ความอดทน - มันคืออะไรและระดับความอดทนในรัสเซียคืออะไร ขันติ แตกต่างจาก อนุโลม อย่างไร?
การพูดคุยเรื่องขันติธรรมย้อนกลับไปในสมัยโบราณ เมื่อความใจแคบต่อผู้เห็นต่างและผู้เห็นต่างในตะวันตกและ ยุโรปกลางหลุดจากขนาด พวกเขาเรียกมันว่า "ความอดทน" ในภาษารัสเซียเท่านั้นเพราะใช้คำนี้ใน ประเทศในยุโรปเพื่อแสดงถึงความอดกลั้น แต่ไม่มี “ท่าทีเฉยเมย” ดังที่ T. Margolina เรียกมันว่า (กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนใน ภูมิภาคระดับการใช้งาน) ตรงกันข้ามกับคำว่า "ความอดทน" ของรัสเซีย และความอดทนอดกลั้นดังกล่าวค่อยๆ เริ่มขยายขอบเขตของการประยุกต์ใช้ ตั้งแต่ศาสนาไปจนถึงเชื้อชาติ ชาติ เผ่าพันธุ์ แง่มุมต่างๆ ของพฤติกรรมมนุษย์ ด้วยการแนะนำแนวคิดของ "สิทธิมนุษยชน" ความอดทนกลายเป็นที่ต้องการเนื่องจาก "ทัศนคติที่อดทน" ต่อบุคคลอื่นเป็นพื้นฐานในการปฏิบัติตามสิทธิของเขาตามที่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนกล่าว ดังนั้นความอดทนจึงเริ่มนำไปใช้กับกลุ่ม "ที่ถูกละเมิดสิทธิ" ของประชากรโลกเป็นหลัก รวมถึงชนกลุ่มน้อยทางเพศที่ "ถูกละเมิด"
ข้อสังเกตที่สำคัญประการหนึ่งจะต้องทำไว้ที่นี่ การสนทนาเกี่ยวกับความอดกลั้นมักกลายเป็นการอภิปรายเรื่องความวิปริตทางเพศ และผู้สนับสนุนการส่งเสริมความอดกลั้นชี้ให้เห็นสิ่งนี้ ซึ่งเชื่อว่านี่เป็นความเข้าใจผิดของคำนี้ แต่มีเล่ห์เหลี่ยมในคำพูดของผู้สนับสนุนกลุ่มเดียวกันนี้ การรักร่วมเพศและทัศนคติต่อสิ่งนี้ในการอภิปรายดังกล่าวมักถูกกล่าวถึงว่าไม่ใช่การแสดงออกถึงความอดทนเป็นหลัก แต่เป็นตัวอย่างทั่วไปของการเปลี่ยนแปลงทัศนคติต่อปรากฏการณ์จากหมวดหมู่ของ "ข้อห้าม" ไปสู่หมวดหมู่ของ "การบังคับใช้ในสังคม"
ในปี พ.ศ. 2536 สหประชาชาติมีมติประกาศให้ปี พ.ศ. 2538 เป็นปีแห่งความอดทนอดกลั้น เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 ในตอนท้ายของปีแห่งขันติธรรม ได้มีการรับรอง "คำประกาศหลักการแห่งขันติธรรม" ซึ่งเรียกร้องให้มีการส่งเสริมความอดกลั้นใน พื้นที่ที่แตกต่างกันชีวิต. ประเด็นหนึ่งของคำประกาศคือวันแห่งความอดทน ซึ่งสหประชาชาติเรียกคืนอีกครั้งในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2539 โดยเสนอให้ประเทศอื่น ๆ ที่เข้าร่วมเฉลิมฉลองวันดังกล่าว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เหตุการณ์ต่าง ๆ ของนักโฆษณาชวนเชื่อที่มีความอดทน (การประชุม การสัมมนา นิทรรศการ ฯลฯ) ได้ถูกกำหนดให้ตรงกับวันที่นี้ มีการเน้นย้ำเป็นพิเศษว่าควรนำความพยายามของนักโฆษณาชวนเชื่อ "ทั้งที่ สถานศึกษาและประชาชนทั่วไป) รวมทั้งในรัสเซีย
การส่งเสริมความอดทนดำเนินไปในประเทศต่างๆ ในยุโรป และหลายคนก็ยอมรับอย่างท่วมท้น อุดมการณ์นี้หยั่งรากลึกในสังคมยุโรป ผู้คนจำนวนมากขึ้นพยายามอดทน (ซ่อนหรือเก็บกดความรู้สึกที่แท้จริง) ที่เกี่ยวข้องกับทุกสิ่ง ประเทศนี้รับผู้อพยพหลายพันคนจากแอฟริกาและตะวันออกกลาง - ได้โปรด ผู้อพยพเหล่านี้กำลังเตรียมยุโรปในแบบของพวกเขา - ได้โปรด เด็กถูกเลือกเพราะความยากจนของพ่อแม่ - อาจเป็นไปได้ว่าควรจะเป็น เด็ก ๆ ถูกเลี้ยงดูมาในครอบครัว "จ่าย" (อุปถัมภ์) - สะดวก เด็ก ๆ ถูกสอนให้อดทนต่อทุกสิ่ง - ยอดเยี่ยม เด็กได้รับการสอนเกี่ยวกับพื้นฐานของความสัมพันธ์ทางเพศ - ไม่ว่าจะเป็นอย่างนั้น เฒ่าหัวงูกำลังวิ่งเต้นเพื่อลดอายุที่ยินยอมมีเพศสัมพันธ์ - พวกเขามีสิทธิ์ พวกนิสัยเสียทางเพศจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง แท้จริงแล้ว พวกเขาเป็นชนกลุ่มน้อย
อาจมีบางคนคิดต่างออกไป แต่สำหรับฉันแล้วดูเหมือนว่าการป้องกัน โดยเฉพาะการป้องกันแบบอดทนนั้นขึ้นอยู่กับการรักษาและการรักษาขอบเขตบางอย่าง หากผู้สนับสนุนกลุ่มน้อยที่สอนความอดทนเชื่อเช่นนั้น การป้องกันที่ดีที่สุด- นี่คือความก้าวร้าวประการแรกมันไม่อดทนและประการที่สองมันโง่และอันตรายเนื่องจากการรุกรานเพื่อชนกลุ่มน้อยเป็นการรุกรานต่อบรรทัดฐานของคนส่วนใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยการทำลายล้างสังคมโดยรวม .
แต่ย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์
ด้วยการส่งเสริมแนวคิดเรื่อง "ขันติธรรม" และด้วยเหตุนี้ด้วยความปรารถนาที่จะแทนที่ข้อจำกัดทางศีลธรรมด้วยข้อจำกัดของกฎหมาย แก่นแท้ของขันติธรรมจึงเริ่มปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในยุโรป ฉันไม่ได้พบกับแหล่งข้อมูลต่างประเทศ แต่นักโฆษณาชวนเชื่อชาวรัสเซียยังคงกล่าวว่าความอดทนเป็นอุดมการณ์ใหม่ (“อุดมการณ์ของความอดทนเป็นอุดมการณ์ สังคมเปิด” หรือเรียกอีกอย่างว่า “ภาคประชาสังคม”) และดูเหมือนว่าอุดมการณ์นี้จะไม่ทนต่ออุดมการณ์อื่น ๆ ทั้งหมดมากขึ้นเรื่อยๆ (และนี่คือในประเทศที่รัฐธรรมนูญระบุว่าไม่มีอุดมการณ์ในหลักการ (ดูข้อ 13.2: "ไม่มีอุดมการณ์ใดที่สามารถจัดตั้งเป็น ... ข้อบังคับ") ในขณะที่ประกาศสนับสนุนการควบคุมชีวิตด้วยกฎหมาย) การเคลื่อนไหวของชนกลุ่มน้อยต่าง ๆ ทำให้ยุโรปเก่ากังวลมานานหลายทศวรรษ ชนกลุ่มน้อยทางเพศเป็นนักสู้ที่ชัดเจนและเป็นที่รู้จักมากที่สุด "เพื่อเสรีภาพ" และ "เพื่อความอดทน" (ในเครื่องหมายคำพูดเพราะในความเป็นจริงพวกเขาต่อต้านความอดทนต่อค่านิยมดั้งเดิมในหลักการ (ดูตัวอย่าง คำแถลงของ M. Hessen ถึงชาวออสเตรเลีย วิทยุ) และยังมีชนกลุ่มน้อยทางศาสนา (จนถึงนิกาย) ชาติและอื่น ๆ อีกมากมาย
การยัดเยียดวิถีชีวิตวิธีคิดบางอย่างไปไกลจนละเมิดประกาศและอนุสัญญาของสหประชาชาติ...
ความอดทนในตัวเองนั้นดีเฉพาะบนกระดาษในรูปแบบของการประกาศ ความอดทนคืออะไรเราได้กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ในความเป็นจริง ไม่มีนามธรรม "ความอดทนทรงกลมในสุญญากาศ" แต่จะมีเพียงความอดทน (ทัศนคติที่อดทน) ต่อสิ่งที่เป็นรูปธรรมเท่านั้น
A. เริ่มกันที่ศาสนา ชาติ วัฒนธรรม
ในประเทศต่างๆ ของยุโรปและทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน การเผชิญหน้าทางศาสนาและความเดือดดาลไม่ได้หยุดลง นับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา โลกโบราณ. ในยุคกลาง มีบางสิ่งที่เดือดดาลแม้แต่ในศาสนาเดียว - ศาสนาคริสต์ จากนั้นคนเหล่านั้นที่ถูกกล่าวหาว่าคิดต่างหรือมีความกล้าที่จะไม่เห็นด้วยกับหลักคำสอนของศาสนจักรหรือนักบวชคนใดคนหนึ่งถูกสอบสวนโดย Inquisition ซึ่งทรมานและลงโทษผู้ที่ดูเหมือนเป็นแกนหลักในศาสนาของพวกเขา ทัศนคติต่อศาสนาอื่นในยุโรปนั้นก็ไม่ได้ให้ความเคารพเป็นพิเศษเช่นกัน ต่อมาในยุคใหม่ นักปรัชญาบางคนได้พูดถึงความจำเป็นในการแสดงความอดทนต่อทุกศาสนา สำหรับทุกคนที่มีมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับโลก ตอนนั้นเองที่วิทยาศาสตร์และศิลปะได้ก้าวไปข้างหน้าอย่างก้าวกระโดด (จากนั้นนักปรัชญาก็สังเกตเห็นว่าบุคคลที่มีความเชื่อบางอย่างหรือสัญชาติของเขาไม่ได้กำหนดความสามารถทางปัญญาเป็นอย่างน้อย) ในศาสนาคริสต์ กระแสใหม่เหล่านี้นำไปสู่การแตกแยก การเกิดขึ้นของศาสนาคริสต์และนิกายต่าง ๆ มากมาย ในศตวรรษที่ 20 แนวโน้มเหล่านี้ได้รับลักษณะเฉพาะ: นิกายคริสเตียนถูกแบ่งออกเป็นนิกายที่เล็กกว่าและในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 ผู้คนจำนวนมากที่มีศาสนาอื่นซึ่งนับถือศาสนาอิสลามได้ปรากฏตัวขึ้นในยุโรป หลังจากการกวาดล้างชาวยิวจำนวนมากในนาซีเยอรมนี ประเด็นเรื่องความอดทนต่อศาสนาและชาติอื่นก็รุนแรงเป็นพิเศษ การหลั่งไหลเข้ามาของคนต่างชาติจากประเทศอื่นๆ บางครั้งผู้ลี้ภัย บางครั้งผู้คนที่แสวงหา ชีวิตที่ดีขึ้นเริ่มเพิ่มปัญหาของการอยู่ร่วมกันในประเทศยุโรป หากในโลกใหม่ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขค่อนข้างง่ายตั้งแต่วันประกาศเอกราช (คุณต้องเป็นคนอเมริกันโดยผ่าน "หม้อหลอมรวมของผู้คน") แล้วในยุโรปก็ไม่มีกลไกการดูดซึมที่ดี และชาวต่างชาติสร้างพลัดถิ่น, สลัม, กลุ่มในดินแดนของประเทศในยุโรป (ต้องยอมรับว่ามีกลุ่มดังกล่าวในโลกใหม่) ทัศนคติต่อกลุ่มที่แน่นแฟ้นเช่นนี้ที่ไม่ยอมรับวิถีชีวิตของประเทศนั้นไม่สามารถเรียกว่าดีได้ ความรู้สึกเหล่านี้เริ่มถูกใช้โดยพวกชาตินิยมในทุกแนว และสิ่งนี้เองที่ทำให้สถานการณ์ทางสังคมและการเมืองในประเทศแย่ลงอย่างมาก กระบวนการที่คล้ายคลึงกันนี้ปรากฏตัวขึ้นในสหรัฐอเมริกาซึ่งผู้พลัดถิ่นเริ่มปรากฏตัวที่อยู่อาศัยขนาดกะทัดรัดของชนชาติอื่น - ทั้งช่วงตึกและเขตของเมืองที่มีสัญชาติแยกกัน
หนึ่งใน "สิ่งประดิษฐ์" ของนักเทศน์แห่งความอดทนคือความหลากหลายทางวัฒนธรรม ในโบรชัวร์และวิดีโอ แนวคิดนี้เรียกว่า "หลายลัทธิ" แนวคิดพหุวัฒนธรรมส่อให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของต่างวัฒนธรรม ต่างชนชาติ ต่างศาสนา รวมกันเป็นประเทศเดียวและทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ของตน เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วที่โครงการนี้ได้รับการส่งเสริมอย่างแข็งขันทั่วยุโรป ในทางราชการ ความอดทนต่อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมต่างชาติเป็นบ่อเกิด อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้นำไปสู่จำนวนผู้มาใหม่ที่มีโลกทัศน์ที่แตกต่างจากชาวยุโรปจำนวนมากขึ้น ทำให้เกิดความตึงเครียดระหว่างชาติพันธุ์มากขึ้น และเป็นผลให้พรรคชาตินิยมฝ่ายขวาและกลุ่มขวาจัดแข็งแกร่งขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นต้องพูดถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติใดๆ กว่า 2 ปีที่ผ่านมา ผู้นำอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ประกาศว่าแนวคิดพหุวัฒนธรรมไม่ได้ผล
- - ซาร์โกซีในปี 2554: “ใช่ มันคือความล้มเหลว ความจริงก็คือว่าในระบอบประชาธิปไตยของเราทั้งหมด มีความกังวลมากเกินไปเกี่ยวกับตัวตนของผู้ที่มาถึง และน้อยเกินไปสำหรับตัวตนของโฮสต์ เราไม่ต้องการสังคมที่ชุมชนอยู่ร่วมกัน หากมีใครมาฝรั่งเศสเขาจะต้องเข้าร่วมชุมชนเดียวที่เป็นของชาติ ถ้าใครไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็อย่าไปฝรั่งเศส เพื่อนร่วมชาติของเราที่นับถือศาสนาอิสลามควรจะสามารถดำเนินชีวิตและปฏิบัติศาสนาได้เหมือนกับพลเมืองคนอื่นๆ ของเรา ซึ่งนับถือศาสนาอื่น "แต่ควรเป็นอิสลามแบบฝรั่งเศสเท่านั้น ไม่ใช่อิสลามในฝรั่งเศส"
