ชีวประวัติของ Massenet จูลส์ แมสเซเน็ต

Jules Massenet เกิดที่เมือง Manteau ซึ่งปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Saint-Étienne ประเทศฝรั่งเศส เมื่ออายุหกขวบ ครอบครัวของเขาย้ายไปปารีส พ่อของเขาถูกบังคับให้เข้ารับการรักษาโรคหัวใจ แอดิเลดแม่ของ Massenet เริ่มสอนเปียโน นอกจากนักเรียนคนอื่น ๆ แล้วเธอยังสอนลูกชายด้วยซึ่งเขาสามารถสอบผ่านและไปเรียนที่ Paris Conservatory เมื่อครอบครัวย้ายไปที่ Chambery จูลส์ตัดสินใจกลับไปปารีสโดยตั้งรกรากกับญาติของภรรยาคนแรกของพ่อ เขาเล่นในวงออเคสตราของ Lyric Theatre บนทิมปานีและอื่น ๆ เครื่องกระทบในขณะที่หาเลี้ยงชีพ เขายังทำงานเป็นนักเปียโนที่Café de Belleville

ที่เรือนกระจก ครูในตอนแรกไม่ได้สัญญาว่า Massenet จะประสบความสำเร็จ อาชีพทางดนตรี. แต่ในปี 1862 เขาได้รับรางวัล Prix de Rome สำหรับ Cantata David Rizzio และความคิดเห็นของพวกเขาก็เปลี่ยนไป หลังจากเหตุการณ์นี้ Jules ออกไปฝึกงานที่กรุงโรม ซึ่งเขาได้พบกับ F. Liszt ซึ่งเขาเริ่มสอนเปียโนให้กับลูกสาวของ Madame de Saint-Méry ตามคำขอของเขา สามปีต่อมาในปี พ.ศ. 2409 นักเรียนของเขากลายเป็นภรรยาของเขา ด้วยการแต่งงานครั้งนี้ผลงานของ Massenet จึงเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมในหมู่ตัวแทนของสังคมชั้นสูง ในปี พ.ศ. 2410 เขาเขียนบทละครเรื่องแรกเรื่อง The Great Aunt

ตามมาด้วย Mary Magdalene นักพูดที่น่าทึ่งในปี 1873 ซึ่งได้รับการชื่นชมอย่างสูงจาก Tchaikovsky, Vincent d "Andy และ Charles Gounod ในบรรดาอาจารย์ของ Massenet ได้แก่ Ambroise Thomas นักแต่งเพลงที่มีสายสัมพันธ์ในโลกของโรงละคร ขอบคุณเขาเช่นเดียวกับผู้จัดพิมพ์ Georges Gatman ซึ่งอยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชนและทำให้งานของ Massenet เป็นที่นิยมในสื่อมวลชน Jules ได้รับชื่อเสียงและการยอมรับ

Jules Massenet เข้าร่วมในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในปี พ.ศ. 2413-2414 ซึ่งเขาได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ Legion of Honor ในปี พ.ศ. 2419 ในปี 1878 เขาทำงานเป็นศาสตราจารย์ที่ Paris Conservatoire (ในหมู่นักเรียนของเขาคือ G. Charpentier, D. Enescu, E. Chausson, S. Koechlin, R. Gunn และคนอื่นๆ) ในปีนี้เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของ Academy ศิลปกรรม. Massenet จึงกลายเป็นนักวิชาการที่อายุน้อยที่สุด (อายุ 36 ปี) ที่เคยได้รับเลือกให้เข้าเรียนในสถาบัน

โอเปร่าที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของนักแต่งเพลง ได้แก่ Manon 1884, Werther 1892, Thais 1894, The Juggler of Our Lady 1902, Don Quixote 1910 ซึ่งประพันธ์ขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ Fyodor Chaliapin นอกจากโอเปร่าแล้ว Massenet ยังมีดนตรีบัลเลต์ ห้องคอนเสิร์ต แคนทาทาและออราทอรีโอ เพลงโรแมนติกและเพลงมากกว่าสองร้อยเพลง ชิ้นส่วนเครื่องดนตรีบางชิ้นของเขาได้รับความนิยมอย่างอิสระ และยังคงแสดงโดยนักแสดงแต่ละคนหรือวงออเคสตราทั้งหมด: การเต้นรำอารากอนสำหรับวงออเคสตราจากโอเปร่า Sid การทำสมาธิสำหรับไวโอลินและวงออเคสตราจากโอเปร่าไทย ความไพเราะของเชลโลและวงออเคสตราจากดนตรี สำหรับละครเรื่อง "อีนี่"

Massenet ทำงานเป็นนักแต่งเพลงมืออาชีพ แต่งเพลงตั้งแต่ตี 4 สิ่งนี้ทำให้เขามีโอกาสพัฒนาชิ้นส่วนของโอเปร่าทางจิตใจ "ในใจ" ไม่ใช่เปียโน ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้เรียบเรียงที่ยอดเยี่ยมในการแต่งเพลงของเขาเอง

Jules Massenet เสียชีวิตในปารีสเนื่องจากโรคมะเร็งเมื่ออายุได้ 70 ปี

M. Massenet ไม่เคยแสดงให้เห็นเช่นเดียวกับใน "Werther" ถึงคุณสมบัติอันน่าหลงใหลของพรสวรรค์ที่ทำให้เขากลายเป็นนักประวัติศาสตร์ดนตรีแห่งจิตวิญญาณของผู้หญิง
ค. ดีบัสซี่

โอ้อย่างไร ป่วยแมสเซเนท!!! และที่น่ารำคาญที่สุดคือในเรื่องนี้ คลื่นไส้ฉันรู้สึกบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับฉัน
พี. ไชคอฟสกี

Debussy ทำให้ฉันประหลาดใจด้วยการปกป้องขนมนี้ (Manon จาก Massenet)
I. สตราวินสกี

นักดนตรีชาวฝรั่งเศสทุกคนมี Massenet อยู่ในใจ เช่นเดียวกับชาวอิตาลีทุกคนมี Verdi และ Puccini อยู่บ้าง
เอฟ. ปูเลนซ์

