนดให้อยู่ในนรก

ใน อิสลามผู้ที่ไม่เชื่อในชีวิตหลังความตายถือเป็นผู้ละทิ้งศาสนาที่มุ่งร้าย ที่นี่พวกเขายังถือว่าชีวิตทางโลกเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านก่อนถึง Achiret อัลลอฮ์เป็นผู้กำหนดอายุขัยของคนๆหนึ่ง มี ศรัทธาอันยิ่งใหญ่และบาปเล็กน้อยผู้นับถือศาสนาอิสลามตายด้วย ด้วยใจที่ผ่องใส. ผู้นอกศาสนาและผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าไม่มีโอกาสหลบหนีจากนรกในขณะที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามสามารถวางใจได้

อย่าแนบ มีความสำคัญอย่างยิ่งเรื่องความเป็นหรือความตายใน พระพุทธศาสนา. พระพุทธเจ้าทรงระบุคำถามที่ไม่พึงปรารถนาอีกหลายข้อ ชาวพุทธไม่คิดเรื่องวิญญาณเพราะมันไม่มีอยู่จริง แม้ว่าตัวแทนของศาสนานี้จะเชื่อในการกลับชาติมาเกิดและนิพพาน การเกิดใหม่ในรูปแบบต่าง ๆ ดำเนินต่อไปจนกว่าบุคคลจะเข้าสู่นิพพาน ผู้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาทุกคนปรารถนาที่จะเป็นเช่นนี้ เพราะนี่คือจุดสิ้นสุดของการดำรงอยู่ทางกามารมณ์ที่ไม่มีความสุข

ใน ยูดายไม่มีการเน้นประเด็นที่สนใจอย่างชัดเจน มีอยู่ ตัวแปรที่แตกต่างกันซึ่งบางครั้งก็สวนทางกัน ความสับสนดังกล่าวอธิบายได้จากความจริงที่ว่าการเคลื่อนไหวทางศาสนาอื่น ๆ กลายเป็นแหล่งที่มา

ในศาสนาใด ๆ มีจุดเริ่มต้นที่ลึกลับแม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงมากมาย ชีวิตจริง. ไม่สามารถปฏิเสธชีวิตหลังความตายได้ มิฉะนั้น ความหมายของศรัทธาจะสูญหายไป การใช้ความกลัวและประสบการณ์ของมนุษย์เป็นเรื่องปกติสำหรับการเคลื่อนไหวทางศาสนา ใน หนังสือศักดิ์สิทธิ์ยืนยันอย่างชัดเจนถึงความเป็นไปได้ในการดำรงอยู่ต่อไปหลังจากชีวิตทางโลก หากคุณพิจารณาจำนวนผู้เชื่อบนโลก จะเห็นได้ชัดว่าคนส่วนใหญ่เชื่อในชีวิตหลังความตาย

การสื่อสารของตัวกลางกับชีวิตหลังความตาย

ข้อพิสูจน์ที่สำคัญที่สุดของความต่อเนื่องของชีวิตหลังความตายคือกิจกรรมของคนทรง คนประเภทนี้มีความสามารถพิเศษที่ทำให้พวกเขาสามารถติดต่อกับคนตายได้ เมื่อไม่มีอะไรเหลือจากคน ๆ หนึ่งก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสื่อสารกับเขา จากสิ่งที่ตรงกันข้าม มันง่ายที่จะเข้าใจว่ามีอีกโลกหนึ่งอยู่ อย่างไรก็ตาม มีคนหลอกลวงจำนวนมากในหมู่สื่อ

ตอนนี้ไม่มีใครสงสัยความสามารถของ Vanga ผู้ทำนายชาวบัลแกเรียที่มีชื่อเสียง เธอถูกเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก คนดัง. คำทำนายของผู้มีญาณทิพย์และสื่อที่แท้จริงยังคงมีความเกี่ยวข้องและมีความสำคัญ หลายคนประทับใจในสิ่งที่ Vanga พูดเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย ผู้หญิงคนนี้ เล่าให้แขกของเธอฟังโดยละเอียดเกี่ยวกับญาติที่เสียชีวิตของพวกเขา

Vanga แย้งว่าความตายเกิดขึ้นกับร่างกายเท่านั้น ในจิตวิญญาณทุกอย่างดำเนินต่อไป ในอีกโลกหนึ่งมีคนหน้าตาเหมือนกัน ผู้ทำนายถึงกับบอกว่าผู้ตายสวมเสื้อผ้าอะไร ตามคำอธิบายญาติจำเสื้อผ้าโปรดของผู้ตายได้ วิญญาณเรืองแสง พวกเขามีตัวละครเหมือนกันในชีวิต การสื่อสารกับคนตายจะไม่ถูกขัดจังหวะ ผู้คนจากโลกหน้าพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ในชีวิตของเพื่อนและญาติ แต่ก็ไม่สามารถทำได้เสมอไป พวกเขาประสบกับความรู้สึกเดียวกันพยายามช่วย ในอีกโลกหนึ่ง การดำรงอยู่ของวิญญาณยังคงดำเนินต่อไปพร้อมกับความทรงจำในอดีตทั้งหมด