- - คาเมรอนในปี 2554: "หลักคำสอนของวัฒนธรรมหลากหลายสนับสนุน 'การอาศัยอยู่ในชุมชนชาติพันธุ์ที่แตกต่างกันและแยกจากกัน'" - และเขายังชี้ให้เห็นว่า "กลุ่มเหล่านี้ควรได้รับการทดสอบตามเกณฑ์ต่อไปนี้: "พวกเขาเชื่อในหลักการสากลของสิทธิมนุษยชนหรือไม่ "รวมถึงสิทธิของผู้หญิงและศาสนาอื่น ๆ หรือไม่ พวกเขาเชื่อในความเท่าเทียมกันของทุกคนภายใต้กฎหมายหรือไม่ พวกเขาเชื่อในระบอบประชาธิปไตยหรือไม่ พวกเขาสนับสนุนการรวมตัว - หรือในทางกลับกันการแบ่งแยกดินแดน"
- - Merkel ในปี 2010: "ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 ประเทศของเราเชิญแรงงานต่างชาติมาที่เยอรมนี และตอนนี้พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่" อธิการบดีกล่าว - บางครั้งเราหลอกตัวเองและพูดกับตัวเองว่า: "พวกเขาจะไม่อยู่กับเราสักวันพวกเขาจะจากไป" แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น และแน่นอนว่าแนวทางของเราคือความหลากหลายทางวัฒนธรรม คือเราจะอยู่เคียงข้างกันและชื่นชมซึ่งกันและกัน วิธีการนี้ล้มเหลว ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง”
ในความเป็นจริง เราเห็นว่าความอดทนต่อชาติ ศาสนา และวัฒนธรรมอื่น ๆ ในระดับที่เป็นทางการนำไปสู่ความเสื่อมโทรมของชาติ ศาสนา และวัฒนธรรม "ชนพื้นเมือง" การขยายตัวที่เพิ่มขึ้นของวัฒนธรรมและชนชาติอื่น ๆ วัฒนธรรมยุโรปและประชาชน แต่ยังคงรักษาความตึงเครียดระหว่างเชื้อชาติ
ข. ความอดทนต่อเผ่าพันธุ์อื่น
ทัศนคติต่อเชื้อชาติอื่นมักเกี่ยวข้องกับทัศนคติต่อวัฒนธรรมและชาติอื่น อย่างไรก็ตาม มันค่อนข้างแตกต่างกัน อย่างไม่ต้องสงสัย มูลค่าที่มากขึ้นมันมีที่ที่ผู้คนต่างเชื้อชาติมาพบกัน นี่คือระหว่างการพัฒนาโดยผู้คนในโลกเก่าของดินแดนอื่น ๆ - แอฟริกา, อินเดีย, อเมริกา จากนั้นก็มีความสามัคคีเป็นพิเศษของผู้คนที่อยู่ในเผ่าพันธุ์เดียวกันแม้ว่าพวกเขาจะเป็นตัวแทนของวัฒนธรรมและศาสนาที่แตกต่างกันก็ตาม การเหยียดเชื้อชาติซึ่งมีต้นกำเนิดในผู้คนในโลกเก่าถูกถ่ายโอนไปยังโลกใหม่และเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง จนถึงทุกวันนี้ อคติทางเชื้อชาติยังฝังรากลึกในสหรัฐอเมริกา (ดังนั้นในการสนทนาเกี่ยวกับการเหยียดเชื้อชาติที่ยอมรับไม่ได้ ผู้สนับสนุนสิทธิของชาวแอฟริกันอเมริกันซึ่งอธิบายถึงการละเมิดบางอย่างในการจัดเลี้ยงในที่สาธารณะ กล่าวว่าวลีที่ว่า "แม้แต่คนผิวดำก็ไม่กินสิ่งนั้น") ทัศนคติดังกล่าวไม่สามารถ ทำให้เกิดการฟันเฟือง - การเหยียดเชื้อชาติที่เกี่ยวข้องกับประชากรผิวขาว การศึกษาเกี่ยวกับความอดทนในผู้คนควรจะนำไปสู่การคืนดีกันของเชื้อชาติที่แตกต่างกัน (ในความคิดของฉัน คำว่า "เพื่อการคืนดีกันของชนชาติที่แตกต่างกัน" นั้นถูกต้องกว่า) ความหลากหลายทางวัฒนธรรมทางสังคมวิทยา
นี่คือคุณลักษณะที่เกิดขึ้นเท่านั้น การศึกษาเกี่ยวกับความอดทนต่อเผ่าพันธุ์อื่นจะเกิดผลก็ต่อเมื่อปัญหาของเชื้อชาติไม่รุนแรง ในกรณีที่ปัญหานี้มีความสำคัญ สลัมและย่าน "นิโกร" หรือ "สีขาว" ในเมืองและเมือง "สีขาว" หรือ "สีดำ" ตามลำดับยังคงมีอยู่ ในประเทศเหล่านี้ไม่มีปัญหาอย่างเป็นทางการอีกต่อไป โดยทั่วไปแล้ว ในสหรัฐอเมริกา ก่อนที่การโฆษณาชวนเชื่อเรื่องความอดทนจะเริ่มขึ้น การกดขี่คนผิวดำก็ยุติลง แต่ทุกคนคงรู้ว่าทัศนคติที่มีต่อนักเรียนนิโกรกลุ่มแรกเป็นอย่างไร สิ่งเดียวกันนี้เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับประชากรคนผิวดำหรือคนผิวขาวในประเทศเหล่านี้ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจในความจริงที่ว่าด้วยการส่งเสริมความอดทนและการเรียกร้องให้รักและเคารพคนที่คุณและเพื่อน ๆ ทุกคนเกลียดชังเมื่อวานนี้ปัญหาความสัมพันธ์จะรุนแรงขึ้นเนื่องจากเป็นไปไม่ได้ที่จะรักตามคำสั่ง จนถึงทุกวันนี้มีองค์กรขวาจัดเหยียดผิวที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ Ku Klux Klan และจนถึงทุกวันนี้ในประเทศยุโรปคนผิวดำยังไม่ถือว่าเท่าเทียมกันจนถึงทุกวันนี้ในบางประเทศในแอฟริกาซึ่งดูเหมือนจะมีส่วนร่วมอย่างแข็งขัน ที่เรียกว่า. ประชาคมโลก การแบ่งแยกเป็นสีขาวและสีดำยังคงดำเนินต่อไป
เหล่านั้น. การศึกษาความอดทนในสังคม "ปัญหา" นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้าม
ข. ความอดทนต่อความวิปริตทางเพศ
(ฉันต้องการที่จะทราบทันทีว่าฉันไม่ได้ใส่ส่วนย่อยของความอดทนนี้ก่อนด้วยซ้ำ แต่นี่เป็นประเภทของความอดทนที่มีชื่อเสียงและกล่าวถึงมากที่สุดซึ่งสำคัญที่สุดในการที่มีความอดทนดังกล่าวในความเป็นจริง)
นอกจากการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนแล้ว ความอดทน คนรักร่วมเพศก็เดินเคียงข้างกัน ปีแล้วปีเล่า พวกเขา "เจาะ" โอกาสที่จะทำลายตัวเองและกำหนดวิสัยทัศน์เกี่ยวกับโลกให้กับทุกคน เกิดขึ้นได้อย่างไรที่ภายใต้หน้ากากของการเคารพสิทธิของพวกเขา ภายใต้หน้ากากของทัศนคติที่อดทนต่อพวกเขา ชุมชนของคนรักร่วมเพศได้รับสิทธิและโอกาสที่กว้างกว่าคนที่มีรสนิยมทางเพศปกติ? นี่เป็นหัวข้อแยกต่างหากสำหรับการสนทนา แต่ความจริงยังคงอยู่และพวกเขาเองก็ไม่ปฏิเสธ โดยสังเขปไม่ลงรายละเอียด ประวัติ ในสมัยปัจจุบันและสมัยล่าสุดมีดังนี้
การประหัตประหารคนรักร่วมเพศว่าเป็นคนผิดศีลธรรม
การรักษาคนรักร่วมเพศในฐานะคนป่วย
ประณามคนรักร่วมเพศว่าเป็นอาชญากร
เห็นอกเห็นใจคนรักร่วมเพศ - คนที่ถูกข่มเหงและเข้าใจผิด
กำลังใจของคนรักร่วมเพศ - คนที่แตกต่างจากคนอื่น
ตามใจคนรักร่วมเพศ - คนพิเศษและคนพิเศษ
หากมีรายละเอียดก็จะไม่ยืดออกสำหรับบทความในหนังสือพิมพ์ฉบับเดียว แต่สำหรับหนังสือ ... และมีหนังสือและวิทยานิพนธ์ทั้งหมดอยู่แล้ว
สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตสิ่งสำคัญ: เมื่อพูดถึงสิทธิมนุษยชนและความอดทน สิทธิของผู้ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศและความวิปริตทางเพศอื่น ๆ เริ่มถูกวางไว้เหนือสิทธิของบุคคลอื่นทั้งหมด จริงอยู่ที่ถ้าคนรักร่วมเพศ คนข้ามเพศ และคนกะเทยได้รับการยอมรับว่าเป็นพลเมืองที่เต็มเปี่ยมของสังคมแล้ว มนุษยชาติก็ยังไม่ยอมรับความวิปริตทางเพศบางประเภท ดังนั้น หากถ้อยคำเกี่ยวกับอาชญากรรมรักร่วมเพศถูกลบออกจากกฎหมาย พวกเขายังคงถูกดำเนินคดีในข้อหาอนาจาร เนโครฟีเลียถือเป็นความผิดปกติทางจิต แต่มีความพยายามที่จะลงทะเบียนปาร์ตี้ของเฒ่าหัวงู เช่น (ในเนเธอร์แลนด์) อย่างไรก็ตาม มันก็อยู่ได้ไม่นาน แม้ว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะไม่ได้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ แต่ก็มีการล็อบบี้อยู่และยังมีการสนับสนุนอย่างมาก ระดับสูง. แต่เราจำได้ว่าสาระสำคัญของขันติธรรมคือการปฏิเสธศีลธรรมเพื่อสนับสนุนกฎหมายใช่ไหม? ดังนั้นจึงมีการเคลื่อนไหวของอัศวินประเภทหนึ่ง: คำว่า "อายุความยินยอม" ถูกนำมาใช้ในกฎหมายเช่น อายุที่เด็กชายหรือเด็กหญิงมีสิทธิ์ตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าจะมีเพศสัมพันธ์หรือไม่ ดังนั้นล็อบบี้เฒ่าหัวงูจึงค่อนข้างถูกกฎหมาย (นั่นคือตามกฎหมาย) ที่ส่งเสริมการลดอายุที่ยินยอมมีเพศสัมพันธ์ในประเทศยุโรป โดยพยายามลบ "ฟิเลีย" ต่างๆ ออกจากการจำแนกโรคระหว่างประเทศ (ICD-10) . และพวกเขากำลังประสบความสำเร็จอย่างค่อยเป็นค่อยไป ความก้าวหน้าล่าสุดรวมถึงการลดอายุความยินยอมเป็น 12 ปีในบางประเทศ ไม่นานมานี้ ที่นอร์เวย์ เจ้าสาววัย 12 ปี แต่งงานกับชายวัย 37 ปี ในช่วงเวลาของการเปิดตัวบทความเป็นที่ชัดเจนว่านี่เป็นโครงการประชาสัมพันธ์ระดับโลกของผู้ที่ต่อต้านการแต่งงานของเด็กผู้หญิงตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่มีการกล่าวถึงอายุความยินยอมในการตีความนี้ งานของผู้ทำการแนะนำชักชวนสมาชิกรัฐสภาไม่ได้ไร้ประโยชน์และอายุของความยินยอมไม่หยุดนิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ๆ ในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
ในกระบวนการเปรียบเทียบความวิปริตทางเพศกับความสัมพันธ์ทางเพศตามปกติ ความอดทนมีบทบาทในการยับยั้งปฏิกิริยาเชิงลบทั้งหมดต่อกระบวนการเหล่านี้ ซึ่งท้ายที่สุดจะนำไปสู่การลดทอนความเป็นมนุษย์โดยรวมอย่างค่อยเป็นค่อยไป
คำว่า "ความอดทนอดกลั้น" ยังใช้ในบริบทที่ผิดปกติอย่างมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับธุรกิจ มีแม้กระทั่งความอดทนทางการเมือง
ในความเป็นจริง การใช้คำนี้ในกรณีเช่นนี้เป็นไปได้เพียงเพื่อรักษาสองมาตรฐานเท่านั้น คนอื่น ๆ จะต้อง "อดทนมากขึ้น" และสำหรับพวกเขาเอง "หาเงินและอย่าปฏิเสธอะไรเลย"
ในทางการเมือง ขันติธรรมยังคงเหมือนเดิม แต่ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงไม่น้อย
เราเห็นข้างต้นว่าความอดทนพยายามที่จะเปลี่ยนค่านิยมของบุคคลเพื่อให้ผู้คนไม่ได้รับคำแนะนำจากศีลธรรม แต่ตามกฎหมาย การเปลี่ยนแปลงกฎหมายและไม่ฟังศีลธรรม สังคมอาจตกหลุมพรางได้ง่าย ท้ายที่สุดหากกฎหมายได้รับการส่งเสริมโดยคนไร้ศีลธรรม รัฐที่นำกฎหมายที่ "ไม่ดี" นี้มาใช้และบังคับให้ทุกคนปฏิบัติตามจะทำให้สังคมทั้งสังคม "เลวร้าย" นอกจากนี้ยังใช้ ชีวิตทางการเมือง: การยอมรับแนวคิดของความอดทน, ตามใจชนกลุ่มน้อย, ในกรณีนี้ - การเมือง, การโฆษณาชวนเชื่อและการเผยแพร่อุดมการณ์กลายเป็นจริง, ซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกประเทศแล้วว่าเป็นการทำลายล้าง. โดยเฉพาะอย่างยิ่งลัทธิฟาสซิสต์ซึ่งตลอดศตวรรษที่ 20 ยังคงใช้เฉพาะเพื่อผลประโยชน์ของรัฐตะวันตก และหลังจากความพ่ายแพ้ของลัทธิฟาสซิสต์เยอรมนี ผู้นำลัทธิฟาสซิสต์ได้รับการสนับสนุนจากแวดวงตะวันตก และการสนับสนุนนี้มาพร้อมกับการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องความอดทนเช่นกัน เนื่องจากอุดมการณ์นี้อยู่ในชนกลุ่มน้อย เราเห็นผลลัพธ์ของการตามใจพวกนาซีในรัฐบอลติกโดยเฉพาะในยูเครน