ความเห็นต่างโคตร! พวกเขาไม่เพียงมีการต่อสู้ของรสนิยมและแรงบันดาลใจเท่านั้น แต่ยังมีความคลุมเครือในงานของ J. Massenet อีกด้วย ข้อได้เปรียบหลักของดนตรีของเขาคือท่วงทำนองซึ่งตามที่นักแต่งเพลง A. Bruno กล่าวว่า "คุณจะจำได้ในหมู่คนนับพัน" ส่วนใหญ่มักจะเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับคำ ดังนั้นจึงมีความยืดหยุ่นและการแสดงออกที่ไม่ธรรมดา เส้นแบ่งระหว่างท่วงทำนองและบทบรรยายแทบจะมองไม่เห็น ดังนั้นฉากโอเปร่าของ Massenet จึงไม่ถูกแบ่งออกเป็นจำนวนปิดและตอน "บริการ" ที่เชื่อมโยงพวกเขา เช่นเดียวกับกรณีของบรรพบุรุษของเขา - Ch. Gounod, A. Thomas, F. Halevi ความต้องการ ผ่านการกระทำความสมจริงทางดนตรีเป็นข้อกำหนดที่แท้จริงของยุคนั้น แมสเซเนต์รวมเอาสิ่งเหล่านี้ไว้ในแบบฝรั่งเศส ในหลาย ๆ ด้านเป็นการรื้อฟื้นประเพณีที่ย้อนไปถึงเจ. บี. ลัลลี่ อย่างไรก็ตาม การบรรยายของ Massenet ไม่ได้ขึ้นอยู่กับบทบรรยายที่เคร่งขรึมและโอ้อวดเล็กน้อยของนักแสดงที่น่าเศร้า แต่เป็นคำพูดในชีวิตประจำวันที่ไร้เหตุผล คนทั่วไป. นี่คือจุดแข็งหลักและความคิดริเริ่มของเนื้อเพลงของ Massenet ซึ่งเป็นสาเหตุของความล้มเหลวของเขาเมื่อเขาหันไปหาโศกนาฏกรรมประเภทคลาสสิก ("Sid" ตาม P. Corneille) นักแต่งเพลงโดยกำเนิดนักร้องที่มีการเคลื่อนไหวที่ใกล้ชิดของจิตวิญญาณผู้รู้วิธีให้บทกวีพิเศษ ภาพผู้หญิงเขามักจะใช้แผนการที่น่าเศร้าและโอ่อ่าของโอเปร่า "ใหญ่" โรงละครของ Opera Comique นั้นไม่เพียงพอสำหรับเขา เขายังต้องขึ้นครองราชย์ใน Grand Opera ซึ่งเขาใช้ความพยายามของ Meyerbeerian เกือบทั้งหมด ดังนั้นในคอนเสิร์ตจากเพลงของนักแต่งเพลงหลายคน Massenet แอบจากเพื่อนร่วมงานของเขาเพิ่มแตรวงขนาดใหญ่ให้กับเพลงของเขาและทำให้ผู้ชมหูหนวกกลายเป็นฮีโร่ของวันนี้ Massenet คาดการณ์ถึงความสำเร็จบางอย่างของ C. Debussy และ M. Ravel (สไตล์การเล่าในโอเปร่า การเน้นเสียงคอร์ด การปรับสไตล์ของดนตรีฝรั่งเศสยุคแรก) แต่การทำงานควบคู่กันไปนั้นยังคงอยู่ในสุนทรียภาพแห่งศตวรรษที่ 19

อาชีพนักดนตรีของ Massenet เริ่มต้นด้วยการเข้าเรียนในเรือนกระจกเมื่ออายุสิบขวบ ในไม่ช้าครอบครัวก็ย้ายไปที่ Chambéry แต่ Jules ไม่สามารถทำอะไรได้หากไม่มีปารีสและหนีออกจากบ้านถึงสองครั้ง ความพยายามครั้งที่สองเท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ แต่เด็กชายอายุสิบสี่ปีรู้ชีวิตที่ไม่สงบของศิลปะโบฮีเมียนที่อธิบายไว้ในฉาก ... โดย A. Murger (ซึ่งเขารู้จักเป็นการส่วนตัวเช่นเดียวกับต้นแบบของ Shonard และ Musetta) . หลังจากเอาชนะความยากจนมานานหลายปีอันเป็นผลมาจากการทำงานหนัก Massenet ได้รับรางวัล Great Rome Prize ซึ่งทำให้เขามีสิทธิ์เดินทางไปอิตาลีเป็นเวลาสี่ปี จากต่างประเทศ เขากลับมาในปี พ.ศ. 2409 พร้อมเงินสองฟรังก์ในกระเป๋าของเขาและนักเรียนเปียโนคนหนึ่งซึ่งกลายมาเป็นภรรยาของเขา ชีวประวัติเพิ่มเติม Massenet เป็นห่วงโซ่แห่งความสำเร็จที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 1867 โอเปร่าเรื่องแรกของเขาเรื่อง The Great Aunt ถูกจัดแสดง หนึ่งปีต่อมาเขาได้ผู้จัดพิมพ์ถาวร ห้องชุดออเคสตร้า. จากนั้น Massenet ก็สร้างผลงานที่เป็นผู้ใหญ่และมีความสำคัญมากขึ้น: โอเปร่า Don Cesar de Bazan (1872), The King of Lahore (1877), Mary Magdalene oratorio (1873), music for the Erinyes โดย C. Leconte de Lily (พ.ศ. 2416) ด้วยเพลง "Elegy" อันโด่งดัง ซึ่งเป็นทำนองซึ่งปรากฏในช่วงต้นปี พ.ศ. 2409 โดยเป็นหนึ่งในสิบชิ้นเปียโน - ผลงานตีพิมพ์ครั้งแรกของ Massenet ในปี 1878 Massenet ได้เป็นศาสตราจารย์ที่ Paris Conservatory และได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ Institute of France เขาอยู่ในศูนย์กลางของความสนใจของสาธารณชน เป็นที่รักของสาธารณชน เป็นที่รู้จักในเรื่องความสุภาพและไหวพริบอันเป็นนิรันดร์ จุดสูงสุดของงานของ Massenet คือโอเปร่า Manon (1883) และ Werther (1886) และจนถึงทุกวันนี้พวกเขาได้แสดงบนเวทีของโรงละครหลายแห่งในโลก จนกระทั่งบั้นปลายชีวิต นักแต่งเพลงไม่ได้ชะลอกิจกรรมสร้างสรรค์ของเขา: โดยไม่ได้พักผ่อนให้กับตัวเองหรือผู้ฟัง เขาเขียนโอเปร่าครั้งแล้วครั้งเล่า ทักษะเติบโตขึ้น แต่เวลาเปลี่ยนไป และสไตล์ของเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ของขวัญที่สร้างสรรค์ลดลงอย่างเห็นได้ชัดโดยเฉพาะในทศวรรษที่ผ่านมา แม้ว่า Massenet ยังคงได้รับความเคารพ ให้เกียรติ และพรทางโลกทั้งหมด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โอเปร่าเรื่อง "Thais" (พ.ศ. 2437) กับ "Meditation", "The Juggler of Our Lady" (พ.ศ. 2445) และ "Don Quixote" (พ.ศ. 2453 หลังจาก J. Lorrain) สร้างขึ้นโดยเฉพาะสำหรับ F. Chaliapin ถูกเขียนขึ้น

Massenet เป็นคนตื้นเขินซึ่งถือว่าเป็นศัตรูถาวรและคู่แข่งของเขา K. Saint-Saens "แต่มันก็ไม่สำคัญ" “... ศิลปะต้องการศิลปินทุกประเภท ... เขามีเสน่ห์ มีความสามารถในการสร้างเสน่ห์ และมีอารมณ์ประหม่า แม้ว่าจะมีอารมณ์ตื้นๆ ... ตามทฤษฎีแล้ว ฉันไม่ชอบดนตรีแนวนี้ ... แต่คุณจะ ต่อต้านเมื่อคุณได้ยิน Manon ที่เท้าของคุณ de Grieux ในพิธีศักดิ์สิทธิ์ของ Saint-Sulpice? จะไม่ให้จมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของจิตวิญญาณโดยเสียงสะอื้นแห่งความรักเหล่านี้ได้อย่างไร? คิดวิเคราะห์ยังไงว่าโดนใจ?