ทันทีที่แขกมาที่ Vanga ญาติที่ตายแล้วของพวกเขาก็ปรากฏตัวในห้องทันที ความสนใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ในนั้นยอดเยี่ยมมาก คนอย่าง Vanga สามารถเห็นผีและสื่อสารกับพวกเขาได้อย่างเต็มที่ เธอได้สนทนากับวิญญาณ เรียนรู้จากเหตุการณ์ในอนาคต ผู้หญิงคนนี้ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองโลกซึ่งตัวแทนของพวกเขาสามารถสื่อสารกันได้ ความกลัวตายตาม Vanga นั้นเป็นเรื่องธรรมดาเกินไปในหมู่ผู้คน ในความเป็นจริงนี่เป็นเพียงอีกขั้นตอนหนึ่งของการดำรงอยู่เมื่อคน ๆ หนึ่งกำจัดเปลือกนอกแม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบายก็ตาม

American Arthur Ford เป็นเวลาหลายทศวรรษที่ไม่เบื่อคนที่มีความสามารถของเขา เขาสื่อสารกับผู้คนที่ไม่ได้อยู่ในโลกนี้เป็นเวลานาน บางเซสชันอาจมีผู้ชมหลายล้านคนเห็น สื่อต่าง ๆ พูดคุยเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายตามประสบการณ์ของพวกเขาเอง เป็นครั้งแรกที่ความสามารถทางจิตของฟอร์ดปรากฏตัวในช่วงสงคราม จากที่ไหนสักแห่งที่เขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานของเขาที่เสียชีวิตในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา Arthur ได้ศึกษาจิตศาสตร์และพัฒนาความสามารถของเขา

มีผู้คลางแคลงใจมากมายที่อธิบายปรากฏการณ์ของฟอร์ดด้วยของขวัญทางกระแสจิตของเขา กล่าวคือประชาชนเป็นผู้ให้ข้อมูลแก่สื่อเอง แต่มีข้อเท็จจริงมากเกินไปที่หักล้างทฤษฎีดังกล่าว

ตัวอย่างของชาวอังกฤษ Leslie Flint เป็นการยืนยันการมีอยู่ของชีวิตหลังความตายอีกครั้ง เขาเริ่มสื่อสารกับผีตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เลสลี่ในช่วงเวลาหนึ่งตกลงที่จะร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ การศึกษาของนักจิตวิทยา จิตแพทย์ นักจิตศาสตร์ ยืนยันความสามารถพิเศษของบุคคลนี้ พวกเขาพยายามตัดสินว่าเขาฉ้อโกงมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ความพยายามดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ

มีการบันทึกเสียงของเสียง บุคคลที่มีชื่อเสียง ยุคต่างๆผ่านสื่อ พวกเขารายงานตัวเอง ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ. หลายคนยังคงทำงานในสิ่งที่พวกเขารัก เลสลี่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้คนที่ย้ายไปยังอีกโลกหนึ่งได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง

นักพลังจิตสามารถพิสูจน์การดำรงอยู่ของจิตวิญญาณและชีวิตหลังความตายได้ด้วยการกระทำจริง แม้ว่าโลกที่ไม่ใช่วัตถุจะยังคงปกคลุมไปด้วยความลึกลับ มันไม่ชัดเจนภายใต้เงื่อนไขใดที่วิญญาณดำรงอยู่ สื่อทำงานเหมือนอุปกรณ์รับและส่งสัญญาณ โดยไม่ส่งผลกระทบต่อกระบวนการ

เมื่อสรุปข้อเท็จจริงทั้งหมดข้างต้นก็สามารถโต้แย้งได้ว่า ร่างกายมนุษย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าเปลือก ธรรมชาติของวิญญาณยังไม่ได้รับการศึกษา และไม่ทราบว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ในหลักการหรือไม่ อาจมีขีดจำกัดบางอย่าง ความสามารถของมนุษย์และความรู้ที่คนจะไม่มีวันข้ามไปได้ การดำรงอยู่ของจิตวิญญาณทำให้คนมองโลกในแง่ดีเพราะพวกเขาสามารถตระหนักรู้ถึงตัวเองหลังจากความตายในฐานะที่แตกต่างกันและไม่ใช่แค่กลายเป็นปุ๋ยธรรมดา หลังจากเนื้อหาข้างต้น ทุกคนต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะมีชีวิตหลังความตายหรือไม่ แต่หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ยังไม่น่าเชื่อถือเกินไป