โดยทั่วไปแล้ว การส่งเสริมอุดมการณ์นี้อย่างไม่ลดละเป็นสิ่งที่สังเกตได้ ยืดเยื้อจนบางครั้งใคร ๆ ก็ประหลาดใจ: ในการปฏิบัติตามคำประกาศของสหประชาชาติ รัฐต่าง ๆ ละเมิดคำประกาศอื่น ๆ ของสหประชาชาติ ตัวอย่างเช่น ในเยอรมนี พ่อคนหนึ่งถูกพิจารณาคดีโดยไม่อนุญาตให้ลูกสาวเข้าชั้นเรียนเพศศึกษา หลังจากนั้นเขาถูกปรับ ซึ่งเขาปฏิเสธที่จะจ่ายเพราะเขาไม่คิดว่าตัวเองมีความผิด ถูกประณามแม้จะมีคำประกาศของสหประชาชาติในปี 1981 ว่า “ว่าด้วยการขจัดการไม่ยอมรับและการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบตามศาสนาหรือความเชื่อ”: “พ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กมีสิทธิกำหนดวิถีชีวิตของเด็กได้ตามความเหมาะสม ครอบครัวตามศาสนาหรือความเชื่อของตนตลอดจน การศึกษาทางศีลธรรมที่เด็กควรได้รับ
บนใบหน้า สองมาตรฐานในการประยุกต์ใช้ความอดทน ไม่ชัดเจนว่าความอดกลั้นช่วยลดการต่อต้านของผู้คนต่อความอนาจาร และด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆ ทำลายสังคมที่มีค่านิยมดั้งเดิม โดยมีจุดเริ่มต้นที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่น
ในการประชุมร่วมแบบเปิดของภาควิชาการทูต วรรณกรรมโลกและวัฒนธรรม สังคมวิทยาและปรัชญา ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2545 ที่ MGIMO(u) ได้มีการประชุมกับหัวหน้าภาควิชาจิตวิทยาบุคลิกภาพ คณะจิตวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งรัฐมอสโก M.V. Lomonosov โดยศาสตราจารย์ A.G. Asmolov ผู้ริเริ่มและผู้อำนวยการด้านวิทยาศาสตร์ของโครงการเป้าหมายของรัฐบาลกลาง "การก่อตัวของทัศนคติของจิตสำนึกที่อดทนและการป้องกันความคลั่งไคล้ในสังคมรัสเซีย"
การประชุมนี้จัดขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของสถาบันที่ได้รับการสนับสนุนจากโครงการนี้ A.G. Asmolov กล่าวปาฐกถาพิเศษ "ความอดทน - อุดมการณ์ของสังคมเปิด" นอกจากนี้ ยังมีรายงานโดยดร. วิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยารองศาสตราจารย์ภาควิชาจิตวิทยาบุคลิกภาพ มหาวิทยาลัยแห่งรัฐมอสโก และหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์และการปฏิบัติ ความช่วยเหลือด้านจิตใจ"ฟรี" โดย G. Soldatova การประชุมนี้เข้าร่วมโดยหัวหน้าโครงการ "การทูตและความอดทน" รองอธิการบดีคนแรกของ MGIMO I.G. Tyulin หัวหน้าแผนก MGIMO ศาสตราจารย์ T.V. Zonova, S.A. Kravchenko, A.V. Shestopal หัวหน้าศูนย์ "คริสตจักรและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" ศาสตราจารย์ A.B. Zubov, อาจารย์มหาวิทยาลัย, นักเรียน
หัวหน้าภาควิชาปรัชญา A.V. Shestopal กล่าวเปิดการประชุม พูดนอกเรื่องสั้น ๆในประวัติศาสตร์การมีส่วนร่วมของ MGIMO ในโครงการของรัฐบาลกลาง เขาสังเกตเห็นความเป็นสากลของโปรแกรม ความเชื่อมโยงกับโปรแกรมและคำประกาศของ UNESCO ในการพัฒนาซึ่งผู้สำเร็จการศึกษาจาก MGIMO เข้ามามีส่วนร่วม
ที่จุดกำเนิดของ MGIMO A.V. Shestopal เน้นย้ำว่า มีผู้คนมากมายที่ทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อส่งเสริมบทบาทของมนุษยศาสตร์ในวิทยาศาสตร์รัสเซีย ที่นี่บทบาทพิเศษเป็นของหนึ่งในอธิการบดี MGIMO คนแรก นักวิชาการ Yu.P. Frantsov และศาสตราจารย์ A.F. Shishkin หัวหน้าภาควิชาปรัชญาคนแรก
นักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายคนรวบรวมโดย Yu.P. Frantsov ที่อยู่รอบตัวเขา เช่น Yu.A. Zamoshkin, B.T. Grigoryan, E.A. ปัญหาระดับโลกความทันสมัยที่เชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกกับแง่มุมทางศีลธรรมของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
น่าเสียดายที่ความหวังในการลดความขัดแย้งในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศภายในสิ้นศตวรรษที่ 20 ไม่เป็นจริง ในช่วงทศวรรษที่ 1990 ทุกคนได้เห็นการเมืองโลกที่ตึงเครียดความปรารถนาที่จะขจัดความขัดแย้งออกจากตำแหน่งที่แข็งแกร่ง ในขณะเดียวกัน ความต้องการของสังคมสำหรับนโยบายตามหลักการอื่น ๆ สำหรับนโยบายแห่งความเข้าใจร่วมกันระหว่างประเทศและภูมิภาคนั้นมีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ มันมาจากประเทศของเรา จากการทูตของเราที่หลายคนคาดหวังความคิดริเริ่มที่มุ่งลดสภาพอากาศของประชาคมโลก
A.V. Shestopal จำได้ว่าสำหรับ เมื่อเร็วๆ นี้มหาวิทยาลัยได้พยายามอย่างมากในทิศทางนี้ ก่อนอื่นควรสังเกตโปรแกรม "รากฐานทางจิตวิญญาณและศีลธรรมของชุมชนโลกและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" ซึ่งริเริ่มในปี 2539 โดยศาสตราจารย์ภาควิชาปรัชญา V.S. Glagolev และรองหัวหน้าภาควิชาวรรณคดีและวัฒนธรรมโลก V.R. เลโก้ยด้า. ส่วนหนึ่งของโปรแกรมนี้ การประชุมจัดขึ้นที่ MGIMO และ Diplomatic Academy และมีการเผยแพร่สิ่งพิมพ์จำนวนมาก โปรแกรมนี้ก่อให้เกิดแนวคิดในการสร้างศูนย์คริสตจักรและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งทำงานอย่างแข็งขันในปัจจุบัน
การอ่านของ Shishkin จัดขึ้นทุกปีที่ MGIMO ซึ่งอุทิศให้กับประเด็นด้านจริยธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หัวข้อของการอ่านครั้งสุดท้ายซึ่งมีขึ้นในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2544 - "ชนชั้นสูงและคุณธรรม" - รวมการอภิปรายในประเด็นต่างๆ การสร้างคุณธรรมบุคลากรด้านนโยบายต่างประเทศ
ความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านนิเวศวิทยาได้ทุ่มเทให้กับเดือนมีนาคม โต๊ะกลม"นิเวศวิทยาและความอดทน".
ดังนั้น A.V. Shestopal สรุปได้ว่าเรามีพัฒนาการบางอย่างแล้วเมื่อถึงเวลาที่ริเริ่มการบริหาร MGIMO เรามีส่วนร่วมในการดำเนินการโครงการของรัฐบาลกลางภายใต้กรอบของโครงการการทูตและความอดทน
โครงการนี้นำโดย I.G. Tyulin บุคคลที่ทำสิ่งต่างๆ มากมายเพื่อเน้นประเด็นความร่วมมือด้านมนุษยธรรมในหลักสูตรการฝึกอบรมและ การวิจัยทางวิทยาศาสตร์ MGIMO โดยทั่วไปและภาควิชาปรัชญาโดยเฉพาะ
“ฉันคิดว่ามันสำคัญมาก” A.G. Asmolov เริ่มสุนทรพจน์ของเขา โดยกล่าวว่า ณ ที่แห่งนี้ หนึ่งในมหาวิทยาลัยชั้นยอด ที่เราสามารถหารือเกี่ยวกับประเด็นที่ว่า การประกาศใด ๆ จะกลายเป็นทรายดูดหากพวกเขาไม่เข้าใจว่าความอดทนควร กลายเป็นพื้นฐานที่แท้จริงสำหรับการออกแบบโลก"
A.G. Asmolov เตือนไม่ให้ลดแนวคิดเรื่อง ยังไม่เพียงพอที่จะ "อดทน" และทนกับข้อเท็จจริงของความขัดแย้งของผู้อื่นโดยที่เขาเป็นสมาชิกของเชื้อชาติ ชาติ การสารภาพผิด "พื้นฐานของความอดทนอดกลั้นคือความพยายามในการเอาตัวเองเข้าไปแทนที่คนอื่น" นั่นคือเหตุผลที่เกณฑ์สำหรับพฤติกรรมที่อดทนตามหลักจริยธรรมคือความสามารถในการเห็นอกเห็นใจและที่สำคัญกว่านั้นคือชื่นชมยินดีกับเพื่อนบ้าน การกระทำหลักของพฤติกรรมที่อดทน A.G. Asmolov เรียกว่าการติดต่อแม้กระทั่งกับคนที่ทำให้เกิดความกลัว
A.G. Asmolov ตั้งข้อสังเกตว่าน่าเสียดายที่มันง่ายกว่ามากในการอธิบายปรากฏการณ์วิทยาของการไม่อดทน โดยชี้ให้เห็นว่า: "นี่คือความเศร้าโศก นี่คือความเจ็บปวด นี่คือความคลั่งไคล้ การเหยียดเชื้อชาติ ปรากฏการณ์หลายอย่างถูกบันทึกไว้ในภาษา ซึ่งเป็นตัวแทนของขั้วแห่งสำนึกมวลชน ซึ่งตรงกันข้ามกับความอดทน คุณไม่จำเป็นต้องมีเครื่อง "เอ็กซเรย์" เพื่อสังเกตว่ามันลุกเป็นไฟได้อย่างไร โลกสมัยใหม่ความขัดแย้ง (อัฟกานิสถาน เชชเนีย ตะวันออกกลาง) แม้จะเรียกร้องความรักและความสามัคคีก็ตาม แหล่งเพาะความขัดแย้งเหล่านี้ เช่น เบลฟาสต์และอัลสเตอร์ กำลังกลายเป็นประวัติศาสตร์ที่มั่นคง และเช่นเดียวกับภูเขาไฟที่ยังปะทุอยู่ เต็มไปด้วยอันตรายตลอดเวลา
ความคลั่งไคล้ที่เราเห็นใน หนังดัง M. Romm "ลัทธิฟาสซิสต์สามัญ" - สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสะท้อนให้เห็นในงานศิลปะอย่างไรก็ตามตาม A.G. Asmolov ความอดทนที่มีการศึกษาน้อยที่สุด เราสบายใจที่จะซ่อนคำนี้ไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ยุคกลาง แต่ความคลั่งไคล้อย่างที่เราเห็นเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 นั้นไม่ได้เป็นเพียงลักษณะเฉพาะของอดีตเท่านั้น เราต้องหันไปหาต้นกำเนิดของปรากฏการณ์นี้หากเราจะทำนายพลวัตทางสังคมวัฒนธรรมในอนาคต ต้นกำเนิดของมันไม่เพียง แต่ในระบบเผด็จการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงในบ้านในครอบครัวด้วย
อย่างไรก็ตาม ทั้งในทางการเมืองและในประวัติศาสตร์ของวัฒนธรรม สามารถติดตามสองบรรทัดที่พัฒนาขึ้นในวิถีชีวิตแบบคู่ขนานกัน นั่นคือ ความไม่อดทนและความอดทนอดกลั้น สถานการณ์ใดบ้างที่ผู้คนมักทำหน้าที่เป็นผู้แบกรับคุณค่าของความอดทน? แน่นอนว่านี่คือสถานการณ์ของการไกล่เกลี่ย ร่างของผู้ไกล่เกลี่ยระหว่างโลกที่พร้อมจะปะทะกันเป็นบุคคลสำคัญในการพัฒนาทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษยชาติ หนึ่งในสถาบันทางสังคมแห่งความอดทนอาจเป็นทางการทูต
เมื่อพิจารณาถึงวิธีการที่อยู่เบื้องหลังการพัฒนาปัญหาความอดทน A.G. Asmolov ตั้งชื่อเหตุผลที่กำหนดตามความเห็นของนักวิทยาศาสตร์ ความซับซ้อนทางปัญญาต่ำของจิตสำนึกที่เข้มงวดของพาหะของทัศนคติที่ไม่อดทน
A.G. Asmolov กล่าวว่า "ในศตวรรษที่ 19-20 เราตื้นตันใจมากขึ้นเรื่อยๆ กับวิสัยทัศน์ทวิภาคของโลก - ดาร์วินเนียน มาร์กซิสต์ ฟรอยด์ วิสัยทัศน์ที่พบเหตุผลเชิงระเบียบวิธีในแนวคิดเรื่องคู่ตรงข้ามโดยเค. เลวี-สเตราส์" ด้วยเหตุนี้ความเข้าใจในการพัฒนา - ประวัติศาสตร์ของระบบชีวภาพสังคมและการเมืองที่หลากหลายจึงมีความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนสำหรับหลาย ๆ คนด้วยแนวคิดเรื่องความขัดแย้ง สาระสำคัญของการพัฒนานี้มีอยู่ในสูตรแดกดันของ K. Popper ผู้เขียนหนังสือ "Open Society": "ผู้รอดชีวิตรอดชีวิต"
และตอนนี้พรรคการเมืองทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองประเภท: "พรรคคำตอบ" และ "พรรคคำถาม" คนแรกรู้ทุกอย่าง: จะไปที่ไหน อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือกับใคร อย่างไรก็ตามฝ่ายอื่น ๆ ที่มีแนวเสรีนิยม (ซึ่งในความเป็นจริงควรเกี่ยวข้องกับค่านิยมของความอดทน) ในระดับการเมืองยังคงเป็นนักโทษของจิตสำนึกแบบไบนารี "ขาวดำ"