อีเสื้อ

ลูกชายของเจ้าของเหมืองเหล็ก Massenet ได้รับคนแรก เรียนดนตรีที่แม่ ที่ Paris Conservatoire เขาศึกษากับ Savard, Lauren, Bazin, Reber และ Thomas ในปี 1863 เขาได้รับรางวัล Rome Prize หลังจากอุทิศตนให้กับแนวเพลงต่าง ๆ เขายังทำงานอย่างขยันขันแข็งในด้านการแสดงละครอีกด้วย ในปี พ.ศ. 2421 หลังจากความสำเร็จของ The King of Lahore เขาได้รับแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์ด้านการประพันธ์เพลงที่เรือนกระจก ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขาดำรงตำแหน่งจนถึงปี พ.ศ. 2439 เมื่อได้รับชื่อเสียงระดับโลก เขาได้ออกจากตำแหน่งทั้งหมด รวมทั้งผู้อำนวยการ Institut de France

“ Massenet ตระหนักดีถึงตัวเองและคนที่อยากจะทิ่มแทงเขาแอบพูดถึงเขาในฐานะลูกศิษย์ของ Paul Delmay นักแต่งเพลงชื่อดังเริ่มตลกด้วยรสนิยมที่ไม่ดี ในทางกลับกัน Massenet ถูกเลียนแบบมากมาย จริงอยู่... เสียงประสานของเขาเหมือนการกอด และท่วงทำนองของเขาเหมือนคอโค้ง... ในการแสดงของเขา... ฉันขอสารภาพว่า ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมการเอาใจหญิงชรา คนรักของแว็กเนอร์ และผู้หญิงที่เป็นสากล ดีกว่าหญิงสาวที่มีกลิ่นหอมที่เล่นเปียโนไม่เก่ง การยืนยันโดย Debussy เหล่านี้เป็นการบ่งชี้ที่ดีถึงงานของ Massenet และความสำคัญต่อวัฒนธรรมฝรั่งเศส

เมื่อ Manon ถูกสร้างขึ้น คีตกวีคนอื่นๆ ได้กำหนดลักษณะของอุปรากรฝรั่งเศสไว้แล้วตลอดศตวรรษนี้ พิจารณา Faust ของ Gounod (1859), Les Troyens ที่ยังไม่เสร็จของ Berlioz (1863), The African Woman ของ Meyerbeer (1865), Thomas 'Mignon (1866), Bizet's Carmen (1875), Saint-Saens' Samson and Delilah (1877), "The Tales ของ Hoffmann" โดย Offenbach (1881), "Lakme" โดย Delibes (1883) นอกจากการผลิตโอเปร่าแล้ว ผลงานที่สำคัญที่สุดของ César Franck ซึ่งเขียนขึ้นระหว่างปี 1880 และ 1886 ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการสร้างบรรยากาศที่ชวนเคลิบเคลิ้มในดนตรีแห่งปลายศตวรรษก็สมควรได้รับการกล่าวถึง ในขณะเดียวกัน Lalo ก็ศึกษานิทานพื้นบ้านอย่างรอบคอบ และ Debussy ซึ่งได้รับรางวัล Rome Prize ในปี 1884 ก็ใกล้เคียงกับรูปแบบสุดท้ายของสไตล์ของเขา

สำหรับรูปแบบศิลปะอื่น ๆ อิมเพรสชันนิสม์ในการวาดภาพได้อยู่ได้ยาวนานกว่าประโยชน์ของมันแล้ว และศิลปินหันไปใช้ทั้งแนวธรรมชาติและนีโอคลาสสิก รูปแบบใหม่และน่าทึ่ง เช่น Cezanne ย้ายไปภาพที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น ร่างกายมนุษย์ Degas และ Renoir และ Seurat ในปี 1883 จัดแสดงภาพวาดของเขา "Bathing" ซึ่งตัวเลขที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เปลี่ยนไปสู่โครงสร้างพลาสติกใหม่ซึ่งอาจเป็นสัญลักษณ์ แต่ก็ยังเป็นรูปธรรมและชัดเจน สัญลักษณ์เพิ่งเริ่มมองเห็นได้ในผลงานชิ้นแรกของโกแกง ทิศทางที่เป็นธรรมชาติ (ที่มีลักษณะของสัญลักษณ์บนพื้นหลังทางสังคม) ตรงกันข้ามมีความชัดเจนมากในเวลานี้ในวรรณกรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในนวนิยายของ Zola (ในปี 1880 Nana ปรากฏตัวซึ่งเป็นนวนิยายจากชีวิตของโสเภณี) กลุ่มถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ นักเขียนเปลี่ยนเป็นภาพของความเป็นจริงที่ไม่น่าดูหรืออย่างน้อยก็ผิดปกติสำหรับวรรณกรรม: ระหว่างปี พ.ศ. 2423 ถึง พ.ศ. 2424 Maupassant เลือก ซ่องการตั้งค่าสำหรับเรื่องราวของเขาจากคอลเลกชัน The House of Tellier

แนวคิด ความตั้งใจ และแนวโน้มทั้งหมดเหล่านี้สามารถพบได้ง่ายใน Manon เนื่องจากผู้แต่งได้อุทิศตนให้กับศิลปะการแสดงโอเปร่า ข้างหลังมัน เริ่มมีพายุตามมาด้วยบริการโอเปร่าที่ยาวนานซึ่งในระหว่างนั้นไม่มีเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดเผยข้อดีของนักแต่งเพลงเสมอไปและความสามัคคีของแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ก็ไม่ได้ถูกรักษาไว้เสมอไป เป็นผลให้มีการสังเกตความขัดแย้งประเภทต่าง ๆ ในระดับของสไตล์ ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนจาก verismo ไปสู่ความเสื่อมโทรม จากเทพนิยายไปสู่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์หรือแปลกใหม่ที่มีการใช้ท่อนร้องและวงออเคสตราที่หลากหลาย Massenet ไม่เคยทำให้ผู้ชมผิดหวัง หากต้องขอบคุณวัสดุเสียงที่สร้างขึ้นอย่างยอดเยี่ยมเท่านั้น ในโอเปร่าเรื่องใดของเขา แม้ว่าพวกเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในภาพรวม แต่ก็มีหน้าที่น่าจดจำที่มีชีวิตอยู่ ชีวิตอิสระข้างนอก บริบททั่วไป. สถานการณ์ทั้งหมดเหล่านี้ทำให้ Massenet ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในตลาดรายชื่อจานเสียง ในท้ายที่สุด ตัวอย่างที่ดีที่สุดของเขาคือตัวอย่างที่ผู้แต่งมีความเป็นจริงในตัวเอง: โคลงสั้น ๆ และเร่าร้อน อ่อนโยนและเย้ายวนใจ ถ่ายทอดความกลัวของเขาไปยังส่วนต่าง ๆ ของตัวละครหลักที่สอดคล้องกับเขามากที่สุด คู่รัก ซึ่งมีลักษณะที่ไม่แตกต่างจากความซับซ้อน ของซิมโฟนิกส์ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดายและปราศจากข้อจำกัดของเด็กนักเรียน