“แน่นอน ฉันจะไม่ปฏิเสธความสร้างสรรค์ของทฤษฎี “ความขัดแย้ง” การเกิดขึ้นของพวกเขามีเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ สังคม และจิตใจ” A.G. Asmolov ชี้แจง แนวคิดของการพัฒนาทางชีวภาพ ในขณะเดียวกัน P. Kropotkin ก็พูดไปแล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อร้อยปีที่แล้วในหนังสือ "การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในฐานะปัจจัยแห่งวิวัฒนาการ"
การสร้างภาพไดนามิกของการพัฒนาที่เต็มเปี่ยมหมายถึงทั้งความสนใจต่อความหลากหลายของความเป็นจริงและคำนึงถึงความแปรปรวนปกติของการตีความ นี่คือสิ่งที่ควรเป็นพื้นฐานของอุดมการณ์ของสังคมเปิด - พื้นฐานของอุดมการณ์แห่งขันติธรรม
ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีเฉพาะใดที่สามารถทนต่อการติดตั้งที่ลดทอนตำแหน่งของแบบแผนเผด็จการ? AG Asmolov หัวหน้าโครงการ "University Resource Center for Practical Psychology and Pedagogy of Tolerance" มองเห็นแนวทางหลักในการฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญเพื่อสอนเด็กและผู้ใหญ่เกี่ยวกับกฎของความร่วมมือ มีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ให้กับสื่อเช่นเดียวกับการพัฒนาโปรแกรมการฝึกอบรมพิเศษ
“เป้าหมายของเรา” A.G. Asmolov กล่าวโดยสรุปรายงาน “คือเพื่อ “วัฒนธรรมแห่งศักดิ์ศรี” เพื่อแทนที่ “วัฒนธรรมแห่งประโยชน์ใช้สอย”
รายงานของ G.U. Soldatova อุทิศให้กับการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีเฉพาะเพื่อสร้างจิตสำนึกที่อดทน ท้ายที่สุดแล้ว "หากปราศจากการตั้งเป้าหมายเชิงปฏิบัติ ปัญหาของความอดทนอดกลั้นจะเสี่ยงต่อการกลายเป็นเพียงการเหยียดหยาม"
เพื่อตอบคำถามแฮมเล็ตนี้ เรามาคลายเครียดกันดีกว่า ความทรงจำทางประวัติศาสตร์และระลึกเสมอว่ามนุษยชาติพยายามที่จะมีมนุษยธรรม แทนที่จะใจบุญสุนทาน การยอมรับของมนุษย์ ความเข้าใจของมนุษย์ ปรากฏให้เห็นถึงอาการอันน่าสะพรึงกลัวของความหวาดกลัวมนุษย์: จุดสูงสุดของความก้าวร้าว ความเกลียดชังชาวต่างชาติ ความคลั่งไคล้ ชาตินิยม และความสุดโต่ง
ให้เราหันไปที่พงศาวดารทางประวัติศาสตร์ที่กระชับของการสำแดงความหวาดกลัวของมนุษย์การไม่ยอมรับในชาติและความคลั่งไคล้ ตรงกันข้ามกับคำยืนยันว่า “นกเค้าแมวแห่งมิเนอร์วาโบยบินในตอนพลบค่ำ” (เฮเกล) ปีศาจแห่งความเกลียดชังชาวต่างชาติปรากฏในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทั้งกลางวันและกลางคืน แม้ว่าคำกล่าวที่ว่าสิ่งที่ทำในที่มืดจะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มีน้ำหนัก
เสียงเรียกร้องและเสียงร้องอันโด่งดังของฝูงชนที่คลั่งไคล้ในรัชสมัยของ Nero "Christian - to the Lions" เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดของความขัดแย้งระหว่างศาสนา มนุษย์เคยชินกับการยัดเยียดความศรัทธา "ศักดิ์สิทธิ์" ของกันและกัน ทุกครั้งที่จะทำลายโลกให้ราบคาบ แบ่งคนออกเป็นผู้เชื่อและไม่เชื่อ ซื่อสัตย์และไม่ซื่อสัตย์ ของเราและไม่ใช่ของเรา ของเราและของผู้อื่น ท้องถิ่นและไม่ใช่ท้องถิ่น กรรมาชีพและ นายทุน เหนือ ใต้ ตะวันตก ตะวันออก ซึ่งไม่มีวันมาบรรจบกัน
จุดสูงสุดของการต่อสู้เพื่อศรัทธาคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของยุคกลาง สงครามครูเสด. คืนแห่งการสังหารหมู่ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1572 เรียกว่าคืนของบาร์โธโลมิวจะคงอยู่ในความทรงจำของมนุษยชาติตลอดไป ในตอนแรก ปารีสและภูมิภาคอื่นๆ ของฝรั่งเศสเกลื่อนไปด้วยศพของชาวฮิวเกอโนต์ ซึ่งถูกสังหารหมู่โดยชาวคาทอลิกทั่วประเทศ
จุดเริ่มต้นของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ - การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่ถูกต้องตามกฎหมายของคนทั้งประเทศ การทำลายล้างผู้คนเพียงเพราะพวกเขาเป็นอื่น เป็นอื่น เป็นอื่น เป็น "คริสตอลแนชท์" ในปี 1938 ในเยอรมนี ชาวยิวมากกว่า 6 ล้านคนถูกทำลาย เผา และถูกทรมานในค่ายมรณะเพียงเพราะความแตกต่าง โดยผู้นำของลัทธิฟาสซิสต์ที่เกลียดชาวต่างชาติของอาณาจักรไรช์ที่สาม
และทุกวันนี้คงไร้เดียงสาที่จะคิดว่าผู้คลั่งไคล้มีชีวิตอยู่ในอดีตเท่านั้น ปรากฏตัวในหน้ากากของผู้สอบสวนที่เผาจอร์ดาโน บรูโนและจัด "การล่าแม่มด" หรือเดินถือคบเพลิงไปตามถนนในอเมริกาในชุดคลุมสีขาวของ คอลัมน์ คู คลักซ์ แคลน อนิจจา พวกเขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์คืนแห่งการสังหารหมู่ การสังหารหมู่นองเลือด และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอดีต พวกเขาอยู่ใกล้ พวกเขาอยู่ที่นี่. พวกเขาอยู่ในหมู่พวกเรา
จุดสูงสุดของความเกลียดชังชาวต่างชาติในศตวรรษที่ 21 คือวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2544 การทำลายล้างผู้คนหลายพันคนโดยพวกหัวรุนแรงในตึกแฝดในนิวยอร์ก ศตวรรษที่ 21 คลื่นแห่งความหวาดกลัวผู้อพยพ การรุกรานและความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ในฝรั่งเศส การปะทุของลัทธินีโอนาซีในเยอรมนี กระตุ้นให้ผู้นำของประเทศเหล่านี้สงสัยในประสิทธิภาพของนโยบายวัฒนธรรมหลากหลาย
และในที่สุด เมื่อวานนี้ - 22 กรกฎาคม 2554: บนเกาะ Utoya ในนอร์เวย์ Anders Breivik ผู้มีชื่อเล่นว่า Mord (ฆาตกรรม) ในช่วงวัยรุ่นของเขาได้ยิงคน 76 คนอย่างเลือดเย็นเพื่อ "ช่วย" ยุโรปจาก การคุกคามของลัทธิมาร์กซ การล่าอาณานิคมของอิสลาม และที่สำคัญที่สุดคือนโยบายพหุวัฒนธรรม
ในรัสเซีย ความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ใน Kondopoga และความสนุกสนานของแฟนๆ ที่ Manege ยังคงอยู่ในความทรงจำของพวกเขา ด้วยความเจ็บปวด นักการเมืองหลายคนเริ่มเข้าใจอย่างล่าช้าว่าการเติบโตของความคลั่งไคล้ การป่าเถื่อน ความหวาดกลัวผู้อพยพ ความหวาดกลัวคอเคเชียน และการฆาตกรรมบนพื้นฐานทางชาติพันธุ์คุกคามความสมบูรณ์ของรัฐรัสเซีย และสามารถทำลายโครงการพัฒนาทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศได้ ภายใต้คำขวัญต่อต้านแรงงานข้ามชาติ “มาจำนวนมากที่นี่”
ในสถานการณ์ทางสังคมและการเมืองนี้ ข้าพเจ้าหันกลับไปหาอุดมการณ์แห่งขันติธรรมที่นักการเมือง นักปรัชญา และนักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติในยุคต่างๆ ให้การสนับสนุนในฐานะวาทกรรมสำคัญของสังคมเปิดแบบพหุวัฒนธรรม หลากหลายวัฒนธรรม เป็นอุดมการณ์ของขันติธรรม ซึ่งขันติธรรมเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นบรรทัดฐานสากลสำหรับสนับสนุนความหลากหลายในวิวัฒนาการของระบบที่ซับซ้อนต่างๆ ซึ่งเป็นศักยภาพในการพัฒนารูปแบบต่างๆ ของการอยู่ร่วมกัน การอยู่ร่วมกัน ปฏิสัมพันธ์ทางสังคมและการเมือง ความร่วมมือ ซึ่งกันและกัน การช่วยเหลือและการรวมเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ ประชาชน สัญชาติ รัฐ ศาสนา และโลกทัศน์ต่างๆ
ความอดทนเป็นบรรทัดฐานในการสนับสนุนความหลากหลายและความเสถียรของระบบต่างๆ ทำหน้าที่ต่อไปนี้ในกระบวนการทางประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการ:
ก) ให้ การพัฒนาที่ยั่งยืนบุคคล กลุ่มสังคมที่แตกต่างกัน และมนุษยชาติในฐานะเอกภาพของความหลากหลายในโลกที่เปลี่ยนแปลง
b) กำหนดสิทธิและคุณค่าของแต่ละคนในฐานะปัจเจกบุคคล สิทธิที่จะแตกต่าง;
ค) ความสมดุลและการประสานผลประโยชน์ของฝ่ายตรงข้ามในด้านอุดมการณ์ การเมือง เศรษฐกิจ รวมทั้งในรูปแบบอื่นใดของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล สังคม และการเมืองของบุคคล กลุ่มสังคมขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
ง) ความเป็นไปได้ของการสนทนา การเจรจา การสะสมศักยภาพของความเป็นปึกแผ่น ความปรองดอง และความไว้เนื้อเชื่อใจจากโลกทัศน์ ศาสนา และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน
ดังนั้น ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าในบริบทของแนวทางเชิงประวัติศาสตร์-วิวัฒนาการในการพัฒนาระบบที่ซับซ้อน ความอดทนถูกมองว่าเป็นกลไกในการสนับสนุนและพัฒนาความหลากหลายของระบบเหล่านี้ ซึ่งรับประกันการขยายช่วงของขีดความสามารถของระบบเหล่านี้ ในสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ต่าง ๆ และความมั่นคง
ในทางกลับกัน โรคกลัวชาวต่างชาติทำหน้าที่เป็นกลไกในการลดความหลากหลายของระบบ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มการพัฒนาระบบแบบปิด (ระบบเผด็จการ ระบบสังคมเผด็จการ การครอบงำของแนวโน้มการเกลียดชาวต่างชาตินำไปสู่ความแข็งแกร่งของระบบ การเติบโตของลัทธิโดดเดี่ยวและการแบ่งแยกดินแดน และทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้
ในการพัฒนาระบบที่ซับซ้อน ขันติธรรมสะท้อนถึงกลยุทธ์ของความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ความร่วมมือ และวิวัฒนาการทางชีวภาพ Xenophobia เกี่ยวข้องกับความเข้าใจในความขัดแย้งเป็นหลัก แรงผลักดันวิวัฒนาการของระบบต่าง ๆ พื้นฐานระหว่างเผ่าพันธุ์ สังคมและการต่อสู้ทางชนชั้น
ความเข้าใจเกี่ยวกับความอดทนที่เสนอข้างต้นช่วยให้เราเห็นปรากฏการณ์วิทยาของความอดทนใน ระบบที่แตกต่างกันประสานกันในวิวัฒนาการทางชีววิทยาในภาพรวม และเหนือสิ่งอื่นใดในกระบวนการสร้างมานุษยวิทยาซึ่งเป็นเส้นทางที่ขัดแย้งกันของการก้าวขึ้นสู่ความเป็นมนุษย์ของมนุษยชาติ มันกระตุ้นให้เราเข้าใจว่าไม่เพียงแต่ความขัดแย้งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความช่วยเหลือซึ่งกันและกันที่ทำหน้าที่เป็นปัจจัยผลักดันที่ทรงพลังในกระบวนการวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่นักคิดเช่น
V.I.Vernadsky, P.A.Kropotkin, M.A.Kovalevsky, Pierre Teilhard de Chardin, Ilya Prigogine, William Ross Ashby, ปกป้องแนวคิดของความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน, การปรองดอง, ความเป็นปึกแผ่น, วิวัฒนาการทางชีวภาพ, ความคืบหน้าเมื่อเพิ่มความหลากหลายของระบบในโลกของผู้คนและ สัตว์. ในปรัชญาและจริยศาสตร์ แนวคิดเรื่องขันติธรรมมักเกี่ยวข้องกับนักคิดเช่น John Locke, Francois Voltaire, Leo Tolstoy, Mahatma Gandhi, Albert Schweitzer, Mikhail Bakhtin, Martin Buber, Janusz Korczak ซึ่งชื่อเหล่านี้เข้าสู่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นชื่อ นักมนุษยนิยมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด.
มุมมองของนักคิดเหล่านี้ทั้งหมดจากนักวิเคราะห์และนักวิจารณ์เหล่านั้นเกี่ยวกับอุดมการณ์แห่งขันติธรรมที่ลดการแสดงออกของขันติธรรมเพียงเพื่อไปสู่ขันติธรรม ความหลากหลายทางวัฒนธรรม และความถูกต้องทางการเมืองนั้นห่างไกลเพียงใด! ฉันไม่ได้พูดถึงนักอุดมการณ์ของความหวาดกลัวมนุษย์ซึ่งความคิดเรื่องความอดทนเป็นภัยคุกคามต่อ "ความคิดขาวดำ" การแบ่งมนุษยชาติออกเป็นคนแปลกหน้าและเพื่อนทำให้เกิดอาการแพ้ พวกเขาไม่ต้องการเห็นสิ่งที่ชัดเจน: ความอดทนคือชีวิตตามสูตรของเหตุผล โรคกลัวชาวต่างชาติ - ชีวิตตามสูตรของอคติ พวกเขาลืมไปว่าคนฉลาดจะตัดสิน คนโง่จะประณาม และพวกเขาพยายามที่จะสวมเหตุผลใน "เสื้อคลุมสีขาว" ของอคติ การแทนที่และเปลี่ยนอุดมการณ์ทางอุดมการณ์แบบนี้อยู่เบื้องหลังทฤษฎีนาซีหรือลัทธิเหยียดผิวที่เกลียดมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ ให้บริการแนวคิดเรื่องความเหนือกว่า ความเป็นเจ้าโลกของกลุ่มสังคม ประเทศ เชื้อชาติ หรือชนชั้นเหนืออีกกลุ่มหนึ่ง ในอาณาจักรไรช์ที่สาม แนวคิดเหล่านี้ตกผลึกในคำขวัญของชาวอารยันที่บริสุทธิ์ "เยอรมนีเหนือสิ่งอื่นใด" ในรัสเซีย พวกเขาได้รับการสนับสนุนจากนักอุดมการณ์ของ Black Hundreds ซึ่งลืมคำพูดของอัครสาวกเปาโลที่ว่าสำหรับพระคริสต์ ไม่มีกรีก ไม่มียิว ไม่มีไซเธียน ไม่มีชาวสะมาเรีย ไม่มีทาส ไม่มีอิสระ เพราะพวกเขาทั้งหมด หนึ่ง. ความคิดแบบเดียวกันนี้แพร่กระจายโดยผู้ที่มีความคิดแบบ "สกินเฮด" ผู้ซึ่งอยู่เบื้องหลังการสนับสนุนใดๆ ของผู้ที่ไม่เหมือนกัน รวมถึงผู้อพยพ มองเห็นอุบายของมนุษย์ต่างดาวในต่างโลก ฉากหลังของการสมรู้ร่วมคิดของโลกและพาหะของโรคกลัวรัสเซีย
ทุกที่ที่มีผู้คนถูกครอบงำโดยปีศาจแห่งความกลัวชาวต่างชาติ ความคิดและการกระทำของพวกเขาตั้งอยู่บนเสาหลักสามประการ: อุดมการณ์ของลัทธิฟันดาเมนทัลลิสม์ จิตวิทยาของความคลั่งไคล้ และเทคโนโลยีแห่งการก่อการร้าย แต่พวกเขาก็เป็นคนเช่นกัน และถ้าฉันดำเนินการตามอุดมการณ์ของความอดทนในฐานะอุดมการณ์ของมนุษยชาติและมานุษยวิทยาของการไม่ใช้ความรุนแรง ฉันก็จะไม่ส่งพวกเขาไป ... เพื่อค้นหาว่าเสียงระฆังดังขึ้นเพื่อใคร และฉันจะกล้าพูดซ้ำคำพูดของ Leo Nikolayevich Tolstoy: "ถ้าผู้คนเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพียงชีวิตของตัวเอง แต่ชีวิตของทุกคนด้วย พวกเขาจะรู้ว่าการทำดีต่อผู้อื่น พวกเขาทำเพื่อตัวเอง" และคำเหล่านี้เป็นสาระสำคัญของอุดมการณ์แห่งขันติธรรมในฐานะโรงเรียนแห่งชีวิตที่มีผู้คนหลากหลาย โรงเรียนแห่งความเป็นมนุษย์และความเอื้ออาทร
บทที่ 1 ความอดทน: ความหมายสาระสำคัญลักษณะ
1.1. แนวคิด สาระสำคัญ และประเภทของความอดทน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ แนวคิดเรื่องความอดทนได้ถูกนำมาใช้อย่างแข็งขันโดยนักข่าว นักการเมือง นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ในบรรดาภารกิจสำคัญในหลักคำสอนแห่งชาติของสหพันธรัฐรัสเซียคือการเลี้ยงดูบุคลิกภาพที่มีความอดทน ความอดทนถือเป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดของประกันสังคม โปรแกรมสำหรับการสร้างบุคลิกภาพที่มีความอดทน การต่อต้านความไม่อดทนประเภทต่างๆ กำลังถูกนำมาใช้ในรัฐบาลระดับต่างๆ ดังนั้นแนวคิดของ "ความอดทน" จึงเข้าสู่พจนานุกรมของสังคมรัสเซียอย่างแน่นหนาและประชากรส่วนใหญ่ในประเทศของเรายอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไขและเชื่อว่าความอดทนควรกลายเป็นคุณลักษณะสำคัญของชีวิตชาวรัสเซีย อย่างไรก็ตามมีมุมมองอื่นซึ่งตัวแทนมีความเห็นตรงกันข้ามและมีทัศนคติเชิงลบต่อความอดทน ในความเห็นของพวกเขา ขันติธรรมเป็นอุดมการณ์ต่างดาวต่อความคิดของรัสเซีย ซึ่งเป็นอันตรายต่อความประหม่าของเรา - "โทเลนทาริซึม" ซึ่งไม่มีอะไรมากไปกว่า ความชั่วร้ายและการผิดศีลธรรมนำไปสู่การพิสูจน์และแม้แต่การเชิดชูความชั่วร้าย... อุดมการณ์ของความอดทนเป็นสิ่งที่ไม่มีขอบเขตและวุ่นวาย ไม่มีความแตกต่างระหว่างความดีและความชั่ว แต่ความโกลาหลนี้ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เนื่องจากอุดมการณ์ทั้งหมดนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อจารีตประเพณีอย่างมีระเบียบ คุณค่าทางจิตวิญญาณ ส่วนใหญ่คริสเตียน "( 1) ความอดทน "tolentarism" ที่แม่นยำยิ่งขึ้นจากมุมมองนี้คือประการแรกการศึกษาของสังคมที่ไม่แยแสต่อปรากฏการณ์และกระบวนการของชีวิตทางสังคมของสังคมสมัยใหม่รวมถึงสิ่งที่เป็นลบและประการที่สองคือการศึกษาเรื่องการปฏิเสธ มุมมองและค่านิยมที่เรียกว่าแบบดั้งเดิม ฝ่ายตรงข้ามของการแทรกซึมของอุดมการณ์ที่อดทนในสังคมรัสเซียไม่ได้เป็นเพียงนักเขียนฆราวาสเท่านั้น - นักการเมืองนักวิทยาศาสตร์นักข่าวนักข่าวบางคน แต่ยังรวมถึงบุคคลสำคัญทางศาสนาด้วย ตัวอย่างเช่น ประธานสภาองค์กรและสมาคมทางศาสนาของชาวยิวในรัสเซีย, รับบี Z.L. การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมและการแสดงออกถึงการต่อต้านชาวยิว (2) ดูเหมือนว่าสาเหตุของการมีอยู่ของสองแนวทางที่ตรงกันข้ามในการประเมินความอดทนนั้น หลักๆ อยู่ที่การแปลหรือการตีความคำว่า "ความอดทน" ที่ไม่ถูกต้องเป็นหลัก ความจริงก็คือแนวคิดนี้แปลโดยเจตนาหรือโดยไม่รู้ตัวโดยเฉพาะว่าเป็น "ความอดทน" ในขณะที่เนื้อหามีความหมายเชิงความหมายที่ซับซ้อนและกว้างขวางกว่า แท้จริงแล้ว ความอดทนในภาษาละตินสามารถมีความหมายที่แตกต่างกันสามประการ:
ความมั่นคง ความอดทน;
ความอดทน;
ค่าเผื่อ ค่าเบี่ยงเบนที่อนุญาต
สำหรับเรา สิ่งที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือความหมายที่หลากหลายของการแปลคำว่า ความอดทน (อังกฤษ) ซึ่งระบุไว้ในพจนานุกรมจิตวิทยาภาษาอังกฤษ-รัสเซีย: ความมั่นคงที่ได้รับ; ความต้านทานต่อความไม่แน่นอน ความยั่งยืนทางจริยธรรม ขีด จำกัด ของความมั่นคงการต่อต้านความขัดแย้ง ขีด จำกัด ของความมั่นคงของมนุษย์ (ความอดทน) การต้านทานต่อความเครียด การต่อต้านพฤติกรรมเบี่ยงเบน ฯลฯ
จากความคลุมเครือของแนวคิดเรื่อง "ขันติธรรม" หลายคนจึงเชื่อว่าควรแยกแยะระหว่างแนวคิดเรื่อง "ขันติธรรม" กับ "ขันติธรรม" ซึ่งแนวคิดเรื่อง "ขันติธรรม" ไม่เพียงแต่ไม่สะท้อนความสมบูรณ์ของแนวคิดเท่านั้น ของ "ขันติธรรม" แต่ก็อาจจะสวนทางกันก็ได้ ผู้เขียนหลายคนชี้ให้เห็นว่าคำกริยาภาษารัสเซีย "อดทน" อาจมีความหมายเชิงลบ: ความอดทนมักจะเฉยเมยและหมายถึงการยับยั้งทัศนคติภายนอกเท่านั้นซึ่งไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งของการแพ้ คำว่า "ความอดทน" สำหรับคนรัสเซียมักจะเกี่ยวข้องอย่างแม่นยำกับการยอมรับโลกรอบตัวเขาอย่างเฉื่อยชา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น การไม่ต่อต้าน ความสามารถในการ การอ่านพจนานุกรมภาษารัสเซียผู้ยิ่งใหญ่ของ Vladimir Dal มีประโยชน์มากในเรื่องนี้ซึ่งเขาได้อุทิศทั้งคอลัมน์ให้กับคำว่า "อดทน" ปรากฎว่าคำนี้มีความหมายมากมาย ความหมายแรกคือ “ทน” “ทน” “ทุกข์” เกี่ยวกับเรื่องนี้ V. Dal อ้างถึงคำเช่น "Terpikha" "Terpikha" เป็นภาษาถิ่นของคำว่า "ความอดทน" ซึ่งเต็มไปด้วยความรู้สึกของความหนักใจความเศร้าโศกและในความเป็นจริงคือความไม่อดทน นักจิตวิทยาเข้าใจในลักษณะนี้ว่าความอดทนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพจิตของบุคคล หากคน ๆ หนึ่งอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องทนทุกข์ทรมานนานก็จะส่งผลเสียรวมถึงผู้ที่ทนทุกข์ด้วย ในสถานการณ์เช่นนี้ปัญหาของความรุนแรงในตนเอง, ความยับยั้งชั่งใจทางอารมณ์, ความเป็นปรปักษ์ต่อบางสิ่งหรือบางคนเกิดขึ้นเมื่อคน ๆ หนึ่งบังคับให้ตัวเองอดทนต่อบางสิ่งเนื่องจากสถานการณ์ปิดกั้นการไม่ยอมรับของตัวเอง “หากโดยคำว่า “ขันติธรรม” เราเข้าใจว่าความอดกลั้นหมายความว่าสภาวะของการ “กัดฟัน” “ควบคุมตนเอง” แน่นอน ก็ไม่มีคำถามเรื่องขันติธรรมในที่นี้” (3)
ขันติธรรมถูกตีความแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงในคำประกาศหลักการขันติธรรม (2538) ซึ่งเข้าใจแนวคิดของ “ขันติธรรม” ประการแรก “ในฐานะทัศนคติที่แข็งขันที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของการยอมรับสิทธิมนุษยชนสากลและ เสรีภาพขั้นพื้นฐาน” และประการที่สอง คือ “การเคารพ การยอมรับ และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความหลากหลายทางวัฒนธรรมในโลกของเรา รูปแบบการแสดงออกของเรา และวิธีการแสดงความเป็นปัจเจกของมนุษย์ อย่างที่เราเห็น การตีความคำว่า "ความอดทน" นี้มีหลายชั้นและมีหลายความหมาย: มันบอกเป็นนัย ทัศนคติที่เคารพต่อเชื้อชาติ สัญชาติ สีผิว เพศ รสนิยมทางเพศ อายุ ความทุพพลภาพ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรืออื่น ๆ สถานะและชาติกำเนิดของชาติหรือสังคม ความมั่งคั่ง ฯลฯ เข้าใจในลักษณะนี้ ขันติธรรมชี้นำให้เราใช้ชีวิตอย่างแข็งขันซึ่งเกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิของบุคคลใด ๆ แสดงถึงทัศนคติเชิงลบต่อการแสดงออกของการไม่ยอมรับในสถานการณ์ใด ๆ การปฏิบัติตามหลักการของความอดทนจึงไม่รวมการประนีประนอมใดๆ ต่อการละเมิดกฎหมายและ มาตรฐานทางจริยธรรม. แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการอ่านคำว่า "ความอดทน" นี้คือความเคารพ แนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับขันติธรรมและแก่นแท้ของมันนั้นขึ้นอยู่กับการเคารพในความแตกต่างและการตระหนักในความจริงที่ว่าความแตกต่าง ความแตกต่าง และความหลากหลายเป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาต่อไป ดังนั้นความอดทนจึงไม่สามารถลดลงเป็นความเฉยเมยได้จนถึงความต้องการที่จะเอาชนะความรู้สึกที่ถูกปฏิเสธของอีกฝ่ายซึ่งก็คือมนุษย์ต่างดาว ความอดทนที่แท้จริงถูกเปิดเผยเป็นทัศนคติที่สนใจต่อผู้อื่น วัฒนธรรมอื่น ศาสนาอื่น ๆ ด้วยเหตุผลที่ว่าโลกทัศน์ของผู้อื่นแตกต่างจากของเราและทำให้เกิดความปรารถนาที่แข็งขัน จำเป็นต้องทำความรู้จักเขาให้ดียิ่งขึ้น น่าเสียดายที่คำประกาศหลักขันติธรรมได้รับการแปลเป็นภาษารัสเซียจากภาษาอังกฤษว่า "คำประกาศหลักขันติธรรม" แม้ว่าตามที่กล่าวไว้ข้างต้น แนวคิดเรื่อง "ขันติธรรม" ไม่เพียงแต่ไม่สะท้อนความสมบูรณ์ของแนวคิดเรื่อง " ความอดทน” แต่ยังสามารถตรงกันข้ามกับมันได้โดยตรง