G. Marchesi (แปลโดย E. Greceanii)

ผู้แต่งโอเปร่ายี่สิบห้าเรื่อง, บัลเลต์สามเรื่อง, ห้องชุดออเคสตร้ายอดนิยม ("Neapolitan", "Alsatian", "Picturesque scenes") และงานอื่นๆ อีกมากมายในทุกประเภท ศิลปะดนตรี Massenet เป็นหนึ่งในนักแต่งเพลงที่ชีวิตไม่รู้จักการทดลองที่จริงจัง พรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ระดับสูงทักษะระดับมืออาชีพและไหวพริบทางศิลปะช่วยให้เขาได้รับการยอมรับจากสาธารณชนในช่วงต้นทศวรรษที่ 70

เขาค้นพบสิ่งที่เหมาะกับบุคลิกของเขาตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเลือกหัวข้อแล้ว เขาก็ไม่กลัวที่จะพูดซ้ำ เขาเขียนอย่างง่ายๆ โดยไม่ลังเล และเพื่อความสำเร็จ เขาพร้อมที่จะประนีประนอมอย่างสร้างสรรค์กับรสนิยมที่แพร่หลายของชนชั้นนายทุน

Jules Massenet เกิดเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2385 ในวัยเด็กเขาเข้าเรียนที่ Paris Conservatoire ซึ่งเขาสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2406 หลังจากอยู่ในฐานะผู้ได้รับรางวัลเป็นเวลาสามปีในอิตาลี เขากลับมาที่ปารีสในปี พ.ศ. 2409 การค้นหาวิธีสู่ความรุ่งโรจน์อย่างต่อเนื่องเริ่มต้นขึ้น Massenet เขียนทั้งโอเปร่าและห้องชุดสำหรับวงออเคสตรา แต่บุคลิกลักษณะของเขาแสดงให้เห็นชัดเจนยิ่งขึ้นในบทเพลง ("บทกวีพระ", "บทกวีแห่งฤดูหนาว", "บทกวีเดือนเมษายน", "บทกวีเดือนตุลาคม", "บทกวีความรัก", "บทกวีแห่งความทรงจำ") บทละครเหล่านี้เขียนขึ้นภายใต้อิทธิพลของชูมันน์ พวกเขาร่างลักษณะคลังของสไตล์เสียงร้องของ Massenet

ในปี 1873 ในที่สุดเขาก็ได้รับการยอมรับ - ครั้งแรกกับเพลงสำหรับโศกนาฏกรรมของ Aeschylus "Erinnia" (ในการแปลฟรีโดย Leconte de Lisle) และจากนั้น - กับ "ละครศักดิ์สิทธิ์" "Mary Magdalene" ที่แสดงในคอนเสิร์ต ด้วยคำพูดที่จริงใจ Bizet แสดงความยินดีกับ Massenet ในความสำเร็จของเขา: "ของเรา โรงเรียนใหม่ไม่ได้สร้างอะไรแบบนั้น คุณทำให้ฉันเป็นไข้ วายร้าย! โอ้คุณเป็นนักดนตรีที่แข็งแกร่ง ... ให้ตายเถอะคุณกำลังรบกวนฉันด้วยบางสิ่ง! ..». “เราต้องให้ความสนใจกับเพื่อนคนนี้” Bizet เขียนถึงเพื่อนคนหนึ่งของเขา “ดูสิ เขาจะเสียบเข็มขัดให้เรา”

Bizet มองเห็นอนาคต: ในไม่ช้าเขาก็ทำชอร์ตเสร็จ เส้นทางชีวิตและ Massenet ในทศวรรษต่อ ๆ มาก็เป็นผู้นำในหมู่คนสมัยใหม่ นักดนตรีชาวฝรั่งเศส. ทศวรรษที่ 70 และ 80 เป็นปีที่ยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จมากที่สุดในงานของเขา

“Mary Magdalene” ซึ่งเปิดช่วงเวลานี้มีลักษณะใกล้เคียงกับโอเปร่ามากกว่า oratorios และนางเอกซึ่งเป็นคนบาปที่สำนึกผิดที่เชื่อในพระคริสต์ซึ่งปรากฏตัวในเพลงของผู้แต่งในฐานะชาวปารีสสมัยใหม่ถูกวาดด้วยสีเดียวกับ โสเภณีมานน ในงานนี้ ได้กำหนดวงกลมรูปภาพและวิธีการแสดงออกที่ชื่นชอบของ Massenet

เริ่มต้นด้วย Dumas son และต่อมา Goncourt ใน วรรณคดีฝรั่งเศสแกลเลอรี่ที่จัดตั้งขึ้น ประเภทหญิง, สง่างามและประหม่า, น่าประทับใจและเปราะบาง, อ่อนไหวและหุนหันพลันแล่น บ่อยครั้งที่คนเหล่านี้เป็นคนบาปที่สำนึกผิดที่เย้ายวนใจ "ผู้หญิงครึ่งโลก" ฝันถึงความสะดวกสบายของครอบครัว ครอบครัวมีความสุขที่งดงาม แต่แตกสลายในการต่อสู้กับความเป็นจริงของชนชั้นกลางเจ้าเล่ห์ ถูกบังคับให้ละทิ้งความฝัน จากคนที่รัก จาก ชีวิต ... (นี่คือเนื้อหาของนวนิยายและบทละครของลูกชายของ Dumas: "The Lady of the Camellias" (นวนิยาย - 1848, การแสดงละคร - 1852), "Diana de Liz" (1853), "Lady of the Half World" (1855 ); ดูนวนิยายของพี่น้อง Goncourt “ Rene Mauprin" (1864), Daudet "Sappho" (1884) และอื่นๆ)อย่างไรก็ตาม โดยไม่คำนึงถึงโครงเรื่อง ยุคสมัย และประเทศ (จริงหรือสมมติ) Massenet แสดงภาพผู้หญิงในแวดวงชนชั้นกลางของเขา โดยแสดงลักษณะโลกภายในของเธออย่างละเอียดอ่อน

ผู้ร่วมสมัยเรียก Massenet ว่า "กวีแห่งวิญญาณหญิง"

ตาม Gounod ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อเขา Massenet สามารถจัดอยู่ใน แต่แตกต่างจาก Gounod คนเดิมที่ใช้ในเขา ผลงานที่ดีที่สุดสีสันที่ฉูดฉาดและหลากหลายมากขึ้นซึ่งสร้างภูมิหลังของชีวิตที่เป็นกลาง (โดยเฉพาะใน Faust) Massenet มีความละเอียดอ่อน สง่างาม และมีอัตวิสัยมากขึ้น เขาใกล้ชิดกับภาพลักษณ์ของความนุ่มนวลความสง่างามความสง่างามของผู้หญิง ตามนี้ Massenet ได้พัฒนาสไตล์การปลุกระดมของแต่ละคนโดยเน้นที่แกนกลางของเนื้อหาโดยถ่ายทอดเนื้อหาของข้อความอย่างละเอียด แต่ "การระเบิด" ทางอารมณ์ที่ไพเราะและเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดนั้นแตกต่างจากวลีของการหายใจที่ไพเราะ:

ส่วนของวงออเคสตร้ายังโดดเด่นด้วยความละเอียดอ่อนของการตกแต่ง บ่อยครั้งที่หลักการไพเราะพัฒนาขึ้นซึ่งก่อให้เกิดการรวมตัวกันของส่วนเสียงที่ไม่ต่อเนื่องละเอียดอ่อนและเปราะบาง:

ในไม่ช้าลักษณะที่คล้ายกันนี้จะกลายเป็นแบบฉบับของโอเปร่าของผู้ตรวจสอบภาษาอิตาลี (Leoncavallo, Puccini); เฉพาะการระเบิดของความรู้สึกของพวกเขาเท่านั้นที่เจ้าอารมณ์และหลงใหล ในฝรั่งเศส การตีความของท่อนเสียงนี้ถูกนำมาใช้โดยนักแต่งเพลงหลายคน XIX ปลายและต้นศตวรรษที่ 20

แต่ย้อนกลับไปในยุค 70

การได้รับการยอมรับโดยไม่คาดคิดเป็นแรงบันดาลใจให้ Massenet ผลงานของเขามักแสดงในคอนเสิร์ต (Picturesque Scenes, the Phaedra Overture, the Third Orchestral Suite, the Sacred Drama Eve และอื่น ๆ ) และ Grand Opera จัดแสดงโอเปร่า King Lagorsky (1877 จากชีวิตชาวอินเดีย ความขัดแย้งทางศาสนาเป็นพื้นหลัง ). ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อีกครั้ง: Massenet ได้รับการสวมมงกุฎด้วยเกียรติยศของนักวิชาการ - เมื่ออายุสามสิบหกปีเขาได้เป็นสมาชิกของ Institute of France และในไม่ช้าก็ได้รับเชิญให้เป็นศาสตราจารย์ที่เรือนกระจก

อย่างไรก็ตามใน "King of Lagorsk" เช่นเดียวกับ "Esclarmonde" (1889) ที่เขียนขึ้นในภายหลังยังมีงานประจำ " แกรนด์โอเปร่า"- สิ่งนี้ทำให้ความเป็นไปได้ทางศิลปะของฝรั่งเศสหมดไปนานแล้ว โรงละครดนตรี. Massenet พบว่าตัวเองอยู่ในผลงานที่ดีที่สุดของเขา - "Manon" (พ.ศ. 2424-2427) และ "Werther" (พ.ศ. 2429 ฉายรอบปฐมทัศน์ในเวียนนาในปี พ.ศ. 2435)

ดังนั้นเมื่ออายุสี่สิบห้า Massenet จึงมีชื่อเสียงที่ต้องการ แต่ด้วยการทำงานอย่างต่อเนื่องด้วยความเข้มข้นเท่าเดิม ตลอดยี่สิบห้าปีข้างหน้าในชีวิตของเขา เขาไม่เพียงแต่ขยายขอบเขตทางความคิดและศิลปะของเขาเท่านั้น และแม้ว่ารอบปฐมทัศน์ของงานเหล่านี้จะตกแต่งด้วยเอิกเกริกอย่างต่อเนื่อง แต่ส่วนใหญ่ก็สมควรถูกลืม โอเปร่าสี่เรื่องต่อไปนี้ยังคงเป็นที่สนใจอย่างไม่ต้องสงสัย: "ไทย" (พ.ศ. 2437 ใช้โครงเรื่องของนวนิยายของอ. ฝรั่งเศส) ซึ่งในแง่ของความละเอียดอ่อนของรูปแบบท่วงทำนองจะเข้าใกล้ "มานอน"; "Navarreca" (พ.ศ. 2437) และ "ซัปโป" (พ.ศ. 2440) สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่แท้จริง (โอเปร่าเรื่องสุดท้ายเขียนขึ้นจากนวนิยายของ A. Daudet เนื้อเรื่องใกล้เคียงกับ "Lady of the Camellias" โดย Dumas son และด้วยเหตุนี้ Verdi's " La Traviata"; ใน "Sappho" หลายหน้าของเพลงที่น่าตื่นเต้นและเป็นความจริง); "ดอนกิโฆเต้" (พ.ศ. 2453) ซึ่งชาลีพินทำให้ผู้ชมตกใจในบทนำ

เป็นเวลาสิบแปดปี (พ.ศ. 2421-2439) เขาสอนการประพันธ์เพลงที่ Paris Conservatoire โดยให้ความรู้แก่นักเรียนหลายคน ในหมู่พวกเขาเป็นนักแต่งเพลง Alfred Bruno, Gustave Charpentier, Florent Schmitt, Charles Kouklin, ดนตรีคลาสสิกของโรมาเนีย, George Enescu และคนอื่น ๆ ซึ่งต่อมาได้รับชื่อเสียงในฝรั่งเศส แต่แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้เรียนกับ Massenet (เช่น Debussy) ก็ยังได้รับอิทธิพลจากสไตล์การร้องที่ไวต่อความรู้สึก มีความยืดหยุ่นในการแสดงออก

ความสมบูรณ์ของการแสดงออกที่เป็นโคลงสั้น ๆ และน่าทึ่ง ความจริงใจ ความจริงในการถ่ายทอดความรู้สึกที่สั่นไหว - นี่คือข้อดีของโอเปร่าของ Massenet ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนที่สุดใน Werther และ Manon อย่างไรก็ตาม นักแต่งเพลงมักจะขาดความแข็งแกร่งของผู้ชายในการถ่ายทอดความหลงใหลในชีวิต สถานการณ์ที่น่าทึ่ง เนื้อหาความขัดแย้ง และความละเอียดอ่อนบางอย่าง บางครั้งความอ่อนหวานของซาลอนก็แทรกซึมเข้าไปในดนตรีของเขา

สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงวิกฤตของประเภทอายุสั้นของฝรั่งเศส " เนื้อเพลงโอเปร่า" ซึ่งเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 60 และในทศวรรษที่ 70 ได้ซึมซับเอาเทรนด์ใหม่ที่ก้าวหน้าอย่างเข้มข้นมาจาก วรรณกรรมสมัยใหม่,จิตรกรรม,มหรสพ. อย่างไรก็ตามคุณลักษณะของข้อ จำกัด ได้เปิดเผยในตัวเขาซึ่งได้กล่าวไว้ข้างต้น (ในบทความที่อุทิศให้กับ Gounod)

อัจฉริยะของ Bizet ก้าวข้ามขีดจำกัดแคบๆ ของ "lyric Opera" การแสดงละครและขยายเนื้อหาของบทประพันธ์ดนตรีและการแสดงละครยุคแรกของเขา สะท้อนความขัดแย้งของความเป็นจริงอย่างลึกซึ้งและสมจริงมากขึ้น เขาถึงจุดสูงสุดของความสมจริงใน Carmen