ความอดทนสามารถพิจารณาในด้านต่าง ๆ : ปรัชญาและจริยธรรม, จิตวิทยา, สังคมวิทยา ในแง่ปรัชญา ขันติธรรมทำหน้าที่เป็นหมวดหมู่ทางจริยธรรมที่อ้างถึงแง่มุมทางศีลธรรมของแต่ละบุคคล และในแง่นี้ทำหน้าที่เป็น "ความจำเป็นเชิงหมวดหมู่" ที่ชี้นำพฤติกรรมของมนุษย์ในสังคม ความจำเป็นอย่างเด็ดขาดของ Kant ดังที่ทราบกันดีว่าในฉบับสุดท้ายอ่านได้ดังนี้: "ดำเนินการในลักษณะที่สูงสุดของเจตจำนงของคุณจะกลายเป็นหลักการของกฎหมายสากล" ซึ่งหมายความว่าบุคคลที่มีทัศนคติต่อผู้อื่นจะต้องดำเนินการจากความคิดเรื่องคุณค่าที่ยั่งยืนของคุณธรรมและคุณธรรมต่างๆ ของบุคคลที่ทำให้บุคคลหนึ่งแตกต่างจากอีกบุคคลหนึ่ง และสนับสนุนความร่ำรวยของความแตกต่าง วัฒนธรรม ชนชาติ และศาสนาของแต่ละบุคคล ในสภาพปัจจุบัน เมื่อความสัมพันธ์และการติดต่อระหว่างชนชาติ วัฒนธรรม ศาสนาต่างๆ กลายเป็นสิ่งจำเป็นและชีวิตประจำวัน ขันติธรรมควรกลายเป็นบรรทัดฐานของความสัมพันธ์ระหว่างชนชาติ วัฒนธรรม และศาสนาเหล่านี้ นี่เป็นเงื่อนไขที่สำคัญที่สุดสำหรับการอยู่รอดของมนุษยชาติในเงื่อนไขของการพัฒนาอย่างรวดเร็วของการสื่อสารและการก่อตัวของเศรษฐกิจเดียว และในแง่นี้ เราสามารถพูดได้ว่าความอดทนควรได้รับคุณค่าของความจำเป็นทางศีลธรรมสำหรับทุกคน ทุกชนชาติ ทุกศาสนา และวัฒนธรรม
ในแง่จิตวิทยา ความอดทนทำหน้าที่เป็นลักษณะเฉพาะของบุคคล ซึ่งแสดงออกเมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ในระดับจิตใจ ความอดทนแสดงออกในรูปแบบของทัศนคติภายใน การเลือกทัศนคติที่เคารพต่อผู้อื่น ต่อกลุ่ม ชาติ รัฐ วัฒนธรรมและศาสนาโดยสมัครใจ ซึ่งและนี่คือสิ่งสำคัญที่สุดในแง่มุมนี้ ไม่ถูกบังคับจากภายนอก แต่เราแต่ละคนได้มาจากระบบการศึกษาและประสบการณ์ชีวิตส่วนตัว ในกรณีนี้เรากำลังพูดถึงจิตวิทยาของความอดทนและทัศนคติของพฤติกรรมที่อดทน ทัศนคติที่เรายึดถือต่อเหตุการณ์ ผู้คน วัฒนธรรม เป็นตัวกำหนดอารมณ์เชิงบวกหรือเชิงลบ เป็นตัวกำหนดปฏิกิริยาและการกระทำของเรา ซึ่งอาจจะเป็นเชิงบวกก็ได้ เช่น ใจกว้างหรือแง่ลบ ใจแคบ ในรูปแบบของอคติ ความลำเอียง ความก้าวร้าว ฯลฯ
ในกรณีของแนวทางทางสังคมวิทยา ขันติธรรมเป็นบรรทัดฐานทางสังคม ซึ่งเป็นสถาบันทางสังคมที่กำหนดความต้านทานของวิชาปฏิสัมพันธ์ทางสังคมต่อความขัดแย้งในสังคมหลายเชื้อชาติ หลายสารภาพ และหลายวัฒนธรรม ในเรื่องนี้ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติสามารถแบ่งออกเป็นสองขั้นตอน: ขั้นแรกคือสังคมดั้งเดิมที่ไม่อดทน ซึ่งชีวิตของพวกเขาสร้างขึ้นบนหลักการของการไม่ยอมรับต่อ "ต่างชาติ" "อื่น ๆ " เหล่านี้เป็นสังคมดั้งเดิมที่เพื่อรักษาเสถียรภาพของโครงสร้างทางสังคม (ระบบมุมมอง สังคม การเมือง และกลุ่มอื่นๆ) จะต้องระงับความขัดแย้งใดๆ โดยเฉพาะภายใน ขั้นตอนที่สองในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเริ่มขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ หลังจากการเปลี่ยนแปลงของมนุษยชาติไปสู่สังคมเปิดหลังยุคอุตสาหกรรม ซึ่งตั้งอยู่บนหลักการของพหุนิยมของความคิด ค่านิยม และวิถีชีวิต ด้วยวิธีนี้อารยธรรมเท่านั้นที่สามารถหลีกเลี่ยงความขัดแย้งสงครามและการปฏิวัติได้ ดังที่นักสังคมวิทยาชาวอเมริกัน ดี. ทรูแมน เขียนไว้ว่า "หากสังคมสามารถหลีกเลี่ยงการปฏิวัติ ความเสื่อมโทรม ความเสื่อมโทรม และรักษาเสถียรภาพได้ ก็ต้องขอบคุณการมีส่วนรวมเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น" คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของสังคมเปิดคือการรับรู้ถึงความจำเป็นและความจำเป็นของพหุลักษณ์ ความคิดเห็น อุดมการณ์ ซึ่งนำมาซึ่งข้อกำหนดของขันติธรรม ขันติธรรมต่อความขัดแย้ง ฯลฯ ความขัดแย้งทางสังคมและการเมืองไม่ได้หายไป แต่เน้นที่กระบวนการแก้ไขปัญหาตามระบอบประชาธิปไตย โดยคำนึงถึงและประสานผลประโยชน์และจุดยืนของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
แนวทางทางสังคมวิทยาในการศึกษาความอดทนพิจารณาความอดทนจากตำแหน่งที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นความอดทนสามารถถูกมองว่าเป็นระบบค่านิยมที่ทำหน้าที่เป็นส่วนสำคัญของจิตสำนึกสาธารณะ ในกรณีนี้ ความอดทนพบการแสดงออกในศีลธรรมสาธารณะ จารีตประเพณี จิตวิทยาสาธารณะ อุดมการณ์ทางการเมืองและรัฐ ฯลฯ ในกรณีนี้เป้าหมายของการวิเคราะห์ทางสังคมวิทยาอาจเป็นปัญหาในการพัฒนาระดับของตัวบ่งชี้วัตถุประสงค์ของระดับความอดทนของทั้งจิตสำนึกสาธารณะโดยทั่วไปและจิตสำนึกของกลุ่มสังคม, ชั้นเรียน, ชั้นทางสังคมของประชากร ฯลฯ สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งในเรื่องนี้คือการวิเคราะห์อิทธิพลของปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีต่อการก่อตัวของความอดทน / การแพ้รวมถึงผลกระทบย้อนกลับต่อสังคม ขันติธรรมสามารถมองได้จากมุมมองของการทำงานของสถาบันทางสังคมเฉพาะ ซึ่งมีความสำคัญเป็นพิเศษสำหรับการศึกษาอุดมการณ์ของขันติธรรม เช่น รัฐ กฎหมาย การศึกษา สื่อ ฯลฯ เป้าหมายของการวิจัยทางสังคมวิทยาในกรณีนี้คือหน้าที่ของค่านิยมและบรรทัดฐานที่อดทนหรือไม่อดทนและผลกระทบต่อการปฏิบัติงานโดยสถาบันของหน้าที่พื้นฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราสามารถพิจารณาประสิทธิภาพของอิทธิพลของสถาบันการศึกษา (โรงเรียน, มหาวิทยาลัย, ฯลฯ ) ต่อความสำเร็จของการให้ความรู้แก่คนรุ่นใหม่ ในที่สุด หัวข้อของการวิเคราะห์ทางสังคมวิทยาสามารถเป็นได้ทั้งระบบของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม (ระหว่างเชื้อชาติ, ระหว่างเชื้อชาติ, ระหว่างกลุ่มสารภาพ ฯลฯ) และความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลระหว่างสมาชิกของกลุ่มเหล่านี้ (ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของตัวแทนเฉพาะสองคนของกลุ่มชาติหรือศาสนา หรือทัศนคติ ต่อบุคคลในฐานะตัวแทนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง) (4)
ดังที่ทราบกันดีว่า สังคมวิทยามักจะใช้การวิเคราะห์เชิงโครงสร้างของสถาบันทางสังคม เช่น กำลังเรียน หน้าที่ทางสังคมสถาบันเหล่านี้ ความสำคัญอย่างยิ่งมีการศึกษาเกี่ยวกับหน้าที่และความอดทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิชาต่างๆ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มสังคม บุคลิกภาพ ฯลฯ สำหรับกลุ่ม หน้าที่ที่สำคัญที่สุดของปฏิสัมพันธ์ที่ยอมรับได้คือ: การป้องกันความขัดแย้งระหว่างกลุ่มและภายในกลุ่ม การก่อตัวและการรักษาเสถียรภาพและความมั่นคงภายในของกลุ่ม การสร้างภาพลักษณ์ของกลุ่มที่มั่นคงและเหนียวแน่น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการมีปฏิสัมพันธ์กับหน่วยงานของรัฐ กลุ่มสังคม และองค์กรต่างๆ และดึงดูดสมาชิกใหม่ที่ปรับตัวให้เข้ากับสังคมเข้ามาในกลุ่ม สำหรับแต่ละบุคคล ความอดทนก็มีบทบาทอย่างมากเช่นกัน อันที่จริงด้วยจำนวนปริมาณและธรรมชาติของสถานการณ์ความขัดแย้งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในด้านต่าง ๆ ของชีวิตมันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างทัศนคติเชิงบวกต่อชีวิต (ซึ่งเหนือสิ่งอื่นใดคือการบำบัดทางจิตสรีรวิทยาอย่างจริงจังที่ช่วยให้คุณลด ความเครียด). เราควรคำนึงถึงอิทธิพลของทัศนคติที่อดทนด้วย แบบฟอร์มภายนอกพฤติกรรมของแต่ละบุคคล ป้องกันการโต้ตอบในรูปแบบที่ก้าวร้าว รวมถึงพฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย เป็นไปได้ไหมที่จะพูดถึง คุณภาพสูงชีวิตเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหากทุกคนไม่ตระหนักว่าการวัดการบรรลุสิทธิเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของการรับรู้สิทธิของบุคคลอื่นเป็นหลัก (5)
เพื่อให้เข้าใจสาระสำคัญทางสังคมของขันติธรรม ไม่เพียงแต่จำเป็นต้องศึกษาหน้าที่ของขันติธรรมในสังคมเท่านั้น นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องเข้าใจธรรมชาติของเงื่อนไขเหล่านั้นที่สามารถส่งเสริมและขัดขวางการก่อตัวของจิตสำนึกและพฤติกรรมที่อดทน การพัฒนาหลักการที่อดทนในสังคม, การปฏิเสธการผูกขาดความจริง, ความเต็มใจที่จะประนีประนอม, การเจรจาขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงประเพณีทางประวัติศาสตร์ในพื้นที่นี้, ความคิดของสังคมประเภทต่าง ๆ, เจตจำนงทางการเมืองของผู้มีอำนาจ การพัฒนาวัฒนธรรมทางการเมืองและกฎหมายของพลเมือง ความพร้อมใช้งานของระบบกฎหมายที่เหมาะสม ฯลฯ บทบาทที่สำคัญในการกำหนดเงื่อนไขสำหรับการเผยแพร่หลักการแห่งขันติธรรมและการจำกัดฐานทางสังคมของลัทธิสุดโต่งในฐานะที่เป็นรูปแบบที่รุนแรงของการสำแดงความไม่อดทนนั้นแสดงโดยปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมที่เป็นกลาง ทุกคนเข้าใจว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมือง และอุดมการณ์สามารถมีบทบาทอย่างไรเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งขันติธรรมในสังคม ทุกคนเข้าใจว่าพื้นฐานทางสังคมสำหรับการก่อตัวของบรรยากาศของการไม่ยอมรับในสังคม บ่อเกิดของความคลั่งไคล้คือ ประการแรก วิกฤตเศรษฐกิจ การเมือง จิตวิญญาณ และความยากลำบากทั้งหมดของประชากรที่เกี่ยวข้อง และในทางกลับกัน การพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืน นโยบายสังคมที่สมานฉันท์ หลักประกันที่รับประกัน การคุ้มครองทางกฎหมาย ฯลฯ มีส่วนร่วมในการสร้างวัฒนธรรมแห่งสันติภาพและขันติธรรมในสังคม
การกระทำทางสังคมใด ๆ ดังที่ Max Weber นักสังคมวิทยาชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงกล่าวไว้ สันนิษฐานว่ามีผู้กระทำอย่างน้อยสองคน จากมุมมองนี้ สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าความอดกลั้นเป็นรูปแบบหนึ่งของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ทดลองและเป้าหมายของความอดทน ในส่วนของผู้ทดลอง เราเห็นความพร้อมที่จะยอมรับความแตกต่างทางสังคมวัฒนธรรม (สัญญาณภายนอก ข้อความ ลักษณะพฤติกรรม) ของวัตถุ บุคคล สถาบันทางสังคม ชุมชนทางสังคม รวมทั้งชุมชนชาติพันธุ์ ชุมชนสารภาพบาป สามารถทำหน้าที่เป็นหัวเรื่องทางสังคมได้ กลุ่มทางสังคม, องค์กร. ความอดทนสามารถแสดงออกมาในสองระดับ: เชิงอุดมคติ จิตวิญญาณ และเชิงรุก เชิงปฏิบัติ ในกรณีนี้ขอแนะนำให้พูดถึงจิตสำนึกและพฤติกรรมที่อดทน หากเราพูดถึงความสัมพันธ์ทางสังคม ความสัมพันธ์ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างเรื่องของจิตสำนึกที่อดทนและการมีปฏิสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุกับวัตถุในรูปแบบต่างๆ ก็เป็นไปได้: สถาบันทางสังคม - สถาบันทางสังคม สถาบันทางสังคม - ปัจเจกบุคคล สถาบันทางสังคม - a กลุ่มสังคม ฯลฯ จิตสำนึกและพฤติกรรมที่อดทนสามารถแสดงออกได้ในทุกด้านของชีวิตทางสังคมของสังคมและชีวิตของแต่ละบุคคล ด้วยเหตุนี้นักวิจัยจึงระบุ ชนิดต่างๆความอดทน (6)