แต่เป็นภาษาฝรั่งเศส วัฒนธรรมโอเปร่าไม่สามารถอยู่ในระดับนี้ได้เพราะผู้เชี่ยวชาญที่โดดเด่นที่สุดของมัน ทศวรรษที่ผ่านมาศตวรรษที่ 19 ไม่มีความซื่อตรงแน่วแน่ของ Bizet ในการยืนยันอุดมคติทางศิลปะของเขา ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 60 เนื่องจากการเสริมความแข็งแกร่งของคุณลักษณะเชิงปฏิกิริยาในโลกทัศน์ Gounod หลังจากการสร้าง Faust, Mireil และ Romeo and Juliet ได้ละทิ้งประเพณีประจำชาติที่ก้าวหน้า ในทางกลับกัน Saint-Saens ก็ไม่ได้แสดงความสม่ำเสมอในการค้นหาเชิงสร้างสรรค์ของเขา เป็นแบบผสมผสาน และมีเพียงใน Samson และ Delilah (1877) เท่านั้นที่เขาประสบความสำเร็จอย่างมีนัยสำคัญ แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ในระดับหนึ่ง ความสำเร็จบางอย่างในด้าน ศิลปะการแสดง Delibes ("Lakme", 1883), Lalo ("King of the City of Is", 1880), Chabrier ("Gwendoline", 1886) ผลงานทั้งหมดนี้มีโครงเรื่องที่แตกต่างกัน แต่ในการตีความทางดนตรีของพวกเขา อิทธิพลของทั้งโอเปร่าที่ "ยิ่งใหญ่" และ "โคลงสั้น ๆ" ข้ามไปยังระดับใดระดับหนึ่ง

Massenet ยังได้ลองใช้ทั้งสองประเภท และเขาก็พยายามอย่างไร้ประโยชน์ที่จะปรับปรุงรูปแบบ "โอเปร่าใหญ่" ที่ล้าสมัยด้วยเนื้อเพลงโดยตรง ความชัดเจนของวิธีการแสดงออก ที่สำคัญที่สุด เขาถูกดึงดูดโดยสิ่งที่ Gounod แก้ไขใน Faust ซึ่งทำหน้าที่ให้ Massenet เป็นต้นแบบทางศิลปะที่ไม่สามารถเข้าถึงได้

(1842-05-12 ) สถานที่เกิด วันที่เสียชีวิต ประเทศ

ฝรั่งเศส

วิชาชีพ

จูลส์ เอมิล เฟรเดริก แมสเซเนต์(เ. จูลส์ เอมิล เฟรเดริก แมสเซเนต์ ; 12 พฤษภาคม, Monto, ใกล้ Saint-Etienne - 13 สิงหาคม, ปารีส) - นักแต่งเพลงชาวฝรั่งเศสผู้ซึ่งได้รับชื่อเสียงส่วนใหญ่มาจากการแสดงโอเปร่าของเขา ผลงานของเขาได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ 19 และ 20 และเขาได้รับชื่อเสียงจากหนึ่งในนักประพันธ์เพลงผู้ยิ่งใหญ่ในยุคนั้น ไม่นานหลังจากการเสียชีวิตของ Massenet สไตล์ของเขาก็ล้าสมัย และละครโอเปราส่วนใหญ่ของเขาก็ถูกลืมและไม่ได้จัดฉาก เริ่มต้นในทศวรรษที่ 1970 ความสนใจในมรดกของ Massenet ได้รับการฟื้นฟู และโอเปร่าของเขากลับมามีบทบาทอีกครั้งในละครของโรงละครชั้นนำของโลก

ชีวประวัติ

Massenet เกิดที่ Monteau จากนั้นเป็นชานเมืองและปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Saint-Étienne แผนกของลัวร์ เมื่อเขาอายุได้ 6 ขวบ ครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่ปารีส ซึ่งพ่อของ Jules คือ Alexis Massenet (1788-1863) ซึ่งเป็นอดีตผู้ผลิตเคียวและเคียวระดับภูมิภาค กำลังเข้ารับการรักษาโรคหัวใจ ในปารีส แอดิเลดแม่ของจูลส์ (นี รอย) เริ่มสอนเปียโน เธอยังสอนจูลส์ด้วย ดังนั้นเมื่ออายุ 11 ปี เขาจึงสามารถสอบผ่านและเข้าเรียนที่ Paris Conservatoire เขาเป็นนักเรียนเมื่อครอบครัวย้ายจากปารีสไปที่ Chambéry แต่ Jules อยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่เดือน หลังจากนั้นเขาก็กลับไปปารีสและตั้งรกรากกับญาติของภรรยาคนแรกของพ่อ เพื่อหาเลี้ยงชีพ Massenet เล่นทิมปานีและเครื่องเพอร์คัชชันอื่นๆ เป็นเวลาหกปีในวงออร์เคสตราของ Lyric Theatre และยังทำงานเป็นนักเปียโนที่Café de Belleville

ครูของ Massenet ที่เรือนกระจกในตอนแรกไม่ได้สัญญากับเขา อาชีพที่ประสบความสำเร็จในเพลง ความคิดเห็นของพวกเขาเปลี่ยนไปในปี พ.ศ. 2406 เมื่อเขาได้รับรางวัล Prix de Rome สำหรับ Cantata David Rizzio หลังจากนั้นเขาได้ฝึกฝนในกรุงโรมเป็นเวลาสามปี ที่นั่น Massenet ได้พบกับ Franz Liszt ซึ่งเขาแนะนำให้เรียนเปียโนกับลูกสาวของ Madame de Saint-Méry สามปีต่อมา นักเรียนกลายเป็นภรรยาของเขา การแต่งงานกับ Louise Constance de Gressy (พ.ศ. 2409) มีส่วนทำให้ Massenet เข้าสู่สังคมชั้นสูงและการเผยแพร่ผลงานของเขาที่นั่น โอเปร่าเรื่องแรกของนักแต่งเพลงคือการแสดงเรื่องเดียว "Greater Aunt" (1867, Opera-Comedian)

Massenet ได้รับความสนใจและเห็นชอบจากนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น (ไชคอฟสกี, วินเซนต์ แอนดี้, ชาร์ลส์ กูนอด) ต้องขอบคุณแมรี่ แม็กดาลีน นักปราศรัยที่น่าทึ่งของเขา (นำเสนอครั้งแรกในปี พ.ศ. 2416) ที่ปรึกษาของ Massenet คือนักแต่งเพลง Ambroise Thomas ซึ่งมีความเกี่ยวข้องใน โลกของโรงละคร. ความนิยมในงานเขียนของ Massenet ยังได้รับการส่งเสริมจากผู้จัดพิมพ์ของเขา Georges Hartmann ผู้ซึ่งทำให้งานของ Massenet เป็นที่นิยมในสื่อมวลชน ขอบคุณคนรู้จักของเขาในแวดวงสื่อสารมวลชน

ในปี 1870-1871 Massenet เข้าร่วมในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ตั้งแต่ปี 1878 เขาเป็นศาสตราจารย์ที่ Paris Conservatoire นักเรียน ได้แก่ Gustave Charpentier, Ernest Chausson, George Enescu, Reinaldo Ahn, Charles Kouklin ในปี 1876 เขาได้รับ Order of the Legion of Honor จากปี 1899 - ผู้บัญชาการ ในปี 1878 ตามคำแนะนำของ Camille Saint-Saens เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของ Academy of Fine Arts Massenet กลายเป็นนักวิชาการที่อายุน้อยที่สุด (36 ปี) ที่เคยได้รับเลือกให้เข้าร่วมสถาบันนี้

โอเปร่า Manon (1884), Werther (1892), Thais (1894), The Juggler of Our Lady (1902), Don Quixote (1910, เขียนขึ้นโดยเฉพาะสำหรับนักร้องชาวรัสเซีย (เบส) Fyodor Chaliapin) ประสบความสำเร็จสูงสุด ).

นอกจากโอเปร่า 34 เรื่องแล้ว Massenet ยังเขียนเปียโนคอนแชร์โต ห้องคอนเสิร์ตจำนวนหนึ่ง เพลงบัลเลต์ ออราทอรีโอ และแคนทาทา รวมถึงเพลงและความรักมากกว่า 200 เพลง ชิ้นส่วนเครื่องดนตรีบางชิ้นได้รับความนิยมอย่างเป็นอิสระและมักแสดงโดยวงออเคสตราหรือนักแสดงเดี่ยว: การทำสมาธิจากโอเปร่า "ไทย" สำหรับไวโอลินและวงออเคสตรา การเต้นรำแบบอารากอนจากโอเปร่า "ซิด" สำหรับวงออเคสตรา ความสง่างามจากดนตรีถึง ละครเรื่อง Erinnie สำหรับเชลโลและวงออร์เคสตรา ความสง่างามมีการแสดงในรูปแบบต่างๆ (รวมถึงเปียโน) รวมทั้งแยกต่างหาก งานเสียงด้วยคำพูด

ในฐานะนักแต่งเพลงที่ทำงานอย่างมืออาชีพ (เขาแต่งเพลงทุกวันตั้งแต่ตี 4) Massenet ได้พัฒนาชิ้นส่วนของโอเปร่าในอนาคตที่ไม่ได้อยู่บนเปียโน แต่เป็น "จิตใจ ในใจ" ความสามารถนี้ทำให้ Massenet เป็นผู้เรียบเรียงผลงานของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม

Massenet เสียชีวิตในปารีสเมื่ออายุได้ 70 ปีหลังจากป่วยหนัก (มะเร็ง)

งานศิลปะ

โอเปร่า

• « เอสเมอรัลด้า» (Esméralda) - 2408 ยังไม่เสร็จสมบูรณ์
• « ฟูลคิงส์คัพ"(La coupe du roi de Thule) - 2409 ไม่ใช่ฉาก
• « ป้าใหญ่"(La grand'tante) - 2410
• « มันเฟรด» (แมนเฟรด) - 2412 ยังไม่เสร็จ
• « แมงกระพรุน» (เมดูส) - 2413
• « ดอน ซีซาร์ เดอ บาซาน"(Don César de Bazan) - 2415 (ฉบับที่สอง - 2431)
• « Belle Boule ที่น่ารื่นรมย์"(L'adorable Bel "-Boul) - 2417
• « เทมพลาร์"(เลส์ เทมเปียร์ส) - พ.ศ. 2418 แพ้
• « เบอเรนเจอร์และอนาโทล» (Bérangère et Anatole) - 2419
• « กษัตริย์แห่งละฮอร์"(เลอรอยเดอละฮอร์) - 2420
• « โรเบิร์ต เฟรนช์» (โรเบิร์ต เดอ ฟรองซ์) - พ.ศ. 2423 สูญหาย
• « Girondins» (Les Girondins) - 2424 สูญหาย
• « นางเฮโรเดียส"(Hérodiade) - 2424 (พิมพ์ครั้งที่สอง - 2427)
• « มานอน» (มานอน) - 2427.
• « ซิด» (เลอซิด) - 2428
• « เอสคลาร์มอนด์"(เอสคลาร์มอนด์) - 2432
• « นักเวทย์"(เลอผู้วิเศษ) - 2434
• « เวอร์เธอร์"(เวอร์เธอร์) - 2435
• « คนไทย"(ไทย) - 2437 (พิมพ์ครั้งที่สอง - 2441)
• « ภาพเหมือนของ Manon» (ภาพเหมือนของ Manon) - 2437
• « นาวาร์เรก้า» (ลา นาวาร์เรส) - 2437
• « อามาดิส"(Amadis) - 2438 (แสดงในปี 2465)
• « ซัปโป"(Sapho) - 2440 (พิมพ์ครั้งที่สอง - 2452)
• « ซินเดอเรลล่า» (Cendrillon) - 2442
• « กรีเซลด้า» (Griselidis) - 2444
• « นักเล่นกลแห่งพระแม่มารีย์"(Le jongleur de Notre-Dame) - 2445
• « เชรูบิโน» (เชรูบิน) - 2448
• « อาเรียดเน่» (อาเรียน) - 2449
• « เทเรซ่า» (Thérèse) - 1907
• « แบคคัส» (แบคคัส) - 2452
• « ดอนกิโฆเต้» (ดอน กิโชเต้) - 2453.
• « กรุงโรม» (โรมา) - 2455
• « Panurge"(Panurge) - 2456.
• « คลีโอพัตรา» (Cléopâtre) - 2457.

Oratorios และ Cantatas

• "เดวิด ริซซิโอ" (David Rizzio) −1863.
• "Mary Magdalene" (มารี-มักเดลีน) - 2416
• "อีฟ" (Ève) - 2418
• "นาร์ซิสซัส" (นาร์ซิส) - 2420
• "เวอร์จิน" (La Vierge) - 2423
• "บาบิโลน" (Biblis) - 2429
• "ดินแดนแห่งพันธสัญญา" (สัญญาของ La Terre) - 2443

บัลเล่ต์

• Chimes (เลอคาริล) - 2435
• "จั๊กจั่น" (La cigale) - 2447
• "ทูเรดอร์" (เอสปาด้า) - 2451

สำหรับวงออร์เคสตรา

• ชุดแรก - 2408
• ฉากฮังการี - 2414
• ฉากละคร - 2416
• ฉากที่งดงาม - 2417
• ฉากเนเปิลส์ - 2419
• ฉากที่มีเสน่ห์ - 2422
• ฉากอัลเซเชี่ยน - 2424
• การทาบทามคอนเสิร์ต - 2406
• ทาบทาม "Phaedra" - 2416
• การทาบทาม "Brumer" - 2442
• คอนเสิร์ตแฟนตาซีที่ยอดเยี่ยม "ผู้เผยพระวจนะ" - 2404
• ห้องชุด "ปอมเปอี" - 2409
• แฟนตาซี "งานแต่งงานแบบเฟลมิช" - 2410
• แฟนตาซี "การกลับมาของคาราวาน" - 2410
• บทกวีไพเราะ "วิสัยทัศน์" - 2433

สำหรับเครื่องดนตรีที่มีวงออร์เคสตรา

• แฟนตาซีสำหรับเชลโลและวงออเคสตรา - 2440
• ชิ้นสำหรับสองไวโอลินและวงออเคสตรา - 2445

Jules Massenet... เป็นการยากที่จะตั้งชื่อนักแต่งเพลงที่จะแสดงความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันมากขึ้น เรียกมันว่า "ลูกกวาด" และสงสัยว่าทำไมเขาถึงชื่นชมมันอุทานว่า "โอ้ Massenet นี่ป่วยจัง!" อย่างไรก็ตาม ไชคอฟสกียอมรับว่าใน "อาการคลื่นไส้" นี้มีบางอย่างที่คล้ายกับธรรมชาติของเขาเอง และแย้งว่าทุกอนุภาคของแมสเซเนทมี นักแต่งเพลงชาวฝรั่งเศส.