ความอดทนทางเชื้อชาติ (ระหว่างเชื้อชาติ) - การสร้างและการอนุมัติหลักการของความอดทนในด้านความสัมพันธ์ระหว่างชาติพันธุ์, การเคารพตัวแทนของทุกประเทศ, ความสามารถในการไม่ถ่ายโอนข้อบกพร่องและการกระทำเชิงลบของตัวแทนแต่ละสัญชาติไปยังสัญชาติทั้งหมดนี้ ต่อประชาชนทั้งมวล ปฏิบัติต่อบุคคลใด ๆ จากมุมมองของ "ความสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ในชาติ"
ความอดทนทางเชื้อชาติ - ทัศนคติที่เคารพต่อตัวแทนของเผ่าพันธุ์อื่น, การไม่มีอคติ, อคติที่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
ขันติธรรมทางการเมือง - การขยายหลักการของขันติธรรมต่อทัศนคติต่อกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งฝ่ายค้าน พรรคการเมือง และสมาคม ตลอดจน มุมมองของผู้คนซึ่งมีความเห็นต่างทางการเมือง
ขันติธรรมทางศาสนา - การขยายหลักการของขันติธรรมไปสู่ขอบเขตของความสัมพันธ์ระหว่างศาสนา, ระหว่างสารภาพและภายในสารภาพ, เคารพในประเพณีทางศาสนาใด ๆ , การยอมรับสิทธิของศาสนาใด ๆ ที่จะดำรงอยู่, ความเท่าเทียมกันของศาสนาก่อนที่กฎหมาย
ความอดทนต่อเพศ - การขยายหลักการของความอดทนต่อทัศนคติต่อตัวแทนของเพศอื่น, ทัศนคติที่เป็นกลางต่อพวกเขา, การขาดความรู้สึกของความเหนือกว่าของเพศหนึ่งต่ออีกเพศหนึ่ง, ความเท่าเทียมกันในตำแหน่งทางสังคมของผู้หญิงและผู้ชาย การไม่เลือกปฏิบัติทางเพศ
ความอดทนต่ออายุ - การขาดการประเมินคุณภาพและความสามารถของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน กลุ่มอายุทัศนคติที่เป็นกลางต่อ "ข้อบกพร่อง" เบื้องต้นของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับยุคหลัง (การกล่าวหาว่าเยาวชนขาดประสบการณ์ มารยาทไม่ดี หรือไม่สามารถเข้าใจคนหนุ่มสาวในยุคหลัง ความล้าหลังของรุ่นหลัง ฯลฯ) . ความอดทนต่ออายุรูปแบบหนึ่งคือการเคารพผู้อาวุโส
ความอดทนทางร่างกายหรือทางสรีรวิทยาคือทัศนคติที่อดทนต่อผู้ที่มีความพิการแต่กำเนิดหรือที่ได้มาเป็นรายบุคคล
ความอดทนทางภูมิศาสตร์เป็นทัศนคติที่เป็นกลางต่อชาวจังหวัดซึ่งเป็นผืนแผ่นดินหลังทะเล ขาดการเยาะเย้ยเกี่ยวกับการแต่งกาย การพูด ฯลฯ
ความอดทนทางสังคม (ระหว่างชนชั้น) คือทัศนคติที่อดทนต่อการแบ่งชั้นทางสังคมในสังคม ทัศนคติที่อดทนต่อตัวแทนของชนชั้นทางสังคมที่แตกต่างกัน - รวยจนถึงจน และในทางกลับกัน
ความอดทนต่อการศึกษาเป็นทัศนคติที่เคารพของผู้ที่มีระดับการศึกษาต่างกันต่อกัน
การยอมรับรสนิยมทางเพศเป็นทัศนคติที่เป็นกลางและสงบต่อบุคคลที่มีรสนิยมทางเพศที่ไม่ใช่แบบดั้งเดิม
ความอดทนขอบ - ความอดทนต่อผู้คนที่อยู่ในขอบชั้นของสังคม (ขอทาน, นักโทษ, คนจรจัด ฯลฯ )
ความอดทนทุกพันธุ์มีเกณฑ์เดียวกัน การแสดงความอดทนในกรณีนี้รวมถึง:
ความเสมอภาค;
ความเคารพซึ่งกันและกัน
ความเมตตากรุณาและขันติธรรมต่อตัวแทนกลุ่มต่างๆ กลุ่มทั่วไป ความคิดอื่นๆ เป็นต้น
การรักษาและพัฒนาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมและภาษาของชนกลุ่มน้อยของชาติ
โอกาสที่จะปฏิบัติตามประเพณีของพวกเขา
เสรีภาพทางมโนธรรมและศาสนา
ความร่วมมือและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการแก้ปัญหาร่วมกัน
คำศัพท์เชิงบวกมากที่สุด ปัญหาที่ละเอียดอ่อนความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อชาติในความสัมพันธ์ระหว่างเพศ
สาระสำคัญของความอดทนจะเปิดเผยได้ชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านการทำความเข้าใจอาการของสิ่งที่ตรงกันข้าม - การแพ้ ซึ่งแตกต่างจากคำว่า ความอดทน ซึ่งมีเนื้อหากว้างกว่าแนวคิดของ "ความอดทน" โดยปกติแล้วจะไม่มีการคัดค้านการแปลคำว่า "ความไม่อดทน" เป็น "ความไม่อดทน" ในวรรณกรรม ความใจแคบเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม ขั้วตรงข้ามของความอดทน ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อของบุคคลหรือกลุ่มสังคม ชุมชน ที่ว่าระบบความเชื่อของเขาเท่านั้นที่เป็นความจริง วิถีชีวิต (ของเขา) เท่านั้นที่ถูกต้องและเป็นไปได้ ว่ากลุ่มที่เขา (พวกเขา) เป็นสมาชิกนั้นสูงกว่ากลุ่มอื่น ๆ ทั้งหมด โดยพื้นฐานแล้ว นี่คือการปฏิเสธผู้อื่น (ผู้อื่น) ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว: เขาดู คิด ทำแตกต่าง เขาใช้ชีวิตแตกต่างออกไป การไม่ยอมรับเป็นแบบอนุรักษ์นิยมอย่างยิ่ง มันพยายามที่จะระงับทุกสิ่งที่เกินขอบเขตปกติที่กำหนดไว้ในสังคมนี้ ช่วงของมันกว้างมากและรวมถึงทัศนคติที่ไม่ใส่ใจต่อผู้อื่นและความอัปยศอดสูของคนที่มีสีผิวแตกต่างกันโดยเจตนา ฯลฯ น่าเสียดายที่ไม่ใช่ทุกคนที่ตระหนักว่าพวกเขาสามารถนำมาประกอบกับบุคลิกภาพที่ไม่อดทน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงควรระบุเกณฑ์ทั่วไปของการแพ้ (การแพ้) การแสดงออกของการแพ้รวมถึงลักษณะดังต่อไปนี้:
ดูถูก (ในภาษา) - ภาษาที่ดูถูกซึ่งลดคุณค่า ทำลายวัฒนธรรม สังคม ชาติ การสารภาพผิด ฯลฯ การปฏิเสธสิทธิของกลุ่มเหล่านี้ในการใช้ภาษาของตนเอง
การคว่ำบาตร (การคว่ำบาตร) - ไม่สนใจการมีอยู่หรือการมีอยู่ของผู้อื่น
แบบแผนและอคติ - ความคิดเห็นที่มีอคติ มักจะเป็นเชิงลบเกี่ยวกับวัฒนธรรมอื่น ชาติ ปัจเจกบุคคลตามลักษณะเชิงลบ
ethnocentrism - การประเมินปรากฏการณ์ชีวิตผ่านปริซึมของค่านิยมและประเพณีของกลุ่มตนว่าดีที่สุดเป็นมาตรฐานเมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งอื่นทั้งหมด
โรคกลัวชาวต่างชาติ - ความกลัวและการปฏิเสธชาวต่างชาติและตัวแทนของกลุ่มอื่น ๆ รวมถึงความเชื่อมั่นว่า "ชาวต่างชาติ" "คนอื่น" คุกคาม "ของเรา"
มองหาศัตรูหรือแพะรับบาปเช่น โอนความผิดสำหรับปัญหาของคุณไปยังผู้อื่นที่แตกต่างจากคุณ
การประหัตประหาร - การกระทำที่มุ่งข่มขู่คุกคามผู้อื่นเนรเทศห้าม กิจกรรมแรงงานศึกษาในภาษาของพวกเขา วัฒนธรรมของพวกเขา ศาสนาของพวกเขา
การข่มขู่ - การใช้ความเหนือกว่าทางร่างกาย ศีลธรรม หรือตัวเลขเพื่อทำให้ผู้อื่นอับอาย กีดกันพวกเขาจากคุณค่าทางวัตถุ ตำแหน่งในสังคม ฯลฯ
การเนรเทศ - การห้ามหรือลิดรอนสิทธิในการเยี่ยมชมสถานที่สาธารณะใด ๆ
การเหยียดเชื้อชาติคือการเลือกปฏิบัติต่อผู้คนตามเชื้อชาติ
การปราบปราม ลัทธิฟาสซิสต์ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
ชาตินิยม, ชาตินิยมเชิงรุก - ความเชื่อมั่นในความเหนือกว่าของชาติหนึ่งเหนืออีกชาติหนึ่งและสิทธิในการกำจัดพวกเขา
ลัทธิเผด็จการ - ระบอบการเมือง, คุณลักษณะเฉพาะคือการขาดเสรีภาพของพลเมือง, การควบคุมทั้งหมดในชีวิตสาธารณะและชีวิตส่วนตัว, การปราบปรามความขัดแย้งใด ๆ , การลงโทษอย่างรุนแรงต่อผู้คัดค้านทางการเมืองและศาสนา (ผู้คัดค้านและผู้ศรัทธา)
การเอารัดเอาเปรียบ (การใช้เวลาหรือแรงงานของผู้อื่นโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม)
การกีดกันทางเพศเป็นอุดมการณ์ การเมือง พฤติกรรมทางสังคมที่มีเป้าหมายในการเหยียดเพศ รวมถึงการกีดกันผู้หญิงออกจากชีวิตที่สมบูรณ์ของสังคมบนพื้นฐานของตำนานเรื่องขั้วอำนาจของผู้ชายที่เหนือกว่าผู้หญิง ในโลกสมัยใหม่ พฤติกรรมเหยียดเพศและผู้หญิงที่มีความสัมพันธ์กับผู้ชายเป็นไปได้ (7).
การไม่ยอมรับคือสาเหตุของผลที่ตามมาที่ยากและมืดมนที่สุด รวมถึงความขัดแย้งนองเลือด สงคราม ระบอบการเมืองเผด็จการ เช่น ไรช์ที่สามในเยอรมนี และเผด็จการของ CPSU ในสหภาพโซเวียตในศตวรรษที่แล้ว สงครามศาสนาในยุโรปยุคปัจจุบัน การแบ่งแยกสีผิว ในแอฟริกาใต้ (รูปแบบเปิดของการเหยียดผิวตามลักษณะทางเชื้อชาติ) การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (การทำลายล้างคนบางกลุ่มตามชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ศาสนา เช่น การทำลายล้างชาวยิปซีและชาวยิวในนาซีเยอรมนีในศตวรรษที่ผ่านมา) เป็นต้น หัวใจของการแสดงออกของการแพ้สงครามเหล่านี้คืออุดมการณ์ต่อต้านมนุษย์และเกลียดชังมนุษย์บนพื้นฐานของการปฏิเสธการปฏิเสธความคิดเรื่องคุณค่าในตนเองของมนุษย์ ความก้าวร้าวมักนำไปสู่พฤติกรรมที่ไม่อดทน นักจิตวิทยาถึงกับใส่เครื่องหมายที่เท่าเทียมกันระหว่างความใจแคบและความก้าวร้าว
ความก้าวร้าวตามที่พจนานุกรมกำหนดไว้เป็นพฤติกรรมการทำลายล้างที่มีแรงจูงใจของบุคคลซึ่งขัดแย้งกับบรรทัดฐานและกฎของพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมและทำให้เกิดความเสียหายทางร่างกายและศีลธรรม E. Fromm แยกความก้าวร้าวออกเป็นสองประเภท: "ใจดี" และ "ร้ายกาจ" ครั้งแรกเกิดขึ้นในช่วงเวลาของอันตรายดังนั้นจึงมีลักษณะการป้องกันและป้องกัน ความก้าวร้าว "ร้ายกาจ" เกิดขึ้นเองโดยไม่มีเหตุผลเนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับลักษณะภายในของบุคคล
แน่นอนว่าไม่ใช่การแพ้ทุกประเภทที่นำไปสู่ความขัดแย้งนองเลือดในสังคมและการปะทะกัน การบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในส่วนของประชากรพลเรือน การไม่ยอมรับทางเชื้อชาติ เชื้อชาติ การเมือง ศาสนา ก่อให้เกิดอันตรายต่อมนุษยชาติ ประการแรก ในเรื่องนี้ เราสามารถนึกถึงวิกฤตบอลข่านและเหยื่อจำนวนมากที่เกี่ยวข้องได้ เราสามารถระลึกถึงผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการกดขี่ของสตาลินในสหภาพโซเวียตหลายล้านคนในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การจดจำความหายนะซึ่งเป็นโศกนาฏกรรมระดับชาติของชาวยิวในศตวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าเราสามารถปฏิบัติต่อความใจแคบในรูปแบบอื่นๆ ได้ด้วยการผ่อนปรน น่าเสียดายที่หลายคนแสดงความเข้าใจผิดและแม้กระทั่งความโหดร้ายต่อผู้ที่มีความบกพร่องทางร่างกาย ต่อผู้ที่เป็น "แกะดำ" ในทีม ต่อผู้ที่มีรสนิยมทางเพศในรูปแบบที่ผิดประเพณี ซึ่งทำให้สังคมของเราก้าวร้าว ไม่สบายใจสำหรับสมาชิกทุกคน
น่าเสียดายที่ในสังคมของเรามีการเพิ่มขึ้นของความก้าวร้าวทางสังคม โรคกลัวชาวต่างชาติ และการแสดงออกอื่นๆ ของการไม่ยอมรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนหนุ่มสาว วันนี้เกือบทุกคนกำลังพูดถึงว่าทำไมในหมู่คนหนุ่มสาวจึงไม่มีวัฒนธรรมแห่งความอดทน แต่เป็นวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง? อะไรคือสาเหตุของกระบวนการเชิงลบเหล่านี้ในประเทศของเรา? พวกเขามีตัวละครอะไร?