Jules Massenet เกิดที่ Monto (ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Saint-Etienne และจากนั้นก็มีหมู่บ้านห่างไกล) ลูกชายคนสุดท้องของพ่อค้า เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับดนตรีเนื่องจากแม่ของเขาซึ่งเป็นนักเปียโนสมัครเล่นที่มีพรสวรรค์ Jules ได้รับบทเรียนเปียโนครั้งแรกเมื่ออายุหกขวบ (แดกดัน การปฏิวัติเริ่มขึ้นในวันเดียวกัน) - ในเวลานั้นครอบครัวได้ย้ายไปปารีส

ตอนอายุสิบขวบ Massenet เข้า Paris Conservatoire เขาขยันขันแข็ง แต่หลังจากสองปีการศึกษาของเขาต้องหยุดชะงัก: พ่อของเขาป่วยหนัก และครอบครัวย้ายไปที่ Chambéry ตามคำแนะนำของแพทย์ อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาที่จะเรียนรู้นั้นไม่อาจต้านทานได้ Jules พยายามสองครั้งเพื่อหนีออกจากบ้านเพื่อไปปารีส และในความพยายามครั้งที่สองเขาก็ทำสำเร็จ ในปารีส วัยรุ่นอายุสิบสี่ปีพบว่าตัวเองไม่มีอาชีพทำมาหากิน เขาไม่สามารถและไม่ต้องการรับเงินจากพ่อแม่ - มันยากสำหรับพวกเขาแล้ว (พ่อที่ป่วยของเขาไม่สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้แม่ของเขาหาเงินจากการเรียนดนตรี) เมื่อตั้งรกรากอยู่ที่มงต์มาตร์ เขาได้เรียนรู้ "เสน่ห์" ทั้งหมดของชีวิตของโบฮีเมีย นักเรียนหลายคนได้รับเงินจากการเล่นออร์แกนในโบสถ์ Massenet ก็คาดหวังเช่นกัน แต่เขาไม่ประสบความสำเร็จอย่างมากในการเล่นออร์แกนและในไม่ช้าก็ละทิ้งเครื่องดนตรีนี้ เขาพบงานอื่น - เขากลายเป็นนักเคาะจังหวะที่โรงละครโอเปร่าซึ่งทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับโอเปร่าของนักแต่งเพลงหลายคน (โดยเฉพาะ Charles Gounod)

หลังจากจบการศึกษาจากเรือนกระจกในปี พ.ศ. 2406 Massenet ได้รับรางวัล Prix de Rome กลับไปปารีสหลังจากอยู่ในโรมสามปี เขาเขียนเพลง ชิ้นเปียโน, ห้องออเคสตร้า ในฐานะผู้ชนะรางวัล Rome Prize เขาได้รับคำสั่งจากโรงละคร Opera-Comic ให้สร้างโอเปร่าหนึ่งองก์เรื่อง "Greater Aunt" ซึ่งฉายรอบปฐมทัศน์ในปี 1867

ในระหว่าง สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียนักแต่งเพลงรับใช้ในตำแหน่งของดินแดนแห่งชาติ สงครามสร้างความประทับใจอันเจ็บปวดแก่เขาจนเขาไม่ได้อธิบายรายละเอียดของปีเหล่านี้ในบันทึกของเขา

ในปี 1872 Don Cesar de Bazan โอเปร่าใหญ่เรื่องแรกของ Massenet จัดแสดง เธอล้มเหลว แต่ oratorio "Mary Magdalene" แสดง ปีหน้าเป็นความสำเร็จ แต่ความสำเร็จที่แท้จริงคือการผลิตโอเปร่าเรื่อง The King of Lahore ในปี 1877 หลังจากการฉายรอบปฐมทัศน์ของฝรั่งเศส ได้มีการจัดแสดงในเดรสเดน ลอนดอน มาดริด และแปดริ้ว โรงละครอิตาลี. ในปีต่อมา นักแต่งเพลงได้เป็นศาสตราจารย์ที่ Paris Conservatory

หลายปีต่อมา Massenet ประสบความสำเร็จและล้มเหลว ผู้อำนวยการ ปารีสโอเปร่าปฏิเสธโอเปร่าเรื่อง Herodias ของเขา และจัดแสดงครั้งแรกในกรุงบรัสเซลส์ โอเปร่า "Manon" ได้รับการยอมรับอย่างกระตือรือร้นจากสาธารณชนซึ่งต่อมาได้กลายเป็นโอเปร่ายอดนิยมสามกลุ่ม โอเปร่าฝรั่งเศสร่วมกับ "Carmen" และ "Faust" โดย Charles Gounod หลังจากนั้น งานโคลงสั้น ๆ Massenet หันไปหาประเภทของโอเปร่าที่ยิ่งใหญ่โดยสร้าง "Cid" ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1880 Massenet - ในเวลานั้นมาก นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง- พบว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของเรื่องอื้อฉาวเพราะความรู้สึกที่มีต่อ นักร้องชาวอเมริกันซีบิล แซนเดอร์สัน. แม้ว่าทัศนคติของเขาที่มีต่อเธอยังคงอยู่ภายใน รักสงบการ์ตูนปรากฏขึ้นพร้อมกับคำใบ้ที่ชัดเจนว่า Sanderson เป็นนายหญิงของ Massenet สำหรับนักร้องคนนี้นักแต่งเพลงได้เขียนท่อนกลางในโอเปร่า Esclarmonde ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก ชะตากรรมของ Werther หนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของเขานั้นยากยิ่งกว่า นักแต่งเพลงทำงานในโอเปร่านี้มานานกว่าหนึ่งปีโดยมีการขัดจังหวะ ฝ่ายบริหารของ Opera-Comic ไม่ต้องการแสดงเรื่องนี้เนื่องจากมืดมนเกินไปและงานนี้จัดแสดงครั้งแรกในปี พ.ศ. 2435 ที่กรุงเวียนนา

ในตอนต้นของศตวรรษที่ 20 Massenet มีชื่อเสียงระดับโลก - โอเปร่าของเขาถูกจัดแสดง ประเทศต่างๆ. แต่เขาก็ยังห่างไกลจากชื่อเสียง กิจกรรมทางสังคมความสันโดษในบ้าน (ผู้แต่งเรียกตัวเองว่า "ชายข้างเตาผิง") - เขาไม่ได้เข้าร่วมรอบปฐมทัศน์ของผลงานของเขาเองด้วยซ้ำ ปีที่ผ่านมาชีวิตของนักแต่งเพลงถูกบดบังด้วยโรคร้ายแรงและความสัมพันธ์ที่ยากลำบากกับ Lucy Arbel นักร้องคนนี้ที่ถูกกำหนดให้เป็น ความรักครั้งสุดท้ายนักแต่งเพลงไม่ได้ตอบสนองเขามากนัก แต่ใช้ความรู้สึกของเขาพยายามทำประโยชน์ ท่ามกลาง โอเปร่าล่าสุด Massenet ครอบครองสถานที่พิเศษใน Don Quixote ซึ่งมีการเขียนชื่อเรื่องไว้

นักแต่งเพลงเสียชีวิตในปี 2455 ตามความปรารถนาของ Massenet งานศพของเขาถูกจัดขึ้นโดยไม่มีดนตรี

สงวนลิขสิทธิ์. ห้ามคัดลอก