สาเหตุหลักของการเกิดขึ้นและการกระตุ้นการแพ้อย่างรุนแรงมีดังนี้:
การเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วในสถานการณ์ทางการเงินของส่วนสำคัญ ประชากรของรัสเซีย, การคุ้มครองทางสังคมและกฎหมายของประชาชนในระดับต่ำ;
ความแตกแยกทางอุดมการณ์และการเมือง สุญญากาศทางจิตวิญญาณ
การปรากฏตัวของปัญหาระหว่างชาติพันธุ์และระหว่างศาสนาที่ไม่ได้รับการแก้ไข
การลดลงของระดับจิตวิญญาณและศีลธรรมของประชากร
การศึกษาทางกฎหมายและการเมืองของประชาชนไม่เพียงพอ
เงื่อนไขข้างต้นทั้งหมดสำหรับการเกิดขึ้นของการแพ้เป็นปัจจัยที่มีวัตถุประสงค์ แต่เราต้องไม่ลืมเกี่ยวกับการมีอยู่ของปัจจัยอัตนัยของการแพ้ที่เพิ่มขึ้นในสังคม เป็นที่ทราบกันดีว่าแนวโน้มการพัฒนาสังคมดังกล่าวข้างต้นสะท้อนอยู่ในจิตใจของผู้คน เมื่อชีวิตปกติพังทลายลง การมองโลกในแง่ร้าย การรับรู้โลกอย่างไร้เหตุผล ความกลัว ความวิตกกังวล ฯลฯ เริ่มครอบงำจิตใจของผู้คน คนพยายามที่จะเข้าใจสาเหตุของความวิตกกังวลสถานการณ์ของเขาเอง หากบุคคลดังกล่าวอยู่ในสถานการณ์ที่ขาดข้อมูลอย่างมาก ก็เป็นไปได้มากที่เขาจะคิดตามหลักการของการระบุแหล่งที่มาแบบกำหนดค่า โดยระบุสาเหตุของปรากฏการณ์เชิงลบโดยเฉพาะกับการกระทำของผู้นำทางการเมืองและกองกำลังทางการเมือง สังคม "ไม่ดี" ที่เป็นอันตรายหรือ กลุ่มชาติพันธุ์(8). ด้วยเหตุนี้จึงมีการใช้ต้นแบบในตำนานเช่น "เพื่อนหรือศัตรู", "เราหรือพวกเขา" ซึ่งผลักดันให้บุคคลที่มีแนวโน้มจะปั้นแต่งโลกรอบตัวเขาให้ค้นหา "แพะรับบาป" ซึ่งส่วนใหญ่มักเล่นโดยคนที่เป็นเจ้าของ กับกลุ่มชาติพันธุ์อื่น พูดภาษาอื่น นับถือศาสนาอื่น อุดมการณ์ของการไม่ยอมรับในบางคนจึงทำหน้าที่เป็นช่องทางของอารมณ์เชิงลบ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะต้องมีส่วนร่วมไม่เพียงแต่ในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจเท่านั้น โดยเชื่อว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพและความปรองดองในสังคมโดยอัตโนมัติ แต่ยังส่งเสริมบรรยากาศแห่งขันติธรรมด้วย
ควรคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่อการพัฒนาความใจแคบและความก้าวร้าวในคนหนุ่มสาวด้วย ในเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การระลึกถึงความรุนแรงเสมือนจริงที่จำลองมาจากอินเทอร์เน็ตและมีลักษณะเป็นพฤติกรรมที่ก้าวร้าวและรุนแรงมากขึ้นทุกปี นอกจากนี้เราไม่ควรลืมเกี่ยวกับภาพยนตร์ที่คนหนุ่มสาวดู และพวกเขาก็ดูหนังดังเช่น Brother, Brother 2, Harry Potter, Lord of the Rings เป็นต้น และใครคือตัวละครหลักของภาพยนตร์เรื่อง "บราเดอร์" เขาเป็นคนแบบไหน? นี่เป็นความสงบ ปรัชญา และในทางใดทางหนึ่งก็เป็นนักฆ่าที่ดีมากๆ แต่ในรัสเซีย นักฆ่า และฆาตกรผู้นี้โดยเฉพาะซึ่งการปลิดชีวิตคนเป็นอาชีพที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด กลายเป็น "วีรบุรุษในยุคของเรา" ในหมู่คนหนุ่มสาวบางคน เราไม่ควรมองหาผู้กระทำผิดในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ควรให้ความสนใจกับบทบาทของภาพยนตร์และโทรทัศน์ในการปลูกฝังวัฒนธรรมของการไม่ใช้ความรุนแรงและความอดทนอดกลั้น ความจำเป็นเร่งด่วนของช่วงชีวิตปัจจุบันของเราคือการต่อต้านความรุนแรงเสมือนที่จำลองขึ้นโดยอินเทอร์เน็ตและมีลักษณะก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้นทุกปี เทคโนโลยีสารสนเทศเชิงอุดมคติดังกล่าวจะให้ความรู้แก่เยาวชนใน วัฒนธรรมแห่งขันติธรรม ขันติธรรม เคารพผู้อื่น
สำหรับกระบวนการที่ประสบความสำเร็จในการให้ความรู้แก่คนหนุ่มสาวในจิตวิญญาณของความอดทนอดกลั้นและการต่อต้านการแพ้นั้น จำเป็นต้องคำนึงถึงลักษณะหลายตัวแปรของสิ่งหลัง การแพ้ประเภทหนึ่งคือการแพ้แบบแอบแฝง ในกรณีนี้ ผู้กระทำทางสังคมตระหนักถึงความบกพร่องทางศีลธรรมของการประกาศความคิดเรื่องความไม่อดทนหรือการกระทำที่ไม่อดทน แต่เนื่องจากทัศนคติและมุมมองของตนเองจึงเป็นปฏิปักษ์ต่อตัวแทนของวัฒนธรรม ชนชาติ ศาสนาที่แตกต่างกัน และอาจ แม้แต่จิตใจก็อนุญาตให้มีการกระทำที่ก้าวร้าวต่อพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันทัศนคติของเขาก็ไม่เปิดเผยต่อสาธารณะและเป็นเรื่องส่วนตัว การแพ้อีกประเภทหนึ่งคือการแพ้ทางวาจา ในกรณีนี้ ผู้ทดลองไม่เพียงแต่ยอมรับความเป็นไปได้เท่านั้น แต่ในบางกรณียังพิจารณาถึงความจำเป็นในการแสดงจุดยืนเชิงลบเกี่ยวกับตัวแทนของกลุ่มชาติพันธุ์ศาสนาอื่น ๆ แม้ว่าเขาจะไม่คิดว่ามันเป็นไปได้ที่จะตระหนักถึงมันในรูปแบบของ ง. การกระทำใดๆ ในที่สาธารณะ - ความรุนแรง ความก้าวร้าว ฯลฯ การแพ้ประเภทที่สามคือการแพ้ทางพฤติกรรมที่ก้าวร้าว ในกรณีนี้ หัวข้อของการกระทำทางสังคมถือว่ามีเหตุผลทางศีลธรรมในการกระทำที่มุ่งไปที่การห้าม การจำกัด แบบฟอร์มต่างๆชีวิตและแม้กระทั่งความรุนแรงต่อเรื่องอื่น เพื่อพิสูจน์การกระทำดังกล่าว ผู้กระทำอ้างถึงความจำเป็นในการฟื้นฟูความยุติธรรมทางสังคม ความจริง ฯลฯ ที่ถูกเหยียบย่ำ ในกรณีที่รัฐ (โดยปกติคือระบอบการปกครองแบบเผด็จการที่ไม่เป็นประชาธิปไตย) ทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดนโยบายที่ไม่อดทน เมื่อนั้นความใจแคบจะกลายเป็นแกนหลักของอุดมการณ์ของรัฐ (9)
สิ่งสำคัญสำหรับการวิเคราะห์สาระสำคัญของขันติธรรมก็คือความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับขอบเขต ขอบเขตของขันติ เพราะขันติธรรมไม่ใช่คำพ้องความหมายของการอนุญาตและการให้อภัย ดังนั้น ความอดทนมีขีดจำกัด หรือความอดทนควรไร้ขีดจำกัด? ในทุกกรณีและทุกครั้ง คนๆ หนึ่งไม่เพียงแต่ต้องอดทนเท่านั้น แต่ยังรับรู้ถึงสิทธิในการดำรงอยู่ของอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นคนต่างด้าวสำหรับเขาด้วยหรือไม่? ในวรรณกรรมที่กล่าวถึงปัญหาของความอดทน มักอ้างถึงสิ่งที่เรียกว่า "ความขัดแย้งของความอดทน": "ความอดทนที่ไม่จำกัดควรนำไปสู่การหายไปของความอดทน ถ้าใครอดทนต่อคนใจแคบอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและไม่พร้อมที่จะปกป้องสังคมที่ใจกว้างจากคนใจกว้าง เมื่อนั้นคนใจกว้างก็จะถูกบดขยี้” นักปรัชญาชาวตะวันตกที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 20 ยังได้นิยามขีดจำกัดของความอดทนไว้ใน "หลักการแห่งความอดทน" อันโด่งดังของเขาด้วย K.ป๊อปเปอร์. เขากำหนดหลักการของความอดทนไว้ดังนี้: "ความอดทนสำหรับทุกคนที่มีความอดทนและไม่หล่อหลอมความใจแคบ" ตามคำพูดของนักปรัชญาว่าเราต้องเคารพทางเลือก ศีลธรรม การเมือง ฯลฯ หากทางเลือกนี้ไม่ขัดแย้งกับหลักการแห่งขันติธรรม Popper ไม่เชื่อว่าคำพูดของเขาส่อให้เห็นถึงการบังคับห้ามแนวโน้มที่ไม่อดทนทั้งหมด แต่เขาเชื่อว่าควรให้ความเป็นไปได้ดังกล่าวด้วย "เรา" นักปรัชญายังคงพัฒนาความคิดของเขาต่อไป "ควรประกาศสิทธิ์ในการปราบปรามพวกเขาหากจำเป็นแม้จะใช้กำลัง: ท้ายที่สุดอาจกลายเป็นว่าพวกเขาไม่พร้อมที่จะสื่อสารกับเราในระดับของการโต้เถียง และเหตุผลและจะเริ่มต้นด้วยการปฏิเสธข้อโต้แย้งทั้งหมด ... ดังนั้น ในนามของความอดทน สิทธิที่จะไม่อดทนต่อผู้ไม่อดทนควรได้รับการประกาศ เราต้องออกกฎหมายให้ขบวนการที่ไม่อดทนทั้งหมด และยุยงให้เกิดความไม่อดทนและประหัตประหาร เช่นเดียวกับการยุยงให้ฆ่า ลักพาตัวเด็ก หรือรื้อฟื้นการค้าทาส” (9) จากคำพูดเหล่านี้ของนักปรัชญาชาวอเมริกันผู้มีชื่อเสียง ขอบเขตของความอดทน (ขันติธรรม) ในสังคมที่ดำรงอยู่ได้นั้นมีอยู่จริง และถูกกำหนดโดยความจำเป็นในการรักษาความสมบูรณ์ของระบบ รักษาเสถียรภาพ และสร้างระบบสังคมขึ้นมาใหม่
นักปรัชญารัสเซียยึดมั่นในจุดยืนที่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นนักปรัชญาชาวรัสเซียผู้โด่งดังในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 - ต้นศตวรรษที่ 20 N. Berdyaev ในบทความของเขาเรื่อง "The Spirits of the Russian Revolution" กล่าวหา L. Tolstoy นักเขียนชาวรัสเซียที่มีชื่อเสียงไม่น้อยว่าได้ทำลายปัญญาชนชาวรัสเซียด้วยการสอนเรื่องการไม่ต่อต้านความชั่วร้ายด้วยความรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เธอไม่สามารถรักษาและ ปกป้องคุณค่าของเธอในชีวิต
เป็นการยากที่จะไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของนักปรัชญาทั้งสองนี้ ความอดทนไม่ได้หมายถึงการยอมหรือปล่อยตัวต่อตำแหน่งทางการเมืองทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น (หลังจากนั้น ลัทธิฟาสซิสต์ก็เป็นตำแหน่งทางการเมืองด้วย) ระบบอุดมการณ์ (และที่นี่ลัทธิฟาสซิสต์ทำหน้าที่เป็นหนึ่งในระบบดังกล่าว) ขันติธรรมไม่ใช่การเฉยเมย ไม่แยแสต่อความคิด มุมมอง และการกระทำทั้งหมด ในชีวิตมีหลายกรณีที่เป็นการต่อสู้กับอีกฝ่าย มนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาว ตัวทำลายล้าง ซึ่งจะเป็นศีลธรรม ไม่มีการตกลงระหว่างความจริงกับความเท็จ ความดีและความชั่ว
